ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 8

ทันทีที่ร่างสูงโปร่งของหญิงวัย 60 กว่าต้นๆ ก้าวขึ้นมาบนบ้าน เกี้ยวเกล้ารีบวิ่งไปรับถึงหน้าประตู

“ป้าอิ่นขา สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้ก่อนโผเข้ากอดเหมือนเด็กๆ ป้าอิ่นคำยิ้มใจดีพลางกอดตอบหลานสาวแล้วตบหลังเบาๆ

“เออ สวัสดีลูก ไม่เจอกันนานนี่มันสวยขึ้นหรือเปล่านะหลานป้าเนี่ย ช่างเหมือนป้ามันจริงๆ ” ว่าพลางหันไปพยักพเยิดกับแม่อ่อนแก้วผู้เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดที่พึ่งเดินออกมาต้อนรับ

“โอ๊ย! ไอ้เกี้ยวเนี่ยนะสวยแม่ ถ้ามันสวยจริงป่านนี้คงไม่เหลือกลับมาถึงบ้านหรอก” เจ้าของเสียงร่างท้วมเดินตามป้าอิ่นคำขึ้นมาพร้อมสาวหุ่นอวบใกล้เคียงกันคนหนึ่ง

“มาถึงก็ปากเหม็นเชียวนะพี่เกื้อ ตัวเองน่ะสิไปอยู่ในเมืองแท้ๆ เป็นไงล่ะสุดท้ายก็มาลงเอยกับลี่ นี่ถ้าลี่ไม่สงสารคงไม่ได้เหมือนกันแหล่ะ” เกี้ยวเกล้าตอบโต้ ‘สาลี่’ สาวหุ่นอวบที่เป็นเพื่อนสนิทแถมพ่วงตำแหน่งพี่สะใภ้หัวเราะคิกชอบใจ ขณะที่เกื้อกูลทำท่าพูดไม่ออก ชี้หน้า ‘ไอ้เกี้ยว’ ทำปากขมุบขมิบคาดโทษ ก่อนจะเดินเชิดนำหน้าเข้าบ้านไป

“เกี้ยวเป็นยังไงบ้าง วางแผนทำอะไรต่อไปล่ะลูก” ป้าอิ่นคำถามเมื่อเข้ามานั่งในบ้านแล้ว

“ยังไม่รู้เลยค่ะป้าอิ่น” คำตอบของหลานสาวทำให้ผู้เป็นป้ายิ้มอย่างยินดี

“งั้นพอดีเลย ป้าว่าจะชวนเกี้ยวไปช่วยงานที่ร้าน ตอนนี้มีแค่แสงหล้าคนเดียวที่อยู่ยงเฝ้าร้านบางทีก็ไม่ค่อยทัน ส่วนป้ากับเจ้าเกื้อ สาลี่ ต้องออกไปข้างนอกกันบ่อย ไปรับของบ้าง สั่งของบ้าง เพราะป้ารับของมาจากหลายที่ก็เลยไม่ค่อยได้อยู่ร้านเท่าไหร่ เกี้ยวเองก็ร่ำเรียนมาทางนี้ป้าอยากขอตัวไปช่วยป้าหน่อยจะว่ายังไงลูก”

“เกี้ยวก็อยากไปค่ะป้าอิ่น แต่ว่า...ต้องถามแม่ก่อน” เกี้ยวเกล้าชำเลืองไปทางแม่อ่อนแก้วที่นั่งฟังอยู่ไม่ไกล

“ถ้าอยากไปก็ไปสิลูก ไปช่วยป้าหน่อยก็ดี อยู่บ้านเฉยๆ ก็บ่นเบื่อไม่ใช่เหรอ” และที่สุดก็เอ่ยปากอนุญาต เพราะเห็นว่าพักหลังมานี้ลูกสาวบ่นเบื่อกับการอยู่เฉยๆ และคิดว่าไปอยู่กับป้ายังดีกว่าปล่อยให้ไปอยู่ไกลหูไกลตาเหมือนก่อนนี้

“ขอบใจนะแม่อ่อน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะยายเกี้ยวก็เป็นลูกสาวของฉันอีกคนนี่” ว่าพลางกอดร่างบางอีกครั้งด้วยความชอบใจ เกี้ยวเกล้าหัวเราะอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นป้าอย่างมีความสุข เรื่องความรักที่ป้าอิ่นคำมีต่อเกี้ยวเกล้านั้นใครๆ ก็รู้ ป้าอิ่นคำซึ่งถอดแบบมาจาก ‘ยายเอื้อย’ ผู้เป็นแม่ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่สูงโปร่ง หน้ารูปไข่ ยังมีเค้าของความสวยหลงเหลืออยู่แม้วัยจะล่วงเลยมาตั้ง 60 กว่าแล้ว

ซึ่งต่างจากแม่อ่อนแก้วน้องสาว ที่ได้ความอวบมาจากทางไหนไม่ทราบได้ เพราะทางพ่อก็หุ่นสูงโปร่งไม่ต่างกัน อาจเป็นเพราะความอยู่ดีกินดีก็เป็นได้ เกี้ยวเกล้าจึงเหมือนไปทางป้าอิ่นคำมากกว่า จนคนมักทักว่าเป็นแม่ลูกกันอยู่เสมอ ประกอบกับป้าอิ่นคำค่อนข้างรักเด็กผู้หญิงเป็นพิเศษ และเคยช่วยยายเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจึงผูกพันและรักเหมือนลูกอีกคน

ตอนนั้นป้าอิ่นคำกับสามีเลิกรากันแกได้กลับมาอยู่กับยาย ส่วน ‘เกื้อกูล’ ลูกชายของแกอยู่กับพ่อจนกระทั่งโตและพ่อเสียชีวิต ป้าอิ่นคำจึงได้กลับไปอยู่กับลูกชายในเมืองอีกครั้ง ป้าอิ่นคำเป็นคนชอบค้าขายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนเกี้ยวเกล้ายังเด็กบางครั้งไปขายของหมู่บ้านใกล้ๆ มักจะพาเธอไปด้วยบ่อยๆ

แต่ที่แกชื่นชอบเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นพวกผ้าทอ ผ้าโบราณต่างๆ พอลืมตาอ้าปากได้บ้างจึงมาลงทุนค้าขายเฉพาะพวกผ้าอย่างจริงจัง และด้วยความใฝ่ฝันอยากมีร้านขายผ้าทอเป็นของตัวเอง จึงได้ขายที่ดินที่ยายยกให้เพื่อมาเป็นทุนเปิดร้านอย่างเป็นกิจลักษณะ โดยมีเกื้อกูลลูกชายเพียงคนเดียวกับสาลี่ลูกสะใภ้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วย

“แต่เกี้ยวคงตามไปทีหลังนะคะป้าอิ่น รอให้งานแต่งเพื่อนพี่แก้วผ่านไปก่อนน่ะจ้ะ”

“ฉันกับพี่เกื้อจะมางานนี้เหมือนกันเกี้ยว อีกไม่กี่วันเอง แกไปพร้อมฉันก็ได้” สาลี่บอก

“ตามใจเถอะจ้ะ” ป้าอิ่นคำเอ่ยขึ้นตบท้าย “เออ...แล้วนี่ยายแก้วกับตาทศยังไม่กลับกันอีกเหรอ” แล้วจึงถามถึงหลานสาวคนโตและหลานเขย

“โรงเรียนยังไม่เลิกเลยคงอีกสักพักน่ะจ้ะพี่ อย่าพึ่งรีบกลับกันนะกินข้าวแล้วค่อยกลับ เกี้ยวเดี๋ยวไปซื้อของที่ตลาดกับแม่หน่อยนะลูก” ท้ายประโยคหันมาบอกลูกสาว

“เกี้ยวไปกับพี่เกื้อกับลี่ก็ได้จ้ะแม่ แม่อยู่คุยกับป้าอิ่นเถอะจ้ะ โน๊ตรายการมาให้เกี้ยวก็พอ”

“เออ ก็ดีเหมือนกันนะ เดี๋ยวแม่จดรายการก่อนว่าจะเอาอะไรบ้าง”

“ฉันแวะหาแม่ที่ตลาดด้วยดีกว่าเกี้ยว” แม่ของสาลี่ขายผักอยู่ในตลาดสด

“ฉันว่าระหว่างที่รอแม่จดรายการของ แกไปงัดพี่เกื้อออกจากเปลดีกว่าลี่ ขึ้นอืดแล้วนั่นน่ะ เดี๋ยวหลับไปจริงๆ จะแซะออกยาก” เกี้ยวเกล้าแอบกัดคนที่กำลังเริ่มเคลิ้มอยู่บนเปลญวนตรงเฉลียงหน้าบ้าน

เจ้าของร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากลิฟท์ของคอนโดฯ ย่านนอกเมืองแห่งหนึ่ง ผมสั้นไฮไลท์บางจุดด้วยสีทองถูกจัดทรงให้ตั้งตามสมัยนิยม เข้ากับหน้าตา ผิวพรรณขาวจัดออกตี๋นิดๆ ที่ตุลภัทรได้มาจากผู้เป็นแม่ ทำให้ละม้ายคล้ายหนุ่มเกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ แต่แล้วเขาก็ชะงักเท้าในทันทีที่กวาดสายตาเห็นร่างสูงใหญ่ของไตรศูรย์ที่รีบยืนขึ้นทันทีเช่นกันเมื่อเห็นตุลภัทร

“พี่ไตร...พี่รู้ได้ไงฮะว่าผมอยู่ที่นี่” เป็นประโยคแรกที่ตุลภัทรเอ่ยถาม ขณะที่ไตรศูรย์สาวเท้าเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม

“เพื่อนนายที่ผับบอกพี่เองแหล่ะ” ไตรศูรย์พยายามตามหาตัวตุลภัทรไปทั่ว กว่าจะรู้ว่าอยู่ที่คอนโดฯ แห่งนี้ก็เล่นเอาเข้าๆ ออกๆ ที่ผับไปหลายรอบ

“ป๋าบอกให้พี่มาตามหรือไงฮะ” น้ำเสียงของตุลภัทรเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ก็ทำนองนั้น แต่นายก็รู้ว่าคุณลุงรักและเป็นห่วงนายแค่ไหน กลับไปอยู่บ้านเราดีกว่าน่า”

“อย่างป๋าน่ะนะรักผม ห่วงผม” ตุลภัทรแค่นเสียงเยาะ “ผมยังไม่อยากกลับไปทำงานตอนนี้ ว่าแต่พี่มีเงินติดตัวมามั่งหรือเปล่าฮะ ผมพึ่งกลับจากต่างจังหวัดมาเงินที่คุณแม่ให้มาคราวก่อนเกลี้ยงเลย ติดต่อคุณแม่ก็ไม่ได้ ไม่มีใช้แล้วเนี่ย เป็นบัตรเครดิตอะไรก็ได้ฮะพี่”

“พี่ว่านายกลับบ้านดีกว่า แล้วค่อยคุยกับคุณลุงคุณป้าเอาเอง” ไตรศูรย์พยายามตอบเลี่ยงๆ ไป

“นี่แสดงว่าป๋าห้ามไม่ให้ตังส์ผมใช้งั้นเหรอพี่” แต่ตุลภัทรเหมือนจะเข้าใจแจ่มแจ้งโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ

“คุณลุงไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า เพียงแต่อยากให้นายกลับไปอยู่บ้านก่อนแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องงานค่อยคุยกันอีกทีก็ได้ พี่ว่าอะไรๆ น่าจะง่ายขึ้นนะถ้านายกลับไปอยู่บ้าน อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อความสบายใจของคุณป้า นายไม่เป็นห่วงคุณป้าหรอกเหรอ” ตุลภัทรนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยักไหล่

“งั้น...ผมจะตามไปล่ะกัน ผมหมายความว่าหากป๋าไม่เอะอะตะเพิดผมออกมาก่อนอะนะ”

เย็นของวันต่อมาตุลภัทรได้กลับเข้าบ้านตามที่รับปากไตรศูรย์ไว้ ท่ามกลางความยินดีของคุณภัทราผู้เป็นมารดาเป็นอย่างมาก ขณะที่คุณไตรรัตน์แม้ไม่ได้พูดหรือแสดงอะไรออกมา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีร่องรอยของความดีใจที่ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้นอยู่ไม่น้อย ไตรศูรย์รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

ซึ่งก่อนหน้าที่ตุลภัทรจะกลับมาไตรศูรย์ได้ขอร้องคุณไตรรัตน์ไม่ให้ดุด่าว่ากล่าวลูกชาย เพราะเขารู้ว่านั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เลวร้ายขึ้นเพราะความที่ ‘แรง’ กันทั้งสองฝ่าย โดยให้ความมั่นใจกับผู้เป็นลุงว่าเขากับคุณภัทราจะพยายามโน้มน้าวตุลภัทรเรื่องงานเอง และเขาจะดูแลตุลภัทรในเรื่องนี้ให้ดีที่สุด จึงทำให้คุณไตรรัตน์วางใจ

วันนี้เป็นวันที่ไตรศูรย์บอกไว้ว่าจะให้ช่างมาเริ่มทำการซ่อมแซมบ้านยาย พอสายๆ เกี้ยวเกล้าจึงได้เดินทางไปที่นั่น เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อขับรถมาถึงประตูไม้สูงใหญ่ที่เคยเป็นปัญหาตัวเป้งสำหรับเธอครั้งนั้น แต่คราวนี้กลับเปิดโล่งโจ้ง

หญิงสาวจึงเลี้ยวรถเข้าไปตามทางดินลูกรัง มองไปบริเวณรอบๆ เห็นต้นไม้ใบหญ้ารกรื้น ต้นไม้นั้นมีหลากหลายขนาด ทั้งที่ยืนต้นสูงใหญ่และกำลังเติบโต บนที่ดินที่ถูกทิ้งร้างมานาน แต่เก่าก่อนที่จะมาเป็นของยายกับตา ที่นี่เคยเป็นป่าเบญจพรรณผสมป่าเต็งรังที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน แต่ถูกแผ้วถางจากคนที่จับจองคนแรกเพื่อทำไร่เลื่อนลอยแล้วขายต่อมือมาอีกหลายทอด จนถึงมือตากับยายต้นไม้ใหม่ๆ จึงมีสิทธิ์งอกเงยขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะตา ยาย ซื้อที่นี่เพื่อปลูกบ้านไว้อยู่ไม่ได้ใช้ทำการเกษตรใดๆ นอกจากทำแปลงปลูกผักไว้กินแถบใกล้ๆ บ้าน แม้ที่นี่จะมีพื้นที่เกือบ 20 ไร่ ยายรักที่นี่ตั้งแต่แรกเห็น ด้วยสุดปลายที่ดินด้านที่ปลูกบ้านเป็นเนินเล็กๆ เมื่อมองจากตรงนี้ลงไปจะเห็นแม่น้ำปิง ด้านหลังและด้านข้างติดภูเขาที่สลับซับซ้อน

ยายตั้งใจว่าในบั้นปลายของชีวิต เมื่อลูกๆ เติบโตแต่งงานแยกครอบครัวไปแล้วจะมาปลูกบ้านอยู่อย่างสงบๆ ที่นี่ แทนที่ในตัวอำเภอที่อยู่ดั้งเดิมสมัยตาทวดและเริ่มอึกทึกขึ้นแล้วในตอนนั้น ที่นี่แยกห่างจากตัวอำเภอมาเกือบ 30 กว่ากิโลฯ ต้องผ่านหมู่บ้านมานับ 10 กว่าหมู่บ้าน แต่กระนั้นคนที่คุ้นเคยกับที่นี่ดีอย่างเกี้ยวเกล้ากลับไม่เคยรู้สึกว่ามันไกลเลยสักนิด

เกี้ยวเกล้าจอดรถข้างบ้านหลังเล็กที่เคยมาทำแผลคราวก่อน มีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว 2 คัน คันสีน้ำเงินนั้นดูคุ้นตา แต่อีกคันเป็นรถปิคอัพเก่าๆ สีถลอกปอกเปิกบ่งบอกถึงอายุและสภาพการใช้งานได้เป็นอย่างดี น่าจะเป็นของคนงานที่มาซ่อมแซมบ้าน

หญิงสาวลงจากรถแล้วจึงก้าวไปตามทางเดินเล็กๆ ที่ทอดไปสู่บ้านของยาย เสียงเอะอะดังมาจากทางนั้น มีทั้งเสียงไม้กระทบกัน เสียงคนพูดคุย เสียงทุบเคาะไม้ดังผสมปนเปกันไปในบรรยากาศ เมื่อเธอไปถึงก็รู้สึกใจหายกับภาพที่เห็น คนงานผู้ชาย 4-5 คนกำลังรื้อชานบ้าน โยนไม้ผุพังลงมา เสียงสั่งงานดังโขมงโฉงเฉงจากผู้ชายผิวดำที่คาดว่าคงเป็นหัวหน้าคนงาน และร่างสูงเข้มคุ้นตาก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

“คุณ...กำลังทำอะไรน่ะ” เสียงของเธอทำให้ชายหนุ่มหันมายิ้มกว้างขวางให้ แล้วปีนลงมาอย่างทุลักทุเล

“ต้องรื้อไม้ผุๆ นี่ออกก่อนจึงจะซ่อมแซมได้” อธิบายพลางเดินเข้ามาหา

“ต้องขนาดนี้เลยเหรอ ฉันนึกว่าจะทำแบบว่า เอ่อ...ค่อยๆ ซ่อมไป” เธอชี้ไปยังชานบ้านที่เริ่มโล่งจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมด้วยความหวั่นใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น

“คุณคงกลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิมล่ะสิ” เขาเดา เกี้ยวเกล้าไม่ตอบ “ก็อย่างที่ผมเคยเปรยไว้ว่าบ้านเก่ามากต้องซ่อมแซมใหม่หมด แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะ รับรองว่าทั้งโครงสร้างและรายละเอียดทุกอย่างจะยังคงเดิม เพราะพวกช่างแล้วก็คนงานเหล่านี้ไว้ใจได้ อย่าห่วงเลยนะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้หญิงสาวละสายตาจากบ้านหันมามองคนที่ยืนข้างๆ จึงเห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว

“และไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับผมก็ตามแต่ แต่เรื่องนี้...ผมอยากให้คุณไว้ใจผมสักครั้ง” เกี้ยวเกล้ามองสบตาคู่คมที่แม้ทอประกายแสงอ่อน แต่กลับเต็มไปด้วยความจริงจัง เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

“งั้น ก็...ก็ได้” สิ่งที่ปรากฏในน้ำเสียงและแววตาของเขา ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นจนยอมรับปากอย่างง่ายดาย

ก่อนจะหันไปเห็นผู้ชายวัย 40 กว่าที่รู้จักคุ้นเคยกันดี กำลังเก็บเศษไม้ที่ถูกโยนทิ้งเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณนั้นมากองรวมกันตรงลานบ้าน เธอจึงเดินไปหมายจะช่วย

“เกี้ยวช่วยนะคะน้าปัน”

“ไม่ต้องหรอกหนูเกี้ยว น้าว่าไปช่วยน้ามาลีเค้าทำกับข้าวเลี้ยงคนงานดีกว่าไป๊” หญิงสาวจึงเดินกลับไปที่บ้านหลังเล็กตามเดิม

“น้าลีทำอะไรกินคะ” เกี้ยวเกล้าร้องถาม หญิงวัยกลางคนที่นั่งบนแคร่มีพวกผักกองอยู่ตรงหน้า

“อ้าว...นังหนูเกี้ยวเองเรอะ ว่าแล้วเชียวว่ารถนี่คล้ายรถของพ่อครู น้าพึ่งไปเก็บผักมาว่าจะทำน้ำพริกอ่องกับแกงผักกาดใส่ไก่น่ะ” น้ามาลีกับสามีคือน้าปันเป็นคนในหมู่บ้านใกล้ๆ รู้จักคุ้นเคยกันดีกับครอบครัวเธอตั้งแต่สมัยยายเอื้อยยังอยู่ แล้วตอนนี้ก็เป็นคนดูแลที่นี่ให้กับไตรศูรย์

“เกี้ยวช่วยค่ะ” หญิงสาวกุลีกุจอเข้าไปช่วย

“ถ้าทำบ้านเสร็จเราจะมาอยู่ที่นี่ไหมนังหนูเกี้ยว”

“เอ่อ...เกี้ยวคงไม่ได้อยู่ถาวรนะน้า พอดีเกี้ยวจะต้องไปช่วยงานป้าอิ่นในเมืองน่ะจ้ะ ถ้ากลับมาบ้านถึงจะได้แว่บมา ไม่ก็ที่บ้านอาจจะมาค้างกันก็ได้” เธอตอบ

“เอ๊า! ตกลงบ้านนี้ไม่ได้เป็นเรือนหอหรอกเร๊อะ” น้ามาลีถามอย่างงงๆ

“อะไรนะน้า!? น้าพูดอะไรนะ เรือนหอ...เรือนหอใครจ๊ะ” เกี้ยวเกล้าเองก็งุนงงไม่น้อยไปกว่ากัน

“อ้าว...เรือนหอเรากับพ่อไตรน่ะสิ” คำตอบนั้นทำให้คนฟังถึงกับอ้าปากค้างไปหลายวินาที

“เปล่านะน้า น้าเอาอะไรมาพูด ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย เพียงแต่...เอ่อ เกี้ยวจะอธิบายยังไงดี คือ...เขากับเกี้ยวเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เรื่องบ้านนี่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ต้องทำร่วมกันแค่นั้นเอง” เธอรีบปฏิเสธและพยายามอธิบายอยู่ในทีเมื่อได้สติ

“อ้าว เรอะ ไอ้น้าก็เห็นว่าพ่อไตรเค้าเข้านอกออกในบ้านเราตั้งแต่มาแรกๆ นานเป็นปีสองปีแล้ว นึกว่าได้คุยอะไรกันมั่ง แล้วที่เรากลับมานี่นึกว่าจะมาแต่งงานเสียอีก ก็พ่อครูกับน้าอ่อนเอ็นดูพ่อไตรเขาออกจะตาย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะน้า น้าอย่าพูดไปนะเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงซักหน่อย แล้วอาจจะทำให้เขากับแฟนผิดใจกันได้”

“หา! ใคร ใครแฟนพ่อไตร ทำไมน้าไม่รู้” คนตกข่าวอย่างไม่ตั้งใจสงสัยเต็มที่

“ก็...อ๋อมแอ๋มไง” หญิงสาวเฉลย

“ป้าด! ไอ้ลูกสาวครูอนงค์น่ะเร้อ ไม่จริงมั้งไม่เห็นพ่อไตรเขาพูดถึงเลยนี่ ตั้งแต่น้ามาอยู่ที่นี่ไม่เห็นพาสาวคนไหนมา พอถามถึงแฟนก็หัวเราะอย่างเดียว พ่อไตรน่ะเป็นคนดี ทั้งใจดีแล้วก็น่ารักแถมยังหล่ออีกด้วย ครองตัวเป็นโสดได้ขนาดนี้มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ” น้ามาลีทำหน้าสงสัยแกมครุ่นคิด เหมือนเป็นเรื่องใหญ่เสียเต็มประดา

“เขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้นี่น้า” เกี้ยวเกล้าแกล้งว่าอย่างหมั่นไส้ ด้วยรู้สึกว่าทำไมคนที่กำลังพูดถึงนี่ ถึงมีแต่คนมองเขาในแง่ดีนักนะ ดูท่าน้ามาลีเองก็คงไม่พ้นเป็นแฟนคลับตัวจริงของเขาเหมือนกัน

“ป้าด! อกอีลีจะแตก คนสมัยนี้เป็นยังไงกันนะ สาธุ...ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ยังไงก็ไม่น่าใช่นานังหนูเกี้ยว แต่อาจจะมีเหตุผลอื่น เช่นว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ หรือไม่ก็ยังรอใครบางคนที่รักอยู่” เกี้ยวเกล้ามองท่าทางไม่วายครุ่นคิดของอีกฝ่ายแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

“นั่นเกี้ยวคุ้นๆ ว่าเป็นคำพูดของพระเอกละครที่ออกทางช่อง 3 เมื่อคืนนี่น้า”

“เออ...แฮะๆ ๆ ก็ใช่ ละครมันก็ไม่ต่างกับชีวิตจริงนักหรอกน่านังหนูเกี้ยว” น้ามาลีแก้เก้อ



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2560, 19:06:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2560, 19:06:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 851





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
แว่นใส 12 เม.ย. 2560, 19:31:40 น.
คนอื่นเขายังรู้เลยนะ


พอใจ 14 เม.ย. 2560, 22:34:19 น.
รู้ใจตัวเอง แต่ไม่อยากยอมรับล่ะสิ


กานพลู 19 เม.ย. 2560, 20:18:19 น.
คุณแว่นใส# ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามตลอด รักๆ กอดๆๆๆค่า


กานพลู 19 เม.ย. 2560, 20:19:09 น.
คุณพอใจ# ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและลุ้นนะคะ รักๆๆ คนอ่านค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account