ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๗ ประโยคเดียว

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๗ ประโยคเดียว

หลังจากสอบถามนางกำนัลโดยละเอียดอีกหน แว่นก็ทราบว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนก่อนเที่ยงวันนี่เอง รวมเบ็ดเสร็จเวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงหกชั่วยาม นั่นหมายความว่าฝ่ายในไม่น่าจะมีคนรู้เรื่องเยอะ ไปถามสนมเฉินตอนนี้อาจจะยังไม่ได้รายละเอียดครบ สู้ไปหาท่านพ่อหรือพี่กุ้ยอี้เลยน่าจะง่ายกว่า

“ไปที่กรมปกครอง” แว่นสั่งคนขับรถม้า

เขาคิดไปตลอดทางว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่ข่าวลือนี้จะไปเรื่องจริง แล้วถ้ามันจริง องค์ชายแปดใช้ลูกไม้อะไรจึงสามารถเอาราชโองการมาจากหลิ่งปินได้

‘อย่าบอกนะว่าเด็กบ้านั่นกล้าปลอมราชโองการ’

แว่นปวดหัวจี๊ดกับปัญหาที่จะตามมาอีกเป็นพะเรอเกวียน ยังไม่ทันรู้ความจริงเขาก็เครียดจนปวดกระเพาะ

ในขณะที่แว่นกำลังกลัดกลุ้ม รถม้าก็เลี้ยวเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน ทว่าแทนที่จะไปทางกรมปกครอง กลับออกนอกเส้นทาง ซีอิ๋งเห็นว่าผิดสังเกต จึงเปิดช่องด้านหลังคนขับออก

“เจ้าขับไปที่ใดกัน องค์หญิงสั่งชัดว่าให้ไปกรมปกครอง”

“ขออภัยขอรับ ข้าคงตามใจมิได้” ชายหนุ่มว่า

เสียงชายคนนี้ฟังคุ้นเหลือเกิน ซีอิ๋งเพ่งมองผ่านช่อง พอเห็นหน้าชัดก็อุทานออกมา

“ท่านองครักษ์จางไห่!”

“จางไห่รึ?” แว่นย้ายฝั่งที่นั่งเพื่อไปคุยด้วย “ท่านกำลังพาข้าไปหาองค์ชายแปดใช่ไหม”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายให้ข้ามาดักรอรับองค์หญิง ก่อนจะได้ยินข่าวลือผิดๆ แต่คิดว่าคงไม่ทันแล้ว”

คำว่า ‘ข่าวลือผิดๆ’ ทำให้แว่นใจชื้นขึ้นมากโข แม้ว่านางกำนัลจะย้ำว่าได้ยินเรื่องราวจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง แต่มันก็ยังไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร ใครจะรู้ว่ามหาดเล็กคนนั้นอาจจะใส่สีตีไข่เพิ่มก็ได้

แว่นยอมไปพบองค์ชายแปดแต่โดยดี พอเริ่มใจเย็นลง เขาก็มีอารมณ์มองออกไปนอกหน้าต่าง บังเอิญเหลือเกินที่มีนกน้อยตัวหนึ่งบินผ่านหน้าไปในจังหวะที่รถม้าวิ่งไม่เร็วนัก เจ้านกตัวนั้นเป็นนกกระจอกที่มีด้ายแดงผูกติดอยู่ที่ขา

“เดี๋ยวก่อน! หยุดรถก่อน” แว่นตะโกน

จางไห่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ชะลอความเร็วลง แล้วจอดข้างทางตามคำสั่ง แว่นพุ่งตัวออกจากรถม้าก่อนที่มันจะจอดสนิท แต่ก็ยังช้าเกินไป เขาคลาดสายตาจากนกตัวจ้อย ไม่ว่าจะมองหาอย่างไรก็ไม่เห็น

“เกิดอะไรขึ้นเพคะองค์หญิง” ซีอิ๋งกุลีกุจอวิ่งตามลงมา

“ข้า...เหมือนจะเห็นจิ๊บน้อย แต่คงจะตาฝาดไป”

เจ้าตัวเล็กอยู่ข้างกายองค์ชายห้าตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะมาปรากฏตัวในวังหลวง

“นั่นสิเพคะ คงตาฝาดไป”

“ไม่แน่นะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายห้าก็กลับมาแล้ว นั่นอาจจะเป็นจิ๊บน้อยจริงๆ ก็ได้” จางไห่ว่า

แว่นเบิกตากว้าง เขาปรี่ไปหาองครักษ์หนุ่มแล้วถามซ้ำว่าองค์ชายเหวินหรงกลับมาแล้วแน่หรือ

“เจ้าเห็นกับตาหรือไม่ แล้วศึกที่หรงซิ่งเล่า”

“กระหม่อมพบองค์ชายห้าที่ท้องพระโรงวันนี้ เราชนะศึกนานแล้ว องค์หญิงไม่รู้หรือพ่ะย่ะค่ะ” คนตอบคำถามทำท่าประหลาดใจไม่แพ้คนฟัง

“ไม่...ข้าไม่รู้เรื่อง”

“ข้าก็ไม่รู้” ซีอิ๋งช่วยเสริม

แปลกเหลือเกินที่แว่นกับซีอิ๋งตกข่าวพร้อมกัน สองสาวหันไปถามนางกำนัลที่มาด้วยกันด้วยสายตาว่านางทราบความหรือไม่ หญิงสาวหลบตาด้วยท่าทางมีพิรุธจนสังเกตได้

“รู้อะไรก็พูดมา” แว่นให้โอกาส

“หม่อมฉัน...” เจินหลันยังทำเป็นอ้ำอึ้ง นางช้อนตาขึ้นมามองแล้วก็เงียบไปอีก

“องค์หญิงถามทำไมไม่ตอบ” ซีอิ๋งเอ็ด

นางกำนัลอายุน้อยกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ยังปิดปากแน่น แว่นพอเดาได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงเอ่ยเสียงดังว่า

“ไม่ต้องเสียเวลาถามแล้ว ท่านองครักษ์ ข้ารบกวนช่วยหักแขนนางด้วย”

จางไห่ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ทรมานคน ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการกระโดดลงมาจากตำแหน่งสารถี องครักษ์มาดโหดผู้นี้ไม่เคยรังแกเด็กสตรีและคนชรา ที่ยอมเชื่อฟังก็เพราะรู้ว่าเป็นเพียงคำข่มขู่

เห็นองครักษ์ร่างสูงใหญ่เดินอาดๆ เข้าหา นางกำนัลตัวน้อยก็ลนลาน รีบคุกเข่าขอประทานอภัย

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะองค์หญิง อย่าลงโทษหม่อมฉันเลย”

“เจ้ารับใช้ข้าแต่กลับเชื่อฟังคนอื่น คงจะเอาไว้ไม่ได้” แว่นมองอย่างเย็นชา

เขาหมุนตัวหนี แล้วแอบขยิบตาให้องครักษ์หนุ่ม พร้อมขยับปากบอกว่าให้แกล้งจับตัวไว้ จางไห่ไม่เพียงแต่ยึดแขนเอาไว้อย่างเดียว ยังปิดปากหญิงสาวเอาไว้ด้วย เพื่อไม่ให้โวยวายอาละวาด

นางกำนัลสาวผู้เคยชินกับความใจดีขององค์หญิงรุ่ยฟางมานานหลายปี กลัวจนน้ำตาไหลปัสสาวะแทบราด แว่นเห็นว่าสั่งสอนพอแล้วจึงบอกให้ปล่อย

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง สารภาพมาให้หมด”

“ทะ...ทั้งหมด เป็นคำสั่งสนมเฉินเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าขัด ก็เลย...” เจินหลันสะอึกสะอื้น

แว่นเดาถูกจริงๆ ว่าเป็นฝีมืออาหญิง นางกำนัลในตำหนักเขียวถ้าไม่ใช่คนของไทเฮาก็เป็นสนมเฉินจัดหามาทั้งนั้น ระยะหลังไทเฮาไปถือศีลไม่ยอมกลับวัง คนจึงถูกโยกย้ายไปที่อื่นหมด เหลือไว้แต่คนของสนมเฉิน ที่ผ่านมาพวกนางเก็บความลับได้ดีและปกป้องกุ้ยฮวาเสมอมา แว่นจึงไม่ถือสายามที่เรื่องส่วนตัวของตัวเองถูกนำไปรายงานอาหญิง แต่หนนี้เขาหงุดหงิดจริงๆ ที่ถูกปิดบังเรื่องสำคัญ

“เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนแล้วค่อยพูด” แว่นสั่งเมื่อเห็นว่าข้างหน้ากำลังมีรถม้าวิ่งผ่านมา

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและสะดุดตาไปกว่านี้ แว่นเลยให้ซีอิ๋งประคองนางกำนัลขึ้นรถม้า แล้วค่อยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น

นางกำนัลสาวสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก ว่าสนมเฉินสั่งให้ปิดข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์การรบที่หรงซิ่ง ตลอดจนเรื่องขององค์ชายห้า

“หม่อมฉันไม่ทราบว่าทำไม แต่พระสนมขู่ว่าถ้าองค์หญิงรู้จะตัดลิ้น ก็เลยไม่มีใครกล้าพูด”

“อาหญิงขู่คนทั้งราชสำนักได้อย่างไร” แว่นทำท่าไม่เชื่อ

เขาออกไปเขตพระราชฐานชั้นนอกทุกวัน พบปะกับพวกหมอหลวงและคนจากสำนักปราชญ์บ่อยครั้ง แต่กลับไม่ได้ยินเรื่องขององค์ชายห้าเลย

“คือ...องค์หญิงมักจะสนทนากับคนอื่นแต่เรื่องวิชาการ เลยไม่มีใครกล้าคุยเรื่องอื่นด้วยเพคะ” นางกำนัลแสดงความเห็นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ชัยชนะขององค์ชายห้าต่ออ๋องเหยาเล่อเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง หากไม่ใช่เพราะกุ้ยฮวาไม่สนใจซักถามเอง พวกนางคงปิดกันไม่ไหว

“ข้าตกข่าวเพราะทำตัวเองหรือ” แว่นนวดขมับเมื่อนึกย้อนไปว่าหมกมุ่นกับงานแค่ไหน

ระยะนี้แว่นสนใจแต่เรื่องสอน กับปรับปรุงหลักสูตรอาสาสมัครแนวหลัง กลับมาที่ตำหนักก็วางแผนออกแบบเรือนกระจกต่อ ไม่ได้ใส่ใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองเลย เพราะชะล่าใจว่าหากมีอะไรเปลี่ยนแปลง เหล่าแม่นกกระจิบช่างเมาท์ทั้งหลาย ก็จะคาบข่าวมารายงานเอง

“เล่ามาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ ว่าช่วงไหนเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง”

“เพคะ”

นางกำนัลเล่าว่ากองทัพขององค์ชายห้าได้รับชัยชนะตั้งแต่กลางเดือนสี่ แต่ชายหนุ่มยังไม่เร่งกลับมาเพราะต้องสะสางเรื่องราวทางนั้นให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าฉินอ๋องอยากลงจากตำแหน่ง แล้วให้องค์ชายห้าเป็นผู้สืบทอดแทน แต่ก็มีเสียงคัดค้านพอสมควร ทั้งจากขุนนางหรงซิ่งและขุนนางเจียงเฉียง ขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

“แค่เรื่องทั่วไป เหตุใดอาหญิงจึงต้องปิดบัง” แว่นพึมพำด้วยความสับสน

“ยัง...มีอีกเพคะ” เจินหลันก้มหน้าพูดเสียงเบา

“เล่ามา”

“มีข่าวลือว่าองค์ชายห้าแอบแต่งงานที่หรงซิ่ง”

“...กับใคร”

“ท่านหญิงฮุ่ยเสียนเพคะ”

แว่นอึ้งไป เขาไม่เชื่อว่าข่าวลือนี้จะเป็นเรื่องจริง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ แต่อะไรเล่าคือมูลเหตุที่ทำให้เกิดข่าวลือนี้ขึ้น ตั้งแต่พ้นปีใหม่มาฮุ่ยเสียนก็ล้มป่วยมาตลอด หรือว่า...

“ฮุ่ยเสียนไม่ได้ป่วยสินะ”

เจินหลันไม่ตอบรับว่าเดาถูกหรือไม่ แต่กระซิบบอกแทน

“หม่อมฉันได้ยินว่า...ท่านหญิงแอบตามองค์ชายห้าไปที่หรงซิ่งเพคะ”

แม้นางจะอายุน้อยไม่มีใครมองเห็นความสามารถ แต่ครอบครัวนางนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ พี่ชายพี่สาวตลอดจนญาติมิตร ล้วนรับใช้ใกล้ชิดผู้มีอิทธิพล นางเพิ่งกลับบ้านไปเมื่อหลายวันก่อน จึงได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ มากมาย

แว่นคิดว่ามีความเป็นไปได้ ว่าข่าวลือจะมาจากเรื่องนี้ จึงบอกให้นางกำนัลเล่าเรื่องที่รู้ต่อ

“องค์ชายห้าแต่งงานที่หรงซิ่ง แต่อ๋องไท่สูไม่ยอมรับ องค์ชายก็เลยรีบกลับมาเมืองหลวง มาขอสมรสพระราชทานเพคะ เพิ่งกลับมาได้สองสามวันนี่เอง”

แว่นรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อรู้ว่าเขากลับมาแล้วแต่ไม่มาหา ทั้งยังไม่ยอมส่งข่าว ไม่สิ...บางทีข่าวอาจมาไม่ถึง

“มีจดหมายจากองค์ชายห้าส่งมาใช่ไหม มันอยู่ไหน” แว่นมองอย่างคาดคั้น

“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ แต่...แต่พี่ชิวเตี๋ยน่าจะรู้”

ชิวเตี๋ยคือนางกำนัลอาวุโสที่จัดการดูแลทุกอย่างภายในตำหนักเขียว แม้แต่ซีอิ๋งที่เป็นคนสนิทของกุ้ยฮวาก็ยังต้องเกรงใจนาง

“องค์หญิงอย่าบอกใครนะเพคะว่าได้ยินมาจากหม่อมฉัน หม่อมฉันยังไม่อยากถูกตัดลิ้น” พูดแล้วนางก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง

“เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก ตราบใดที่ไม่ทำผิดซ้ำ จงจำเอาไว้ว่าเจ้าคือคนของข้า นอกจากข้าแล้วอย่าได้ฟังคำสั่งผู้ใดอีก”

เจินหลันรีบลงไปคุกเข่า เอ่ยคำสาบานว่าจะไม่ทำผิดต่อองค์หญิงรุ่ยฟางอีกแล้ว ในสายตานางตอนนี้ องค์หญิงรุ่ยฟางน่ากลัวกว่าสนมเฉินร้อยเท่า

แว่นรวบรวมข้อมูลจากนางกำนัลอีกสักพัก ก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดสนมเฉินจึงปิดบังเรื่ององค์ชายห้า อาหญิงไม่อยากให้กุ้ยฮวาเสียใจกับข่าวลือ จนทำเรื่องที่ปราศจากการยั้งคิด ขึ้นชื่อว่าความรัก ต่อให้เก่งกาจฉลาดเฉลียวแค่ไหน บทจะหลงงมงายก็ขาดสติกันได้ทุกคน

สิ่งที่สนมเฉินกลัวที่สุดคือหลานสาวจะประชดชีวิตด้วยการแต่งงานกับองค์ชายรอง ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุด พอนึกย้อนไปแว่นก็จำได้ว่าสนมเฉินเชิญตนไปดื่มชาด้วยหลายครั้ง เจตนาคงอยากคุยเรื่ององค์ชายห้า แต่ก็มีคนมาขัดอยู่ร่ำไป ทั้งฮ่องเต้เสด็จ ทั้งฝ่ายในเกิดเรื่อง ไม่ก็เป็นตัวกุ้ยฮวาเองที่ต้องรีบกลับ

แว่นอยากจะไปหาองค์ชายห้าเพื่อสอบถามความจริงเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวจะเป็นการทำลายความไว้ใจ เลยพุ่งเป้าไปที่จดหมายแทน แม้องค์ชายห้าจะไม่มาพบ แต่แว่นก็เชื่อว่าเขาต้องส่งข้อความมาบอก

“กลับกันเถอะ” แว่นบอกนางกำนัล จากนั้นค่อยหันไปขอร้องจางไห่ “ข้ารู้สึกไม่สบาย ปวดหัวมาก คงไปพบองค์ชายแปดไม่ได้แล้ว ช่วยพากลับตำหนักแทนได้ไหม”

แน่นอนว่านี่เป็นแค่ข้ออ้าง แต่จางไห่ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย สุขภาพของจอมนางในดวงใจย่อมสำคัญเหนือคำสั่งองค์ชาย องครักษ์หนุ่มเร่งบังคับรถม้า โดยเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังตำหนักเขียว

แว่นสวมวิญาณนักแสดงทำเป็นปวดหัวครั่นเนื้อครั่นตัวให้จางไห่เห็น แต่พอชายหนุ่มกลับไปแล้ว ท่าทางของสาวงามผู้อ่อนแอก็สูญสลายหายไปในพริบตา ไม่กี่อึดใจตำหนักเขียวก็กลายเป็นห้องเย็น เมื่อองค์หญิงคนงามสวมบทโหด เรียกนางกำนัลมาสอบเป็นรายตัว

เหล่านางกำนัลทั้งหลาย ได้ประจักษ์ถึงความน่าพรั่นพรึงขององค์หญิงที่ดูบอบบางดุจกลีบดอกไม้ก็คราวนี้ พวกนางพร้อมใจกันหน้าซีดตัวสั่น กลัวกันลนลาน เมื่อถูกจับมาอยู่รวมกันในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด

“หม่อมฉันไม่กล้าอีกแล้วเพคะ องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย” เสียงวิงวอนทำนองนี้ดังให้ได้ยินเป็นระยะ

องค์หญิงรุ่ยฟางไม่ได้จับใครขังหรือส่งไปเฆี่ยนตีอย่างสนมเฉิน แต่นางให้เลือกว่าจะดื่มชาที่นางชงให้ แล้วออกไปให้พ้นจากตำหนัก หรือกลับตัวกลับใจมารับใช้นางแต่เพียงผู้เดียว

ไม่มีใครรู้ว่าชาที่กุ้ยฮวาชงคืออะไร แต่ทุกคนรู้ดีว่าองค์หญิงเชี่ยวชาญเรื่องยา นางปรุงยารักษาคนได้ ก็ย่อมปรุงยาพิษได้ จึงทึกทักกันเอาเองว่าชานั้นคือยาพิษ พวกนางมองถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการสั่นกลัว ใครเล่าจะคาดคิดว่าองค์หญิงผู้แสนอ่อนโยน จะไร้ปรานียิ่งกว่าสนมเฉิน

แว่นเห็นท่าทีของพวกนางกำนัลก็เริ่มสงสาร แต่จะใจอ่อนทำครึ่งๆ กลางๆ ก็ไม่ได้ เมื่อคิดจะใช้พระเดชแล้ว ก็ต้องทำให้สุด

“ชิวเตี๋ย…มีจดหมายส่งถึงข้า แต่ข้าไม่ได้รับ มันหมายความว่าอย่างไร” แว่นถามต่อหน้านางกำนัลทั้งตำหนัก

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ” ชิวเตี๋ยโขกศีรษะเพื่อขออภัยเป็นการใหญ่

“ข้ารู้นะว่าเจ้าทำตามคำสั่งใคร”

“เปล่านะเพคะ ทั้งหมดเป็นความบกพร่องของหม่อมฉันเอง” คนผิดยังไม่ยอมสารภาพ

แว่นเห็นว่านางภักดีกับสนมเฉินมากจึงไม่ซักต่ออีก

“นำมันมาคืนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

สิ้นเสียงตวาด ชิวเตี๋ยก็ตาลีตาเหลือกไปนำจดหมายที่แอบเก็บไว้มาคืนให้ แว่นรับมาแต่ยังไม่เปิดอ่าน เขาต้องสะสางเรื่องตรงหน้าให้เสร็จก่อน

“บังอาจลักลอบเก็บของขององค์หญิงไว้ โทษคือตัดมือและโบยห้าสิบไม้”

ชิวเตี๋ยหน้าซีดเผือด แต่ไม่วิงวอนขอร้องให้ลดโทษ นางกำนัลผู้มากประสบการณ์กัดปากแน่น พลางบอกตัวเองให้สงบใจเพื่อรอดูท่าทีไปก่อน สนมเฉินพูดออกบ่อยไปว่าจุดอ่อนขององค์หญิงรุ่ยฟาง คือนางไม่มีความโหดเหี้ยมเลยแม้แต่น้อย

“แต่เห็นแก่ที่เจ้ารับใช้มานาน ข้าจะเมตตาลดโทษให้”

ชิวเตี๋ยซ่อนสีหน้าโล่งใจ ทว่าไม่ถึงครึ่งอึดใจก็ต้องตระหนกจนแทบสิ้นสติ เมื่อองค์หญิงประกาศเสียงดังว่า

“มอบชาให้นาง แล้วนำตัวไปให้พ้นหน้าข้า”

เนื่องจากในตำหนักมีเพียงซีอิ๋งที่เป็นพวกแว่นอย่างแท้จริง แว่นจึงขอแรงทหารหญิงที่เฝ้าหน้าตำหนักมาช่วยงาน พวกนางไม่เพียงแต่มีเรี่ยวแรงมาก ยังใจแข็งกว่านางกำนัลทั้งหลาย พอถูกสั่งให้ป้อนชาพวกนางก็จับกรอกทั้งกาอย่างไม่ปรานี ไม่นานชิวเตี๋ยก็สิ้นสติ ล้มไปต่อหน้าทุกคน แล้วถูกทหารหญิงพาตัวออกไป

‘ชานั่นเป็นยาพิษจริงๆ ด้วย’

เหล่านางกำนัลพากันกรีดร้องอยู่ในใจ พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง บัดนี้ความกลัวได้ครอบงำจิตวิญญาณของพวกนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับจากบัดนี้จะไม่มีใครกล้าหักหลังองค์หญิงรุ่ยฟางอีก เว้นแต่คนผู้นั้นจะไม่กลัวความตาย

แว่นเดินผ่านเหล่านางกำนัลที่กำลังกลั้นสะอื้น ด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก การแสดงของเขาประสบความสำเร็จเกินคาด ดูจากสีหน้าของพวกนาง คงเชื่อสนิทว่าชิวเตี๋ยตายแล้ว ทั้งที่จริงๆ แค่หลับไป แว่นเทยานอนหลับอย่างแรงลงไปในชาหลายหยด กว่าชิวเตี๋ยจะฟื้นก็คงพรุ่งนี้เช้า

แว่นตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เก็บนางไว้รับใช้ข้างกายอีก จึงให้ทหารหญิงพาตัวออกไปจากเขตพระราชฐานชั้นกลาง โดยให้เลือกเอาเองว่าจะออกจากวังดีๆ หรือจะเข้าสู่กระบวนการตัดสินโทษตามความผิด ส่วนคนอื่นๆ แค่คาดโทษเอาไว้ก่อน เพราะส่วนใหญ่ล้วนทำตามคำสั่งของชิวเตี๋ย ที่รับคำสั่งมาจากสนมเฉินอีกต่อหนึ่ง

เมื่อจัดการสะสางเรื่องในตำหนักเรียบร้อยแล้ว แว่นก็เปิดจดหมายขององค์ชายห้าออกอ่าน ในนั้นมีข้อความสั้นๆว่า

‘จะรอใต้ต้นทับทิม’

ข้อความไม่ระบุวันที่และเวลา ประเมินจากนิสัยแสดงว่าเขาจะรออยู่ตรงนั้นเสมอหากมาได้ จดหมายถูกเก็บไว้สองวันแล้ว แสดงว่าสองคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มอดนอนคอยกุ้ยฮวาตลอด

“ซีอิ๋ง เตรียมรถม้าเร็ว” แว่นสั่ง

เขาอยากรีบไปพบองค์ชายห้าให้เร็วที่สุด จะได้รู้ความจริงทุกอย่างเสียที

ยามค่ำ ท้องฟ้าสดใสในฤดูร้อนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหม่น เส้นทางที่เคยคึกคักด้วยผู้คนเริ่มร้าง ในอุทยานฤดูร้อนก็เช่นเดียวกัน นอกจากรถม้าที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่มุมหนึ่ง ก็ไม่พบผู้คนหรือสิ่งดึงดูดความสนใจ

แว่นถอนใจเมื่อมาถึงจุดนัดหมายแล้วไม่พบองค์ชายห้า คาดว่าชายหนุ่มคงติดธุระอยู่ที่ใดสักที่ อีกไม่นานฟ้าจะมืดสนิทแล้ว เขารีบร้อนออกมาจึงไม่ได้เตรียมตะเกียงมาด้วย ส่วนซีอิ๋งก็ถูกทิ้งไว้ในรถม้า ถ้าองค์ชายห้าไม่มาเห็นทีจะมีปัญหาเรื่องคลำทางกลับ

กังวลใจอยู่ได้ไม่นาน สวนอันมืดมิดก็เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาทีละจุด เจ้าหน้าที่ผู้แสนดีเดินตรวจตราพร้อมกับไล่จุดคบไฟตามจุดต่างๆ ในสวนจึงไม่มืดน่ากลัวอย่างที่กังวล แว่นรีบหลบหลังพุ่มไม้ก่อน เพราะไม่อยากอธิบายให้มากความ พอเวรยามไปแล้วจึงค่อยออกมา

รออยู่อีกประมาณครึ่งชั่วยาม เขาก็เห็นแสงตะเกียงจากที่ไกลๆ ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา เนื่องจากไม่มั่นใจว่าใช่องค์ชายห้าหรือไม่ แว่นจึงซ่อนตัวอีกครั้ง แสงตะเกียงหยุดที่ตำแหน่งต้นทับทิมพอดิบพอดี แว่นจึงเยี่ยมหน้าออกไปลอบสังเกตคนที่ใต้ต้นไม้

เขาเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังแขวนตะเกียงไว้บนกิ่งของต้นทับทิม แผ่นหลังที่ไม่คุ้นทำให้แว่นลังเล แต่พอเขาหันหน้ามา แสงตะเกียงก็เผยให้เห็นสิ่งที่คุ้นตา

‘องค์ชายห้า...เขาคือองค์ชายห้าไม่ผิดแน่’

พ่อพระเอกหุ่นหมีของแว่นผอมลงจนน่าตกใจ รอยคล้ำใต้ตาอันเป็นเอกลักษณ์ก็จางลงมาก แต่แว่นยังจำรูปปากรูปตาเขาได้แม่น คนที่แอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้รีบออกไปแสดงตัวด้วยความยินดี

“เหวินหรง!”

องค์ชายห้าหันมาเมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายหนุ่มนิ่งไปเมื่ออีกฝ่ายโผเข้ามากอด แว่นไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่ม เพราะมัวแต่ทดสอบความแน่นของกล้ามเนื้อ จริงอยู่ที่เขาบ้ากล้าม แต่พุงกลมๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย พอไม่มีแล้วก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

‘เอาเถอะ! ถึงพี่ไม่มีพุงให้ฉันซบ ฉันก็รับได้’

“ข้าคิดถึงท่านมากเลยรู้ไหม”

แว่นพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ตรงกันข้ามกับองค์ชายห้าที่ใบหน้าหม่นหมองมากขึ้นทุกขณะ แว่นเพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้เองว่าเขาเงียบผิดปกติ

คนที่โผเข้าไปกอดแต่ฝ่ายเดียวคลายมือออก แล้วเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาใบหน้าใต้แสงตะเกียงให้ถนัด ความเศร้าในแววตาเขาทำให้หัวใจแว่นหล่นลงไปกองกับพื้น

“เกิดอะไรขึ้น”

ชายหนุ่มขบกรามแน่น สีหน้าเจ็บปวดปริ่มจะขาดใจทำให้คนมองแทบใจสลาย

“ข้าเป็นแพนด้าของเจ้าไม่ได้แล้ว”

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

‘ แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท
แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเทแว่นถูกหมีเท แว่นถูกหมีเท’

ไหวไหล่ ยิ้มอ่อน รักนะจ๊ะจุ๊บๆ ^3



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2560, 00:20:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 มี.ค. 2560, 00:20:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 869





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๖ อีกา   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑๘ ซากไผ่ (โปรดติดตามต่อในเล่ม) >>
อัศวินนภา 31 มี.ค. 2560, 19:04:02 น.
หึ หึ....หักหลังแรงมาก


ใบบัวน่ารัก 5 เม.ย. 2560, 05:34:55 น.
สงสารแพนด้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account