แหวนปฏิพัทธ์ (ขาย E-book ที่ meb และ ookbee ในชื่อว่า "หนึ่งใจในรอยกาล" แล้วนะคะ)
ปาฏิหาริย์บางอย่างทำให้ธราต้องย้อนเวลากลับไปในอดีต

เพื่อพบกับทินกร ชายผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอจากการโดนทำร้าย

เขาเป็นดาราดังที่ทำตัวแย่ๆ จนในปัจจุบันชีวิตตกอับ ไร้งานละคร

เธอจึงพยายามที่จะช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน

แม้ความหวังดีของเธอจะสร้างความหงุดหงิดน่ารำคาญสำหรับเขาแค่ไหน

แต่เธอก็ยังพยายามที่จะทำให้สำเร็จ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ หัวใจเธอก็ยิ่งพังมากขึ้นเท่านั้น

จนทุกอย่างมาถึงทางเลือก ระหว่างหัวใจกับเป้าหมาย อะไรสำคัญกว่า....
Tags: รักโรแมนติก,ดารา,นักเขียน

ตอน: ตอนที่ 27 ...ลักหลับ

“นี่คุณเล่นบ้าอะไร พาฉันออกมาทำไม! พรุ่งนี้นักข่าวต้องเล่นคุณแน่ๆ” ธราโวยวายใส่เขาอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่คนขับมือยังเกร็งอยู่กับพวงมาลัยแน่น ทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้น

“คุณเพลิง! ฉันถามคุณอยู่นะคะ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นอีกนิด ก่อนหันมาถามกลับ “เมื่อกี้คุณทำอะไรกับหมอนั่น”

“ทำ? กับพี่ปุ่นเหรอ ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ”

“ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่ได้ทำ ผมเห็นว่าเขากำลังจะก้มหน้าลงไปจูบคุณอยู่แล้ว” ทินกรเอ่ยเสียงเครียด หงุดหงิดในความซื่อบื้อของแม่ตัวแสบเสียจริง

หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก “อ๋อ ก็ใช่ เขาจะจูบ”

“แล้วคุณก็ยืนนิ่งให้เขาจูบอย่างงั้นเหรอ!” ชายหนุ่มหันมาตะคอกเสียงดัง ก่อนเหยียบคันเร่งจนเกือบมิด

“เปล่านะ ฉันก็ผลักเขาออกน่ะสิ แล้วเขาก็ไม่ได้บังคับฉันเหมือนที่คุณทำด้วย” ธราที่เริ่มอารมณ์เสียกับเสียงตะคอกของชายหนุ่มนั่งกอดอกหมั่นไส้

“แล้วอยากจะโดนอีกไหมล่ะ ถ้าไม่อยากก็อย่าปากดี”

“ฉันยังไม่ได้ปากดีอะไรเลย ก็เห็นคุณเนี่ยที่เอาแต่หงุดหงิด ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนะ จะมาหึงมาหวงฉันได้ยังไง”

พลันที่หญิงสาวถามคำถามนี้กับเขานั่นแหละ คำตอบก็ปรากฏชัดในหัวใจชายหนุ่ม ขาขวาเหยียบคันเร่งจนสุดให้รถพุ่งทะยานตัดอากาศไปด้วยความเร็วสูงจนหญิงสาวเบิกตาโพลง

“คุณเพลิง! ใจเย็นๆ สิ ขับช้าๆ หน่อย เดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก” ธราหันมามองหน้าเขาด้วยท่าทีตื่นตระหนก ยิ่งเห็นเสี้ยวด้านข้างที่สันกรามเป็นรอยนูนขึ้นมาก็ยิ่งหวาดหวั่น

...เขาโกรธอะไรเธออีกแล้ว

“คุณเพลิง! ขับช้าๆ สิ ไหนคุณบอกว่าไม่ชอบขับรถตอนที่ใจร้อนไง มันจะเกิดอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ อย่าทำสิคะ!” สิ้นสุดประโยคนั้น ชายหนุ่มก็เหยียบเบรกกะทันหันจนรถกระตุกเกือบพุ่งลงข้างถนน แต่โชคดีที่เขามีสติพอที่จะหักพวงมาลัยกลับมาได้

เมื่อรถคันหรูจอดสนิท หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งตวัดหน้าไปด้านคนขับเพื่อที่จะต่อว่า แต่ทุกอย่างก็ต้องชะงักไว้เพียงแค่นั้นเมื่อเห็นท่าทีของพระเอกหนุ่ม

มือหนาทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่น ใบหน้าคมเข้มที่ถูกเซ็ทผมมาอย่างดีซบลงกับพวงมาลัยอย่างอ่อนแรง เหงื่อซึมผุดพรายออกมาตามกรอบด้านข้าง หลังไหล่งองุ้มขาดสง่าราศี

“เฮ้ยคุณ เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม ฉันก็ขับรถเป็น เดี๋ยวฉันขับให้ก็ได้” หญิงสาวกระวีกระวาดดึงร่างของทินกรออกจากพวงมาลัยแล้วผ่อนลงเบาะรถอย่างนุ่มนวล หากระดาษแถวนั้นมาพัดเป็นการใหญ่

เขามองมานิ่งๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ก่อนหลับตาลงช้าๆ หญิงสาวใช้มือเล็กปาดเหงื่อไปทั่วใบหน้า มืออีกข้างกุมมือใหญ่เขาไว้แน่น

เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นอยู่ด้านนอกได้ไม่นาน หยาดฝนก็หล่นร่วงลงมาอย่างกับจงใจให้ทั้งคู่ติดแหง็กอยู่ตรงนี้ หญิงสาวมองด้านนอกอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันมาหาพระเอกหนุ่มอีกครั้ง

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เล่าให้ฉันฟังได้ไหม” เพราะน้ำเสียงอ่อนโยนนั่นกระมังที่ทำให้ทินกรลืมตาขึ้นมามอง

“พ่อกับแม่ผม” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงสั่น ดวงตาเจือความเศร้า “เขาขับรถเกิดอุบัติเหตุ ป้าผมเล่าว่าทั้งสองคนทะเลาะกันตอนออกจากบ้านป้า และคงทะเลาะกันบนรถจนไม่ทันมองถนน คุณเชื่อไหม เขาตายจากผมไปไม่ล่ำลาผมสักคำ แล้วเขายังเอาดาว น้องสาวที่น่ารักของผมไป ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยเล่นกับผม ไม่มีน้องที่เคยร้องไห้รอผมมาเล่นด้วย ตอนนี้ผมไม่เหลือใครเลย ไม่เหลือเลยจริงๆ ผมคิดถึงน้องดาวคนนั้น”

“คุณยังมีฉัน ฉันอยู่ตรงนี้ไง” ธรากระชับมือใหญ่นั้นแน่นขึ้น ก่อนจะยกมือนั้นมาแนบข้างแก้ม “ฉันไม่ทิ้งคุณไปไหนนะ อย่ากลัวไปเลย”

ใครจะรู้ว่าหญิงสาวหงุดหงิดตัวเองเสียจริง เพราะอะไรนะถึงได้เกลียดชายผู้น่าสงสารคนนี้ไม่ลงสักที

ทินกรมองหน้าหวานเซ็กซี่นั้นอย่างหลงใหล มือใหญ่อีกข้างลูบไล้ไปตามกรอบหน้านวลเนียนเนิ่นนาน แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดหรือทำอะไรตามใจ เสียงโทรศัพท์ภายในรถก็ดังขึ้นจนชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างแสนเสียดาย

“ฮัลโหลครับพี่เกล”

...[นี่แกทำอะไรลงไปรู้ตัวไหมเพลิง]

“รู้ครับ”

...[รู้? รู้แล้วทำไมยังทำอีก พรุ่งนี้นักข่าวจะลงเรื่องของแกยังไง ได้คิดบ้างไหม แล้วฟ้าล่ะ จู่ๆ ก็ไปกับผู้หญิงคนอื่นแล้วทิ้งน้องไว้ในงานเนี่ยนะ แกจะบ้าหรือเปล่า รู้ไหมว่านักข่าวจะถามอะไรบ้าง ไม่ห่วงความรู้สึกน้องเลยหรือไง”

“ผมว่าฟ้าเขาอาจจะไม่อยากอยู่กับผมนักหรอก เขาแค่แคร์ภาพพจน์ แคร์ชื่อเสียงเขาเท่านั้นแหละ ถ้าผมจะไปกับผู้หญิงคนไหน ฟ้าเขาก็ไม่สนใจหรอกครับ เขาคงไม่รู้สึกอะไรในเมื่อทุกคนยังมองว่าเขาดีอยู่”

...[แต่ตอนนี้คนทั้งประเทศก็รู้ว่าแกคบกับฟ้าอยู่ แกควรจะให้เกียรติฟ้าบ้าง แล้วผู้หญิงคนนั้นที่แกลากออกจากงานไปเป็นใคร]

“ทำไมครับ จะส่งอ้อยใจมาตบเขาหรือไง เหมือนที่ส่งมาสะกดรอยตามผม”

...[อ้อยใจมาเกี่ยวอะไรด้วย]

“ก็ไอ้ที่ผมมีข่าวทุกวันไม่หยุดไม่หย่อนนี่อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ ฝีมือพี่ใช่ไหม แล้วคนสนิทของพี่ก็มีอ้อยใจคนเดียว จะให้ผมคิดยังไงครับ”

...[เพลิง! พูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ พี่เป็นใคร แล้วเราน่ะเป็นใคร พี่จะทำแบบนั้นเพื่ออะไร]

“ผมจำได้เสมอครับ ผมคือเพลิงไง คือทินกร เป็นคนของพี่ ที่พี่จะสั่งให้ผมเดินไปทางไหน ทำอะไรก็ได้โดยไม่มีสิทธิขัด ใช่ไหมครับ” ธราบีบมือเขาแน่นขึ้นเป็นเชิงปรามหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่

...[พอที ไว้คุยรู้เรื่องมากกว่านี้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน]

กัญกรวางสายไปแล้ว ชายหนุ่มเอนตัวพิงเบาะกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่าง เขากระชากเสื้อสูทที่คลุมร่างคนตัวเล็กอยู่มาควานหาบางสิ่งที่อยู่ในนั้น มือหนาหยิบมันออกมามองอย่างเจ็บปวดใจ

“ครั้งนี้ผมไม่ไล่คุณ แต่ห้ามตามผมออกมา ผมขออยู่คนเดียว” ทินกรสะบัดเสียงกร้าว ผิดกับชายผู้ต้องการกำลังใจเมื่อครู่นี้เหลือเกิน

“เดี๋ยวสิ จะไปไหนคะ” เขาไม่ตอบอะไรทั้งนั้น แต่เดินลงจากรถไปยืนอยู่ด้านนอก ห่างจากตัวรถมากพอสมควร ธรามองเขาอย่างนึกเป็นห่วงนัก ก่อนจะเปิดกระจกตะโกนออกไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากเม็ดฝนกระเด็นเข้ามาบริเวณเบาะรถ “อย่าออกไปเลยคุณ ฝนมันตก เดี๋ยวไม่สบายนะ”

ชายหนุ่มคงไม่ได้ยินเสียงเธออีกแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกเพียงความปวดร้าวที่ปรากฏขึ้นในใจ เขาต้องการผู้หญิงที่นึกเป็นห่วงเขาอยู่ตอนนี้ แต่เขาก็รักผู้หญิงที่ไม่ใยดีเขาเช่นกัน เบื่อหน่ายกับความอึดอัดที่ผูกรัดเป็นโซ่ตรวนอย่างแน่นหนา คงไม่มีใครเข้าใจเขาหรอก แม้แต่คนที่นั่งอยู่ในรถนั่นก็เช่นกัน แม้เธอจะหวังดีต่อเขาแค่ไหน แต่เธอก็ไม่มีวันเข้าใจ

เขายืนมองกำไลในมือนิ่ง มืออีกข้างกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ ทินกรไม่รอให้ใจเจ็บปวดอีกต่อไปกับสิ่งของชิ้นนี้ เขาขว้างมันออกไปเบื้องหน้าให้ห่างไกลจากสายตา ก่อนร้องตะโกนออกมาสุดเสียง

“โธ่เว้ย! ทำไมไม่รักพี่ ทำไมวะ ทำไมต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้! ต้องทำดีแค่ไหนถึงจะทดแทนได้!”

เสียงกู่ก้องของชายหนุ่มผสานกับเสียงคำรามจากฟากฟ้าทิ่มแทงใจหญิงสาวที่ยืนกางร่มอยู่ด้านหลังเป็นที่สุด ยิ่งเมื่อเห็นร่างเขาทรุดลงไปเบื้องล่างอย่างหมดแรงกำลังนั้น หัวใจเธอก็ยิ่งเจ็บปวด ร่างบางถลาเข้าไปทรุดตัวลงหน้าเขา กางร่มคุ้มกันหยาดฝนที่หล่นต้องกายร่างแกร่ง

“ไม่เป็นไรหรอกนะ เขาไม่รัก แต่มีคนอื่นรักคุณอีกแน่นอน” ...และคนอื่นที่ว่านั่นอยู่ไม่ไกลจากคุณเลยสักนิด

“มาทำไม! ออกไป!” มือหนาผลักร่างเธอให้ออกห่างจนร่างบางนั้นเซถลาลงกับพื้นถนน หญิงสาวกระชับร่มในมือมั่นก่อนหยิบมันกลับมากางให้ชายหนุ่มตามเดิม

“ก็ฉันเป็นห่วงคุณ จะให้ฉันนั่งตากแอร์สบายๆ อยู่ในรถ ขณะที่คุณมาตากฝนอย่างงี้เหรอ ฉันไม่ทำแบบนั้นแน่ๆ”

“คุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตผมเลยนะ จะมายุ่งกับผมทำไมนักหนา” นั่นเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจเขาตลอดมา แต่ไม่เคยได้ถาม

“ฉันไม่เกี่ยวข้องกับเพลิงหรอกค่ะ แต่ฉันเกี่ยวข้องกับดิน ฉันรู้คุณไม่ใช่คนนิสัยเสียแบบนั้น คุณเลิกสร้างเกราะกำบังตัวเองสักทีเถอะ มองตาฉันนะ เห็นฉันเป็นเพื่อนไหมคะ” หญิงสาวสบตาเขานิ่งนาน ให้ชายหนุ่มมองลึกถึงบางอย่างที่อยู่ในห้วงความรู้สึก ชายคนนี้น่าสงสารนัก ตรงที่เขายังจมจ่อมอยู่กับอดีตแย่ๆ ปัจจุบันก็ไม่ดีพอที่จะฉุดรั้งเขาให้ขึ้นมาได้

“ฉันขอโทษที่วันนั้นพูดจากับคุณไม่ดี และลามปามเรื่องชื่อดิน” เธอจำได้อย่างถนัดถนี่ โทสะที่พุ่งพล่านอยู่ในใจวันนั้นทำให้เธอโพล่งบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ไปเข้าหูทินกรเข้า

พระเอกหนุ่มมองคนตัวเล็กที่กางร่มให้เขาอยู่คนเดียว โดยที่ตัวเองก็โดนฝนเม็ดใหญ่สาดซัดกระหน่ำ แต่เธอก็ดูไม่สนใจตัวเองเท่าที่สนใจเขา

“คุณไม่เกลียดผมหน่อยเหรอ”

หญิงสาวสะบัดหน้ารัวเร็ว “ฉันเกลียดเพื่อนของฉันไม่ได้หรอกค่ะ ถึงคุณจะไม่เห็นฉันเป็นเพื่อน แต่ฉันเป็นเพื่อนที่ดีให้คุณได้นะ ถ้าสักวันคุณต้องการ แต่ถ้าคุณไม่ต้องการก็ไม่เป็นไรค่ะ”

ใช่ เขาไม่ต้องการหรอกความเป็นเพื่อนบ้าบออะไรนั่น เขาขอแค่เป็นที่หนึ่งสำหรับเธอเท่านั้น และนั่นเป็นสิ่งที่เธอยังทำให้เขาไม่ได้

ยิ่งทินกรมองใบหน้าใสซื่อนั้นอย่างถนัดตา เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเหลือเกิน แต่ถ้าถามว่าเขาจะเป็นคนดี แต่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ไปอยู่กับคนอื่น หรือว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่รั้งเธอไว้ได้ แน่นอนว่าเขาเลือกอย่างหลัง

หญิงสาวจับมือเขาให้มาถือร่มแทน “เดี๋ยวฉันมานะคะ จะไปหากำไลเมื่อกี้มาคืนให้คุณ ฉันเห็นคุณเขวี้ยงมันไป”

“ไม่ต้องหรอก มันไม่ได้สำคัญหรือมีค่าอะไรขนาดนั้น” ชายหนุ่มจับข้อมือเล็กไว้ก่อนที่เธอจะผละออก หญิงสาวหันมายิ้ม

“สำคัญสิ มันเป็นเหมือนหัวใจคุณนะ แค่คนๆ เดียวไม่ต้องการ แต่คุณค่าไม่ได้ลดลงในสายตาฉันเลยค่ะ”

พระเอกหนุ่มได้แต่มองตามหลังร่างบางที่วิ่งฝ่าฝนไปด้านหน้า ก่อนจะก้มลงที่ถนนตรงนั้นที ตรงนี้ทีอย่างยากลำบากเพราะมันมืดพอสมควร แล้วกำไลนั่นก็ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ยังโชคดีที่เวลานี้ถนนค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา หัวใจเขาสั่นไหวเมื่อเห็นธราใช้มือเล็กควานไปทั่วกับพื้นถนนตรงที่ไม่มีไฟ

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด นี่แม่นั่นทำบ้าอะไร!

“นี่พอแล้ว ไม่ต้องทำแบบนี้ กำลังกดดันให้ผมรู้สึกผิดอยู่ใช่ไหม เกินไปแล้วนะ” ทินกรเดินก้าวเข้าไปกระชากต้นแขนหญิงสาวอย่างเร็วรี่ ไม่ได้โกรธความดื้อรั้นของเธอสักนิด แต่นานแล้วที่เธอตากฝนอยู่แบบนี้ ร่างกายบอบบางคงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชายอย่างเขาหรอก

“เปล่านะคะ แต่ฉันหากำไลให้คุณอยู่ไง ฉันไม่อยากให้คุณทิ้ง” เธอหันมาตอบ พลางแกะมือหนาออกจากต้นแขนเพื่อหาของสิ่งนั้นต่อไป

“พอเหอะชล ผมทิ้งมันไปแล้ว ไม่ต้องหาหรอก ผมขอล่ะ”

“ฉันก็จะขอคุณเหมือนกัน ถ้าคุณฟ้าไม่เห็นค่า...ยกให้ฉันนะ” ทินกรยืนชะงักนิ่งกับคำพูดแปลกๆ ของหญิงสาว เธอขออะไรกันแน่ กำไล หรือว่าอย่างอื่น

“ถ้าคุณอยากได้ ไว้ผมจะซื้อให้ ไม่ต้องเอาอันที่ผมเคยจะให้คนอื่นหรอก”

หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ผมเปียกเริ่มปรกลงมาปิดใบหน้า “ฉันอยากได้อันนี้ค่ะ”

คำพูดนั้นสื่อความนัยอย่างเต็มที่ สิ่งที่เธออยากได้ไม่ใช่กำไลหรอก แต่เป็นหัวใจของเขาต่างหาก หัวใจที่คนอื่นไม่ต้องการ

“อ๊ะ นั่นไงๆ เจอแล้ว” เสียงหวานตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อแลเห็นแสงแวววาวมาจากพื้นถนนอีกฝั่ง เธอปราดออกไปจุดนั้นทันทีโดยไม่มองแสงไฟที่สว่างวาบขึ้นมาจากด้านข้าง

“เฮ้ย! ชลระวัง!” เสียงเข้มดุดังขึ้นจากด้านหลังและแรงกระชากอย่างหนักหน่วงทำให้หนังตาเธอต้องปิดสนิทลงด้วยความหวาดหวั่น

เสียงล้อขูดกับถนนจนแสบหูดังขึ้นไม่ห่างนัก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเครื่องยนต์ที่รีบทะยานออกไปด้วยความเร็ว

หญิงสาวลืมตาขึ้นเพื่อมองความปลอดภัยของคนทั้งคู่ เธอหันมาด้านหลังเพื่อพบกับใบหน้าของพระเอกหนุ่มที่ใกล้จนรับรู้ถึงกระไออุ่นจากลมหายใจเขา

“อะ...เอ่อ ปล่อยค่ะ” ธรารีบหยัดกายยืนขึ้นมองใบหน้าเขาชัดๆ ร่มสีดำนั้นกระเด็นไปอยู่ข้างทาง ทั้งเขาและเธอก็เปียกไม่ต่างกันในยามนี้

“ทำบ้าอะไรของคุณ นี่ให้ความสำคัญกับสิ่งของมากกว่าชีวิตตัวเองอย่างงั้นเหรอ” ทินกรเอ่ยเสียงดุ ชักหงุดหงิดในความดื้อของแม่คนนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่แขนเขาก็ต้องรีบเข้าไปประคองทันทีที่เห็นร่างนั้นเซ ทรุดลงไป ชายหนุ่มเหลือบมองข้อเท้าหญิงสาว

...ให้ตายเถอะ แม่นี่ใส่ส้นสูงลงมาเดินในที่แบบนี้

“นี่เจ็บไหม เป็นไงบ้าง”

นั่นเป็นคำถามที่ธราไม่สนใจจะตอบ ร่างบางก้าวกระเผลกไปหยิบสิ่งของบางอย่างที่อยู่กลางถนน เพียงแต่ว่ามันเหลือเพียงโลหะ ไร้ซึ่งเพชรระยิบระยับที่ถูกประดับเรียงตัวกันอย่างสวยงามเสียแล้ว

“คุณ! เพชรมันหลุดไปแล้ว ฉันขอโทษนะ” หญิงสาวรู้สึกผิดเป็นที่สุด สายตายังคงจับจ้องที่โลหะวงกลมนั้น

“ขอโทษทำไม ไม่ใช่ความผิดคุณเลยนะ ไปกันได้แล้ว ฝนมันตกหนักแล้วเห็นไหมเนี่ย ปวดบวมตายกันพอดี” แรงกระชากจากชายหนุ่มทำเอาร่างบางเซไปด้านหน้า ธราสะบัดศีรษะแรงๆ หวังให้มองภาพเบื้องหน้าได้ชัดที่สุด แต่สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นเพียงแผ่นหลังกว้างที่แสนเลือนราง

หญิงสาวฝืนตัวดึงแขนเขาไว้ “คุณเพลิงคะ ฉันว่าฉัน...ไม่ไหว...”

เสียงตัวเองเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนตัวเล็กได้ยิน ก่อนที่สติทุกอย่างจะดับวูบ ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้ามาในความทรงจำ

แขนแกร่งก้าวเข้าไปรองรับร่างเล็กนั้นไว้ได้ทัน หลังจากเห็นทีท่าเธอโงนเงนเหลือเกิน ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มต้องสบถออกมาอย่างหงุดหงิดกับความดื้อรั้นของเจ้าหล่อน

“โธ่เว้ย! ยายบ้านี่”




ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่แม่บ้านเปลี่ยนชุดให้ธราเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำชับคนที่รู้ความลับนี้ดีแค่ไหน ร่างสูงมองดวงหน้าหวานนั้นอย่างพินิจ ใบหน้าที่หลับตาพริ้มอย่างมีสุขทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ มือหนาปัดเศษผมที่ปรกอยู่ให้ไปด้านข้าง พลางเหลือบมองกำไลไร้ราศีที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

ของที่เขาซื้อมาเพื่อให้คนอื่น เขาจะไม่เอามาให้เธอเด็ดขาดเลย

ทินกรห่มผ้าหนาให้หญิงสาว ก่อนก้าวขึ้นไปนอนด้านข้าง หันมองเศษเสี้ยวหน้าของยายจอมดื้อ ชายหนุ่มทึ่งในหัวใจเธอนัก เธอเดินมากางร่มให้เขาโดยไม่สนใจตัวเอง หาสิ่งที่เขาทิ้งไปเพราะเห็นว่ามันยังมีค่า ทำไมเธอถึงน่ารักอย่างนี้นะ

ริมฝีปากบางหอมแก้มนวลนั้นแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เขาทนเก็บความปรารถนาไว้ในใจได้ไม่นานนักหรอก ชายหนุ่มกระเถิบกายเข้าไปใกล้คนที่ยังนอนไม่ได้สติ ขาแกร่งตวัดพาดไปที่คนตัวเล็ก พร้อมทั้งรั้งเอวบางเข้ามาแนบชิดอย่างเอาแต่ใจ ยั้วเยี้ยเหมือนปลาหมึกไม่มีผิด

เขาฝังจมูกลงที่ข้างแก้มเธออีกฟอดใหญ่ จูบเบาๆ ที่ซอกคอเนียนละเอียดอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ สายตาคมมองริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นตามลมหายใจเข้าออกนั้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทินกรเม้มริมฝีปากแน่นอย่างครุ่นคิด

แต่เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจต่อเนื่องอย่างมีสุขนั้น เขาก็เข้าไปใกล้ร่างนั้นอีก

...ขอทีเถอะ อดใจไม่ไหวแล้ว

ชายหนุ่มยันกายขึ้นด้วยแขนแกร่งข้างหนึ่ง ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากอิ่มเบื้องล่าง ประทับจุมพิตอย่างอ่อนโยน มืออีกข้างเกาะเกี่ยวเอวบางไว้แน่นกว่าเดิม เขาจูบเธออยู่อย่างนั้นเนิ่นนานราวกับจะดูดกลืนคนตัวเล็กเข้าไปได้ทั้งตัว นี่เขากำลังถูกพิษแห่งความปรารถนาแผดเผาจนจะทนไม่ไหวเสียแล้ว

ทินกรผละจูบออกก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปโดยที่แม่ตัวดีไม่เต็มใจ เขามองเธอแล้วอมยิ้มนิดๆ ก่อนหอมฟอดใหญ่ที่แก้มนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มทรุดกายลงนอนดึงรั้งร่างบางไว้ในอ้อมอก ลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างปลอบประโลม ริมฝีปากคลอเคลียอยู่กับหน้าผากสวยของหญิงสาว

“ขอบคุณนะชล ขอบคุณ”

_____________________________________________________________________________________

หลังจากนี้คือมหกรรมความฟินนะจ๊ะๆๆ แต่ว่าใกล้จะหยุดอัพแล้วน้าาาาา เพราะฉะนั้นจึงต้องซื้ออีบุค 555555

ฝากติดตามอีบุคด้วยเน้อออ ชื่อเรื่อง "หนึ่งใจในรอยกาล" ที่ www.mebmarket.com คับผมม

และฝากติดตามเพจด้วยคับบบ ชื่อเพจว่า "เอวาลิน - นักเขียน" จ้าาา

เยิฟฟ จุ๊บ



เอวาลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ย. 2559, 10:19:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ย. 2559, 10:19:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 883





<< ตอนที่ 26 ...หักหน้า    ตอนที่ 28 ...ผิดสัญญา >>
Zephyr 20 พ.ย. 2559, 00:22:23 น.
อ้ายยยยยยยย เขินนนนนนน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account