ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนทที่ 11

หลายวันต่อมาหลังจากดูแลลูกค้าที่เข้ามาดูผ้าเสร็จ เกี้ยวเกล้าก็พับผ้าที่ลูกค้ากลุ่มเมื่อครู่รื้อเก็บ ขณะที่แสงหล้ากำลังซ่อมแซมผ้าอยู่

“พี่แสงหล้าจ๊ะ ว่างๆ ช่วยสอนเกี้ยวซ่อมผ้าบ้างได้ไหมคะ เกี้ยวอยากทำเป็นบ้าง จะได้ช่วยพี่แสงหล้าทำด้วยไงคะ” แสงหล้าละสายตาจากงานในมือมามองเกี้ยวเกล้าด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิจ๊ะน้องเกี้ยว ดีเหมือนกัน ตั้งแต่น้องเกี้ยวมาอยู่ที่นี่พี่สบายขึ้นตั้งเยอะ แถมยังมีเพื่อนคุยอีก

ว่าแต่น้องเกี้ยวมีแฟนหรือยังละหน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจะรอด พี่อยากเห็นแฟนน้องเกี้ยวจัง”

“เอ่อ...เกี้ยวยังไม่มีหรอกค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบไป

“จริงเหรอจ๊ะ น้องเกี้ยวเลือกมากน่ะสิ แต่ก็อย่างว่าแหล่ะนะ ที่เขาว่ากันว่าผู้ชายดีๆ เดี๋ยวนี้หายาก ไม่มีเมียก็ตายไปหมดแล้วนั่นแหล่ะ แต่พี่ว่ามีอีกอย่างนะ เดี๋ยวนี้พวกผู้ชายหันไปจับคู่กันเองมากขึ้นเลยทำให้เหลือมาถึงผู้หญิงอย่างเราๆ น้อยเต็มที” ความเห็นของแสงหล้าทำให้เกี้ยวเกล้าคิดไปถึง ‘เพื่อนสาว’ อย่างเจนแล้วอดยิ้มขำไม่ได้

“แต่พี่แสงหล้าก็โชคดีนี่คะ ที่เจอผู้ชายดีๆ แล้ว ดูรักพี่แสงหล้ายังกะอะไรดี” เกี้ยวเกล้าเห็นแสงหล้ามีแฟนที่ทำงานอีกที่หนึ่งคอยรับส่งเป็นประจำทุกวัน และดูรักกันจี๋จ๋าจนเก็บเอามาแซวแสงหล้าอยู่บ่อยๆ

“แหม...น้องเกี้ยวก็พูดเข้า ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พี่เขินนะเนี่ย หุ หุ”

สองทุ่มกว่าหลังจากปิดร้าน เกี้ยวเกล้ายืนส่งแสงหล้าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์แฟนกลับบ้าน ซึ่งอยู่คนละทางกับเธอ ทั้งสองเคยอาสาไปส่งเธอที่บ้านป้าอิ่นคำแต่เธอปฏิเสธเพราะไม่อยากรบกวน และอีกอย่างบ้านป้าอิ่นคำที่เธอพักอยู่นั้นก็ไม่ไกลจากร้านนัก เธอจึงชอบเดินทั้งไป-กลับมากกว่า และเมื่อคู่ของแสงหล้าลับสายตาไป หญิงสาวจึงหันหลังออกเดินเพื่อกลับบ้านบ้าง แต่ก็ต้องตกใจกับร่างสูงที่เดินใกล้เข้ามา

“คุณอยู่แถวนี้เหรอ” เธอถามด้วยความแปลกใจ

“เอ่อ ผมมาทำธุระ ว่าแต่คุณปิดร้านแล้วเหรอ” เขาถามพลางมองผ่านเธอไปยังประตูร้านด้านหลัง หญิงสาวไม่ได้แปลกใจที่เขารู้เรื่องของเธอดี นี่คงจะมีใครสักคนที่บ้านบอกเขากระมัง เกี้ยวเกล้าคิด ก่อนแอบสังเกตคนที่อยู่ตรงหน้า ทั้งกางเกงสีดำ เน็คไท และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่วันนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกตา ทุกทีที่เจอเขาเธอเคยเห็นแต่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต สบายๆ หรือที่พิเศษหน่อยก็เห็นแต่ตอนงานแต่งที่เธอเป็นลมล้มพับนั่น

ตอนนั้นแม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตที่ทับด้วยสูทอีกที แต่ท่อนล่างก็ยังไม่วายเป็นกางเกงยีนส์ และตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเลิกงานแล้วเพราะได้พับแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งศอก เน็คไทสีน้ำตาลลายจุดเล็กๆ นั้นปมก็ถูกคลายจนหลวมเลื่อนลงมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

“ก่อนกลับบ้านผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหม แล้วเดี๋ยวผมไปส่งเอง”

“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันพักอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” เธอปฏิเสธ

“แต่ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ...เรื่องบ้านน่ะ เอ่อ พอดีมันมีปัญหานิดหนึ่ง” หญิงสาวมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง

“ก็ได้ แต่ฉันขอเลือกร้านเองนะคะ แล้วก็เดินไปด้วย” คำตอบของเธอเรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏบนริมฝีปากของเขาได้อย่างง่ายดาย

กำแพงประตูเมืองเก่าแก่ก่อสร้างด้วยอิฐที่สีซีดจางไปตามกาลเวลาตั้งตะหง่าน โดยมีคูเมืองดั้งเดิมพาดผ่านด้านหน้าและทอดตัวยาวขนานไปกับถนนสายหลักของเมืองเชียงใหม่ ที่ยังคงมีรถราวิ่งขวักไขว่ในช่วงเวลาค่ำคืนอย่างนี้ เมื่อเดินเลยจากประตูเมืองเก่าไปไม่กี่ก้าวก็ถึงลานกว้างที่ส่วนหนึ่งปูด้วยหญ้าญี่ปุ่น แต่อีกส่วนปูด้วยอิฐสีแดง และบริเวณที่ปูด้วยอิฐก็มีร้านรวงสำหรับขายของอยู่เต็มลาน ซึ่งส่วนมากจะเป็นของกิน

เกี้ยวเกล้าเดินนำไปยังร้านขายขนมจีนเจ้าหนึ่งที่อยู่ติดสนามหญ้า มีโต๊ะและตั่งเตี้ยๆ จัดไว้เป็นชุดสำหรับลูกค้า บนโต๊ะมีพวงใส่เครื่องปรุง ตะกร้าผักสด พริกทอด และแคบหมูวางอยู่ หญิงสาวร้องสั่งขนมจีนสองชามในทันทีที่นั่งลง

สักครู่ขนมจีนน้ำเงี้ยวสองชามก็วางลงตรงหน้าเธอและเขา เกี้ยวเกล้าลอบมองคนตรงหน้าที่ใช้ช้อน

คนขนมจีนในชามไปมาด้วยท่าทีเงอะงะ ก่อนจะตัดสินใจหยิบผักใส่ลงไปกำเบ้อเริ่มแล้วคนอีกรอบ ที่สุดก็ตักขนมจีนน้ำเงี้ยวเข้าปากคำแรก ใบหน้าคมดูพะอืดพะอมจนเห็นได้ชัด

“ไม่อร่อยเหรอ หรือจืดไป ฉันว่าคุณใส่ผักเยอะไปนะ คุณเติมพริกป่นหน่อยดีกว่ารสชาติจะได้ดีขึ้น” ไม่พูดเปล่า มือเรียวใช้ช้อนของตัวเองตักพริกป่นจากพวงเครื่องปรุงครึ่งช้อนใส่ลงไปในชามเขา โดยที่เจ้าของชามไม่ทันตั้งตัว และได้แต่มองหน้าเธออย่างตกใจไม่กล้าแม้แต่จะทักท้วง

“อ้าว! คนสิ” เธอร้องบอก เมื่อเห็นเขายังตะลึงเป็นบื้อใบ้ “มา...ฉันคนให้ดีกว่า” เธอเลยขันอาสาคนให้เขาเสร็จสรรพ

“อ่ะ! ลองชิมดู ฉันว่าโอเค.แน่ๆ ” หญิงสาวคะยั้นคะยอ แต่เขายังทำท่าปอด

“กินไม่ลงเหรอ อืมม์...ร้านข้างถนนแบบนี้คุณคงกินไม่ลงสินะ” แล้วก็แกล้งว่าเข้าให้

“ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้รังเกียจนะ” เป็นเหตุให้ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ ก่อนจะตักขนมจีนเข้าปากเป็นคำที่สอง และรีบกลืนลงคออย่างรวดเร็ว แล้วอ้าปากซี้ดด้วยความเผ็ดร้อน

“เห็นไหมล่ะ มีรสชาติขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย กินเยอะๆ เลยนะ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจพามากิน กินนิดเดียวฉันเสียใจแย่” เกี้ยวเกล้าพูดต่อทำเหมือนมองไม่เห็นท่าทางของอีกฝ่าย ที่ใบหน้า หู ตาเริ่มแดง แถมน้ำตายังคลอและสูดน้ำมูกฟุดฟิด แต่เขายังใช้ช้อนเขี่ยขนมจีนในชามไปมา และตักใส่ปากทีละนิดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หญิงสาวผินหน้าไปอีกทางแอบยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะคว้าถุงแคบหมูไร้มันที่วางเป็นเครื่องเคียงมาแกะถุง แล้วหยิบแคบหมูชิ้นเล็กยาวเหมือนเฟรนด์ฟรายใส่ปากเคี้ยว สลับกับการตักขนมจีนใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่สนใจอีกคน ที่มาถึงตอนนี้กำลังซู้ดปาก สูดน้ำมูกอย่างไม่มีอาย ใช้มือพัดปากตัวเองสลับกับคว้าแก้วน้ำมาดื่มอยู่เนืองๆ

“เอ่อ ผมขอแคบหมูแก้เผ็ดบ้างได้ไหม” เมื่ออดรนทนไม่ได้เขาจึงร้องขออย่างเว้าวอน

“อุ๊ย...’โทษที อ่ะ...เอาไปหมดละกัน” เกี้ยวเกล้าส่งถุงแคบหมูที่เหลือเพียงสองชิ้นเล็กๆ ให้เขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินขนมจีนของตัวเองจนหมด แต่ดูท่าแคบหมูชิ้นเล็กนั้นจะช่วยอะไรไม่ได้เขาจึงต้องพึ่งน้ำต่อ เมื่อน้ำหมดแก้วแล้วเขาก็เดินไปเติมน้ำจากกระติกที่เตรียมไว้ให้ลูกค้าบริการตัวเองอยู่มุมหนึ่ง หญิงสาวมองตามร่างสูงด้วยความขำปนสงสาร ก่อนลุกจากที่นั่งไปหยิบเอาแคบหมูอีกถุงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ที่ว่างจากลูกค้ามา

เมื่อเขากลับมานั่งที่เดิมพร้อมน้ำเผื่อเธออีกแก้ว หญิงสาวจึงแกะถุงแคบหมูยื่นให้เขา เขากล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะรีบส่งมันเข้าปากราวกับว่าถ้าช้าอีกวินาทีเดียวอาจทำให้ขาดใจตายได้ เกี้ยวเกล้านั่งเท้าคางมองคนที่ยังวุ่นวายอยู่กับการกินน้ำและแคบหมูสู้กับความเผ็ด ก่อนจะปิดปากหัวเราะคิก ใบหน้าเข้มจึงเงยขึ้นมามองอย่างเอาเรื่อง เธอรีบเบือนหน้าหนีกลั้นหัวเราะทำไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น

“ตลกนักใช่ไหม” เขาเข่นเขี้ยวอย่างไม่จริงจังนัก เมื่อหายเผ็ดลงบ้างแล้ว

“ก็...นิดหน่อย อิ อิ เออ...จริงสิ คุณจะคุยเรื่องบ้านกับฉันไม่ใช่เหรอ”

“เอ่อ ความจริงแล้วขอสารภาพตามตรงว่าเรื่องบ้านยังไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผมนะ แต่ถ้าคุณว่างกลับไปดูอีกทีละกันว่าโอเค.หรือเปล่า แต่เรื่องที่อยากจะพูดกับคุณจริงๆ ก็คือ...ผมอยากขอโทษที่แกล้งคุณคืนนั้น จนทำให้...”

“ช่างเถอะค่ะ ถือว่าเราหายกันละกัน ฉันเองก็แกล้งคุณกับอ๋อมนี่” และขนมจีนรสแซ่บ! นี่ด้วย เกี้ยวเกล้าแอบต่อประโยคในใจอีกนิด

“ผมกับคุณอ๋อมแอ๋มไม่ได้มีอะไรกันเลยนะ เราแค่คุยกันเรื่องที่เท่านั้น” เขารีบปฏิเสธเสียงหลงเหมือนเธอกำลังกล่าวหาอะไรสักอย่างที่ร้ายแรงกระนั้นแหล่ะ

“ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ เล่นเอาคนร้อนตัวยิ้มเก้อๆ “อีกอย่าง ฉันก็ต้องขอบคุณคุณด้วยที่ไปเยี่ยมวันนั้น”

“ผมตั้งใจจะไปขอโทษคุณน่ะ แต่พอดีว่า...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี

“ฉันกับพีทเป็นแค่เพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนน่ะค่ะ” เกี้ยวเกล้าก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยความร้อนตัวพอกัน และเป็นผลให้คนฟังหน้าบานไม่น้อย

“ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น” เขาถึงกับพูดออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว

“คะ? ” ตากลมโตคู่นั้นจ้องเขาด้วยความแปลกใจ จนชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว

“เอ่อ...คืนนี้อากาศดีนะคุณ” เขาขยับตัวเกาหัวขัดเขิน แสร้งมองฟ้าและบรรยากาศรอบตัว สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดราวกับว่ากำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่บริสุทธิ์ งดงามเสียเต็มประดา จนคนมองหัวเราะคิก

“ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะค่ะ”

“ผมเดินไปส่ง” ชายหนุ่มอาสา ก่อนจะเรียกแม่ค้ามาเก็บเงิน

รถสีน้ำเงินเมทัลลิคคันนั้น เคลื่อนตัวตรงเข้ามายังโรงจอดรถของบ้านหลังใหญ่สองชั้นสไตล์ลากูนน่า ที่แยกจากตัวบ้านออกมาทางขวามือ ทำให้ชายวัย 50 กว่าปี ตัวเล็กผิวคล้ำที่กำลังออกมาจากห้องเก็บของซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันต้องหยุดหันมามอง

“อ้าว คุณไตรมาแล้วเหรอครับ” ชายร่างเล็ก ผิวคล้ำทักทายทันทีที่เห็นร่างสูงของชายหนุ่มเปิดประตูรถออกมา

“ครับลุงหมาน นี่กลับมากันหมดแล้วเหรอครับ” ไตรศูรย์ถามพลางกวาดสายตาไปยังรถอีก 3 คันที่จอดเรียงรายอยู่ก่อนแล้วนั่น

“ครับ คุณท่านกับคุณตุลมาถึงก่อนหน้าคุณไตรได้สักพักแล้วครับ แต่...เอ๊ะ! ทำไมคุณไตรทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณไตร” ลุงหมานถามเมื่อสังเกตเห็นไตรศูรย์หน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมทั้งเอามือกุมท้องดูแปลกๆ

“ผมรู้สึกแสบๆ ท้องตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับลุง ว่าแต่ป้าสายอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ ผมว่าจะไปขอยากินซักหน่อย”

“ครับอยู่ข้างใน ไม่ก็ในครัวนั่นแหล่ะครับ”

พอไตรศูรย์เดินเข้ามาในบ้าน กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงอันกว้างขวาง แต่ไม่มีแม้เงาของแม่บ้านเก่าแก่ของบ้านหลังนี้ เขาจึงสาวเท้าเข้าไปยังห้องครัวด้านหลังต่อ

“ป้าสายครับ ป้าสาย” ปากก็ส่งเสียงเรียก

“คุณไตร มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงวัยใกล้เคียงกับลุงหมานผู้เป็นสามี แต่ร่างท้วมกว่ารีบออกมาหา

“มียาอะไรที่แก้แสบท้อง ร้อนท้องบ้างไหมครับป้า”

“ตายแล้ว คุณไตรเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะนั่น” ป้าสายร้องถามด้วยความเป็นห่วงไม่น้อย

“ไม่เป็นไรมากหรอกครับก็แค่แสบท้อง แต่ไม่รู้ท้องจะเสียด้วยหรือเปล่า”

“แล้วคุณไตรไปกินอะไรมาล่ะคะ” ว่าพลางควานหายาในตู้ยาสามัญประจำบ้านวุ่นวาย

“ก็...กินขนมจีนเผ็ดๆ น่ะครับ” ตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโวยวายเอา

“หา! ตายแล้ว...นึกยังไงถึงไปกินขนมจีนได้คะ ก็คุณไตรเกลียดขนมจีนไม่ใช่เหรอคะ นี่ยังเผ็ดอีก ใครพาคุณไตรไปกินคะ อย่าบอกว่าคุณไตรอยากกินเองนะคะ” แต่ถึงกระนั้นป้าสายก็ถามด้วยท่าทีร้อนใจปนโวยวายจนได้

เพราะตั้งแต่เด็กไตรศูรย์ไม่ชอบกินขนมจีน เขาให้เหตุผลว่ากลิ่นและรสชาติเหม็นเปรี้ยวจากการหมักทำให้เขารู้สึกพะอืดพะอม ตอนยังเล็กเขาถูกแม่บังคับให้กิน จึงทำให้ฝังใจและไม่เคยกินขนมจีนอีกเลยนับจากนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ำยาอะไรก็ตาม เขายอมอดหากมื้อนั้นเป็นขนมจีน และจะเป็นที่รู้กันในหมู่คนที่สนิทสนม แต่คราวนี้เขาจนปัญญาที่จะหลีกเลี่ยงได้จริงๆ หรืออีกที...เขาไม่อยากหลีกเลี่ยงเองต่างหาก...

“เปล่าหรอกครับป้า คือ...ผมไปกินกับเพื่อนน่ะครับ”

“เพื่อนคุณไตร? อย่าบอกว่าโดนคุณอ้วน คุณเก้ง คุณวิทย์แกล้งเอานะคะ เพื่อนคุณไตรทโมนออกจะตาย แต่ว่า...คุณอ้วนกับคุณเก้งมาเหรอคะ” ป้าสายถาม เพราะรู้จักเพื่อนสนิทสมัยเรียนของเขาเป็นอย่างดี ที่พอเรียนจบต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่เหมือนกับเขา

“ไม่ใช่หรอกครับป้าสาย คนนี้ป้าสายไม่รู้จักหรอกครับ” เขาปฏิเสธ

“แสดงว่าไม่สนิทกันใช่ไหมคะ ถึงไม่รู้ว่าคุณไตรไม่ชอบขนมจีน แล้วคุณไตรยังไม่กล้าปฏิเสธอย่างนี้น่ะ” ป้าสายทำตัวเป็นหมอเดา ก่อนส่งขวดยาเคลือบกระเพาะให้เขา

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” เขาอยากจะบอกนักว่า ตัวเขาเองน่ะ อยากสนิทกับคนๆ นี้จะแย่

“ว่างๆ พามาให้ป้าดูหน้าหน่อยนะคะ ป้าจะได้บอกเขาด้วยว่าคุณไตรไม่ชอบขนมจีน” ป้าสายไม่ยอมจบง่ายๆ เสียแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ามองป้าสายอย่างขำๆ ถ้าเป็นเรื่องของเขาแล้ว ป้าสายมักเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วยเสมอ เขารู้ว่าป้าสายรักและเอ็นดูเขามาตลอด รวมไปถึงลุงหมานสามีของแกที่เป็นทั้งคนขับรถและดูแลสวนของบ้านนี้ด้วย

“โธ่...ป้าครับ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ถ้ามีโอกาสป้าคงได้เจอแน่ ว่าแต่นี่คุณลุง คุณป้า นายตุลอยู่ข้างบนกันหมดเหรอครับ” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ป้าสายจะออกอาการเดือดเนื้อร้อนใจไปมากกว่านี้

“ค่ะ คุณท่านอยู่ห้องทำงาน คุณผู้หญิงอยู่บนห้อง ส่วนคุณตุล โน่น...พูดถึงก็มาพอดีเลย แต่งตัวเสียหล่อเหลาคืนนี้คงไม่กลับบ้านเป็นแน่” ป้าสายทำปากบุ้ยใบ้ไปทางบันได

ไตรศูรย์มองตามก็เห็นจริงดังป้าสายว่า ร่างสูงโปร่งของตุลภัทรที่กำลังลงบันไดมานั้น เหมือนเตรียมพร้อมออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงตามเคย

“ไงพี่ไตร กลับมาแล้วเหรอฮะ” ตุลภัทรที่เดินมาใกล้ถามขึ้น

“อืมม์...แล้วนั่นนายจะไปไหน” ไตรศูรย์ถามน้องชายต่างบิดา มารดา

“ผมนัดเพื่อนสมัยเรียนไว้น่ะ ไม่ได้เจอกันนานก็เลยนัดสังสรรค์กันนิดนึง พี่ไตรไปด้วยกันไหม เพื่อนผู้หญิงของผมที่ไม่ได้เจอกันนาน มาตอนนี้นะพี่...แหล่มๆ ทั้งนั้นเลย พี่จะได้เลือกไว้เป็นพี่สะใภ้สักคนไง”

“ไม่ล่ะ ตามสบาย แล้วนายก็อย่าติดลมจนเกินไปล่ะ พรุ่งนี้มีประชุมด้วยเดี๋ยวคุณลุงเอาตาย” เขาปราม

“ผมรู้น่า พี่ก็บ่นจนจะเหมือนป๋าเข้าไปทุกทีแล้วนะรู้’เปล่า อย่าซีเรียสๆ ผมไปก่อนล่ะ” ตุลภัทรตบไหล่พี่ชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้านอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ป้าสายกับไตรศูรย์มองตามพลางถอนหายใจกับพฤติกรรมที่ชาชินนี้

แต่นี่ก็ล่วงเลยมาเกือบ 3-4 เดือนแล้วที่ตุลภัทรกลับมาอยู่บ้าน เขาเริ่มเข้ามาเรียนรู้งานภายในโรงแรมเวียงคำแก้ว แต่ก็เป็นไปแบบขอไปที ไม่เต็มที่เท่าไหร่ เพราะยังคงติดเพื่อน และเที่ยวกลางคืนอยู่เป็นประจำ เผลอๆ ก็ไม่มีแรงมาทำงานเสียอย่างนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับผู้เป็นบิดาจนเริ่มบ่นว่า และให้ไตรศูรย์ช่วยปรามอยู่เนืองๆ ‘โธ่...พี่ไตร ผมก็ทำอยู่แล้วไง ป๋าจะเอาไงกับผมอีก บอกตรงๆ นะ งานโครตเครียดเลย ขอผมพักสมองไปเจอเพื่อนฝูงบ้างเถอะ’ ตุลภัทรเคยโอดเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้

ไตรศูรย์ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าคอยปราม และคอยเตือนเช่นตอนนี้ ที่สุดก็ได้แต่หวังว่าสักวันตุลภัทรจะได้คิด หันมาเอาใจใส่ต่อสิ่งดีๆ รอบข้าง มองเห็นความรัก หวังดีของคนในครอบครัว และเช่นกันกับที่หวังว่าลุงของเขาจะเปิดใจให้กว้าง มองลูกชายในแง่ที่ดี และแสดงความรักต่อกันให้มากกว่านี้ ไตรศูรย์ได้แต่ภาวนาให้วันนั้นมาถึงในเร็ววัน และหากทำสิ่งใดได้เขาจะไม่รีรอเลย

หมายเหตุ *จก - ตามภาษาพื้นบ้าน แปลว่า ควักหรือล้วงด้วยมือ เป็นเทคนิคการทำลวดลายบนผืนผ้าเป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันตลอดหน้ากว้างของผ้า ทำให้สามารถสลับสีสรร ลวดลาย ได้หลากหลายสี ซึ่งอาจใช้ขนเม่นช่วยหรือไม่ใช้ก็ได้




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2560, 11:15:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2560, 11:15:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 996





<< ตอนที่ 10   ตอนที่ 12 >>
แว่นใส 29 เม.ย. 2560, 20:14:23 น.
โดนแกล้งอีกละ


กานพลู 5 พ.ค. 2560, 11:06:26 น.
ลุ้นๆเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รักๆๆ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account