คู่หมั้นคืนเหงาใจ
ตำนานหนุ่มหล่อเลิศล้ำแห่งค่ำคืนเหงาใจ

ความรักเหงา ๆ รานร้าวและเร้าใจ ต่างคนต่างมีกิเลสตัณหา ต้องชดใช้บุญกรรมแห่งความรัก ติดตามข้ามภพชาติศาสนา หนึ่งหญิงสองชายผูกพัน
อ่านเรื่องนี้จบ แล้วคุณจะสงสารใคร? ระหว่าง...

นักดนตรีหนุ่มรูปหล่อ พ่อรวย ราวกับในตำนาน เทพบุตรจุติลงมาเกิดอย่าง ยุติ ผู้ตกอยู่ในวังวนแห่งความเปลี่ยวเหงา ทุกค่ำคืนผ่านไปจิตใจโหยหา แค่เพียงเป็นคนที่เขาเผลอใจรัก แต่เขาไม่ได้เลือก กลายเป็นเหมือนส่วนเกิน มิใช่ส่วนสำคัญ

หรือ... อภิมหาเศรษฐีหนุ่ม ใบหน้าสวยงามเลิศล้ำอย่าง ไทธรรพ์ ผู้เป็นที่รักยิ่งดั่งชีวิตจิตใจของสาวสวย ถึงแม้เขาจะเจ้าชู้ไปบ้าง แต่ทั้งชีวิตจิตใจทุ่มเทในรักจริงจัง แต่ความหวังกลับหักพังสลาย สุดท้ายต้องอยู่เดียวดายข้างกายไร้คู่ครอง

หรือ... สาวสวยแชมป์มวยไทยหญิง เพชรน้ำหนึ่ง ถึงจะมีเพียบพร้อมทุกสิ่ง แต่ต้องเกิดมาใช้เวรใช้กรรม ที่เคยกระทำไว้ในชาติก่อน แม้จะสามารถยืนหยัดขึ้นมายิ่งใหญ่ และจิตใจเข้มแข็ง ทนทานต่อความทุกข์กายทุกข์ใจได้ แต่ลึกลงไปข้างในนั้น ไร้ซึ่งความสุขแท้จริง
Tags: ไตรติมา, คู่หมั้นคืนเหงาใจ, ดราม่า, ซึ้ง, โรแมนติก,

ตอน: ตอน 6 [1]




..........ในตอนเย็น เพชรน้ำหนึ่งตั้งใจไปเยี่ยมดูอาการของมะเฟือง

“อ้าวจะรีบไปไหนล่ะ วันนี้ไม่ไปหาแม่พี่แล้วเหรอ” ยุติเอ่ยทัก เห็นเธอสะพายกระเป๋า อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีน เตรียมเดินออกจากบ้าน

“หนึ่งโทรบอกน้าเพ็ญพิศแล้ว ขอไปธุระสักวันจะเอายาทาแก้แผลเป็นไปให้แฟนพี่กร เห็นเขาไม่ค่อยมีเงินคงไม่ได้ซื้อมาใช้”

“เป็นห่วงเขาว่างั้นเถอะ แล้วนี่จะไปรถอะไร ขับรถไม่เป็นจะไปยังไง ไม่รอคนขับรถล่ะ”

“เดี๋ยวให้พี่กรขับรถตามไปทีหลัง หนึ่งจะขึ้นรถเมล์ไปไม่ขึ้นแท็กซี่ให้สิ้นเปลือง เพราะตอนนี้หนึ่งไม่ค่อยมีเงิน”

“อย่างนั้นพี่ขับรถให้เอง”

“เสียเวลาเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

“อยากจะไปด้วยไม่ได้รึไง” เขาว่าขณะทำหน้าเง้างอราวกับเด็กที่ชอบร้องตาม ทำให้เธออดจะอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“อยากไปด้วยก็ไปสิ กุญแจรถอยู่ในล็อคเกอร์ในโรงรถนั่นแหละ” เธอบอกกับเขา เห็นเขาทำท่ายิ้มร่าเริง เหมือนดีใจที่ได้ไปด้วย บางทีเขาดูเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ พอได้ดังใจจึงยิ้มแก้มปริ

แต่ว่าสิบนาทีผ่านไป... รถของเธอกลับยังไม่ออกมาจากโรงรถ เธอต้องทำใจเย็นนั่งรอที่ม้าหินหน้ากระท่อมตายายต่อไปอีกสิบนาที เป็นเวลาทั้งหมดยี่สิบนาทีถึงเพิ่งเห็นรถของตัวเองมาจอดตรงหน้า เธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างคนขับหวังว่าจะได้รีบไปทันที

“พี่เปิดแอร์รอ ตอนนี้แอร์เย็นแล้วนะหนึ่ง แล้วพี่ตั้งโปรแกรมเพลงไว้ให้ด้วย นี่เลือกเฉพาะเพลงที่พี่ชอบทั้งนั้นเลยจะได้เอาไว้ฟังเวลาขับรถ”

“อ้อ... มิน่าถึงนาน” แล้วเธอถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไปถอยรถได้นานขนาดนี้

“เครื่องเสียงติดรถยนต์ของหนึ่งนี่ระบบเสียงกระหึ่มดีถูกใจพี่จัง มีเนวิเกเตอร์นำทางด้วยทันสมัยดีเนอะ รถบีเอ็มดับบลิวรุ่นใหม่นี่หรูดีจัง” เขากล่าวชื่นชม พึงพอใจ แต่เธอไม่สนใจนักเพราะใจมุ่งแต่จะรีบไปธุระมากกว่า

“เดี๋ยวพี่ไปเอากระเป๋าสตางค์ก่อนนะ หนึ่งรอในรถประเดี๋ยว” เขาบอก แล้วจึงลงจากรถเดินไป

เธอนึกว่าเขาคงวางกระเป๋าไว้ในกระท่อมตายาย แต่เปล่า... เห็นเขาเดินออกประตูรั้วข้างบ้านแล้วกลับเข้าบ้านเขา

“อะไรของพี่ยุติ กลับไปเอากระเป๋าสตางค์ที่บ้าน กว่าจะเดินไปเดินกลับ... แล้วเมื่อไหร่จะได้ออกไปธุระกันซะที” เธอบ่นอยู่คนเดียว แต่พยายามทำใจเย็นคิดว่าจะทนรออีกหน่อย แม้ในใจเริ่มไม่อยากให้ไปด้วย เริ่มเบื่อกับความเรื่องมากชักช้าของเขา

“อ้าว... คุณหนึ่ง ถอยรถออกมาจะไปไหนเหรอครับ” ภาสกรเอ่ยถาม เริ่มมาทำงานตอนใกล้หกโมงเย็น

“หนึ่งตั้งใจจะไปเยี่ยมแฟนพี่กร แต่พี่ยุติขอตามไปด้วย นี่รอพี่ยุติอยู่” เธอตอบ

คนขับรถเข้านั่งประจำที่ รออีกสักพักยังไม่เห็นมา

“รอนานแล้วนะครับ โทรถามพี่ยุติดีกว่าไหมครับ” คนขับรถออกความเห็น

เธอจึงกดโทรศัพท์บ้านโทรหาเขาทันที

“พี่ยุติหนึ่งรอนานแล้วจะไปกันหรือเปล่า”

“เดี๋ยว... คอยอีกหน่อยพี่ไปด้วย เพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังจะใส่เสื้อผ้าอยู่รออีกแป๊บหนึ่งนะ” เขาตอบ แล้วเธอจึงวางสาย

“พี่กร... พี่ยุติบอกว่ากำลังแต่งตัวอยู่ให้รออีกเดี๋ยว ถ้ารู้ว่าจะช้าขนาดนี้หนึ่งขอไม่รอดีกว่า” เธอบอก

คนขับรถจึงเปิดประตูลงจากรถ ไปยืนรอข้างรถ ส่วนเธอเปลี่ยนที่นั่งไปเป็นนั่งเบาะหลัง

...สักพักใหญ่ถึงเห็นยุติเดินมาจากประตูรั้วข้างบ้าน อยู่ในชุดเชิ้ตขาวมีแจ็กเก็ตหนังสีดำสวมทับ ใส่กางเกงยีนสีเข้มเหมือนชุดที่เขาใส่ไปทำงาน ได้กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายโชยตามลมมาแต่ไกล

“โอ้โฮ้! แต่งตัวซะหล่อจังพี่ยุติสมเป็นนักดนตรี”

“แน่นอน... พี่เป็นนักดนตรีถ้าไม่หล่อแล้วสาวที่ไหนจะมาดูพี่เล่นดนตรีล่ะจริงไหม นี่เพิ่งลองใช้โคโลนจ์กลิ่นผู้ชายอย่างนี้ ...หอมไหม” ยุติโอ้อวดตัวเอง

“อื้ม... หอมดีครับ แหม... แบบพี่ยุตินี่ท่าทางจะมีพวกสาวมาเป็นแฟนคลับเยอะนะครับ”

“อื้ม...” เขายิ้มรับคำชม แย้มปากอยากจะคุยต่อ แต่เธอขัดจังหวะขึ้นก่อน

“จะหล่อไปไหน ไปเดินสลัมมีทั้งน้ำครำน้ำเน่า แล้วนี่หนึ่งรอนานตั้งเป็นชั่วโมงแล้ว จะให้รอถึงเมื่อไหร่” เธอเริ่มบ่น ทำหน้าตาแบบสุดบรรยายถึงความเบื่อหน่ายและไม่สบอารมณ์

“นี่พี่อุตส่าห์รีบอาบน้ำแต่งตัวไวสุดแล้วนะ ปกติอาบน้ำจริงจังต้องหนึ่งชั่วโมง”

“โอ๊ย!... จะฟอกถูอะไรนักหนา อาบน้ำแร่แช่น้ำนมด้วยมั้งนั่น ยังคุยอวดสรรพคุณความหล่อของตัวเองไม่พออีกหรือ จะไปด้วยกันหรือเปล่า จะไปก็ขึ้นรถ ถ้ายังไม่ไปจะไม่รอแล้ว” เธอบอกด้วยสีหน้าอย่างเซ็ง

ยุติเลยต้องรีบเปิดประตูเข้ามานั่งในรถที่เบาะหลังข้างเคียงเธอ

“แหมหนึ่ง... มองไม่เห็นความหล่อของพี่เลย รอนิดรอหน่อยทำเป็นบ่น จะเอ่ยชมพี่สักนิดตามมารยาทก็ไม่มี”

“เกิดมาเพิ่งเคยเจอผู้ชายแบบพี่ยุตินี่ล่ะ ปล่อยให้ผู้หญิงรอ คงต้องทำใจใครมีแฟนหล่อ แต่งตัวนาน... ช้า...” แล้วเธอลากเสียงยาวในคำหลังที่ว่าเขา สีหน้าบ่งบอก... เบื่อเต็มประดา

แต่ยุติยิ้มและจ้องหน้าเธอ แล้วทำจมูกฟุตฟิตชิดใกล้คล้ายสูดดมอะไรบางอย่างข้างกายเธอ เล่นเอาต้องเขยิบหนีออกไปติดข้างประตูรถ

“แต่งตัวไม่สวย ไม่เห็นมีกลิ่นหอมเลยสักนิด เธอเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่านี่”

“ยุ่ง...” เธอว่า มองในกระจกหน้ารถเห็นภาสกรอมยิ้มคงคิดว่าเป็นการหยอกเย้ากันเล่น จึงพูดเร่ง “ยิ้มอยู่นั่นแหละพี่กรออกรถได้แล้ว ป่านนี้แฟนพี่กรจะเป็นไงมั่งไม่รู้”



..........พลบค่ำ รถบีเอ็มดับบลิวสีขาวคันหรูขับมาจอดตรงปากทางเข้าย่านชุมชนแออัด ทั้งสามคนเดินตามทางเท้าเข้าไปเยี่ยมเยือนเจ้าของบ้านที่อยู่กันสองคนยายหลาน

“ฉันอยู่กับยายมาตั้งแต่เล็ก ยายส่งเสียให้เรียน จนมาถึงขนาดนี้ ถ้าฉันเรียนจบเมื่อไหร่จะหางานทำเลี้ยงยายบ้าง ไม่ให้ยายต้องลำบาก” มะเฟืองบอกอย่างหลานกตัญญู

“อีกสองปีมะเฟืองจะเรียนจบไม่นานเกินรอหรอก นึกถึงแม่ของมะเฟืองนะ หลังจากคลอดลูกไม่นานก็ตาย ตอนมะเฟืองมันลืมตาดูโลกได้หกเจ็ดเดือน แค่เป็นไข้ แต่เพราะความยากจนไม่เงินรักษาตัว นึกไม่ถึงว่ามันจะตาย” คุณยายของมะเฟืองเล่าประวัติให้ฟัง

“น่าเศร้านะจ๊ะ แล้วพ่อของมะเฟืองไปไหนเสียล่ะ”

“มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว มีลูกอีกตั้งหลายคน ยากจนเหมือนกัน”

“ดูยายอายุยังไม่มากเลย”

“ยายอายุห้าสิบสาม มีลูกเร็วแต่มีลูกสาวคนเดียว มีหลานก็คนเดียวอีก”

“ยายทำงานอะไร”

“เป็นคนดูแลต้นไม้ของกทม.”

“ลำบากไหมจ๊ะ”

“ไม่ลำบากเท่าไรหรอก ได้ดูแลต้นไม้ให้มันสวยงาม เวลาคนผ่านไปผ่านมาจะได้มองดูสบายตาสบายใจ”

“นั่นสิ... อย่างนั้นก็เป็นงานที่ทำให้ผู้คนมีความสุขสดชื่น” เธอยิ้มให้ใต้แสงเทียนที่สว่างเรืองรอง พอมองเห็นหน้ากันได้แม้ไม่สว่างเท่าแสงไฟฟ้า

“เทียนนี่แท่งใหญ่เท่าข้อมือ บ้านยายไม่มีไฟฟ้าใช้เหรอครับ ถึงใช้จุดเทียน” ยุติเอ่ยถาม

“มีค่ะ แต่หลอดไฟตรงนี้มันเสีย ยังไม่ได้ซื้อมาใส่เลย มีแต่ไฟในห้องน้ำเปิดใช้เท่าที่จำเป็น พัดลมไว้เปิดตอนไล่ยุงแล้วกางมุ้งนอน หุงข้าวทำกับข้าวนี่ใช้แก๊ส โทรทัศน์บางทีเปิดดูบ้างไม่ดูบ้าง ประหยัดไฟที่สุด”

“ค่าไฟแพงหรือจ๊ะ” เพชรน้ำหนึ่งซักถามอีก

“ไม่แพงหรอกค่ะใช้ไฟฟ้าฟรี ทางการเขาให้ใช้ฟรี ถ้าใช้มากถึงจะเสียค่าไฟ ยายไม่ค่อยมีเงินเลยต้องประหยัด เอาเงินที่จะต้องจ่ายค่าไฟมาซื้อกินดีกว่า”

“เออ... จริงสิหนึ่งซื้อแต่ยามาฝาก ของกินมีแค่น้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ได้ซื้อของกินอย่างอื่นมาฝากด้วย น่าจะซื้อมาให้มากกว่านี้ ยายกับมะเฟืองจะได้เก็บไว้กินวันอื่นได้ อย่างนั้นเดี๋ยวหนึ่งจะออกไปซื้อของกินมาให้เยอะเลย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจคุณหนึ่ง” มะเฟืองบอก

“ไม่เป็นไร หนึ่งไม่ได้ลำบากอะไรนี่... แค่ซื้อพวกมาม่า ข้าวสารกับอาหารกระป๋อง และพวกของแห้งจะได้เก็บไว้กินกันได้หลายวัน” เธอว่า ทำท่าจะลุกไป “พี่กรมากับหนึ่งด้วยสิ ไปซื้อตามร้านค้าแถวนี้ พี่กรคงรู้จักดีกว่าหนึ่ง ช่วยนำทางไปหน่อย”



..........เพิ่งจะพลบค่ำ บ้านหลังหนึ่งมีระเบียงริมทางเดิน และมีไฟเปิดอยู่ เห็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบ กำลังนั่งเล่นวาดรูปอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นแบบนั่งพื้น

เมื่อเพชรน้ำหนึ่งเดินผ่านไปใกล้ เธอจึงชะโงกหน้ามองดูรูปวาด

“กำลังวาดรูปสีน้ำเหรอ สวยดีนี่” เธอเอ่ยทักทาย ทั้งที่ไม่ได้รู้จัก เด็กหญิงนั้นยิ้มรับพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง

“วาดรูปอะไรอยู่ ดูเหมือนบ้านหลายหลังเลย” ยุติเอ่ยถามบ้าง

“วาดรูปบ้านในสลัมนี้ค่ะ” เด็กหญิงตอบ พร้อมรอยยิ้มสดใส

“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ หนูอยู่คนเดียว?”

“อยู่กับย่าค่ะ ย่าอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกมานั่งเล่นข้างนอก”

“ทำไมในรูปวาดมีคนเยอะจัง” เพชรน้ำหนึ่งถามต่อไปอีก

“คนในชุมชนอยู่กันเยอะค่ะ บางคนใจดีแบ่งปันของกินให้กัน”

“อ๋อเหรอ เป็นชุมชนที่มีน้ำใจนะ วาดใกล้เสร็จหรือยัง”

“วาดจะเสร็จแล้วค่ะ”

“แล้วหนูตั้งชื่อรูปวาดหรือยัง”

“เอ๋... ต้องตั้งชื่อรูปวาดด้วยเหรอคะ”

“ใช่ พวกศิลปินที่เขาวาดรูป ไม่ว่าจะนำไปประกวดรูปวาด ออกนิทรรศการหรือนำไปตั้งโชว์ขาย ต่างต้องตั้งชื่อรูปวาดด้วยกันทั้งนั้น หนูมีลายเซ็นบนภาพหรือยัง ต้องหัดเซ็นไว้ด้วยนะ” เพชรน้ำหนึ่งคุยกับเด็กหญิงที่ตั้งใจฟังตาแป๋ว “แล้วหนูชื่ออะไรคะ”

“หนูชื่อพิมพ์ค่ะ ชื่อจริง พิมพ์ใจ”

“อืม... ชื่อเพราะดี เขียนลายเซ็นไว้ที่มุมด้วย คนอื่นที่ได้มาดูรูปนี้จะได้รู้จักชื่อคนวาด”

“ค่ะ หนูจะลองหัดเขียนลายเซ็น”

“พอดีพี่มาธุระแถวนี้ พี่ต้องไปก่อนนะ” เพชรน้ำหนึ่งเอ่ยลา




ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ธ.ค. 2559, 18:17:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2559, 18:17:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 956





<< ตอน 5 [2]   ตอน 6 [2] >>
ไตรติมา 1 ธ.ค. 2559, 18:19:15 น.
อีบุ๊กออกเล่ม 1 ช่วยอุดหนุนดาวน์โหลดนะคะ >>
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=50709
ติดตามอัพเดท-กดไลค์เพจ >>
https://www.facebook.com/oranamarinlove


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account