ลิขิตพิศวาส
เธอสูญเสียรักครั้งแรกไปเพราะความ...ยาก
จึงคิดประชดรักที่ล้มเหลวด้วยความ...ง่าย
.
.
.
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอสลัดผู้ชายที่เป็นคนแรกของตัวเองไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
ซ้ำเขายังเฝ้าตามติดเอาอกเอาใจทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ โดยที่เธอไม่ต้องการ !!

**********************************************

มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ ที่จะให้ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากที่เธอทำให้เขาเกือบจะช็อคกับสิ่งที่ได้รับ
ซ้ำยังย้ำบอกให้เขาลืม ลืม และลืม เพราะเธอไม่แคร์ และกำลังจะจากไป
.
.
.
แม่ดอกไม้ริมทางคิดจะฟันเขาแล้วทิ้งอย่างนั้นหรือ
อะไรจะง่ายขนาดนั้น !! ฝันไปเถอะ เพราะเขาจะไม่ปล่อยเธอไป...

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: อาทิตะยะ สตาริศา

ตอน: ตอนที่ 12...รักไม่มีเหตุผล รักไม่ต้องการเวลา[I]...100%

ตอนที่ 12.

หลังจากปะทะคารมกันดุเดือดจนหนำใจ อาทิตะยะดันร่างในวงแขนออกห่าง สองมือเขาจับแน่นอยู่ที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเธอ ดวงตาทั้งคู่สบกัน ต่างคนต่างนิ่งเงียบ แต่เพียงเสี้ยววินาทีสตาริศากลับเป็นฝ่ายส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ มือไขว่คว้ายึดเกาะ เมื่อถูกคนที่เอาแต่จ้องตาเมื่อครู่จับตัวยกขึ้นพาดบ่า โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แม้ว่าเธอจะดิ้นรนขัดขืน สองมือกระหน่ำทุบเขาไปกี่สิบกี่ร้อยครั้งอาทิตะยะก็ยังเฉย เขาแบกเธอเดินฉับๆโดยไม่สะดุ้งสะเทือน สตาริศายังตะโกนลั่นให้ปล่อยไปตลอดทาง แม้อีกฝ่ายจะทำเป็นไม่ได้ยิน

เธอไม่ใช่สิ่งของ สตาริศามีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ อาทิตะยะใจร้ายที่สุด! ที่ไม่คิดจะใส่ใจ

จะมีสักครั้งไหมที่เธอจะสามารถเอาชนะเขาได้ หญิงสาวหลับตาริมฝีปากบางขบเม้มแน่นแม้หัวใจจะไม่ยอมแพ้แต่ร่างกายกลับแพ้ราบคาบ ใช่แค่โชคชะตาที่ชักนำให้เธอต้องมาเจอกับเขาคนนี้ แต่เป็นเธอเองที่เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องลึกซึ้งด้วยอารมณ์ชั่ววูบในขณะที่หัวใจอ่อนแอ

หัวใจทีีถูกใครคนหนึ่งทำร้าย ยังไม่ทำให้เจ็บเท่ากับการที่เธอลงมือทำร้ายหัวใจตัวเอง หัวใจเธอเจ็บแทบขาดใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำลงไป

รู้สึกผิดปกติเมื่อคนที่ต่อต้านสุดกำลัง จู่ๆกลับยอมอยู่นิ่งโดยดี แม้จะอยากรู้แต่ไม่มีทางปล่อยเธอก่อนจะถึง...หนึ่งตะวัน คฤหาสถ์หรูที่ตั้งโดดเด่นและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามบนเกาะตะวัน แม้อีกด้านของเกาะจะเต็มไปด้วยร้านอาหาร รีสอรฺ์ท ศูนย์รวมแหล่งบันเทิงมากมายสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว แต่อีกด้านของเกาะกลับยังคงไว้ซึ่งความสงบ เงียบ ความเป็นส่วนตัวที่สุดถึงที่สุด ที่ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าถึงหากไม่ได้รับอนุญาตจากคนที่เป็นเจ้าของ

หนึ่งตะวัน คือสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ทำให้อาทิตะยะรู้สึกถึงคำว่า บ้านและครอบครัว เพราะมันคือความทรงจำเดียวที่เขามีเพื่อระลึกถึงผู้หญิงที่รัก ทุกๆที่ในบ้านหลังนี้ยังคงมีเงาของแม่เสมอ...ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ติดอยู่ในใจ และมันควรจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปหากเขาจะไม่ได้เจอเธอ สตาริศาไม่ได้มาแทนที่ผู้หญิงเดียวในหัวใจ แต่เธอกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในหัวใจ...

ผืนทรายที่แม้จะดูละเอียดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเดินย่ำได้โดยไม่ต้องระวัง บ่อยครั้งที่เขาได้ยินเธออุทานเพราะเผลอไปเหยียบอะไรเข้า แม้เสียงเธอจะเบาแสนเบาซึ่งเขาเข้าใจว่าเธอตั้งใจบังคับให้มันเบา แต่มันจะรอดพ้นสายตาที่เฝ้ามองและหูที่เฝ้าฟังของเขาได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่เขากระทำก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเกินกว่าเหตุ เพราะเขาทำมันด้วยความหวังดี...หรือไม่ใช่

สตาริศาถูกวางลงให้ยืนบนพื้นใกล้กับประตูบานใหญ่ ข้อมือข้างหนึ่งของเธอถูกเขาคว้าไปกุมเอาไว้ สตาริศาจึงมีเพียงมือเดียวสำหรับดึงกระโปรงที่ร่นขึ้นมาให้กลับลงไปอย่างรวดเร็ว และจัดคอเสื้อให้ถูกที่ถูกทางก่อนที่มันจะทำให้เขาเห็นหน้าอกหน้าใจเธอมากไปกว่านี้ เสื้อคอปาดกว้างกับกระโปรงสั้นที่มีความยาวแค่คืบที่ต้องใส่เพราะถูกบังคับให้ใส่เดินโชว์ในงานฉลองเปิดร้านเสื้อของเพื่อนกำลังทำให้เธออับอายขายหน้า รู้สึกแย่ หลังจากที่รู้สึกว่าได้ศูนย์เสียความเป็นตัวของตัวเองไปจนหมดสิ้นก่อนหน้านี้ ถ้ารู้ว่าจะมาเจอสถานการณ์แบบนี้ เธอคงไม่ยอมรับชุดที่ถูกเพื่อนยัดเยียดให้แน่ๆ เธอน่าจะถอดชุดที่ใส่คืนให้เพื่อนก่อนจะเดินโฉบออกมาจากงาน...จะได้ไม่ต้องมาตกเป็นอาหารตาของใครบางคน เช่นนี้...

ประตูบานใหญ่เปิดกว้างออกทันทีที่เขาและเธอมาถึงคล้ายว่ากำลังรอคอยอยู่ การปรากฏตัวของผู้หญิงผมทอง ตาสีฟ้า ทำให้สตาริศาที่หันขวับไปมองเผลอจ้องตาค้าง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย...ข้อสงสัยของเธอถูกเฉลยในเวลาต่อมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงเปะ ฟังรื่นหูไม่ผิดเพี้ยนไปจากเจ้าของภาษาพูดแนะนำผู้หญิงตรงหน้าให้เธอได้รู้จักว่าชื่อ...มิเชล

มิเชล ถูกแนะนำว่าเป็นแม่บ้าน ซึ่งอดีตเคยเป็นพี่เลี้ยงของเขา คนถูกแนะนำตัวโค้งศีรษะให้ผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างคนเป็นนาย เมื่อเห็นแบบนั้นสตาริศาก็ก้มศีรษะเล็กน้อยทักทายตอบ พร้อมกับรอยยิ้มที่มิเชลเห็นจำต้องยิ้มตาม เพราะสตาริศาไม่ใช่คนพาล เธอแยกแยะได้ว่าควรจะเป็นมิตร หรือเป็นศัตรูกับใคร แต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ใบหน้ากลับอยู่ได้ไม่นาน เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
ไม่ว่าสำเนียงเขาจะน่าฟัง หรือแม้ว่าประโยคที่ได้ยินจะยาวสักแค่ไหน แต่สตาริศากลับจดจำได้เพียงแค่สองคำ สองพยางค์ที่เขาจงใจเน้น

...มายไวฟ์..! .สองคำที่กระแทกโสตประสาทการรับรู้ของเธอจังๆ เขาแนะนำเธอให้มิเชลรู้จักในฐานะ ภรรยา! เธอจำได้ว่าไม่เคยตอบตกลง ไม่แม้แต่ครั้งเดียว!
เธอปฏิเสธทุกครั้ง ที่ถูกขอให้เป็น...เมีย

"โน...."สตาริศาแทรกขึ้นทันทีโดยไม่ใส่ใจจะรักษาหน้าใคร เธอเชิดหน้ามองสบตาเข้มดุที่มองมาอย่างท้าทาย ก่อนจะสบัดหน้าใส่และหันไปทางมิเชลที่จ้องมองอยู่คล้ายอยากจะได้คำอธิบาย แต่พอจะขยับปากพูด"มิเชล ไอ..."ยังไม่ถึงไหนกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทรงอำนาจที่เธอฟังแล้วขนลุกซู่ ส่วนมิเชลคงจะฟังไม่รู้เรื่อง

"ถ้าไม่ใช่เมีย แล้วดาวคิดว่าตัวเองควรจะเป็นอะไร เวลาที่อยู่บนเตียง...กับผม"น้ำเสียงเบาต่ำ ใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้ แววตาที่ไม่มีแม้แต่แววว่าล้อเล่น หยุดทุกคำพูดของเธอ หยุดแม้กระทั่งลมหายใจไปชั่วขณะ นาทีนี้ประโยคที่ได้ยินทำให้ไม่กล้าสู้หน้าหรือแม้แต่ประสานสายตา สตาริศาเบือนหน้าหลบดวงตาของคนทั้งคู่ที่มองมาทางตน

มิเชลไม่ได้ใส่ใจสงสัยกับประโยคที่สตาริศากำลังจะพูดแล้วไม่ได้พูด เท่ากับท่าทางและแววตาของคนตัวสูงตรงหน้า ชายหนุ่มที่เธอเฝ้าดูแลเลี้ยงดูตลอดมาคิดจะทำอะไร แววตาเป็นประกายและรอยยิ้มบางๆ ช่างแตกต่างกับท่าทางที่แสดงออกกับคนที่กุมมือแน่น มิเชลขมวดคิ้วชิดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็น ไม่ใช่แค่เท่านี้ มิเชลเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิด ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มขับเรื่อเข้ามาจอดเทียบฝั่งนั่นแล้ว
นี่น่ะหรือ คือ ชายหนุ่มที่แสนจะอ่อนโยนเสมอมา คำว่าสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วถูกตีแตกเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่เธอเห็นเขายกผู้หญิงข้างกายขึ้นพาดบ่า ก่อนจะพาเดินมาจนถึงที่นี่

part2
V
V
..เข้าใจตามที่เห็น...มิเชล ผมไม่มีอะไรจะอธิบายมากไปกว่านี้..
แววตาที่มองมาคงอ่านได้ไม่ต่างจากนี้ มิเชลคิด ในสิ่งที่ทำไม่เคยมีเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆหากเจ้าตัวไม่อยากจะบอก อาทิตะยะมักจะเดินหนีหรือแค่ยิ้มก็เป็นอันรู้กันว่าอย่าได้ถามหาเหตุผลใดๆ จากเขา ขอแค่ทำตามคำสั่งก็พอ...

แต่การกระทำตรงหน้าในตอนนี้ไม่สมควรที่จะมีคำอธิบายหรือ อย่างน้อยแม้ไม่เห็นแก่ตำแหน่งแม่บ้าน แต่ก็น่าจะเห็นแก่ความรักที่เฝ้าเลี้ยงดูมา เห็นอยู่คาตาว่าผู้หญิงเขาไม่ได้เต็มใจมา แบบนี้จะให้ปล่อยไปโดยไม่สะกิด จะได้ชื่อว่ารักและหวังดีได้อย่างไร

"ซันคะ..."

"อย่าเพิ่งถาม...เก็บไว้คุยกันวันหลัง โอเคนะ"

"แต่ซันคะ..."

"มิเชล ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร ขอมื้อเย็นที่พิเศษให้ผมก็พอ"

พูดจบก็กระตุกข้อมือคนที่ยืนนิ่งข้างกายให้ก้าวเดิน แต่เมื่ออีกฝ่ายขืนตัวไว้ จึงหันขวับมองดุก่อนจะออกแรงฉุดให้ก้าวตาม บทสนทนาที่เธอฟังเข้าใจแต่ไม่รู้นัยแห่งความหมายทำให้ต้องคาดเดาจากท่าทางและสีหน้าของคนทั้งสอง สตาริศาหันมาสบตามิเชลช่วงจังหวะที่ก้าวผ่าน ดวงตาสีน้ำทะเลมองตามทุกฝีก้าวทำให้เธอกล้าที่จะขยับปากขมุบขมิบโดยไม่มีเสียง แววตาอ้อนวอนร้องขอ

"มิเชล เฮลมี...พลีสสสสสส "

คนที่เห็นถึงกับสะดุ้ง มิเชลอุทาน"โอ้มายก็อด..."ออกมาแผ่วเบา พร้อมกับยกมือทาบอกด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นไขข้อสงสัยที่เคยถาม

'ซันมีความรักหรือคะ แล้วเธอมีคุณสมบัติพอที่จะยืนเคียงข้างคุณไหม'
คำตอบที่ได้กลับมาคือ

'นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่...จะทำยังไงให้เธอยอมยืนเคียงข้างผมต่างหาก ช่วยผมหน่อยนะมิเชล'

'ช่วยหรือคะ ดิฉันจะช่วยอะไรได้'

'ช่วยอยู่ข้างผมไง'

เพิ่งเข้าใจกับคำพูดประโยคนี้ ที่ไม่มีแม้แต่เหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องขอให้ทำแบบนั้น เมื่อมิเชลถาม นอกจากคำตอบสั้นๆว่า 'เดี๋ยวก็รู้...'ก่อนจะแยกตัวไปที่รถอีกคันทันทีที่มาถึง หลังจากที่รับโทรศัพท์จากใครสักคน ดูท่าจะเป็นเรื่องด่วนไม่น้อยถึงได้ดูรีบร้อน จนลืมคนที่ติดสอยห้อยตามมา...

มิเชลมองเมอซิเดสเบนซ์ ซีแอลเอสสีดำที่แล่นออกไปด้วยความเร็วราวพายุ กว่าสิบชีวิตที่มายืนรอรับต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่ได้รับคำสั่งใดจากคนที่เพิ่งมาถึงแต่จู่ๆ กลับเดินไปบอกให้คนขับรถหลบก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับ แล้วขับออกไปด้วยตัวเอง...

อาทิตะยะไม่ใช่มาเฟีย แต่ด้วยธุรกิจที่มีการแข่งขัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีศัตรู คำว่าธุรกิจในเมื่อมีคนที่ได้ประโยชน์ก็ย่อมมีฝ่ายที่เสียประโยชน์ ฝ่ายที่เสียประโยชน์เราไม่อาจจะล่วงรู้ว่าเขาจะยอมโดยดีหรือสามารถจะทำอะไรได้อีก ดังนั้นการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยยอมรับแต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนมีหรือจะยอม

ทันทีที่ลูกน้องโทรมารายงานว่าคนที่สั่งให้ไปรับ จับรถขับออกไปโดยไม่มีใครติดตาม อัคราชถึงกับส่ายหน้า
"เดี๋ยวฉันจะโทรกลับ"

ถ้าไม่มีอัคราช มิเชลคงไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องถูกพามาที่นี่ และบอดี้การ์ดเหล่านั้นก็คงจะไม่รู้ว่าจะต้องติดตามเจ้านายของตนไปที่ไหน...

มิเชลมองไปที่บันได
นั่นใช่ไหมคือเหตุผลที่ทำให้ลืมทุกอย่าง แม้กระทั่งความปลอดภัย...ของตัวเอง

..........

เขาไม่ได้จับเธอเหวี่ยงไปที่เตียงเช่นพระเอกในละครหลังข่าว ไม่ได้คุกคามอย่างที่เธอนึกกลัว อาทิตะยะปล่อยข้อมือเธอโดยดีเมื่อมาถึงห้อง ทันทีที่สายตาเธอเหลือบไปเห็นเตียงกว้าง ภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นบนเตียงนั่นทำให้สตาริศารีบหมุนตัวกลับในทันที เธอไม่อยากจะถูกขังอยู่ในห้องนี้ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่แม้สักวินาทีเดียว แต่คนที่ตั้งท่าจะเดินหนีออกไปจากห้องกลับไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ ในเมื่อคนที่พาเธอมายืนปักหลักขวางทางยกแขนขึ้นกั้น จนเธอต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าว...

"มีทางอื่นให้เลือกบ้างไหม ทางไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคุณ และไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่"คำพูดถูกถ่ายทอดออกมาตามที่คิด หัวใจคนฟังวูบไหวเมื่อได้ยิน ดวงตาสีนิลมองพิศใบหน้าสวยที่เชิดขึ้นท้าทาย ตาประสานตา ไม่มีใครยอมใคร ถ้าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจแล้วทำไมเธอถึงไม่สามารถอ่านใจคนตรงหน้าได้เลย ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังคิดอะไรอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ดวงตาที่ทำให้เธอรู้สึกแค่...ถูกมอง ไร้ความรู้สึก ทำให้หงุดหงิด

คนที่ถูกฝึกให้เก็บซ่อนความในใจ ถูกสอนให้ทำตัวเช่นหนังสือที่ต้องลงมืออ่านตั้งแต่ต้นจนจบถึงจะเข้าใจ กำลังใช้ความคิด เรื่องบางเรื่องก็อาจจะต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเขาก็ควรจะเข้าใจและให้เวลาเธอ เมื่อคิดได้แบบนี้อาทิตะยะจึงห้ามตัวเองไม่ให้เรียกร้องสิทธ์ครอบครองตามที่เธอตกปากรับคำเอาไว้ แต่หากจะให้ปล่อยเธอไป และทำเหมือนกับคนไม่เคยรู้จัก เห็นทีนั่นจะเป็นทางเลือกที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ เพราะฉะนั้นคำตอบที่เธอได้จึงเป็น

“ทางเดียวที่ไม่อยากเกี่ยวข้องกับผม และไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่ คือ แต่งงานกับผมไง สตาริศา” แค่ได้ยินก็ปรี๊ดแล้ว สตาริศาส่ายหน้าดิกพร้อมกับปฏิเสธ “ไม่มีทาง” ก่อนจะพูดต่อ “ ถ้าตกลงแบบนั้นจะเรียกว่า ไม่เกี่ยว ได้ยังไง” เธอให้เหตุผล แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะแย้งกลับมา เสียงโทรศัพท์ที่ดังจากกระเป๋ากางเกงของอาทิตะยะทำให้เขาชะงักประโยคที่กำลังจะพูด มือล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย

“ว่าไง”คำทักทายบอกให้รู้ว่าปลายสายคงไม่ใช่คนอื่นไกล

“พี่หนึ่ง โทรศัพท์ของ...เอ่อ...ของคุณผู้หญิงดังไม่หยุดเลยครับ ผมดูหน้าจอแล้วชื่อ*แม่จ๋า*ครับที่โทรมา ผมไม่กล้ารับ จะให้ทำยังไงดีครับพี่”ดูท่าจอมทัพคงลำบากใจว่าควรจะเรียกผู้หญิงที่เจ้านายพามาด้วยชื่อหรือตำแหน่งใดประโยคในตอนแรกๆจึงดูอึกอัก ก่อนจะแจ้งเรื่องที่โทรมาหา อาทิตะยะตอบกลับว่าไม่ต้องรับ เดี๋ยวเขาจะจัดการเอง จากนั้นก็วางสาย ก่อนจะหันกลับมาสนใจคนที่ถูกจอมทัพเรียกว่า คุณผู้หญิง...

“จอมโทรมาบอกว่าคนชื่อ แม่จ๋า โทรเข้าเครื่องดาวไม่หยุด”หลังพูดจบประโยค เขาเห็นแววตาตื่นตระหนกของเธอ “แม่จ๋า นี่คือแม่ใช่ไหม ท่านคงโทรมาเพราะเป็นห่วง ผมบอกแล้วใช่ไหมให้โทรไปบอกก่อนที่ท่านจะโทรมา ทำไมไม่ทำ”

“ให้ดาวกลับบ้านได้ไหม นะคะ”แทนที่จะตอบ เธอกลับพูดขอเขาไปอีกเรื่อง ซ้ำยังขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

“โทรไปบอกแม่เถอะ ว่าคืนนี้คงไม่กลับ” อาทิตะยะยื่นโทรศัพท์มือถือของตนให้กับคนตรงหน้า เขาแสดงออกชัดว่าไม่สนใจคำขอของเธอ สตาริศาจำต้องรับโทรศัพท์ที่เขายื่นมาให้มาถือเอาไว้ ท่าทางลังเลของเธอทำให้คนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะพูดต่อ“จะบอกว่าอยู่กับผมก็ได้นะ ผมอนุญาต” ผลของคำพูดทำให้อาทิตะยะถูกดวงตาโตๆของคนตัวเล็กจ้องมองด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด มือที่กำโทรศัพท์ออกแรงกำแน่นเพื่อหวังจะระบายอารมณ์

“โทรศัพท์นั่น...ไม่ใช่ผม” ประโยคสั้นๆเน้นๆ จากคนที่มองเห็นสิ่งที่เธอทำคล้ายจะเตือน สตาริศาคลายมือที่กำแน่น ท่าทางเป็นกังวล ความสับสนที่ซ่อนอยู่ในแววตาทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกเห็นใจ แต่ก็ไม่มากพอที่จะปล่อยเธอกลับไปตามที่ขอ

“ทางที่ดีโทรกลับไปบอกแม่ให้หายห่วงก่อนดีไหม จากนั้นจะขว้างจะเหยียบ ก็ตามใจ” อาทิตะยะหมายถึงสิ่งที่อยู่ในมือเธอ

สตาริศาก้มลงมองโทรศัพท์ อยากจะทำในสิ่งที่เขาแนะในตอนท้ายประโยคใจจะขาด แต่ก็ต้องหักห้ามตัวเองเอาไว้ อย่างที่เขาพูดโทรศัพท์นี่ไม่ใช่เขา ต่อให้เธอกระทืบมันแหลกอยู่ใต้ฝ่าเท้า คนที่เจ็บก็คงเป็นเธอ...ไม่ใช่เขา

การสร้างเรื่องโกหกไม่ใช่นิสัย สตาริศาลังเลที่จะกดโทรศัพท์ เธอกดเบอร์แต่ก็กดยกเลิกติดต่อกัน กว่าห้าครั้งที่เขาเห็น อาทิตะยะจึงไม่ปล่อยให้มันผ่านไปในครั้งที่หก สตาริศาอุทานด้วยความตกใจ มองอีกฝ่ายด้วยคาดไม่ถึง คนที่แย่งโทรศัพท์จากมือเธอกำลังกดโทรออกหน้าตาเฉย ปลายสายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...แม่ ในเมื่อเธอกดเบอร์จนครบทุกตัวแล้วก่อนที่เขาจะแย่งไป

“เอาโทรศัพท์มา อย่าทำแบบนี้นะ ขอร้องล่ะ”แววตาอ้อนวอน สตาริศาพูดเบาคล้ายกลัวว่าหากต่อติดปลายสายจะได้ยิน “ไม่นะ อย่าบอกแม่ อย่าบอกแม่นะคะ” เสียงร้องขอสั่นเครือ ดวงตาโตที่เคยมองมาวาววับกำลังคลอไปด้วยน้ำใสๆ ที่เจ้าตัวเริ่มจะกลั้นเอาไว้ไม่ได้ ทุกการกระทำที่เขาเห็น เธอแค่ทำเป็นเก่ง และเฝ้าปลอบใจตัวเองว่าจะไม่มีอะไรเลวร้าย แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเหตุการณ์เดินมาถึงจุดที่หาทางออกไม่ได้ เธอก็แค่ผู้หญิง...จะให้แกร่งหรือเก่งสักแค่ไหนก็ร้องไห้เป็น

ร่างบางที่ค่อยๆทรุดลงนั่งกับพื้นทำให้หัวใจเขาไหวยวบ จะใจร้ายเกินไปไหมหากไม่คิดจะไยดีแววตาที่มองมาอย่างปวดร้าวนั่น อาทิตะยะลดโทรศัพท์ลง ใช้มืออีกข้างปิดเอาไว้ ก่อนจะนั่งลงคุกเข่าและยื่นมันคืนให้กับคนตรงหน้า “ผมจะออกไปรอข้างนอก”

“ฮัลโหลๆ สวัสดีค่ะ เอ๊ะ! โทรมาทำไมไม่พูดคะ” เสียงจากปลายสายดังขึ้น เมื่อสตาริศายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แต่เพราะก้อนสะอื้นมันมาจุกอยู่ที่คอเธอจึงไม่สามารถตอบกลับได้ในทันทีจนปลายสายเริ่มส่งเสียงไม่พอใจ“ฮัลโหล จะพูดหรือไม่พูดคะ ถ้าไม่พูดฉันจะวางนะ”

“แม่...แม่คะ ดาวเอง”ในที่สุดก็สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ ก่อนที่แม่จะทำอย่างที่พูด เสียงคนเป็นแม่ตื่นเต้นมากมายที่รู้ว่าคนที่โทรมาคือลูกสาว

“ลูกสาวโทรมาค่ะพ่อ”หันไปบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างๆกันทันที ก่อนจะกลับมาคุยต่อ

“ดาว...อยู่ไหนลูก” เป็นคำถามที่ทำให้ปลายสายอึ้งไป และรู้สึกเป็นคำถามที่ตอบยากที่สุดในเวลานี้

“แม่จ๋า คืนนี้ดาวไม่กลับบ้านนะคะ” หญิงสาวไม่ตอบ แต่กลับบอกจุดประสงค์ที่โทรมาหา

“อ้าว...เกิดอะไรขึ้น ก็ไหนโทรมาบอกแม่ว่ากำลังจะกลับแล้วไงลูก”

“ดาว...เอ่อ พอดีเพื่อนๆ ขอให้ไปฉลองต่อด้วยกันค่ะแม่ นานๆเจอกันทีก็เลยไม่อยากขัด นะคะแม่ กว่าจะเลิกคงดึกดาวไม่อยากขับรถย้อนกลับบ้าน ดาวจะค้างกับกานต์เลยนะคะ” กานต์คือ ชื่อของเพื่อนสนิทในกลุ่มที่สตาริศาเคยพามาที่บ้าน...

“อ๋อ...กานต์เหรอ”

หญิงสาวลอบถอนใจโล่งอก แม่ไม่ซักต่อเพราะเคยรู้จักเพื่อนคนนี้ของเธอ แม้จะไม่ลึกซึ้งแต่ก็ได้ชื่อว่าเคยเห็นหน้า

เพราะความไว้ใจ สตาริศาไม่เคยโกหก เธอคือลูกที่ดีไม่เคยทำตัวเหลวไหล คนเป็นแม่จึงยอมเชื่อโดยไม่คิดตะขิดตะขวางใจแม้สักนิด

หลังจากได้รับรู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน คนเป็นแม่ก็สบายใจ แต่ก็ยังไม่วายสงสัยตามประสาคนช่างสังเกต

“เบอร์ที่โทรมานี่เบอร์ใคร ของกานต์รึเปล่า”

“ไม่ค่ะ! เบอร์นี้ของ...เพื่อนอีกคนค่ะ” คำว่าเพื่อนที่พูด ไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“งั้นถ้าแม่จะโทรไปหาดาว โทรที่เบอร์นี้ได้ใช่ไหม”

“ไม่ได้ค่ะ คือ เอ่อ...ดาวจะคืนโทรศัพท์ให้เขาแล้ว เรากำลังจะแยกกัน” ภาวนาให้ได้แยกจากเขาโดยเร็วตามที่พูด

“แล้วโทรศัพท์ของหนูไปไหนเสียล่ะ แม่โทรไปตั้งหลายครั้งถึงไม่รับ” อีกหลายๆคำถามที่เธอหนักใจที่จะตอบ แต่ก็ต้องตอบ...

“แล้วพรุ่งนี้จะกลับตอนไหน”

คำถามที่ทำให้ได้ยินเสียงของพ่อแทรกมาว่า...”จะซักอะไรหนักหนา ลูกโตแล้ว”

“แต่ลูกก็ยังเป็นเด็กในสายตาของแม่จ๋านะพ่อ แม่ห่วงลูกไม่ได้หรือไง”คำพูดโต้ตอบของพ่อกับแม่ที่แว่วเข้าหูทำให้ลูกสาวเสียน้ำตาหยดแรก สตาริศารีบยกมือเช็ดและเงยหน้าขึ้นขับไล่มันกลับลงไป “โทรศัพท์ดาวลืมไว้ที่รถ ”เธอลืมจริงๆ

“พรุ่งนี้ดาวจะโทรบอกแม่เอง ว่าจะกลับตอนไหนนะคะ”

“โอเคๆ แม่ไม่กวนละ ไปสนุกต่อเถอะลูก”

“ค่ะ ดาวรักแม่นะคะ ฝากบอกรักพ่อด้วยนะคะแม่จ๋า”

“จ้า...แม่ก็รักลูกนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”

“ค่ะแม่ บ๊ายบายค่ะ”

พอวางสายจากแม่ ก็เหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็ทำให้ท่านทั้งสองสบายใจแม้จะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้สำหรับตัวเองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยข้อตกลงที่ไม่ได้หาทางเอาแต่ได้ของใครบางคน...เธอก็พอใจ
..........

ก๊อกๆ ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จังหวะเดียวกับที่สตาริศาขยับตัวลุกขึ้นยืน หญิงสาวมองไปที่ประตูที่กำลังถูกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเปิดออก

“มิเชล” ชื่อคนที่เปิดประตูเข้ามาถูกหญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับระบายลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ด้วยโล่งอก ที่คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เพิ่งจากไป...ความรู้สึกหวาดระแวงเมื่อครู่คลายลง สตาริศายิ้มให้กับคนที่เพิ่งมาถึง มิเชลยิ้มทักทายก่อนจะบอก...

“ซันให้ดิฉันเอาชุดขึ้นมาให้ค่ะ แล้วก็ให้มาถามว่า คุณหิวรึยัง”

สตาริศาส่ายหน้า ก่อนจะย้ำอีกครั้งด้วยคำพูด“ยังค่ะ ฉันไม่หิวและคิดว่าคงจะไม่หิวเลยทั้งคืน ขอฉันอยู่คนเดียวได้ไหมคะ”

“เอ่อ…”คนถูกขออึกอักเล็กน้อย มิเชลหันไปปิดประตู จากนั้นก็เดินช้าๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่ใครคนหนึ่งยอมสารภาพว่า...เธอคือ ผู้หญิงที่เขารัก มิเชลมองคนที่ถูกรัก...เห็นทีความรักในครั้งนี้จะกลายเป็น รักเขาข้างเดียว เอาแต่ใจ และเอาแต่ได้ โดยไม่คำนึงถึงหัวจิตหัวใจของคนที่รัก แววตาของผู้หญิงคนนี้ถึงดูหมองเศร้า ว่างเปล่า และเฉยชา หาคำว่าความสุขไม่เจอแบบนี้

ซันคิดจะทำอะไรคะนี่...

“นะคะมิเชล ไปบอกเขาว่าฉันขออยู่คนเดียว”ประโยคจากสตาริศาทำให้มิเชลหยุดความคิดทั้งมวล วกกลับมาพิจารณาใบหน้าเนียนใส สตาริศาสวยสะดุดตาเพียงครั้งแรกที่ได้เจอ และรู้สึกถูกชะตาเพียงแค่ได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก

“อาบน้ำดีไหมคะจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยนะคะ”

“มิเชล...ฉันไม่ได้เต็มใจมาที่นี่ คุณรู้ใช่ไหม”เพราะคำพูดของมิเชล ทำให้สตาริศากล้าที่จะถาม ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยอะไรได้ นอกจากขอแค่มีใครสักคนเข้าใจ คำตอบของมิเชล คือ การเงียบซึ่งไม่ได้ต่างไปจากที่เธอคิด คำว่าเข้าใจยังไงก็ไม่สามารถจะเอาชนะคำว่าจงรักและภักดี

สตาริศารับปากว่าจะอาบน้ำแต่งตัวและจัดการกับตัวเองเพื่อจะลงไปพบอาทิตะยะในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าตามที่มิเชลบอก แต่ตอนนี้เธอขออยู่คนเดียว มิเชลลังเล แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมรับปากจึงยอมออกไปจากห้องโดยดี หลังจากเอาชุดที่คลุมกันฝุ่นด้วยพลาสติกที่ถือขึ้นมาไปวางไว้ให้บนเตียง พร้อมกับถุงกระดาษใบเล็ก ที่สตาริศามารู้ว่ามันคืออะไรก็เมื่อหยิบมันขึ้นมาดูตอนที่เตรียมตัวจะอาบน้ำ

เครื่องสำอางแบรนด์ที่เคยใช้เป็นประจำถูกจัดมาให้ครบเซตทั้งสกินแคร์ ทั้งเมคอัพ ถูกต้องทั้งยี่ห้อ เบอร์ และสี แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งพร้อมๆกับความรู้สึกว่าใบหน้าของคนที่ปรากฏอยู่ในกระจกเงาเริ่มจะมีสีแดงระเรื่อที่สองข้างแก้มโดยไม่ต้องปัดบรัชออนก็คือชุดเดรสสั้นผ้าพลิ้วสีน้ำเงินเข้มที่สวมอยู่ เธอใส่มันได้พอดีเกินไปไหมทั้งๆที่มันไม่ใช่ชุดของเธอ...


~*~*~*~*~*~

































++++++++++++++++++
ครบ100%แล้ว เย้~^^



ตอบคำถาม 1 ข้อ....(ตอบได้เพราะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว)
อาทิตะยะรู้ค่ะว่าสตาริศาเคยเป็นแฟนกับนที^^





ปิลันธน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2554, 04:25:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2554, 17:44:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 3342





<< ตอนที่ 11...เมื่อคำว่า*รัก*กลายมาเป็นคำต้องห้าม ระหว่างกัน...   ตอนที่ 13...รักไม่มีเหตุผล รักไม่ต้องการเวลา(II)... >>
หมูอ้วน 7 ต.ค. 2554, 06:09:40 น.
รออยู่นะค่ะ


lovemuay 7 ต.ค. 2554, 08:04:35 น.
มาทีละนิด ทีนะนิดดีแล้วค่ะ. ให้คนอ่านได้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง อิอิ


แว่นใส 7 ต.ค. 2554, 08:49:19 น.
โห ทำกันอย่างนั้นเลยนะ


incanto 7 ต.ค. 2554, 10:28:33 น.
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าาา


Canopus 7 ต.ค. 2554, 10:28:46 น.
รอนานมากๆๆๆๆๆจนเกือบลืม


kaero 7 ต.ค. 2554, 10:41:09 น.
ยังดีก่า ไม่มา


Jiab 7 ต.ค. 2554, 11:16:25 น.
เย้ ๆ มาแล้ว ยังคงรออยู่เสมอค่ะ


anOO 7 ต.ค. 2554, 11:18:49 น.
มานิดหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่มาค่ะ


ลูกกวาดสีส้ม 7 ต.ค. 2554, 13:04:38 น.
แล้วมาต่ออีกนะคะ


ปูจ้า 7 ต.ค. 2554, 14:24:10 น.
ดีใจที่ได้อ่านอีกนะคะ มาน้อยแต่เรื่อยๆนะคะ^^


Gingfara 7 ต.ค. 2554, 17:08:11 น.
มาแล้วๆๆ


violette 7 ต.ค. 2554, 22:35:03 น.
รอเรื่องนี้อยู่เสมอค่า
กำลังคิดว่าถ้าดาวรู้ว่านัทกับอาทิตะยะเป็นพี่น้องกันดาวจะคิดมั้ยว่าที่อาทิตะยะทำไปเพราะไม่อยากมีเมียเดียวกับน้องชายตัวเอง


bsirirata 8 ต.ค. 2554, 02:37:14 น.
ชอบค่ะ ^^ มาต่อไวๆนะคะ


Gingfara 10 ต.ค. 2554, 15:59:28 น.
ขอบคุณค่ะ น้อยๆก็เอา ขอให้มา ฮิ้ววววววววว
รอค่ะรอ


nunoi 11 ต.ค. 2554, 11:25:11 น.
อ่านทีเดียวรวดเลย สนุกค่ะ


แพม 12 ต.ค. 2554, 19:49:49 น.
เอ...พระเอกรู้แล้วหรือยังว่านางเอก(เคย)เป็นแฟนน้องตัวเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account