เร้นรัก กามเทพ
กีรณา – สาวน้อยเจ้าของนัยน์ตาโศกผู้ยึดมั่นกับความรักความผูกพันแต่ครั้งยังเยาว์ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เธอก็ยังเฝ้ารอเขาคนนั้นผู้เป็นรักแรก และรักเดียวของเธอ สัญญาในครั้งนั้นยังคงผูกพันเธอไว้กับเขา ตราบเท่าลมหายใจจะคงอยู่

ภาณิณ – ความผูกพันแต่หนหลังที่ไม่อาจลืม แต่ด้วยเวลาและระยะทางที่ห่างไกลกันจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าสาวน้อยคนนั้นจะยังคงมั่นในคำสัญญาในวัยเด็ก ทว่าความฝังใจยังคงเด่นชัด เขาจึงต้องกลับมาเพื่อตามหาหัวใจที่หล่นหาย

ตฤณ – แม้ไม่อาจครอบครอง แต่ขอเพียงให้ได้รัก และดูแลเธออย่างที่เขาเคยทำนับแต่จำความได้ จะมีสักวันไหนที่เขาจะได้พบกับความรักที่สามารถครอบครองได้อย่างแท้จริง



มาร่วมเป็นสักขีพยาน และรอพบกับเรื่องราวของความรัก ความผูกพันที่ต้องอาศัยกาลเวลา และหนทางอันยาวไกล มาเป็นเครื่องพิสูจน์คำว่ารักแท้ ใน ‘เร้นรักกามเทพ’
Tags: รักหวานๆ

ตอน: 1 : เมื่อเขากลับมา

“ทิวลิป ทิวลิป นี่แกรู้เรื่องอาจารย์คนใหม่หรือยัง”

ร่างเล็กของสาวหน้าใสใส่แว่นหนา วิ่งกระหืดกระหอบร้องบอกข้อความกับเพื่อนสาวที่นั่งอ่านตำรับตำราอยู่ที่ม้าหินข้างๆ คณะอันเป็นที่ประจำของพวกเธอมาแต่ไกล

“อาจารย์ใหม่? กลางเทอมนี่นะ” กีรณาถามกลับ พร้อมกับวางหนังสือในมือลง

“ก็เออนะสิ หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเชียวแหละ ฉันไปแอบดูมาแล้ว เห็นแล้วจะเป็นลม” สาวน้อยคนเดิมบอกพลางทำตาเคลิ้มฝันประกอบคำกล่าว

“บ้าสิแก ท่าจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ถึงขั้นไปแอบดู...ว่าแต่ว่า...อาจารย์ใหม่อะไรเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“อ้าว ก็ที่อาจารย์กิ่งแกลาคลอดไปไง มหา’ลัยเลยจ้าง อาจารย์พิเศษมาสอนแทนเป็นการชั่วคราว เห็นว่ามาทำงานวิจัยอะไรสักอย่างด้วยละมั้ง อธิการบดีท่านเลยขอแรงให้มาช่วยสอนน่ะ แกนี่นะ ตกข่าวจริงๆ ยายทิวลิปเอ๊ย”

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง งั้นก็ดีแล้วนี่ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นเลยนี่นา เรื่องปกติแท้ๆ” กีรณาว่าแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมาตั้งท่าจะอ่านต่อ จนคนนำข่าวถึงกับทำหน้าเซ็ง

“นี่...แกไม่สนใจเลยเหรอ”

“สนใจ? สนใจอะไร แล้วทำไมต้องสน?” คนฟังตอบด้วยอารมณ์เฉยเมยแบบเดิม

“อ้าว! แกนี่กวนดีแท้ ก็ที่ฉันบอกว่า อาจารย์เขาหล่อมากเลยไง หล่อละลายใจเลยนะแก” คนเล่ายังไม่วายออกอาการตื่นเต้นขณะเล่าซ้ำ แถมยังทำตาชวนฝัน

“จะบ้าหรือไง ไอ้ฟ้า ท่าจะอาการหนักนะแกนี่”

กีรณาส่ายหน้า นึกระอาใจกับอาการคลั่งหนุ่มหล่อของเพื่อนที่ยังคงตกอยู่ในอาการคล้ายกึ่งเพ้อกึ่งละเมอ ขณะพร่ำบอกสรรพคุณของอาจารย์คนใหม่ไม่หยุดปาก ชนิดที่เรียกว่าลืมหายใจกันเลยทีเดียว

“เหอะ อย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังแล้วกัน ฉันจะถือว่าฉันบอกกับแกแล้ว ฉะนั้นอาจารย์คนนี้ ฉันจอง” สาวแว่นร่างเล็กเท้าสะเอวลอยหน้าลอยตาบอกพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อันเป็นท่าทางที่กีรณาเห็นมาหลายต่อหลายครั้งจนเจนตา

“ตามสบายเลยแก หล่อแค่ไหนฉันก็ไม่สนหรอก”

“ก็แหงล่ะ ในเมื่อในใจแกมีแต่พ่อยอดชายนายใบหม่อนคนนั้นคนเดียวอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันถามหน่อยเถอะ แกไม่คิดบ้างหรือไง ป่านนี้มีหวังได้มีลูกมีเมียไปเป็นโขลงแล้วน่ะหือ?” คนกำลังเพ้อหันมาตวัดเสียงถามเป็นเชิงประชด แถมส่งค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้ในอาการมั่นรักอย่างไร้ขอบเขตของเพื่อนสาว

“จะบ้าเหรอ เขาเป็นคนนะแก ไม่ใช่ช้าง” กีรณาได้แต่หัวเราะหึๆ ก่อนจะพูดแก้เก้อให้กับตัวเอง

“จะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ลองว่าเขาทิ้งแกไปนานโดยที่ข่าวคราวไม่เคยส่งแบบนี้ ฉันว่าป่านนี้เขาคงจะลืมไปหมดแล้วละมั้ง จะมีก็แต่คนแถวนี้นี่แหละ ที่ยังเก็บรักษาคำสัญญาบ้าๆ นั่นอยู่ฝ่ายเดียว”

“พอเลยแก เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว แล้วก็เงียบๆ ด้วย คนจะอ่านหนังสือ...”

“เชอะ! แสลงใจละสิ เถียงไม่ได้เป็นเปลี่ยนเรื่องทุกที ก็ได้เลิกก็เลิก ว่าแต่ว่า แกจะไม่ไปดูหน้าอาจารย์สุดหล่อของฉันหน่อยเหรอ เขาหล่อจริงๆ นะแก ไม่แน่นะ ถ้าแกได้เห็นอาจจะลืมนาย....” ฟ้าใสเผลอพูดจนเพลิน กีรณาจึงเริ่มจะหันมาทำตาเขียวใส่อีกรอบ “อ๊ะ... ก็ได้ๆ ไม่พูดถึงก็ได้ ขอโทษที ลืมตัวไปหน่อย”

“แล้วนี่...อาจารย์คนใหม่ของแกเขาชื่ออะไรเหรอ”

“ของฉันคนเดียวที่ไหน ของแกด้วยต่างหาก เขาไม่ได้มาสอนฉันคนเดียวเสียหน่อย”

“จะของใครก็ช่างเถอะ ตกลงว่าเขาชื่ออะไรล่ะ”

“ชื่อพอล ฉันเห็นใครเขาเรียกกันว่า อาจารย์พอล แต่ชื่อจริงอะไรนี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำไม? แกชักจะสนใจขึ้นมาแล้วหรือไง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าแกอย่างรู้ เดี๋ยวฉันไปสืบถามมาให้ รับรอง แป๊บเดียวได้เรื่อง” สาวน้อยช่างพูดพูดรวดเดียวจบ แถมยังทำอาการตื่นเต้นทั้งท่าทางและน้ำเสียง นึกแปลกใจอยู่นิดๆ กับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสาว

“บ้าน่ะสิ ฉันก็แค่ถามดู แกอยากรู้ก็ไปถามเลย ไม่เกี่ยวกับฉัน” กีรณาปฏิเสธลั่น

“อ้าว ก็เมื่อกี้แกเป็นคนถาม...”

“ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง เฮ้อ! เสียเวลาจริงๆ เล้ย ฉันว่า...เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า รายงานที่แจกจ่ายเนื้อหาให้ไปค้นข้อมูลกันน่ะ ค้นหรือยัง ใกล้ส่งงานแล้วนะแก”

“อ้าว... เอ่อ...แหะๆ... แหม... จะรีบไปไหน เหลือเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์”

“เฮ้อ! แบบนี้ทุกที กับเรื่องหนุ่มๆ นี่ไม่เคยต้องถาม แต่พอเรื่องเรียนทีไร เป็นได้อืดซะ ช่างเถอะ จะบ่ายแล้ว รีบขึ้นตึกเรียนกันดีกว่า”

“จริงด้วย! คาบต่อไป อาจารย์พอลเข้าสอนแทนอาจารย์กิ่งนี่นา กรี๊ด... ดีใจ ให้ไวเลยแก อย่าช้า รีบเก็บของด่วน”

“ยายบ้าฟ้า ท่าจะอาการหนักจริงๆ นะ”

“เออน่ะ เร็วๆ เข้า รีบๆ เลย”

“รู้แล้วๆ ฉันละปวดหัวกับแกจริงๆ ”

จากนั้นสองสาวเก็บข้าวของแล้วพากันรีบเดินขึ้นตึกเรียนไปอย่างไม่รอช้า

---------------------------------------------

เสียงจ้อกแจ้ก ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งห้องเรียน นับเป็นเรื่องปกติตามประสาของเด็กหนุ่มสาวยามได้มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน ต่างคนต่างพูดคุยหยอกล้อโอภาปราศรัยกันไปตามเรื่องหาสาระได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือเบาเสียงลง กระทั่งสัญญาณเวลาเริ่มเรียนดังขึ้น ทุกสรรพเสียงจึงสงบลงอย่างเกือบจะพร้อมเพรียง ขณะที่อาจารย์ประจำวิชาได้ก้าวเข้ามาในชั้นเรียน กีรณาละสายตาจากตำราเรียนบนโต๊ะแล้วมองตรงไปยังหน้าชั้น

ฉับพลันนัยน์ตากลมโตของเธอก็เบิกกว้าง เมื่อได้เห็นร่างสูงที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ที่หน้าชั้นพร้อมกับเอ่ยทักทายบรรดานักศึกษาในชั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำอย่างเต็มตา ทุกสิ่งรอบตัวราวจะหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งสมองและสองหูพลันอื้ออึง จนแม้แต่เสียงกรี๊ดกร๊าดฮาโห่รับอาจารย์คนใหม่ของบรรดานิสิตหนุ่มสาวๆ ที่เซ็งแซ่อยู่รอบๆ ตัวก็ไม่อาจแทรกผ่านเข้าไปในโสต

นี่...มันเรื่องตลกอะไรกัน หรือว่าเธอตาฝาดไป เขาอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจจะเป็นแค่คนหน้าคล้ายกันเฉยๆ ก็เป็นได้ กีรณาร่ำร้องตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจ

ทั่วทั้งสมองเต็มไปด้วยเสียงโต้ตอบกันเองว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ หญิงสาวไม่ทันรู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่าเวลาได้ผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ด้วยเอาแต่นั่งจ้องมองจนตาค้าง กระทั่งเวลาของคาบเรียนหมดไป ร่างบางก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม กระทั่งเสียงเรียกจากเพื่อนสาวคนสนิทร้องเรียกเธออย่างตื่นเต้น

“เป็นไงล่ะแก ถึงกับตาค้างไปเลย ฉันบอกแล้วไง ว่าอาจารย์เขาหล่อมาก”

“หา... อ่ะ... อื้ม...” กีรณาได้แต่พยักหน้าส่งไปเรื่อยเปื่อย แทบไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อนสาวพร่ำพูดอะไร

“แกว่ามะ อาจารย์พอลนี่นอกจากจะหล่อแล้ว ยังเท่ระเบิดอีกต่างหาก แล้วอีตอนยิ้มออกมานี่นะ เห็นแล้วฉันแทบจะกรี๊ดตายไปเลย”

แม่สาวร่างเล็กยังคงพร่ำพรรณนาถึงอาจารย์หนุ่มคนใหม่อย่างหลงใหลใฝ่ฝัน ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ายามนี้สีหน้าของเพื่อนรักนั้นจืดเจื่อนปานใด

“เอ้อ...นี่...ฟ้า พอดีว่าฉันมีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะ”

“อะไรกัน จะรีบไปไหน วันนี้ยังไม่หมดคาบเรียนเลยนะแก”

“เออน่ะ ฝากเช็คชื่อให้ด้วย ฉันรีบ ไปก่อนล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

“เออๆ อะไรกันแกนี่ อยู่ๆ ก็รีบไปเสียอย่างกับลมพายุหอบอย่างนั้นแหละ”

“ฝากด้วย ฉันไปละ”

พูดจบกีรณาก็รีบคว้ากระเป๋า พร้อมกับหอบสัมภาระ แล้วจ้ำอ้าวออกจากห้องไป โดยไม่หันหลังกลับมาอีก หญิงสาวกำลังสับสน ในสมองเต็มไปด้วยคำถามที่เวียนวนซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นไม่เลิกรา ว่าเขาคนนั้น จะใช่คนคนเดียวกับคนที่อยู่ในใจเธอตลอดมาหรือไม่

ร่างบางก้าวเดินไปตามทางโดยมีจุดหมายคือลานจอดรถซึ่งรถยนต์ยุโรปคันเล็กๆ ของเธอจอดอยู่ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นมุมตึกเรียน ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า กีรณาเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ที่ก้าวเข้ามาขวางทางเธอ นัยน์ตาคู่สวยพลันต้องเบิกค้างอีกครั้ง และในตอนนี้คำถามที่อึงอลอยู่ในสมองของเธอมานานเกือบสองชั่วโมงก็ได้รับคำตอบ

“ใจคอ ไม่คิดจะทักทายพี่บ้างเลยเหรอ”

“......” ไม่มีคำตอบจากคนถูกทัก กีรณายังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า”

“.....”

“ทิวลิป เป็นอะไร ทำไมนิ่งไปแบบนั้น”

“หลีกไป” ร่างบางตอบด้วยน้ำเสียงเครือ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามกดให้มันราบเรียบเสมือนหนึ่งไร้ความรู้สึก

“หลีก? หลีกทำไม?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างตั้งคำถาม

“บอกว่าให้หลีกไป”

“ทิวลิป...” เสียงทุ้มเรียกชื่อเธออย่างใจเย็นทั้งยังก้าวเข้าไปใกล้ มือหนาเอื้อมหมายแตะข้อมือบาง ทว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย

“ไม่หลีกใช่ไหม?”

คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบดังขึ้นพร้อมกับเท้าเล็กๆ ในรองเท้าหนังกระแทกลงไปบนหลังเท้าของคนตัวสูงชนิดไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว เรียกเสียงโอดโอยจากคนถูกประทุษร้ายขึ้นมาดังลั่น พร้อมกับยกเท้ากระโดดเหยงๆ แต่ร่างบางหาได้หยุดแต่เพียงนั้น กีรณาจงใจใช้ไหล่ของตนกระแทกไปยังร่างของคนที่กำลังคู้กายลงแตะขาของตน เสียงร้อง “โอ๊ย!” ดังขึ้นขณะที่เจ้าตัวเสียหลักล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น

“ช่วยไม่ได้ ก็บอกแล้วว่าให้หลีกไป”

พูดจบกีรณาก็สะบัดหน้าหนี แล้วรีบเดินกลับไปยังที่รถยนต์ของตนแล้วสตาร์ตรถ ขับหนีไปต่อหน้าต่อตาคนเจ็บที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้นพลางทอดสายตามองอย่างงงงันผสมปนเปไปกับความสับสนเต็มเปี่ยม

‘นี่เธอ...คงจะไม่ยอมให้กับอภัยเขาจริงๆ สินะ!’

------------------------------------

ธรรมเนียมปกติของบ้านเกียรติธนบดีคือการที่สมาชิกทุกคนจะต้องมาอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เว้นไว้แต่เพียงบางครั้งที่ใครคนใดคนหนึ่งจะติดธุระสำคัญจริงๆ จึงจะงดเว้น ซึ่งก็จะมีแค่นานทีปีหนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้เวลาสมาชิกทุกคนในบ้านก็จะมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหาร ชนิดที่ไม่ต้องให้ใครคอยเรียกคอยตาม และไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครหายไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว ดังนั้นเมื่อกีรณาหายหน้าไปจากโต๊ะอาหารในค่ำนี้ จึงกลายเป็นเรื่องที่ผิดปกติไปโดยปริยาย

“อ้าว! แล้วนี่ลูกไปไหนล่ะคุณ ทำไมไม่ลงมากินข้าว อย่าบอกนะว่ายังไม่กลับจากมหา’ลัย”

พีรพัฒน์เอ่ยถามภรรยา แล้วจัดแจงหันไปมองทางคุณหญิงภัทรียาผู้เป็นมารดาราวกับจะตั้งคำถามค่าที่บุตรสาวตนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหลานรักของคุณย่า ไม่ว่าหลานสาวจะคิด หรือทำอะไร ตามปกติแล้วผู้เป็นย่ามักจะเป็นคนที่รู้เรื่องและรู้เห็นเป็นคนแรกเสมอ

“ไม่ต้องมามองแม่เลยเจ้าพี ครั้งนี้แม่ไม่รู้เรื่องด้วย นี่ก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ว่าอย่างไรแม่เกด หลานสาวแม่หายไปไหน ทำไมวันนี้ถึงไม่มาร่วมโต๊ะกินข้าว”

“อยู่บนห้องนอนค่ะคุณแม่ กลับมาตั้งแต่บ่าย พอมาถึงก็บ่นว่าปวดหัวอยากจะนอนพัก เลยขออนุญาตไม่มาร่วมโต๊ะอาหารน่ะค่ะ” การะเกดตอบทุกคำถามด้วยท่าทีที่เป็นปกติ ทั้งที่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เธอเองก็ทั้งสงสัยและสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบุตรสาวอย่างชัดแจ้ง

“ตายจริง! หลานฉัน แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมไม่รีบบอก แล้วนี่ตามมดตามหมอหรือยัง ไม่ได้การแล้ว แม่ต้องขึ้นไปดูเสียหน่อย” คุณหญิงภัทรียาออกอาการโวยวาย ขยับร่างออกจากโต๊ะเตรียมจะขึ้นไปยังห้องของกีรณาในทันที ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าเรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นกับหลานสาวคนโปรด เป็นอันว่าคุณหญิงท่านจะเกิดอาการเป็นห่วงเป็นใยอย่างมากมายแบบนี้ทุกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณแม่ ใจเย็นๆ ใจเย็นก่อนนะคะ คือ...ยายทิวลิปแกไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แกบอกกับเกดว่า ช่วงนี้มีรายงานที่ต้องรีบทำรีบส่งอยู่หลายชิ้น ก็เลยนอนดึกติดๆ กันมาหลายคืน ก็เลยเพลียๆ และปวดหัวนิดหน่อย คงจะเพราะพักผ่อนน้อยเท่านั้นเองล่ะค่ะ เกดจัดอาหารพร้อมกับยาให้เด็กยกขึ้นไปให้ ถ้าได้ทานแล้วพักผ่อนสักหน่อยก็คงจะหาย คุณแม่อย่าเป็นห่วงไปเลยนะคะ” การะเกดรั้งแม่สามีแล้วสาธยายรายละเอียด

“วางใจได้ยังไงกัน ลูกทั้งคนนะแม่เกด ไม่สบายแทนที่จะตามหมอ กลับเชื่อลูกจัดยาให้กินเองเสียอย่างนั้น เพิ่งจะรู้นะนี่ ว่ามีลูกสะใภ้เป็นหมอ” นางค่อนว่าพร้อมกับส่งค้อนไปยังลูกสะใภ้ “ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ไว้ใจ แม่จะขึ้นไปดูหลานเสียหน่อย” พูดจบคุณหญิงก็จัดแจงจะลุกขึ้น ทว่าไม่ทันจะก้าวออกจากโต๊ะ คุณวิสุทธิ์ผู้เป็นสามีและประมุขใหญ่ของบ้านก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อเห็นกีรณาก้าวลงบันไดมาจากชั้นบน

“คงไม่ต้องไปแล้วล่ะคุณ โน่นแน่ะหลานรักคุณเดินลงมาโน่นแล้ว”

คุณหญิงหันไปมองตามคำบอกของสามีก็พอดีกับที่ผู้เป็นหลานสาวเดินมาถึงตัว แล้วแสดงอาการเอาอกเอาใจนาง ด้วยโอบกอดจากทางด้านหลังพร้อมกับหอมแก้มผู้เป็นย่าไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ จากนั้นก็เอ่ยถาม

“คุยอะไรกันอยู่คะ เสียงดังไปถึงข้างบนเลย”

“จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็ย่าเราน่ะสิ ห่วงไม่เข้าเรื่อง มีการไปต่อว่าแม่เขาเสียอีก เรื่องเป็นห่วงหลานจนโอเวอร์ละไม่มีใครเกินย่าเราจริงๆ ปู่ละเชื่อเลย” คุณวิสูตรตอบคำหลานสาวไปพร้อมๆ กับการค่อนขอดภรรยา

“เอ๊ะ คุณนี่! หลานเราทั้งคน ถ้าไม่ห่วงแกแล้วจะไปห่วงใคร จะมาห้ามไม่ให้ใส่ใจดูแลกัน มันจะได้ยังไงละคะ จริงไหมลูก” นางตอบโต้สามีแล้ว หันไปพยักเพยิดกับหลานสาว โอบกอดอย่างรักใคร่

ดูจากเหตุการณ์และทิศทางลมแล้วพีรพัฒน์คิดว่าถ้าขืนปล่อยให้โต้ตอบกันอยู่อย่างนี้ เห็นทีสงครามคารมระหว่างบิดามารดาของตนคงจะยืดเยื้อ ยืนยาวไปอีกนาน จึงชิงพูดแทรกและดึงทุกคนให้เข้าสู่ช่วงเวลาของการรับประทานอาหารอันเป็นเวลาของครอบครัวทันที

“เอาละครับๆ เมื่อมากันพร้อมแล้ว ผมว่าเราลงมือกันเลยดีกว่า นั่งเลยลูกทิวลิป พ่อหิวข้าวจะแย่แล้ว”

กีรณาพยักหน้า ยิ้มรับแล้วเดินมานั่งลงข้างๆ คุณหญิงภัทรียาผู้เป็นย่าตามคำของบิดา

“นั่งเลยลูก เป็นไงเรา หายปวดหัวแล้วเหรอถึงได้ลงมา”คุณหญิงค้อนสามีไปหนึ่งทีแล้วหันมาถามอย่างเอาอกเอาใจหลานสาวเสียดื้อๆ

“ดีขึ้นแล้วค่ะ” กีรณาตอบแล้วนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นย่า

“เห็นแม่เขาบอกว่าช่วงนี้ลูกมีรายงานเยอะ มันเยอะจนถึงกับไม่สบายเลยหรือลูก” พีรพัฒน์ถามไถ่กับบุตรสาว ขณะตักอาหารใส่จานภรรยา ก่อนจะหันมาตักให้ตัวเอง

“อืม... จริงๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะพ่อ แต่พอดีว่าช่วงนี้ใกล้สอบ ก็เลยต้องอ่านหนังสือไปด้วยทำรายงานไปด้วย คงจะพักผ่อนน้อยน่ะค่ะ เลยรู้สึกเพลียๆ นิดหน่อย”

เด็กสาวตอบคำบิดาขณะจ้องมองภาพตรงหน้า แม้จะคุ้นเคยกับภาพบรรยากาศแบบนี้เพราะเคยเห็นมาจนเจนตา ทว่าวันนี้เธอกลับรู้สึกสะท้อนในใจตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่พีรพัฒน์ปฏิบัติกับภรรยาของเขาเสมอมา กีรณามีข้อสรุปกับใจตนเองว่า คงไม่มีวันที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับเธอ และคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาคนนั้นกับตัวเธอจะสามารถลงเอยกันได้อย่างที่เธอเคยคิดเคยฝันมานับแต่ครั้งเยาว์วัย

“นั่นปะไร มิน่าเล่าหลานฉันถึงได้ปวดหัวยังไงก็อย่าหักโหมให้มันมากนักนะลูก เกิดป่วยหนักขึ้นมาจริงๆ ละก็แย่เลย อ้ะ! กินข้าวเถอะลูก กินเยอะๆ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวจะได้ขึ้นไปพักผ่อน” คุณหญิงออกความเห็นพลางจัดแจงตักอาหารใส่จานหลานสาวคนโปรด จากนั้นมื้ออาหารก็เริ่มดำเนินไปตามปกติ กระทั่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูห้องรับประทานอาหารแล้วเอ่ยทักทายขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุย

--------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2559, 13:33:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 14:10:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 610





<< บทนำ : ภาพฝัน หรือ ความจริง   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account