ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน

ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน


อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย


พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน


ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร


ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา



เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น



หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย



หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา



และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช


ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์

ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 15

มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑๕

หลังจากชำระล้างร่างกาย กระทำพิธีช่วงเย็น และรับประทานอาหารเสร็จ นลินนาก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าเล่าทุกอย่างให้นินซาฟัง ทั้งเรื่องที่เธอมาจากอนาคตกาล...พุทธศตวรรษที่ ๒๖ ในดินแดนทางตะวันออกอันห่างไกลเกินกว่าคนแถบนี้จะนึกถึง การได้พบกับนทีเทพผู้สถิตอยู่ในอัปซู...มหาสมุทรใต้พิภพ ได้รับรู้ความจริงหลายประการ ตลอดจนประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ยุคเธอรับรู้...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพอจะระลึกได้ และกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด

ทีแรก นลินนาคิดว่า นินซาคงจะตะลึงกว่านี้ ทว่านักบวชพี่เลี้ยงสาวกลับสงบนิ่งเกินคาด ร่างแบบบาง ขาวสะอ้านอย่างชนเซมิติคนั้นนิ่งฟัง ใคร่ครวญ จากนั้นจึงลุกขึ้นอย่างเงียบงัน พูดเพียงว่า

“มาเถิดนลินนา ทิวาสิ้น ดาราพร่างพราย ได้เวลาร่ำเรียนแล้ว”

วาจานั้น พาให้สตรีจากอนาคตกาลแหงนมองงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกตาม เดินตามนักบวชพี่เลี้ยงสาวขึ้นสู่บันไดอิฐดิบอันกรุยสู่ชั้นดาดฟ้าของวิหาร





บรรยากาศบนดาดฟ้าวิหารเงียบสงบ มีเพียงสุรเสียงแห่งวาตเทพเอนลิลแลเสียงสนทนาเบากระซิบเท่านั้น นักบวชสตรีหลายนางต่างเพ่งพิศไปยังมวลดารากรอันพร่างพรายไปทั่วโพยมมณฑล พร้อมทั้งจดวิถีการโคจรของดวงดาราลงบนตารางในมัตติกาจารึก สิ่งนี้สำแดงชัดเจนว่า ชาวคัชดูคือ ยอดนักดาราศาสตร์โดยแท้จริง และหนึ่งในดาราที่ชาวคัชดูสนใจย่อมไม่พ้น นินซิอันนา ดาวศุกร์ ดาราแห่งมหาเทพีอิชทาร์

ณ ที่นั้น นลินนานอนแผ่บนเสื่อกกเคียงข้างนินซา แพรผมแผ่กระจาย กวาดมองตามนิ้วของนักบวชพี่เลี้ยงสาวอันชี้วาดไปตามหมู่ดาวแต่ละราศี แต่ละหมู่ดาว แต่ละดาวล้วนมีตำนานเป็นของตนเอง ความกระจ่างแห่งท้องฟ้า และความเก่งกาจของนินซา ทำให้คนเกลียดวิชาดาราศาสตร์เข้าไส้อย่างนลินนากลับกลายเป็นชื่นชอบได้โดยไม่ยากเย็น กระนั้นความขุ่นมัวในอารมณ์ก็ยังกระจายตัวอยู่ในใจ

“นลินนา...เจ้าบอกว่า ประวัติศาสตร์ของเราเปลี่ยนไปกระนั้นหรือ?”

นินซาเอ่ยถามขึ้นมา หล่อนเสียเวลาตั้งสติวูบหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ใช่ ในยุคของฉัน บาบิลิมช่วงนี้ยืนยงอยู่เพียงเจ็ดสิบห้าปีเท่านั้น ไม่มีกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ไม่มีเจ้าชายเพชกัลดาราเมช ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น...”

ครั้นพูดก็อดใจหายไม่ได้ เมื่อคิดว่า พระพักตร์เคร่งขรึม ทว่าอ่อนโยนของเจ้าชายเพชกัลดาราเมช พระพักตร์ทรงอำนาจ ทว่าก็เปี่ยมพระเมตตาของกษัตริย์อาเคอร์ดูอานา ตลอดจนเจ้าชายนาโบนัสซาร์ เจ้าหญิงเอนนิกิกาลดิ-นันนา พระราชินีแทปปูติ แลพระบรมวงศานุวงศ์องค์อื่น ๆ ทุกคนไม่เคยมีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคเธอก็พานรู้สึกเศร้าขึ้นมา

“และตอนนี้เจ้ากำลังบอกว่า แม่ทัพเนริกลิสซาร์ ข้าราชการระดับสูงในประวัติศาสตร์ของเจ้าคือ กษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งบาบิลิม?”

นลินนาฟัง แล้วจึงพยักหน้า เหตุแห่งการกบฏของแม่ทัพเนริกลิสซาร์คือ การที่บ้านเมืองถูกปกครองด้วยกษัตริย์ทรราช ทว่าบัดนี้เจ้าชายอเมล-มาร์ดุคมิได้ขึ้นครองราชย์ กลียุคยังไม่ได้บังเกิด แต่จักวางใจได้เช่นไร ถ้าประวัติศาสตร์ดำเนินตามจริง บางทีแม่ทัพเนริกลิสซาร์อาจก่อกบฏ ด้วยตัวท่านแม่ทัพเองก็มีสิทธิในราชบัลลังก์เฉกกัน

กระนั้นภาพที่เจ้าชายเพชกัลดาราเมชแลแม่ทัพเนริกลิสซาร์ทำความเคารพแก่กันในยามเย็นกลับฉายซ้อนมา ในทีท่าอันเคร่งขรึม องอาจ และนอบน้อมนั้น ไร้วี่แววแห่งการก่อกบฏ การช่วงชิงบัลลังก์จักเกิดขึ้นได้อย่างไร นลินนาคิดไม่ออกเลย เพราะท่านแม่ทัพเนริกลิสซาร์ก็ดูเทิดทูนองค์รัชทายาทหนุ่มเสียปานนั้น ทว่าด้วยความที่ศึกษาประวัติศาสตร์และร่ำเรียนมาในทางมานุษยวิทยา สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้ และการช่วงชิงอำนาจของสัตว์สองขาที่เรียกตนเองว่า มนุษย์นั้นคือ สัจธรรม คือภาพอันเน่าเหม็นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์

“หากเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมาจริง แสดงว่า ปัจจัยที่ทำให้ท่านแม่ทัพจักกบฏก็ตกไปแล้วปัจจัยหนึ่ง ท่านแม่ทัพเนริกลิสซาร์นั้น สร้างความดีความชอบมาแต่รัชกาลก่อน เป็นหนึ่งในผู้พิชิตกรุงเยรูซาเล็มแห่งอาณาจักรยูดาห์ เป็นผู้ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พระราชทานพระราชธิดา...เจ้าหญิงคัสซายาให้ หากแม่ทัพเนริกลิสซาร์จักกบฏจริง อะไรเล่า ทำให้เขาต้องการเช่นนั้น”

เพราะวาโยกระโชกแรง ทั้งคู่จึงสนทนาได้โดยสะดวกใจ ณ ขณะนี้นักบวชรูปอื่นต่างไม่สนใจพวกเธอ ข้อนี้เองที่นลินนาคิดไม่ตก ภารกิจนี้ใหญ่หลวง ทั้งที่ปัจจัยหลายอย่างบอกตรงกันว่า เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วง ทว่านลินนาไม่ปรารถนาทอดทิ้งทุกความเป็นไปได้ ด้วยกลัวว่า หากเมินเฉย ผลลัพธ์ที่ได้คือ การสังเวยด้วยชีวิตของราชนิกุลบาบิลิม

คงเพราะสีหน้าหล่อนกลัดกลุ้มเกินทน ฝ่ามือแบบบางของนินซาจึงทาบลงบนไหล่เธอ

“เจ้าอย่าได้กังวลเลยนลินนา...”

คำนั้นพาหล่อนเงยหน้าขึ้น แลเห็นรอยยิ้มของนักบวชพี่เลี้ยง มองตามนิ้วเรียวยาวอันชี้ขึ้นสู่ฟากฟ้า

“นั่นคือ ดาวประจำนครบาบิลิม” ดาราดวงหนึ่งแวววาวดุจเกล็ดเพชร “เจ้าเห็นหรือไม่ มันยังคงเจิดจ้าแจ่มจำรัส ตราบใดดาวเมืองยังมิหม่นแสง บาบิลิมจักยังมิล่มสลาย เจ้าอย่าได้กังวลเลย มหาเทพมาร์ดุคแลมหาเทพีอิชทาร์ยังคงปกป้องบาบิลิม”

สดับดังนั้น ธิดาแห่งอิชทาร์ก็คลี่ยิ้มอ่อนจาง รู้ดีว่า นินซาต้องการปลอบใจเธอ แต่แล้วดวงหน้ากลับหม่นหมองลง ด้วยหล่อนยังคงลังเลว่า ควรกราบทูลเรื่องนี้ต่อเจ้าชายแห่งบาบิลิมหรือไม่ แลที่หนาหนักใจยิ่งกว่าคือ...ผู้ใดเล่าจักรับฟังความจริงอันเหลือเชื่อนี้





อุษาแสงจับขอบโพยม ชามาช สุริยเทพผู้ทรงยุติธรรมเสด็จสู่พระกรัชกายแห่งนภาเทพอานูอีกวาระหนึ่ง ในห้องอันโอบคลุมด้วยบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ของประมุขแห่งวิหารมหาเทพี นักบวชสตรีผู้คอยอภิบาลธิดาแห่งอิชทาร์กำลังรายงานถึงสิ่งที่นางได้รับรู้ในราตรีที่แล้วจนครบถ้วนกระบวนความ ทั้งโชคชะตาของนครทวาราแห่งทวยเทวัญ ทั้งตัวตนที่แท้จริงของธิดาแห่งยุทธเทพี นางเป็นใคร มาจากที่ไหน อยู่ในช่วงเวลาใด มาถึงที่นี่ได้อย่างไรล้วนถูกถ่ายทอดออกมาจนหมดสิ้น กระทั่งข้อความสุดท้ายจบลง ความเงียบงันจึงเข้าคลุมแผ่บริเวณ

นินซาจบรายงานด้วยดวงหน้าเรียบนิ่ง

แลเป็นดังคาด ดวงพักตร์ของหัวหน้านักบวชฉายแววสงบ นัยน์เนตรครุ่นคิด ราวทุกอย่างอยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว กระนั้นก็ยังเผยแววหนาหนักใจ หากตอนนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มิตัดสินพระทัยเลือกเจ้าชายอาเคอร์ดูอานาให้ขึ้นครองราชย์แทนตามคำพยากรณ์ของหัวหน้านักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุค ป่านนี้มหานคราบาบิลิมหรือจะมิสูญสิ้น นับว่า มหาเทพมาร์ดุคยังโปรดปรานบาบิลิมอยู่บ้าง

“ข้าทราบแล้ว หากมีเรื่องใดอีกก็มารายงาน หน้าที่ของเจ้าคือ อภิบาลธิดาแห่งมหาเทพีให้ดีที่สุด”

จบคำ ร่างในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์จึงยอบลงอย่างนอบน้อม แล้วค่อย ๆ ลับหายไปจากช่องประตูอย่างเนิบช้า

ลับร่างในอาภรณ์สมณเพศไป สรีระอันสมส่วนของหัวหน้าภิกษุณีจึงก้าวลงจากบัลลังก์งาช้าง ดำเนินสู่ห้องบูชาขรึมสลัวใจกลางวิหาร ก่อนจักคุกเข่าลงเบื้องหน้าเทวรูปนารี

กลางมณฑลศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นกำยานมดยอบอายอวล ถ้อยวาจาแห่งมหาเทพีผู้ทรงอำนาจเหนือดินแดนแถบนี้มาช้านานหวนคืนสู่ความทรงจำ

“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์แห่งข้า อีกมินาน ธิดาแห่งข้าจะหวนคืนสู่มาตุภูมิ เมื่อกาลนั้นมาถึง เจ้าจงปกปักธิดาแห่งข้า นางจักนำมาซึ่งความอยู่รอดแห่งบาบิลิม นางจักเป็นผู้ยังมาซึ่งสันติ ท่ามกลางความโหดเหี้ยมแห่งสงคราม”

ด้วยเหตุนี้เอง หัวหน้านักบวชแห่งอิชทาร์จึงนำสตรีผู้ปรากฏกายท่ามกลางเทศกาลอคิตูมาไว้ในความดูแล แลประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้นางอย่างถึงที่สุด เพื่อให้เมื่อกาลอันเลวร้ายมาถึง นางจักสามารถรับมือได้ด้วยสติและปรีชาญาณ ที่หวังเป็นอย่างยิ่งคือ สงครามจักมิบังเกิด ทว่าสุรเสียงแห่งมหาเทพีก้องกังวาน ทิพยองค์โปร่งแสงประทับตระหง่านอยู่เบื้องหลังเทวรูปดำทมิฬ

“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์แห่งข้า อย่าได้อ้อนวอนมิให้สงครามบังเกิดเลย ด้วยเจ้าเองก็ทราบดีว่า สงครามคือธรรมชาติแห่งดินแดนแถบนี้ ประวัติศาสตร์แห่งบาบิลิมจารด้วยเลือด และล้างด้วยเลือด เมื่อถึงกาลสงครามจักต้องอุบัติ เมื่อนั้นชะตากรรมแห่งบาบิลิมจักเป็นฉันใด ธิดาแห่งข้าและโอรสแห่งมาร์ดุคจักเป็นผู้ลิขิตมัน”

หัวหน้าภิกษุณีก้มเศียรลง น้อมรับเทวดำรัส ภาวนาให้การร่ายรำแห่งอินันนาอย่าบังเกิดขึ้นในเร็ววัน





เพราะหยุดเรียนไปหลายครา ทันทีที่ตื่นมาและประกอบกิจทางศาสนาเสร็จ สตรีจากอนาคตกาลก็ต้องตามเรียนของส่วนที่หยุดไปแลส่วนของวันใหม่แทบทั้งวัน ปราศจากเวลาให้หล่อนนั่งกังวลใจ เมื่อราตรีที่แล้ว...นลินนาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผิวน้ำในอ่างสำริดจักส่องแสงกระเพื่อมแวบวาบ เพื่ออย่างน้อยก็จะได้ปรึกษากับมารดา ฤาไม่ก็อ้อนวอนให้ช่วยหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์อะไรสักอย่างเผื่อจะพอหาหนทางใดได้บ้าง ทว่าผืนน้ำกลับนิ่งสนิท สะท้อนเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันมะกอก

พอถึงช่วงพักกลางวัน นลินนาก็พบกับนักบวชสตรีกลุ่มที่นินทาเธอเมื่อวาน แม้ไม่ได้เห็นหน้า แต่นลินนากลับจำเสียงได้แม่นยำ วาจาเหล่านั้นยังคงก้องชัดในห้วงโสตของเธอ แม้จะกระอักกระอ่วนใจ ทว่านักบวชสาวก็ยังฝืนยิ้มทักทาย หวังว่า การสำแดงความจริงใจของตนจะพอผ่อนเพลาความเกลียดชังของพวกนางต่อตัวเธอลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

หลังจากคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาทั้งวัน การเรียนการสอนจึงยุติลง พร้อมกับข่าวดีที่ว่า คืนนี้หล่อนสามารถพักได้ แล้วค่อยไปร่ำเรียนดาราศาสตร์ในราตรีถัดไปแทน แต่ก็มาพร้อมกับตำรับตำราอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย จนบัดนี้ในห้องเธอเต็มไปด้วยแผ่นดินเหนียวเผาไฟเรียงกอง ทั้งการบ้านในแต่ละวัน พจนานุกรม ตลอดจนตำรับตำราต่าง ๆ และบันทึกทางชาติพันธุ์วรรณาที่นักศึกษามานุษยวิทยาสาวยังคงเพียรเขียนอยู่เป็นนิจ

บัดนี้เรือนกายของหญิงสาวชุ่มชื่นและอ่อนนุ่ม เพราะเพิ่งชำระล้างร่างกายเสร็จ แลชโลมด้วยน้ำมันหอมทั้งกายาและเส้นผม เรือนร่างสูงโปร่งยุรยาตรเข้าสู่ห้องพัก พร้อมกับใช้ผ้าป่านผืนบางซับเส้นผมให้แห้ง เนื่องจากพอตะวันตกดินอากาศจะหนาวจนพานเป็นหวัดได้ง่าย ๆ แต่ยังไม่ทันได้พักผ่อนหย่อนใจ ก็มีเด็กหญิงตัวจ้อยในอาภรณ์ขาวรุงรัง เส้นผมดำหยักศกเปียกลีบวิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมส่งเสียงใสแจ้ว

“ท่านพี่นลินนาเจ้าคะ มีคนจากในวังมาหาเจ้าค่ะ เป็นผู้ชายตัวใหญ๊ใหญ่ ขับรถศึกมาด้วย”

เด็กหญิงตัวน้อยบอก พร้อมกางแขนออกกว้างแสดงถึงเรือนร่างใหญ่โตของผู้มาเยือน ทำให้คนฟังรู้สึกงุนงงพอ ๆ กับขำขัน เอ่ยถามคลี่ยิ้ม

“ใครหรือจ้ะ?”

เด็กหญิงทำท่างุนงง ดวงตากลมแป๋ว ส่ายหน้าดิก “ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่เหมือนจะเป็นทหาร เขาพกกริชกับดาบมาด้วย

นลินนาขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วจึงยิ้มให้เด็กหญิงตรงหน้า “ขอบใจมากจ้ะ รีบไปซับผมให้แห้งได้แล้วนะ เดี๋ยวเป็นหวัด” ว่าพลาง ฉวยผ้าแถวนั้นลงซับผมให้เด็กหญิง พร้อมกับก้มลงหอมแก้มหอมผมอย่างเอ็นดู เด็กหญิงจึงฉีกยิ้มกว้าง หอมเธอตอบ พลางใช้มือกุมผ้าที่แปะอยู่บนหัว แล้ววิ่งปรู๊ดออกไปอย่างรวดเร็วชนิดที่นักบวชพี่เลี้ยงมาเห็นคงไม่วายตำหนิติเตียน

เมื่อร่างจ้อยหายลับ นลินนาจึงรีบซับผม คว้าผ้าคลุมไหล่ แล้วเร่งฝีเท้ากระชั้น ด้วยเหตุผลสองประการคือ ไม่อยากให้ผู้มาเยือนคอยนานจนเกินไป และไม่อยากให้คนในวิหารนำไปนินทาว่า เธอสนิทสนมกับคนในราชสำนักจนเกินควร

แสงอาทิตย์อ่อนจางลงมากแล้ว ผู้มาสักการะจึงค่อย ๆ ลาลับ เมื่อนลินนาออกพ้นจากตัวเขตวิหาร จึงพบผู้มาเยือนได้ไม่ยากเย็น และบุคคลผู้นั้นก็คือ ซิน-มูบัลลิต องครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายเพชกัลดาราเมชนั่นเอง นลินนารีบซอยเท้าลงจากบันไดอิฐดิบอย่างว่องไว แล้วสาวเท้าเข้าไปหาทันที

“รอนานไหมคะ ซิน-มูบัลลิต?” นลินนาเอ่ยทักทายเป็นคำแรกทันที เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับชื่อยาว ๆ ของชาวเมโสโปเตเมีย

“ไม่นานหรอกขอรับ” องครักษ์หนุ่มยิ้มรับ และต่อให้รอมานาน องครักษ์หนุ่มร่างกำยำเบื้องหน้าก็มิมีทางกล่าวออกมาแน่นอน

“ว่าแต่มาหาป่านนี้มีเรื่องอะไรหรือคะ?” พลันนักบวชหญิงเอ่ยถาม องครักษ์หนุ่มจึงยกหีบไม้ข้างกายขึ้นมา พร้อมกับเปิดอ้าให้ดู ภายในจุแน่นไปด้วยมัตติกาจารึก

“เจ้าชายเพชกัลดาราเมชมีพระบัญชาให้นำเอกสารเหล่านี้มาให้ขอรับ บอกว่า ให้ท่านนลินนาเอาไว้อ่าน เผื่อมีประโยชน์อันใดบ้าง”

ได้ยินดังนั้นก็นึกได้ทันทีว่า องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมมีรับสั่งว่า จะนำเอกสารราชการมาให้เธออ่านและพิจารณาดู คงเพราะความวุ่นวายแท้ ๆ ทำให้เธอหลงลืมไปสนิท

“ขอบคุณมากนะคะ” นักบวชหญิงเอ่ยพลางรับหีบหนักอึ้งมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะส่งให้ทาสประจำวิหารนำไปเก็บยังห้องเธอ โดยมิวายกำชับว่า ต้องส่งถึงห้อง ห้ามเปิดแง้ม หรือฝากใครส่งแทนเป็นอันขาด พอสั่งการเสร็จแล้ว จึงหันไปเอ่ยถามถึงนายเหนือหัวของนายทหารหนุ่มตรงหน้า

น่าแปลก...อยู่ดี ๆ เธอก็นึกถึงพระองค์ นึกสงสัยว่า ยามตะวันรอนแสงเช่นนี้ พระองค์กำลังทำอะไร “ตอนนี้เจ้าชายเพชกัลดาราเมชทรงทำอะไรอยู่หรือคะ?”

ซิน-มูบัลลิตมีท่าทีงุนงง ก่อนคลี่ยิ้มประหลาด “ตามเสด็จกษัตริย์อาเคอร์ดูอานาตรวจตราการเพาะปลูกขอรับ คาดว่า อีกมินานก็น่าจะโดยเสด็จกลับ ตอนนี้คงกำลังทรงตรวจตราการชลประทานรอบ ๆ เมืองอยู่”

นลินนารับฟัง แล้วก็รู้สึกสงสารในภาระอันหนาหนักขององค์รัชทายาทหนุ่มเหลือเกิน น้ำสำคัญมากสำหรับบาบิลิม แม้จะมีแม่น้ำพูรัตตูหรือแม่น้ำยูเฟรตีสหล่อเลี้ยง ทว่าเมโสโปเตเมียก็เหมือนอียิปต์ เหมือนแม่น้ำไนล์ บางทีธาราก็เหือดแห้งหายไป บางคราก็หลากล้นสร้างความเสียหาย เพราะฉะนั้น ยามใดพืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดีจึงต้องเก็บกักไว้มาก ๆ เพราะยามแห้งแล้งขึ้นมา เสบียงกรังเหล่านี้จักมีค่ามาก และต้องนำมาแจกจ่ายให้ประชาชนในยามจำเป็น ฤาถ้าไม่ใช่กักเก็บไว้เผื่อหน้าแล้ง ก็กักเก็บไว้เป็นเสบียงสงคราม พอเห็นภาพกองทัพแห่งบาบิลิมแล้ว นลินนามิทราบเลยว่า บาบิลิมจักต้องใช้เสบียงกรังเท่าใดในการหล่อเลี้ยงทหารกองทัพหนึ่ง และแน่นอนว่า ส่วนหนึ่งย่อมมาจากแคว้นประเทศราช

พลันนึกถึงสงคราม ความหวาดหวั่นเดิมจึงแล่นเข้ากุมหัวใจ ดวงหน้าพลันหมองลง พูดได้เพียงว่า “ฝากกราบทูลให้รักษาพระองค์ด้วยนะคะ”

“ข้าจะทูลให้ขอรับ” ซิน-มูบัลลิตยิ้มรับ ก้มศีรษะลา แล้วเดินลงกลับไป

นักบวชสตรีจดมองภาพนั้น ความกังวล หวาดหวั่น ลังเลแล่นพลุ่งพล่าน ยืนส่ายละล้าละลัง จนร่างกำยำขององครักษ์หนุ่มเกือบลับตา เสียงใสจึงโพล่งออกไป “เดี๋ยวก่อนค่ะ ซิน-มูบัลลิต!”

บาทองครักษ์หนุ่มชะงัก เหลียวร่างกลับมา “มีอะไรหรือขอรับ?”

นอกจากคำถามคือสีหน้างุนงง นักบวชสาวสูดลมลึก พยายามระงับความหวั่นกลัว ควบคุมสีหน้าตนเอง ขณะมือกลับกำผ้าคลุมไหล่แน่นจนยับย่น “ฉันมีเรื่องจะถามค่ะ...” เสียงใสเว้นไปชั่วอึดใจหนึ่ง “เกี่ยวกับท่านแม่ทัพเนริกลิสซาร์ คุณช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ?”

องครักษ์หนุ่มงงงัน ประหลาดใจในกิริยาของนักบวชสตรี “อยากทราบเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

และแล้ววาจาก็ถูกปล่อยออกไป “ทุกเรื่องที่คุณรู้ค่ะ”

คำตอบพาองครักษ์หนุ่มนิ่งอั้น แต่สุดท้ายก็ยินยอมเล่าแต่โดยดี เนื้อหาที่ถูกถ่ายทอดมีทั้งที่ซ้ำกันกับนินซา และเนื้อหาใหม่อย่างท่านแม่ทัพเนริกลิสซาร์เป็นผู้สุขุมเยือกเย็น แลมีความจงรักภักดียอดยิ่ง เป็นบุคคลที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยอมรับ และพระราชทานพระราชธิดาให้ แม้ว่า ท่านจะไม่ใช่ชาวคัชดู แต่เป็นชาวบาบิลิมดั้งเดิมก็ตาม นอกนั้นก็เป็นเรื่องทางการทหาร ฟังแล้วดูไม่มีทางใดเลยจักบ่งบอกว่า แม่ทัพผู้ทรงวัยวุฒิจักเป็นภัยต่อราชวงศ์คัชดู หากคนที่มาอยู่ตรงนี้เป็นโจแอน นลินนาเชื่อว่า นักศึกษาภาควิชาอัสซีเรียวิทยาสาวคงทำประโยชน์ได้มากกว่านักศึกษามานุษยวิทยาอย่างเธอ

กระนั้นนลินนาก็เป็นทายาทแห่งตระกูลเทวาสถิต เป็นบุตรีแห่งอมันดารี มารดาเธอไม่เคยละเลยทุกความเป็นไปได้ ทุกอย่างล้วนต้องแน่ใจ ไม่มีการปล่อยปละรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หลุดลอย และเธอเองก็เช่นกัน

“...ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้ขอรับ แต่ถ้าอยากรู้ลึกกว่านี้ คงต้องถามขุนพลเก่าแก่”

“ซิน-มูบัลลิตคะ ฉันมีอีกเรื่องอยากจะขอร้อง” องครักษ์หนุ่มเลิกคิ้วเชิงถาม ยืนตระหง่านตัดกับฉากท้องฟ้าสีส้ม

“คุณช่วยพาฉันไปหาเจ้าชายเพชกัลดาราเมชหน่อยได้ไหมคะ?”

นายทหารร่างกำยำงงงันอีกคำรบหนึ่ง ทว่าพลันสบกับนัยน์ตาทอประกายกล้าเด็ดเดี่ยว ซิน-มูบัลลิตจึงทราบว่า ตนไม่มีหนทางปฏิเสธอีกแล้ว





เสียงบรรเลงดุริยางค์ ณ โถงในพระราชวังใต้แผ่วเบาลงตามลำดับ พร้อมกับเสียงสรรเสริญในพระปรีชาญาณด้านสังคีตศิลป์ของเจ้าชายนาโบนัสซาร์ ในบรรดาเจ้าชายทั้งสี่แห่งบาบิลิม เจ้าชายนาโบนัสซาร์นับว่า มีพระปรีชาญาณในสังคีตศิลป์แลบทกวีมากที่สุด ประกอบกับพระอุปนิสัยอ่อนโยน มีพระอัธยาศัยดีเลิศ และเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของข้าราชบริพารแลผู้ที่พบเห็น เสียอย่างเดียวคือ เจ้าชายนาโบนัสซาร์มิโปรดเรื่องการสงครามและศาสตร์แห่งกษัตริย์นัก มิฉะนั้น ราชบัลลังก์แห่งบาบิลิมจักมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกพระองค์หนึ่ง แลสำหรับเจ้าชายอีกพระองค์ หากมีความพระทัยเย็น แลพระวาจาอันน่าฟังกว่านี้สักหน่อย บัลลังก์แห่งบาบิลิมก็จักมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกเฉกกัน

ครั้นการประชุมปราชญ์เมธีแลคีตกวีจบสิ้นลง ผู้เข้าร่วมประชุมจึงพากันทยอยทูลลากลับไป ทิ้งโถงกว้างให้เปล่าโล่ง หลงเหลือเพียงพระกรัชกายสง่า แลดูละมุนละม่อมของเจ้าชายนาโบนัสซาร์อันประทับบนพระยี่ภู่สีสดเท่านั้น นอกนั้นจึงคือ มหาดเล็กที่คอยมาเก็บกวาดทุกอย่างให้เป็นระเบียบ

ชั่วครู่หนึ่ง มหาดเล็กก็พากันยอบกายเป็นพัลวัน เจ้าชายนาโบนัสซาร์แหงนพระพักตร์มอง ทันใดนั้นก็ได้ทอดพระเนตรพระอาการเดินหนักแน่นเชื่องช้า ทว่าดุดันประหนึ่งพายุของพระเชษฐาซามูลาเอล ทัศนาดังนั้นจึงยกหัตถ์ข้างที่ว่างทำความเคารพ ขณะอีกหัตถ์ยังคงโอบประคองพิณรูปโคประดับประดาด้วยอัญมณี แลงาช้างล้ำค่าไว้ในอ้อมพระกร

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่หรือพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่?” สุรเสียงแห่งเจ้าชายนาโบนัสซาร์ทักทายอย่างนุ่มนวล ตามปรกติพระเชษฐาซามูลาเอลมิสนพระทัยการสังคีตแลบทกวีนัก เพราะทอดพระเนตรเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ทรงไม่โปรดแม้กระทั่งการวาดรูปที่พระองค์และพระเชษฐาเพชกัลดาราเมชโปรด

“ข้าต้องการคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเสด็จพี่และสตรีนางนั้น”

พลันได้ยินกระแสรับสั่งแห่งพระเชษฐา เจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็เข้าพระทัยทันควัน จึงตรัสสั่งให้มหาดเล็กเตรียมพระยี่ภู่สำหรับพระเชษฐาให้ประทับข้างกัน พร้อมประทานพิณในอ้อมพระกรให้นำไปจัดเก็บในห้องส่วนพระองค์ จากนั้นจึงมีรับสั่งให้ผู้อื่นในโถงล่าถอยออกไป

“ทรงมีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ข้าคิดว่า เจ้าคงเห็นความสนิทสนมของเสด็จพี่กับสตรีนางนั้น เจ้าก็รู้ว่า เสด็จพี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งโสเภณีผู้ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดในบาบิลิม หรือธิดาแห่งกษัตริย์แคว้นใดก็มิเคยทรงสนพระทัย อีกอย่างสตรีนางนั้นแม้จักได้รับคำทำนายจากมหาเทพอีเอ แต่จักเชื่อใจได้อย่างไรกับสตรีที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นางมาในอาภรณ์แปลกประหลาด เรือนกายเปียกชุ่ม ไม่มีใครรู้ที่มาของนาง นางพูดซูเมอร์ได้ แต่กลับไม่สันทัดอราเมอิก ภาษาดั้งเดิมของชาวคัชดู และภาษาที่ใช้ทั่วไปในแถบนี้ และที่สำคัญหน้านางคล้ายชาวเมเดส แต่ก็มิใช่เสียทีเดียว เจ้าจักให้ข้าไว้ใจได้อย่างไร หนำซ้ำเจ้าก็ทราบถึงสิ่งที่เสด็จพ่อแลเสด็จแม่มีพระราชดำริอยู่ การที่เสด็จพี่จักใกล้ชิดกับนางเป็นการมิบังควร”

เจ้าชายพระองค์ที่สามแห่งบาบิลิมประทับแลสดับนิ่ง ทอดถอนพระหทัย มีหรือจะมิเข้าพระทัยสิ่งที่พระเชษฐาซามูลาเอลตรัสมา นลินนาเป็นสตรีลึกลับ ไร้ซึ่งที่มา ปกติยามพระองค์ทอดพระเนตรสตรีนางอื่น พวกนางสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เนตรของนางจะเปิดเผยความในใจของนาง ทว่ากับนลินนาพระองค์พอรู้ว่า นางรู้สึกเช่นไร แต่กลับอ่านใจนางไม่ออก เนตรของนางเผยเพียงความลึกลับ เป็นวังวนอันยากหยั่งถึง ความงามของนางมิใช่เพียงความงามอันตรึงตาตรึงใจ แต่เป็นความงามอันลี้ลับเกินกว่าบุรุษทั่วไปจักสามารถสัมผัส ทว่าแค่มีเชื้อไฟแห่งความระแวงจากพระเชษฐาซามูลาเอลก็มากเกินพอแล้ว

“หม่อมฉันเข้าใจในพระดำริของเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังมิเห็นการณ์ใดเสียหาย เรื่องที่เสด็จพ่อแลเสด็จแม่มีพระราชดำริอยู่ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นพระราชดำริอยู่อย่างนั้น แลเราก็ยังมิได้เจรจากันเป็นเรื่องเป็นราว ก็ถือว่า เรื่องนี้ยังมิได้บังเกิดขึ้น ส่วนสำหรับนลินนา หม่อมฉันยอมรับว่า นางเป็นสตรีที่เรามิทราบหัวนอนปลายเท้า แต่คำพยากรณ์ในเทศกาลอคิตูก็เป็นที่ประจักษ์ชัด เสด็จพี่ก็ทรงทราบดีว่า คำพยากรณ์ใดจักศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าคำพยากรณ์จากทวยเทพในเทศกาลอคิตูนี้ไม่มีอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น...บัดนี้ นางเป็นนักบวชแห่งมหาเทพีอิชทาร์ แลบางทีอาจได้เป็นถึงนักบวชสูงสุด เรื่องนางกับเสด็จพี่เพชกัลดาราเมช ถ้าเกิดเป็นจริง ราชวงศ์ของเราก็จักมั่นคงยิ่งขึ้น นางกับเสด็จพี่เพชกัลดาราเมชจักได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนั้นเหล่าทวยเทพจักพึงพระทัย อีกอย่าง...เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่า น้อยนักที่เสด็จพ่อจักทรงโปรดใคร หากเสด็จพ่อทรงโปรดใคร ก็แสดงว่า ผู้นั้นย่อมมิใช่ธรรมดา”

สดับดังนั้น เจ้าชายซามูลาเอลก็ทรงนิ่งเป็นดุษณี ด้วยนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์คัชดูมานั้น กษัตริย์แห่งบาบิลิมล้วนอภิเษกสมรสด้วยเหตุผลทางสงคราม เพื่อการเป็นพันธมิตรแลรักษาเผ่าพันธุ์ การอภิเษกสมรสเพื่อสานสัมพันธ์กับศาสนจักรยังมิเคยบังเกิด เว้นแต่ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์

แลยิ่งเป็นการอภิเษกสมรสระหว่างโอรสแห่งมาร์ดุคแลธิดาแห่งอิชทาร์เล่า แน่นอนว่า ทวยเทพย่อมพึงพระทัย การที่การเมืองแลศาสนจักรมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นต่อกันย่อมส่งผลดี เพราะผู้เป็นกษัตริย์ย่อมทราบดีว่า แม้แต่กฎหมายก็ปกครองคนได้ไม่เท่าความเชื่อและความศรัทธา

“แสดงว่า เจ้าเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้?”

แม้จักกังวล ทว่าเจ้าชายนาโบนัสซาร์ยังคงแย้มพระสรวลละมุน แสงสว่างจากช่องกลางอาคารส่องกระทบกับผนังกระเบื้องลายสีหราชราวถูกย้อมด้วยเลือด “พ่ะย่ะค่ะ จนบัดนี้หม่อมฉันยังมิเห็นสิ่งใดเสียหาย แลถ้าการณ์นี้สัมฤทธิ์ผล บาบิลิมจักเป็นปึกแผ่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา หม่อมฉันว่า นางอาจเป็นสตรีลึกลับ แต่มิใช่คนเลว”

พระพักตร์คมเข้ม แต่มีเค้าอ่อนละมุนทอดพระเนตรพักตร์เรียบขึ้งแห่งพระเชษฐา พระหทัยประหวัดนึกถึงนลินนา...สตรีผู้กุมความลับไว้ภายใต้ความไร้เดียงสา แลแววตาอันสงบนิ่ง สตรีผู้มีความลับอันรอกาลเปิดเผย

ครั้นกาลคล้อยสู่อัสดง ทวารวังจึงค่อยเคลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่นประกาศการเสด็จนิวัตของกษัตริย์แห่งบาบิโลเนีย ขบวนรถศึกยาวเหยียดเคลื่อนตัวเข้าสู่ลานกว้างหน้าห้องบัลลังก์ โดยมีทหารม้าส่วนหนึ่งรุดหน้านำเสด็จ กษัตริย์อาเคอร์ดูอานาในพัสตราภรณ์ขนสัตว์สีม่วงไทเรี่ยนเสด็จพระราชดำเนินสู่ที่ประทับ โดยมีมหาดเล็กถือฉัตราติดชายครุยทองระย้าติดตามอย่างใกล้ชิด ทุกผู้ยืนนิ่งกระทั่งพ้นพระกรัชกายแห่งจ้าวเหนือหัวตน ร่างอันนิ่งเป็นหุ่นปั้นเมื่อครู่จึงค่อยกลับมาเคลื่อนไหวอีกครา พากันจับกลุ่มสนทนาถึงการตรวจตราครั้งนี้จอแจ แล้วทยอยคืนสู่เคหาสน์ไป

พระวรองค์ตระหง่านขององค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมทรงพระดำเนินเข้าสู่อาคารในเขตลานที่สามอันเป็นส่วนทรงงานพร้อมกับอัครมหาเสนาบดีมานิชตูชู

“ปีนี้นับว่า การเพาะปลูกดีทีเดียว หากข้าวสาลีปลูกได้มากพอ ข้าคิดว่า เราคงสามารถส่งออกแลกเปลี่ยนกับสินค้าบางประเภทได้ เรื่องการสงคราม ข้าเห็นว่า ช่วงนี้ควรงดเว้นไปสักระยะ ข้ามิอยากให้ซ้ำรอยกับชาวซูบาร์ตูที่ละเล่นสงครามจนสุดท้ายละเลยการเพาะปลูก แลข้าอยากให้ทหารของเราได้พักผ่อนหลังจากการสู้รบอันยาวนานด้วย”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เห็นควร ตอนนี้เรามีโครงการสร้างหลายโครงการ มีปากท้องของคนงานแลเชลยศึกที่ต้องเลี้ยงดู หากเสบียงมิถูกนำไปใช้ในการศึก เราจักมีข้าวสาลีป้อนเข้าโรงงานขนมปังอีกอักโขทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ” อัครมหาเสนาบดีผู้เฒ่ากราบทูลอย่างนอบน้อม อาภรณ์ขนสัตว์เลอค่าโอบพันเรือนกายสูงสง่า บ่งบอกถึงความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม

“ถ้าเช่นนั้นก็จงจัดการตามนี้ ขอบคุณท่านมาก มานิชตูชู”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” ร่างชราในพัสตราสีเข้มน้อมกาย ครั้นแลเห็นพระวรองค์ของสองเจ้าชายแห่งบาบิโลเนียยาตรามา จึงเอ่ยทูลลากับองค์รัชทายาท แลคำนับเจ้าชายทั้งสองพระองค์ ก่อนจักขึ้นเสลี่ยงกลับสู่เคหาสน์ไป

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”

เจ้าชายซามูลาเอลแลนาโบนัสซาร์ถวายคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน มหาดเล็กนายหนึ่งนำเบียร์จุในจอกทองคำขึ้นรูปโคดุนลายงดงามมาถวาย เพื่อให้ทรงสดชื่นและเพิ่มพระพละกำลัง ครั้นเห็นพระเชษฐาองค์โต เจ้าชายหนุ่มทั้งสองจึงทูลถามเกี่ยวกับการเสด็จประพาสครั้งนี้อย่างสนพระทัย

เสียงรถศึกเทียมอัสดรคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ลานกว้าง ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา สุริยเทพชามาชเสด็จลงส่องแสงแห่งความยุติธรรมให้แก่โลกของผู้วายชนม์อันมืดมิดและเต็มไปด้วยฝุ่นควัน เจ้าชายซามูลาเอลทูลลาพระเชษฐา เพื่อเสด็จสู่ที่พำนักของพระองค์ ทิ้งพระเชษฐาองค์โต และพระอนุชานาโบนัสซาร์ให้ประทับอยู่ด้วยกัน โดยมีมหาดเล็กไล่จุดไฟในกระถางเพลิงอันตั้งเรียงรายไปตามมารคา

พริบตาเดียว องค์รัชทายาทแห่งบาบิลิมแลเจ้าชายนาโบนัสซาร์ก็พบกายกำยำของซิน-มูบัลลิตปรากฏในคลองพระจักษุ ทว่ายังมิทันได้ตรัสถามว่า การส่งเอกสารเรียบร้อยดีหรือไม่ องค์รัชทายาทแห่งบาบิโลเนียก็จำต้องกลืนพระวาจาลงพระศอทันควัน เมื่อทรงแลเห็นสิริร่างยืนเด่นอยู่เบื้องหลังองครักษ์ประจำพระองค์

เมื่อเห็นสายพระเนตรของนายเหนือหัว องครักษ์หนุ่มจึงรีบคำนับและกราบทูล “ท่านนลินนาสั่งให้กระหม่อมพามาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่า มีเรื่องอยากจักกราบทูล”

ครั้นองครักษ์ประจำพระองค์หลีกทาง มิทันได้มีพระปฏิสันถาร สายพระเนตรก็ประสบเข้ากับถุงผ้าลวดลายประหลาดอันบรรจุวัตถุลี้ลับไว้อยู่ ทรงมิเข้าพระทัยว่า นางนำถุงผ้าลวดลายประหลาดมาด้วยทำไม พระอนุชาเมื่อได้แลเห็นก็งุนงงมิต่างกัน

ทว่าพลันสบเข้ากับสายตาอันเด็ดเดี่ยวจากนัยน์ตาเรียวสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น เจ้าชายเพชกัลดาราเมชก็ทรงทราบโดยพลัน แม้นางมิได้เอื้อนเอ่ยวาจา ทว่าสายตานางบัญชาว่า พระองค์ต้องฟัง!



-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะที่มาช้า เนื่องจากช่วงนี้เซธ-เวเรทติดภารกิจการเรียนอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้จริง ๆ ค่ะ ถึงขนาดตอนที่ไปถามข้อมูลจากอาจารย์ที่สอน ท่านถึงกับถามว่า "นี่มีเวลาเเต่งนิยายด้วยเหรอ?" ส่วนตอนนี้ก็อย่างที่บอกในเพจหรือในกิจกรรมเเจกหนังสือว่า เขียนไว้นานแล้ว เเต่เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้รู้สึกว่า ไม่กล้าเขียนลงไปเต็มที่ พอได้ข้อมูลแล้วเลยค่อยลื่นขึ้นมาหน่อย เป็นตอนที่เเก้หลายรอบพอดูเลยค่ะ ทั้งเนื้อหาและภาษา แต่ก็ยังคิดว่า ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เเต่มาคิดอีกที ถ้ามัวเเต่นั่งเเก้ จะไม่ได้ทำอะไรเลย เลยตัดสินใจอัพในที่สุด ถึงอย่างไรก็เซธ-เวเรทก็ใกล้สอบเเล้ว เป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์ด้วยนะคะ



ป.ล. ยังไงก็อย่าลืมไปเล่นกิจกรรมเเจกหนังสือกันนะคะ ไรท์เตอร์อยากเเจก ได้หนังสือด้วย ได้ช่วยนักเขียนพัฒนาผลงานด้วย ถือว่า win-win ทั้งสองฝ่ายเลย










เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มี.ค. 2560, 00:32:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มี.ค. 2560, 18:27:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 965





<< เเจกหนังสือ   มัตติกาจารึกเเผ่นที่ 16 >>
แว่นใส 9 มี.ค. 2560, 07:28:46 น.
ตาสั่งเจ้าชายได้ใช่ไหมเนี่ย


Zephyr 25 มี.ค. 2560, 16:01:02 น.
เจ้าชายยอมตั้งกะเห็นหน้าละ
ไม่ต้องทำตาดุหรอกน่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account