ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๑ คชสารเหมันต์

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๑ คชสารเหมันต์

วันนี้เป็นวันเทศกาลรำลึกวันสุดท้าย นั่นก็หมายความว่าพิธีถือศีลใกล้ยุติลงแล้ว หลายคนดีใจที่ได้บอกลาอาหารเดิมๆ ส่วนแว่นยินดีที่บ่ายนี้จะได้พบกับองค์ชายห้าเสียที ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา สองหนุ่มสาวได้พบหน้ากันทุกวัน แต่กลับไม่มีโอกาสทักทาย ทำได้เพียงส่งสายตาเท่านั้น

สาเหตุเกิดจากฮองเฮาทรงคุมโอรสไม่ให้เฉียดเข้าใกล้กุ้ยฮวาเลย ครั้นจะให้แว่นย้ายที่นั่งมาอยู่ใกล้อีกหน่อยก็ทำไม่ได้ เพราะที่นั่งนี้เป็นแบบตายตัว ใครเคยนั่งตรงไหนก็จะต้องนั่งตรงนั้นจนกว่าหมดเทศกาล เว้นแต่จะมีพระบัญชา

องค์ชายหกที่ปกติจะสนับสนุนองค์ชายแปด เห็นแล้วยังสงสาร คนใจดีแอบมากระซิบถามว่าอยากให้ช่วยหรือไม่ จะได้หาข้ออ้างย้ายที่นั่งให้ แว่นขอบคุณในความปรารถนาดีก่อนปฏิเสธไป งัดข้อกับผู้ใหญ่ชนะไปก็เท่านั้น อย่างเก่งแค่สะใจชั่วคราว ไม่คุ้มจะแลกกับผลที่ตามมาในระยะยาว

มื้อเที่ยงวันนี้สองหนุ่มสาวก็ยังได้แต่มองกัน แต่เป็นการมองกันที่มีความสุขกว่าที่เคย สายตาขององค์ชายห้าสื่อว่ายังไม่ลืมนัดหมาย แม้เขาจะประคองฮองเฮาออกไปก่อน ก็ยังเอี้ยวตัวกลับมามอง ขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘ข้าจะรอ’ ให้เห็น

แว่นรีบลุกตามไปทันที เขาอยากรีบไปรอให้เร็วที่สุด เสียดายว่าถูกขัดจังหวะ

“คุยกันสักครู่ได้ไหม” องค์ชายหกถาม

“มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“แพนด้าคืออะไร”

แว่นอึ้งไปอึดใจ เขามั่นใจว่าไม่เคยหลุดเรียกคำนี้ออกมาให้ใครได้ยิน แล้วองค์ชายหกทราบได้อย่างไร

‘หรือจะเป็นฝีมือการสอนภาษาไทยของอิโบ้’

แว่นโทษเพื่อนทั้งที่ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่โบ้แต่งงานไปอยู่แดนมายา ก็แทบไม่ได้กลับออกมาเลย ต่อให้องค์ชายหกได้ยินนานแล้ว ก็ไม่น่าจะปล่อยไว้นานเพิ่งจะมาถามความหมายตอนนี้

“ไปได้ยินคำนี้มาจากไหนเพคะ”

“บอกมาก่อนแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง”

แว่นคิดว่ามันไม่ใช่คำเสียหาย จึงบอกไปตรงๆ ว่าหมายถึงหมีสีขาวดำ ตัวกลมๆ ขนฟูๆ พอองค์ชายหกได้ยินก็หัวเราะลั่น อย่างชอบอกชอบใจ

“หรู่เผยคิดมากไปเองแท้ๆ” ชายหนุ่มพึมพำ

“องค์ชายแปดเกี่ยวอะไรด้วยเพคะ” แว่นงงมากขึ้น

“เมื่อวานพี่ห้ากับหรู่เผยเถียงกันเรื่องเจ้านิดหน่อย หรู่เผยถามว่าพี่ห้าเป็นอะไรกับเจ้ากันแน่ พี่ห้ายืดอกตอบแบบจริงจังมากว่า ‘ข้าเป็นแพนด้าของนาง’”

องค์ชายลี่หยางบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ เลยเล่าอย่างออกรสว่าองค์ชายแปดเจ็บใจน่าดู เขาไม่รู้จักว่าแพนด้าหมายความว่าอะไร เลยรู้สึก ‘แพ้’ ”

“หรู่เผยทึกทักเอาเองว่าอาจจะเป็นรหัสลับของพวกเจ้า เลยค้นหาความหมายทั้งคืน ไม่ยอมหลับยอมนอน” พูดแล้วก็หัวเราะอีก

พี่ชายผู้แสนดีคนนี้เข้าข้างน้องเสมอ แต่ก็ยังไม่วายขำไปกับการกระทำของเด็กน้อย เมื่อวานหรู่เผยกลับมาสีหน้าบึ้งตึง ยิ่งเหล่าสหายตีความว่าแพนด้า อาจจะหมายถึงคนรัก หรือคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว หน้าก็ยิ่งหมอง วันนี้ได้รู้ความหมายที่แท้จริงไม่รู้ว่าจะดีใจหรือโมโหมากกว่าเดิม

แว่นพลอยขำไปด้วยเมื่อนึกภาพตาม ใบหน้าขององค์ชายห้าที่กำลังประกาศอย่างจริงจังว่าข้าเป็นแพนด้าของเจ้าแวบเข้ามาในหัว พร้อมกับภาพเด็กแสบที่อึ้งจนเถียงไม่ออก แล้วกลับไปโมโหที่บ้าน

“องค์ชายแปดนี่ก็จริงๆ เลย ชอบหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นเรื่อย”

“น้องแปดไม่ได้ชอบวิวาทหรอกนะ เพียงแต่มีสาเหตุ”

“เพราะอะไรเจ้าคะ”

องค์ชายหกส่งยิ้มมาให้ สายตาเขาสื่อว่า ‘เจ้าก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว’ แว่นมองแล้วไม่ชอบใจนัก จริงอยู่ว่าเขามีคำตอบในใจ แต่ก็ใช่ว่ามันจะตรงกับความจริง

“พี่หกแกล้งข้าอีกแล้ว”

“ข้าเปล่านะ เอาละ...ไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว พี่ชายเจ้ารออยู่นั่นแน่ะ”

องค์ชายหกบุ้ยใบ้ไปทางกุ้ยอี้ที่รออยู่บริเวณใกล้กับทางออก ชายหนุ่มได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีถือศีลในตำหนักส่วนพระองค์เช่นกัน แต่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ความที่งานยุ่งพอทำตามธรรมเนียมปฏิบัติเสร็จ ก็รีบกลับไปทำงานต่อทันที ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกัน

แว่นรู้ว่าพี่ชายมีเรื่องอยากคุยด้วย แต่ก็ไม่ผละไปทันที

“ข้าตอบคำถามท่านพี่หกแล้ว ทีนี้ตาท่านตอบคำถามบ้าง”

องค์ชายลี่หยางพยักหน้ารับเป็นเชิงบอกว่าอยากรู้อะไรก็จงถามมา

“หลายวันมานี้องค์ชายแปดหายไปไหนกันแน่เจ้าคะ”

“ไปดูแลสนมเหออย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้รึ”

“พี่หก!” แว่นทำปากยื่นใส่ “ท่านอย่าหลอกข้าเลย ก็รู้กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร”

“ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขึ้น ก่อนจะลดเสียงลงเป็นเพียงกระซิบ “สนมเหอป่วยมานาน อาการของนางไม่แน่นอน”

แว่นฟังแล้วก็ตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อทันที นับตั้งแต่องค์ชายแปดถูกเนรเทศไปอยู่เจี่ยวหวา สนมเหอก็เก็บตัวเงียบมาตลอด แว่นเป็นที่ปรึกษาสำนักหมอหลวง จึงทราบว่าสนมเหอเรียกหาหมอบ่อย แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ไม่ใช่โรคร้ายแรง

“ท่านได้ยินมาจากใคร เชื่อถือได้แน่หรือ”

“ท่านแม่พูดเอง”

เมื่อได้ยินนามของแหล่งข่าว แว่นก็ไม่กล้าวิจารณ์อะไรอีก มีเพียงคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน กับรอยย่นเล็กๆ บนหน้าผากเท่านั้นที่บ่งบอกว่ายังคาใจ

“เชื่อเถิด สนมเหออาการไม่สู้ดีจริง เพียงแต่ปิดไว้เพราะไม่อยากย้ายออกจากตำหนักใน”

เจียงเฉียงไม่เคร่งขนาดห้ามไม่ให้มีคนตายในวังหลวง เชื่อกันก็แต่ว่าการมีคนตายจะทำให้บรรยากาศโดยรอบเปื้อนมลทิน จึงถือว่าเป็นหน้าที่คนป่วยที่ต้องทูลขออนุญาตไปรักษาตัวที่ตำหนักนอก หากละเลยไม่ใส่ใจฮองเฮาก็จะเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง

พระนางมีอำนาจโดยชอบธรรมในการสั่งย้ายสนมกำนัลที่ป่วยไข้ไปอยู่ตำหนักนอก โดยไม่จำเป็นต้องขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้ ที่ผ่านมาพระนางทำหน้าที่ของผู้ดูแลฝ่ายในเป็นอย่างดีและเป็นธรรมเสมอ หนนี้ที่ยอมช่วยปิดข่าวก็เพราะสนมเหอแสดงเจตนารมณ์อย่างมุ่งมั่น

“หม่อมฉันไม่ยอมตายในตำหนักในแน่เพคะ ขอโปรดวางพระทัยและยกสิทธิ์การตัดสินใจให้หม่อมฉัน”

คนเราไม่อาจรู้เวลาตาย แต่คนป่วยเรื้อรังส่วนใหญ่มักคะเนเวลาก่อนจากไปได้แม่นยำ พระนางจึงทรงยอมทำตามคำขอ

สามวันก่อนเทศกาลรำลึก สนมเหอซึ่งป่วยจนลุกนั่งแทบไม่ได้ ก็ย้ายออกไปอยู่ตำหนักนอกอย่างเงียบๆ แพทย์หลวงบอกว่าอาการของนางคาดเดาไม่ได้ ซึ่งมีความหมายแฝงว่าพร้อมจากไปได้ทุกเมื่อ

แว่นเริ่มคล้อยตามจึงไม่ซักต่อ ในใจเขาภาวนาขอให้สนมเหอแข็งแรงโดยเร็ววัน หรืออย่างน้อยๆ ก็จากไปทั้งที่สุขภาพใจแข็งแรง อย่าได้ทุกข์ทรมาน พูดหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการทำร้ายองค์ชายแปดอีกเลย

แว่นกล่าวลาองค์ชายหกแล้วเดินไปทางพี่ชาย ก่อนจะถึงตัวบังเอิญเห็นเสื้อเขาเปื้อนผงสีขาว เลยช่วยปัดออกให้ พร้อมกับฉวยโอกาสสำรวจร่างกายคุณพี่ไปด้วย

ตอนนี้กุ้ยอี้ไม่อ้วนไม่ผอม อกแน่น กล้ามเฟิร์ม หุ่นยังชนะเลิศ บ่งบอกว่าภรรยาดูแลดี ไม่เสียแรงที่แว่นลงทุนไปชักแม่น้ำทั้งห้าโน้มน้าวพี่สะใภ้ ให้เห็นดีเห็นงามเรื่องอาหารบำรุงสุขภาพและการออกกำลังกาย ชายวัยสามสิบอย่างพี่กุ้ยอี้จึงไม่อ้วนลงพุงอย่างผองเพื่อน

“ท่านพี่มีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือ”

“ช่วงนี้พี่งานยุ่ง ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง ช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนซูเจียวได้หรือไม่”

ซูเจียวที่ว่าคือภรรยาของกุ้ยอี้ นางเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองเจี่ยวหวา กุ้ยอี้อยากให้นางได้พบกับบิดาและคนในครอบครัว จึงยอมให้พักที่เรือนรับรองของเจ้าเมือง โดยเขาจะเป็นฝ่ายไปค้างด้วยตอนกลางคืนเพื่อความสะดวก

ขณะนี้ซูเจียวตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว ผู้คนในสกุลเฉินตื่นเต้นยินดีกันมาก เพราะไม่มีทารกถือกำเนิดในบ้านใหญ่นานแล้ว

“พี่สะใภ้ไม่สนใจข้าหรอก นางมีพี่ชายนางเป็นเพื่อนทั้งคน” แว่นเอ่ยกึ่งหยอก

หากเรียกกุ้ยอี้เป็นพวกห่วงน้องสาว จนวิตกจริตเกินพอดี ซูเจียวก็จัดอยู่ในประเภทติดพี่ชาย ทั้งยกย่องเทิดทูน พอมาเจอกัน คนหนึ่งพร่ำพูดชื่นชมน้องสาว อีกคนยกยอพี่ชาย แทนที่จะอิจฉากลับกลายเป็นเข้าอกเข้าใจกันดีเสียอย่างนั้น

“พี่กับซูจื้อต้องไปทำงานด้วยกัน นางเลยอารมณ์ไม่สู้ดี”

ช่วงนี้ซูเจียวอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจกว่าที่เคย แต่กุ้ยอี้ก็ไม่ได้ถือสา มีแต่จะห่วงใยใส่ใจมากขึ้น ดังสัญญาที่ให้ไว้แก่กันในวันแต่งงาน ว่าจะคอยดูแลซึ่งกันและกันทั้งในยามทุกข์และสุข

“อย่างนี้นี่เอง ท่านพี่วางใจเถิด ข้าจะดูแลพี่สะใภ้เอง พอดีเลย...ตั้งใจจะเอายาบำรุงไปให้อยู่เชียว”

เรื่องการตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างจับชีพจรหรือฝังเข็ม แว่นทำได้ดีพอประมาณ ที่ถนัดและเก่งที่สุดคือการปรุงยา เขาได้ตำรับลับมาจากหลิ่งปินมากมาย ประกอบกับพรสวรรค์ในการคัดสรรวัตถุดิบ ยาที่เขาปรุงจึงพิเศษกว่าของทั่วไป

“พี่เชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว มีเจ้าทั้งคนพี่คงไม่ต้องห่วงอะไร ทั้งเรื่องของซูเจียวทั้งเรื่องสกุลเฉิน” กุ้ยอี้เอ่ยยิ้มๆ แต่ในรอยยิ้มนั้นมีอารมณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเลย

แว่นเกือบพลั้งปากไปแล้วว่าพี่ชายพูดเหมือนเป็นลาง ดีว่าเฉิงหมินเข้ามาขัดเสียก่อน ชายหนุ่มมาตามกุ้ยอี้ให้รีบไป ก่อนจะพลาดการประชุมสำคัญ

แว่นมองพี่ชายเดินหายไปพร้อมสหายแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ที่กังวลไม่ใช่เพราะคำพูดเมื่อครู่ แต่เป็นสีหน้าของเฉิงหมินต่างหาก ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทดูคร่ำเคร่งมากขึ้นทุกวัน เจอกันแต่ละครั้งมีแต่จะซูบผอม ใบหน้าหมองคล้ำ บ่งบอกว่าทำงานหนักเกินกำลัง ไม่ก็มีเรื่องกลัดกลุ้ม

เฉิงหมินเป็นคนฉลาด แต่มีนิสัยช่างระแวง ชอบกังวลไปล่วงหน้า เคราะห์ดีที่กุ้ยอี้ไม่ติดนิสัยพวกนี้มา ไม่อย่างนั้นคงหน้าเคร่ง ชวนกันผมหงอกหน้าเหี่ยวก่อนวัยไปเรื่อยๆ

“คงต้องลงมือปรุงยาบำรุงให้ท่านที่ปรึกษาสักขวด”



โรงเลี้ยงสัตว์หลวงตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก หลักๆ แล้วจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเลี้ยงม้าสำหรับใช้เป็นพาหนะในวัง รวมถึงเป็นที่เลี้ยงดูสัตว์ต่างๆ ที่ทูตต่างแคว้นนำมาถวายเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี เรื่อยไปจนถึงสัตว์แม่พันธุ์พ่อพันธุ์ชั้นดีที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ บริเวณนี้จึงเป็นเขตกว้างๆ แบ่งเป็นโรงเลี้ยงสัตว์ยิบย่อยตามประเภท รวมถึงมีส่วนที่ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าไปวุ่นวาย อย่างคอกสำหรับม้าทรง หรือคอกสำหรับสัตว์พิเศษ

แว่นไม่เคยมาที่โรงเลี้ยงสัตว์หลวงมาก่อน พอรู้ว่ามันกว้างมากก็หวั่นใจว่าจะหากันไม่พบ ดีว่าองค์ชายห้ารอบคอบ ส่งคนมาดักรอตามจุดต่างๆ ไว้ พอเห็นกุ้ยฮวา มหาดเล็กของชายหนุ่มก็ช่วยนำทางไปยังคอกสำหรับสัตว์พิเศษ

องค์ชายห้ายืนรออยู่แล้วที่ด้านหน้า คนนำทางจึงค้อมกายให้ แล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม เจตนาให้สองหนุ่มสาวได้อยู่ลำพัง แว่นเห็นดังนั้นจึงสั่งให้คนที่ติดตามมากลับไปรอที่รถม้าก่อน

องค์ชายเหวินหรงรีบปรี่มาหาหญิงสาว เพื่อนำเสนอสิ่งที่ปรารถนาจะมอบให้

“บรรยากาศแถวนี้อาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่คุ้มค่าแน่นอน ข้าอยากให้เจ้าเห็นสิ่งนี้” กล่าวจบก็ผิวปาก

อึดใจสิ่งมีชีวิตอ้วนกลม ขนยาว สูงประมาณเอวของกุ้ยฮวาก็เดินอุ้ยอ้ายออกมาจากคอก แว่นเห็นแล้วถึงกับอุทานในใจ

‘แมมมอธ! นี่มันแมมมอธชัดๆ’

แว่นมองช้างขนยาวอย่างตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะมีสัตว์ชนิดนี้อยู่ เขาเผลอลืมความแฟนตาซีของโลกนี้ไป ทั้งยังเห็นว่าเจียงเฉียงมีลักษณะคล้ายกับจีนโบราณ จึงเผลอทึกทักเอาเองว่าคงไม่มีช้าง ซึ่งก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหละ เจ้าตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ประจำถิ่นของเจียงเฉียง พวกมันอาศัยอยู่แต่ในหรงซิ่งเท่านั้น

“นี่คือคชสารเหมันต์หรือจะเรียกช้างขนปุยก็ได้”

พอมีคนเอ่ยถึงเจ้าตัวเล็กก็เอียงหัวสะบัดงวงอย่างร่าเริง

“หม่อมฉันจับมันได้หรือไม่”

แว่นเห็นสัตว์แปลกท่าทางน่าเอ็นดูก็ตื่นเต้น

“ได้สิ ค่อยๆ เดินเข้าหาแล้วลูบมันเบาๆ”

แว่นปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าขนสีน้ำตาลที่ดูสากของมันนุ่มกว่าที่คิด พอถามก็ได้รับคำอธิบายว่าเป็นธรรมดาของช้างเลี้ยงที่ยังเด็ก ถ้าเป็นช้างโตหรือช้างในป่าขนจะสากกว่านี้ ลูบเนื้อตัวมันเล่นเสร็จแล้ว องค์ชายห้าก็สั่งให้มันเดินหน้าถอยหลัง ส่ายหน้า สะบัดงวงตามคำสั่ง ซึ่งมันก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี ทั้งที่ไม่มีอะไรมาหลอกล่อ แว่นเลยเผื่อแผ่คำชมมาให้คนฝึกอย่างองค์ชายห้าด้วย

“เจ้าตัวเล็กนี่ชื่ออะไรหรือ อายุเท่าไรแล้ว”

“ห้าเดือนได้แล้ว ส่วนชื่อยังไม่ได้ตั้ง รอพระราชทานนามก่อน ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจจะถูกส่งกลับ”

“ทำไมเล่า?”

“คชสารเหมันต์ชอบอากาศหนาว เหมาะจะเลี้ยงในที่เย็นจัดอย่างหรงซิ่ง เมืองหลวงร้อนเกินไป”

ในอดีตเคยมีการส่งคชสารเหมันต์มาคู่หนึ่ง พอถึงหน้าร้อนพวกมันก็ผลัดขนจนสภาพดูไม่ได้ แถมไม่ยอมกินอาหารจนผ่ายผอม มีตัวหนึ่งล้มป่วยจนตายไปด้วย ทางหรงซิ่งจึงไม่คิดจะส่งมาอีก เพิ่งมาปีนี้ที่บังเอิญช้างหลวงไปตกลูกทางใต้ของแคว้นซึ่งอบอุ่นกว่าทางเหนือ จึงลองเสี่ยงส่งมาอีกครั้งหนึ่ง

“ถ้าถูกส่งกลับแล้วชีวิตมันจะเป็นอย่างไรต่อไป”

แว่นอดห่วงไม่ได้เพราะการเดินทางไปหรงซิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะหน้าร้อนน้ำหนักเจ้าตัวเล็กคงเพิ่มขึ้นอีกมากโข ทำให้ยิ่งขนส่งลำบาก

“ช้างที่มีลักษณะดีเช่นนี้หาได้ยาก มันไม่ถูกทิ้งขว้างอย่างแน่นอน อย่าวิตกไปเลย”

องค์ชายห้ายังอธิบายเพิ่มอีกด้วยว่าถ้ามันอยู่ที่นี่ได้ ปีหน้าก็จะส่งลูกช้างเพศเมียมาให้เป็นคู่ของมัน

“ดูๆ ไปก็ลักษณะไม่เลวจริงๆ โตมาต้องสง่างามมากแน่”

ลูกช้างเหมือนจะพอใจในคำพูดเลยกระแซะเข้ามาประจบ แว่นไม่ทันระวังเลยเสียหลักล้ม

องค์ชายห้าปราดมาคว้าตัวไว้ได้ทันท่วงทีเหมือนเช่นเคย อยู่กับเขาแว่นแทบไม่จำเป็นต้องห่วงอะไร ต่อให้อยู่ไกลกันกว่านี้สักสิบเท่า เขาก็มีปัญญาพุ่งมาช่วย

“เจ็บไหม ยืนได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มแสดงท่าทีเป็นห่วง

“เจ็บนิดหน่อย”

แว่นทำเป็นสำออยทั้งที่ความจริงไม่เป็นไร เขาอยากอยู่ในท่ากึ่งโอบกึ่งกอดแบบนี้ไปอีกสักพัก มารยาตุ๊ดเล่มเกวียนนี้ถือว่าใช้ได้ แต่กลับให้ผลตรงข้ามกับที่ต้องการ ชายหนุ่มคิดว่ากุ้ยฮวาเจ็บจริงๆ เลยจะอุ้มพาตัวไปหาหมอ

เรื่องถูกอุ้มแว่นไม่เกี่ยง แต่ถ้ามีคนรู้เห็นรับรองเป็นเรื่องใหญ่ ลำพังพวกปากหอยปากปูแว่นไม่ใส่ใจ แต่ฮองเฮาจะคิดเช่นไรหากรู้ว่าลักลอบมาพบกันที่เขตพระราชฐานชั้นนอก ตรรกะในวังหลวงนั้นย้อนแย้งกันอย่างประหลาด กุ้ยฮวาสามารถเชิญบุรุษมาสนทนาหรือดื่มชาที่ตำหนักได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ออกมาพบกันในที่โล่งแจ้ง

“หม่อมฉันหายเจ็บแล้วเพคะ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”

“แต่...”

“ไม่เชื่อก็ลองปล่อยสิเพคะ เดี๋ยวจะเดินให้ดู”

องค์ชายห้าจำต้องปล่อยร่างเล็กบอบบาง เมื่อนางยืนยันเสียงแข็ง แม้กุ้ยฮวาจะเดินได้เป็นปกติเขาก็ยังวิตกว่านางอาจฝืน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำสอง ชายหนุ่มจึงสั่งให้ลูกช้างกลับเข้าไปในคอก แล้วพาหญิงสาวออกมานั่งใต้ร่มไม้ เพื่อสังเกตอาการ

แถวนี้ไม่มีชุดเก้าอี้หรือศาลา แต่มีขอนไม้ขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้ต่างที่นั่ง องค์ชายห้าจึงถอดเสื้อคลุมออกมาปูให้ แว่นยิ้มพอใจที่ได้รับการดูแล แม้ต่างฝ่ายจะเงียบกันอยู่นาน ก็ไม่ถือว่าอึดอัดนัก

“ตอนอยู่หรงซิ่ง มีหญิงอื่นมาแตะต้องเนื้อตัวท่านหรือเปล่า” แว่นหาเรื่องถามทำลายความเงียบ

ตอนพูดเขาไม่ได้คิดอะไร แต่องค์ชายห้ากลับทำท่ามีพิรุธเสียอย่างนั้น

‘เอ๊ะ! นี่มันยังไงกัน หรือจะมีแอบนอกใจ’

“ทำไมจึงเงียบเล่า ตอบมาสิเพคะ” แว่นทำเสียงเข้มขึ้น

องค์ชายห้าถึงกับเหงื่อตกทั้งที่อากาศเย็นจัด เรื่องที่กอดกันกับฮุ่ยเสียนไม่ได้อยู่ในหัวเลยสักนิด สิ่งที่เป็นชนักปักหลังคือเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนต่างหาก

“...มีแม่นางคนหนึ่งมาชนข้า” ชายหนุ่มสารภาพเสียงเบา

“ชนตรงไหน”

องค์ชายห้าชี้ไปที่พุงกลมๆ แทนคำตอบ คนที่เคยจูบตรงพุงจองเอาไว้เลยหน้าหงิก

“แล้วยังไงต่อ ไม่สิ...ข้าพอเดาได้หรอกว่าท่านคงช่วยยึดตัวนางไว้ไม่ให้ล้ม จากนั้นนางก็จะขอบคุณท่าน ถามชื่อแซ่กันใช่หรือไม่”

แว่นตีโพยตีพายไปล่วงหน้า ทำตัวเป็นคนขี้หึง ทั้งที่ในใจไม่ได้ขุ่นเคือง เขาอยากรู้ว่าองค์ชายห้าจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรมากกว่า ชายหนุ่มเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า การเรียนรู้กันและกันจึงจำกัดอยู่แค่แง่มุมเดียว แม้จะรู้ว่าเขาพอใจที่จะให้เห็นแต่ด้านดีๆ แว่นก็ยังอยากเห็นด้านอื่นๆ ให้ครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต่อไป

“เจ้าเดาผิดแล้ว”

“มีอะไรมากกว่านั้นหรือ” แว่นทำเสียงสูง

“ไม่…ไม่มี” องค์ชายเหวินหรงแทบจะลุกขึ้นมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ข้าคว้านางไม่ทันเพราะนางหงายหลังไปก่อน”

พอนึกภาพตามแว่นก็หลุดขำจนได้ น่าสงสารแม่นางผู้นั้นจริงๆ ถึงขั้นถูกพุงดีดกระเด็นได้ แสดงว่าวิ่งมาเร็วทีเดียว

“เจ้าหัวเราะ” แทนที่จะโกรธองค์ชายห้ากลับทำท่าโล่งอก “ไม่เคืองข้าแล้วใช่หรือไม่”

“ยัง ท่านยังติดโทษที่เงียบหายไม่ยอมตอบจดหมายข้าอยู่” แว่นแกล้งเชิดใส่

“ข้าขอโทษ” องค์ชายห้าหน้าสลด

หากอธิบายเรื่องสถานการณ์ในหรงซิ่ง รวมถึงเรื่องฝึกวิชา กุ้ยฮวาก็จะเข้าใจในทันที แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบ เพื่อไม่ให้นางต้องหวั่นวิตก

แว่นอ่านบรรยากาศออก จึงรู้ว่าเขาไม่อยากพูดถึง จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแบ่งปันความทุกข์มาให้ แว่นไม่พอใจอยู่ลึกๆ แต่ก็เลือกเก็บความรู้สึกไว้

“ช่างเถิด คุยเรื่องอื่นกันบ้างดีกว่า”

“หนาวไหม” ชายหนุ่มถามพลางจับสังเกตทิศทางลม เพื่อจะได้เอาตัวมากันให้

“ไม่...อย่างนี้ก็อุ่นแล้ว” แว่นฉวยโอกาสอิงซบคนตัวโต

ตอนแรกเขาคิดว่าองค์ชายผู้เคร่งขนบจะตัวแข็งทื่อ นั่งนิ่งให้พิงเฉยๆ ตามประสาสุภาพบุรุษ แต่เขากลับไม่อยู่เฉยดังที่คิด องค์ชายเหวินหรงขยับมือมาโอบตัวกุ้ยฮวา พลางขยับให้พิงซบง่ายขึ้น

‘ใช้ได้นี่นาแพนด้า!’ แว่นยิ้มกริ่มกับความรู้สึกที่สื่อผ่านการกระทำ

สองหนุ่มสาวอิงแอบกันโดยไม่อนาทรร้อนใจต่อลมหนาว ต่างฝ่ายต่างสุขล้นเมื่อได้สัมผัสถึงไออุ่นและกลิ่นกรุ่นของความรัก น่าเสียดายที่ช่วงเวลาแห่งความหวานคงอยู่ได้ไม่นาน

“ใครบังอาจมาพลอดรักทำประเจิดประเจ้อทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ” เสียงตะโกนดังแว่วมา

เหลียวไปก็เห็นว่าเจ้าของเสียงคือองค์ชายสาม ชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียว แต่พาครอบครัวกับผู้ติดตามมาด้วย องค์ชายห้าเห็นแล้วก็ตีหน้าขรึม ส่วนแว่นตอนแรกก็กระดากอาย แต่พอเห็นว่ามีแต่คนคุ้นเคยก็ยิ้มออก เขาจงใจทำเมินคนที่มาขัดจังหวะด้วยการ เดินเลยไปหาเด็กๆ ที่ตามมาข้างหลังแทน

“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

จื่อซ่านกับฟางหมิงแย่งกันตอบเสียงเจื้อยแจ้วว่ามาดูคชสารเหมันต์ แว่นจึงชักชวนองค์ชายห้า

“แสดงให้พวกเด็กๆ ดูดีไหมเพคะว่ามันทำอะไรได้บ้าง”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเดินนำลิ่วไปที่คอกม้า แล้วผิวปากเรียกเจ้าตัวเล็กออกมาเล่นกับเด็กๆ จื่อซ่านกับฟางหมิงสนุกกันใหญ่ เหลือแต่ผู้ใหญ่ที่ยังสงวนท่าที

องค์ชายสามไม่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ แต่รู้ว่าฉิงอี๋ต้องชอบจึงพามา เพื่อไถ่โทษที่ระยะนี้รังแกชายาตัวน้อยมากไปหน่อย องค์ชายลี่หมิงซ่อนยิ้ม เมื่อเห็นนางจ้องช้างขนปุยตาวาว คงอยากลูบเล่นใจจะขาด แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ

“ฟางหมิง พาท่านแม่เจ้าไปเล่นด้วยสิ” ชายหนุ่มสั่งลูกชาย

อึดใจต่อมาท่านชายน้อยผู้เชื่อฟังก็วิ่งไปจูงแขนท่านแม่ให้มาเล่นด้วยกัน ฉิงอี๋เลยได้จับเนื้อตัวลูกช้างสมใจ

ขณะที่องค์ชายสามกำลังมองลูกเมียเพลินๆ ก็มีคนมาสะกิด ใครคนนั้นก็คือหยางผู ชายหนุ่มตามมาด้วยเพราะกำลังเบื่อได้ที่

“ท่านปรมาจารย์ข้ามีเรื่องสงสัย”

หยางผูไม่ได้คุกเข่าขอเป็นศิษย์ขององค์ชายสามอีกคน แต่เรียกเพราะนับถือในทักษะการใช้ชีวิตอันเป็นเลิศ เกิดมาเขาเพิ่งเคยเห็นคนที่หลีได้คล่อง แถได้ลื่นเช่นบุรุษผู้นี้ เห็นความสามารถทีไรแทบอยากคารวะพันจอก

“หญิงงามคนนั้นกับไอ้อ้วนนั่นเป็นคนรักอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าเห็นเป็นเช่นไรเล่า” องค์ชายสามถามกลับเป็นเชิงให้คิดเอาเอง

หยางผูไม่เสียเวลาคิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแทน

“ถ้าข้าเพิ่มน้ำหนักจะมีสิทธิ์ได้หญิงงามเช่นนั้นหรือไม่”

ชายหนุ่มลูบท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของตัวเอง เขาเริ่มสงสัยว่าต้องกินมากเท่าไรถึงจะมีพุงได้ขนาดนั้น

“เอาเวลาไปเพิ่มสติปัญญาของเจ้าดีกว่า”

ได้ยินอย่างนี้แทนที่จะเข้าใจว่าถูกเหน็บ หยางผูกลับนึกได้ว่าสหายหมายปองสตรีนางนี้อยู่ ชายหนุ่มผู้รักเพื่อนจึงจงใจเข้าไปท้าทายองค์ชายห้า เพื่อให้เป้าหมายอับอายต่อหน้าสตรี

จอมป่วนแห่งเผ่าทะเลทราย เดินอาดๆ ไปท้าศัตรูหัวใจของสหายแข่งยกช้าง โดยเป็นฝ่ายทำให้ดูก่อน ลูกคชสารเหมันต์ตัวน้อยหนักกว่าที่คาด แต่หยางผูก็ยกให้มันลอยขึ้นมาได้ถึงหนึ่งศอก เด็กๆ เห็นแบบนั้นก็ตบมือกันเกรียว

“ข้าสุดยอดใช่ไหมเล่า ถ้าไม่มีปัญญาทำ หรือกลัวแพ้ก็ไปให้พ้นหน้าซะ ฮ่ะๆ” คนขี้โอ่เท้าเอววางท่า

องค์ชายห้าไม่ตอบโต้ ชายผู้รักการปฏิบัติมากกว่าคุยโว จัดการโชว์เทพด้วยการยกลูกช้างลอยขึ้นเหนือศีรษะ ไม่เพียงแต่ยกค้างไว้อยู่นาน แต่ยังเดินไปมาราวกับว่าเจ้าก้อนเนื้อหนักอึ้งนั่นน้ำหนักเบาเหลือประมาณ เสร็จแล้วก็วางมันกลับลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวล พร้อมกับพูดนิ่มๆ ว่า

“ถ้าจะแข่งกันจริง ควรหาอะไรที่หนักกว่านี้”

งานนี้หยางผูแพ้แบบหลุดลุ่ย คนตัวใหญ่หัวใจเด็กไม่ยอมทนต่อความพ่ายแพ้ เขาวิ่งเร็วจี๋หนีไปทันทีก่อนจะโดนเยาะเย้ย

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ตอนนี้ขำๆ เบาๆ กันก่อนนะคะ
ก่อนจะกลับไปต้มมาม่ากันในตอนหน้า
แล้วจะกินมาม่ากันยาวๆ สักสามสี่ตอนนะจ๊ะคนดี
แล้วจะกลับมาเฮฮาอีกครั้งเมื่อแก๊งตุ๊ดรวมตัว
สตรองไว้นะแม่นางทั้งหลาย พวกเจ้าต้องเข้มแข็ง!!!



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มี.ค. 2560, 00:00:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มี.ค. 2560, 00:00:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 946





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๑๐ แม่ไม่ปลื้ม   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๒ สายใยที่ตัดไม่ขาด >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account