ฝากรักไว้ในสายหมอก (เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อมE-Book)
มวยเกล้าผมวาง บนกล๋างกระหม่อม

แล้วเหน็บโอบล้อม ด้วยดอกเกี้ยวเกล้า
แดงเฮย...งามแต๊ บ่แลโศกเศร้า

สดใสเริงเลา ใคร่เฝ้าอยู่ใกล้
ผ่อจนเหลียวหลัง เป๋นดีใคร่ได้

โอบล้อมหัวใจ๋ ดวงนี้
แต่เก๊าเจ้าหวง สมแล้วว่าอี้

บ่ดีเด็ดเล่น เนอนายฯ.....



...........................................................................


เพราะความรัก ความผูกพันช่วงหนึ่งในวัยเยาว์

ที่เคยเติมเต็มหัวใจอันอ้างว้างของเขาให้อบอุ่นขึ้นมาได้

ความรู้สึกเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในใจตลอดมา

จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เขากลับมาตามหาความรัก

ความผูกพันที่ได้ฝากไว้กับใครบางคน.



ฝากรักไว้ในสายหมอก

เป็นนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์กับสนพ.กรียมายด์

ตอนนี้หมดสัญญาแล้วจึงเอามาทำเองค่ะ

ติดตามกันได้ในรูปแบบอีบุ๊คนะคะ




Tags: เกี้ยวเกล้า ไตรศูรย์ เชียงใหม่ ล้านนา โรงแรม ความรัก ความผูกพัน วัยเยาว์ สายหมอก

ตอน: ตอนที่ 16

​ หลังจากลงต้นไม้เสร็จ ไตรศูรย์ยังเดินวนเวียนสำรวจความเรียบร้อยไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่ริมรั้วที่ลงต้นลีลาวดีสีขาวยาวไปถึงหน้าประตูใหญ่ ที่เขาพึ่งลงต้นพวงชมพูไว้ทั้งสองด้านเพื่อให้มันขึ้นปกคลุมซุ้มประตูเมื่อเติบโต

จนมาถึงต้นกาสะลองที่ปลูกริมทางเดินข้างในไปจนถึงลานบ้าน ซึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีกาสะลองต้นใหญ่อยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกาสะลองต้นที่เขาพึ่งลงในวันนี้จะเติบโตให้ร่มเงาได้เท่าต้นเก่าที่ตายไป แม้เขาจะเลือกต้นที่สูงและใหญ่ที่สุดเท่าที่สวนของพัฒนะมีมาลงแล้วก็ตาม เขากำชับกำชาน้าปันกับน้ามาลีนักหนา ให้ช่วยดูแลให้ดีที่สุดตอนที่เขาไม่อยู่ สองคนนั้นรับปากท่าทางงงๆ อาจเพราะไม่ค่อยเข้าใจในความจริงจังของเขาก็เป็นได้

ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงตีนบันได ที่ตอนนี้มีดอกไม้สองชนิดปลูกคนละฟาก ด้านหนึ่งเป็นดอกแก้วที่แม้จะเป็นเพียงพุ่มเล็กๆ แต่ดอกสีขาวที่มีอยู่ประปรายก็ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ และอีกด้านเป็นดอกเกี้ยวเกล้าที่ตอนนี้ยังไม่มีดอกให้ได้ชื่นชม แต่เขากลับมองเห็นการเบ่งบานนั้นชัดเจนจากความทรงจำในวันเก่า

‘ดอกเกี้ยวเกล้า’ เคยออกดอกห้อยระย้า ดอกเรียวยาวสีแดงเป็นพู่สวยนั้นแม้แทบไม่มีกลิ่นใดๆ แต่เมื่อสัมผัสกลับให้ความรู้สึกนุ่มละมุนยิ่งนัก เขายิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบสีเขียวสดของมันอย่างทะนุถนอม

“ไตร นั่งมองให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะคะนั่น พึ่งปลูกแท้ๆ แต่ทำท่าเหมือนเห็นดอกมันแล้วอย่างนั้น

แหล่ะ” เจ้าของเสียงเดินเข้าไปใกล้ร่างสูง หลังจากยืนมองท่าทางของชายหนุ่มมาสักครู่หนึ่งแล้ว

“นีร่า มาทำอะไรที่นี่” เขาหันมามองเธอด้วยความแปลกใจ

“ก็มาหาไตรน่ะสิคะ เห็นคุณป้าบอกว่าไตรเอาต้นไม้มาลงที่นี่ กว่าจะมาถึงได้นีร่าต้องแวะถามชาวบ้านตั้งหลายที่แน่ะ นี่คิดยังไงถึงได้มาทำรีสอร์ทที่นี่ล่ะคะ นีร่าไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจมีแต่ภูเขา ป่า ดอย” พูดพลางมองไปรอบๆ บริเวณนั้นแล้วไหวไหล่อย่างไม่แยแส

“ผมไม่ได้ทำรีสอร์ทหรอก นี่เป็นที่ส่วนตัวของผมน่ะ ว่าแต่คุณเถอะ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”

“แหม ไตรก็...ทำไมพูดห่างเหินจัง นีร่าไม่ค่อยได้เจอไตรเลยนะ” นิรามัยทอดน้ำเสียงออดอ้อน

“ผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ คุณก็เห็น” แต่ชายหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงเรียบๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

“ไตรทำงานน่ะ นีร่าไม่ว่าหรอก แต่มานั่งยิ้มกับดอกไม้ ต้นไม้นี่ นีร่าไม่ถือว่าไม่ว่างหรอกนะคะ ว่าแต่...มันสำคัญมากเหรอคะ” แล้วก็อดกระแหนะกระแหนขึ้นมาไม่ได้

“ก็ ใช่...สำคัญมากสำหรับผม” ชายหนุ่มเน้นเสียงตอบ ทำให้นิรามัยเริ่มรู้ตัวว่าแสดงอารมณ์มากไปจนทำให้เขาไม่พอใจ เธอจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มหวานทันที

“อืมม์ จริงสินะ ไตรออกจะเอาใจใส่ขนาดนี้ ว่าแต่ต้นอะไรคะนั่น นีร่าไม่เคยเห็นมาก่อน มีดอกไหมคะ” และพยายามเอาใจเขาอย่างเต็มที่ ทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจใคร่รู้เรื่องไอ้ต้นไม้ ดอกไม้บ้าๆ นั่นสักนิด แต่ก็ทำให้ใบหน้าเข้มนั้นผ่อนคลายลงจนคล้ายยิ้มน้อยๆ หันไปมองดอกไม้ที่พูดถึงอีกครั้ง

“เป็นดอกไม้โบราณที่สมัยนี้อาจไม่ค่อยนิยมปลูกกันเท่าไหร่ ไม่แปลกหรอกถ้าคุณจะไม่รู้จัก ที่อื่นเรียกว่า ‘ดอกหางกระรอกแดง’ แต่ทางเหนือเรียก ‘ดอกเกี้ยวเกล้า’ ” คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังถึงกับชะงักกึกไปทันที ในขณะที่คนอธิบายสายตายังจับจ้องต้นดอกเกี้ยวเกล้าไม่วางตา

“มันมีดอกสีแดงลักษณะเป็นพู่เรียวยาวเหมือนหางกระรอก แม่ญิงชาวเหนือสมัยก่อนชอบเด็ดมาเหน็บมวยผมเกล้าแบบพันหรือโอบฐานมวยผมดูสวยมาก” น้ำเสียงเขายังเพ้ออย่างเป็นสุข แต่คนฟังไม่ได้ใส่ใจกับสาระตรงนั้น

“เป็นชื่อของผู้หญิงร้านขายผ้านั่นหรือเปล่าคะ” นิรามัยพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้ความไม่พอใจเล็ดลอดออกไป ไตรศูรย์หันมองมาทางเธอด้วยแววตาที่รู้สึกได้ว่ามีความอ่อนโยน อ่อนหวานและเต็มไปด้วยความหมายพิเศษอยู่ในนั้น แต่...ความรู้สึกเหล่านั้น ไม่ใช่สำหรับเธอเป็นแน่! นิรามัยรู้จักเขาดี

“อือ ใช่ เป็นชื่อที่ยายเค้าตั้งให้ ยายเอื้อยท่านตั้งชื่อหลานสาวทั้งสองเป็นชื่อของดอกไม้ คนโตชื่อ ‘กอแก้ว’ ส่วนคนเล็กชื่อ ‘เกี้ยวเกล้า’ ยายเอื้อยเป็นคุณยายที่ใจดี และน่ารักมาก นอกจากจะชื่นชอบดอกไม้แล้ว ยังชอบขับลำนำแบบชาวเหนือที่เรียกกันว่า ‘ฮ่ำค่าว’ กล่อมหลานๆ ยามนอนอีกด้วย”

“ไตรพูดเหมือนรู้จักครอบครัวของเธอคนนั้นดี” นิรามัยเปรย หรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์ แต่ชายหนุ่มไม่สนใจท่าทีของเธอสักนิดราวกับเขากำลังตกอยู่ในภวังค์กระนั้น

“ตอนเด็กๆ ผมเคยใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวนี้อยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากพ่อ แม่และน้องสาวผมเสียชีวิตไป ช่วงนั้นผมต้องรอคุณลุงมารับตัวไปอยู่ด้วย คุณพ่อของคุณเกี้ยวซึ่งเป็นเพื่อนรักของพ่อแม่ผมที่เป็นครูเหมือนกันได้รับผมมาอยู่ที่นี่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่เดือน แต่มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับผมมาก ผมจึงไม่มีวันลืมที่นี่” มาตอนนี้นิรามัยมองไตรศูรย์เหมือนคนแปลกหน้า เธอรู้ว่าเขาสูญเสียครอบครัวไปในตอนเด็ก แต่สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ไม่เคยออกจากปากเขาเลยตลอดระยะเวลาที่รู้จักและคบกันมา นี่คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นสินะ...ที่ทำให้เขาลืมตัวได้ขนาดนี้

“นี่ก็เป็นบ้านของยายเอื้อย แต่ท่านเสียไปนานแล้ว บ้านนี้จึงตกเป็นของคุณเกี้ยว”

“คุณก็เลยซื้อไว้ อย่างนั้นหรือคะ”

“เปล่า...บ้านยังเป็นของคุณเกี้ยวเหมือนเดิม แต่ผมกับเค้ามีข้อตกลงบางอย่างระหว่างเราสองคนน่ะ” คำตอบนั้นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของหญิงสาวให้แปลบขึ้นมา เธอมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาในเวลานี้ว่า ไตรศูรย์คนนี้ไม่เหมือนไตรศูรย์คนเดิมเลยสักนิด เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น? หรือ...เพราะเธอ หรืออีกทีเพราะตัวเขาเอง?

นิรามัยกับไตรศูรย์คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นคู่ที่ใครต่างคาดว่าน่าจะลงเอยด้วยการแต่งงานเป็นแน่แท้ ครอบครัวของเธอกับคุณไตรรัตน์ผู้เป็นลุงของไตรศูรย์ต่างมีธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว ตลอดจนถึงร้านอาหารที่เอื้อต่อกันมากกว่าจะเป็นคู่แข่ง

แต่ตลอดเวลาที่คบหากันมานานหลายปีจนกระทั่งเรียนจบ ไตรศูรย์กลับห่วงแต่งาน ดูแลกิจการแทนลุงและไม่เคยกระตือรือร้นเรื่องการแต่งงาน เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างที่เธอหวัง นั่นทำให้เธอไม่แน่ใจในความรู้สึกของเขาจนทำให้ระหองระแหงกันเรื่อยมา

แต่คนที่ทั้งสวย ทั้งรวยอย่างเธอย่อมมีคนหมายปองอยู่มากมาย แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไตรศูรย์ไม่เคยตามหึงหวง กลับบอกด้วยซ้ำว่าเธอควรให้โอกาสตัวเองที่จะคบคนอื่น นั่นทำให้เธอเลือกคบใครคนหนึ่งและเลิกกับไตรศูรย์ไปในที่สุด สุดท้ายคนที่เธอเลือกกลับไปกันได้ไม่ถึง 2 ปีก็เลิกรากันไปด้วยเหตุผลที่ว่าเข้ากันไม่ได้ และเธอไม่ได้รักใครคนนั้น

ในความคิดของนิรามัยเชื่อว่าไตรศูรย์ไม่เคยมีใครนอกจากเธอ เพราะนับแต่เลิกกันไปเธอไม่เคยได้ข่าวว่าเขาจะมีใครคนอื่น และคิดว่าอาจเป็นเพราะเขายังรอเธออยู่ นั่นคือเหตุผลที่หญิงสาวพยายามจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับเขา แม้ชายหนุ่มจะมีท่าทีเฉยเมย เย็นชาและวางความสัมพันธ์ไว้ตรงความเป็นเพื่อน แต่เธอก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นเป็นเพราะเขายังโกรธที่เธอเลือกคนอื่นในตอนนั้น

นิรามัยจึงพยายามทำทุกทางเพื่อให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขา รวมทั้งโน้มน้าวให้ครอบครัวซื้อกิจการร้านอาหารของคุณไตรรัตน์ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียไตรศูรย์ก็ต้องมาดูแลให้ลุงของเขาอยู่ดี และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หญิงสาวจึงคิดว่าความหวังของเธออยู่แค่เอื้อม แต่พอมาตอนนี้เล่า...ความคิดหวังนั้นกลับสั่นคลอน

ตั้งแต่วันที่เห็นสายตาของเขายามมองผู้หญิงที่ชื่อ ‘เกี้ยวเกล้า’ ในวันนั้น แม้แต่วินาทีนี้ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ทว่า...แค่ได้พูดถึงดวงตาของเขาก็เป็นประกายอ่อนหวาน เธอไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขามาก่อนเลย แม้เคยคบหากันมานานหลายปี ด้านที่อ่อนหวาน อ่อนโยน แสดงความรู้สึกออกมาอย่างหมดจด ผิดกับภาพของไตรศูรย์คนเก่าในสายตาของหญิงสาวที่ดูเป็นคนเฉยๆ พูดน้อย เครียดแต่กับงาน

หรือว่า...สิ่งที่ผ่านมาได้บอกกับเธอมาตลอดว่าเขา ‘ไม่ได้รักเธอ’ อย่างที่เธอรักเขา เป็นเธอเองไม่ใช่หรือ ที่คอยวิ่งตามเขาก่อนในตอนนั้น แล้วเพื่อนฝูงก็สนับสนุนจึงทำให้มาเป็นแฟนกันได้ วันพิเศษเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชวนเธอไปฉลองหรือมีของขวัญพิเศษมอบให้ก่อน แต่เธอเป็นฝ่ายเรียกร้องตลอดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่คำว่า ‘รัก’ จากปากของเขาเธอก็เป็นฝ่ายถามและคาดคั้นให้ตอบ เหมือนเขาตอบให้พ้นๆ เพราะความรำคาญ แต่ตอนนั้นเธอก็ยังคิดว่าเพราะความที่เขาเป็นคนเฉยๆ ไม่ชอบแสดงความรู้สึกพร่ำเพรื่อทำให้เธอไม่เคยฉุกคิด ประกอบกับไม่มีใครแทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ของเขาและเธอให้ต้องหวั่นไหว แล้วตอนนี้ล่ะ? ความเจ็บแปลบยังอยู่ในใจ แล้วไหนจะความรู้สึกเสียหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกเล่า ทำให้นิรามัยรีบขอตัวกลับอ้างว่าต้องแวะทำธุระแถวนี้ให้พ่อ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด

“น้องเกี้ยว บ่ายโมงกว่าแล้วนะ ไปกินข้าวได้แล้ว” แสงหล้าเอ่ยขึ้น หลังจากที่ตัวเองไปกินข้าวกลางวันมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าเกี้ยวเกล้าจะลุกจากเก้าอี้ ที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เสียที

“เกี้ยวกำลังดูรูปผ้าที่เราถ่ายกันเมื่อกี้อยู่จ้ะพี่แสงหล้า จะเลือกไว้ให้ป้าอิ่นดู ที่เสนอให้แกจ้างเขาทำเว็บไซด์ไง พี่แสงหล้ามาช่วยเกี้ยวเลือกหน่อยสิคะ” ตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอ เกี้ยวเกล้าพึ่งได้รับมอบหมายจากป้าอิ่นคำให้ดำเนินการเรื่องทำเว็บไซด์สำหรับขายสินค้าตามที่เธอได้เสนอไป ช่วงนี้จึงค่อนข้างวุ่นวายอยู่บ้าง

“กลับมาค่อยดูกันก็ได้นี่นา เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้” แสงหล้าว่า

“งั้น ก็ได้ค่ะ แต่ขอดูอันนี้แป๊บนึง” เกี้ยวเกล้ายังเพ่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือเรียวที่กุมเม้าท์อยู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พอดีกับเสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้น

“สวัสดีค่ะคุณไตร มาหาน้องเกี้ยวเหรอคะ” เสียงแสงหล้าทักทายคนที่เข้ามาอย่างคุ้นเคย

“เอ่อ...ครับ กินข้าวกันหรือยังครับเนี่ย” ทำให้เกี้ยวเกล้าละสายตาจากหน้าจอขึ้นมองแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ

“ดิฉันเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่รายนั้นยังไม่ยอมลุกจากหน้าคอมฯ เลย แงะออกจากเก้าอี้พาไปกินข้าวหน่อยเถอะค่ะ” ประโยคหลังแสงหล้าป้องปากกระซิบคนตัวสูงที่หัวเราะอารมณ์ดีนั่น เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่ง แสงหล้าจึงปลีกตัวไปต้อนรับ

“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะคุณ ไม่หิวบ้างเหรอ” เขาเอ่ยชวน

“คุณหิวก็ไปกินสิ ฉันจะดูอะไรนิดนึงก่อน”

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ เรื่องบ้าน”

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ พูดมาตรงๆ ดีกว่า ไม่ต้องเอาบ้านมาอ้างหรอก” เธอดักคอขึ้นมา โดยไม่มองหน้าเขาแต่อย่างใด

“เรื่องบ้านจริงๆ แต่ถ้าคุณยังยืนยันจะทำงานให้เสร็จก็โอเค.ผมรอได้ไม่รีบ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปนั่งโซฟา หยิบหนังสือแฟชั่นที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆ เธอจึงมายืนอยู่ตรงหน้า

“ฉันเสร็จแล้วค่ะ”

“คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” ไตรศูรย์ถามเมื่อเดินออกมาจากร้านด้วยกัน

“ขนมจีนมั้งคะ” เธอตอบทันที

“หะ หา...” ชายหนุ่มถึงกับชะงักกึก เล่นเอาคนแกล้งหัวเราะคิก

“พูดเล่นค่ะ คราวนี้ฉันตามใจคุณละกัน”

ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดรถของร้านอาหารที่ทำเป็นบ้านไม้ทรงไทยล้านนายกพื้นเตี้ย ตกแต่งด้วยไม้แกะสลัก และเครื่องปั้นดินเผาโบราณลวดลายล้านนาสไตล์เดียวกับที่โรงแรมเวียงคำแก้ว

“สวัสดีครับคุณไตร ดีจังที่คุณไตรมา” ผู้ชายร่างท้วม หัวล้านคนหนึ่งทักทาย เมื่อพนักงานพาทั้งสองไปนั่งที่โต๊ะ

“สวัสดีครับคุณวรา นี่คุณกี้ยวเกล้า คุณวราเป็นผู้จัดการของที่นี่” ไตรศูรย์แนะนำ เกี้ยวเกล้ากระพุ่มมือไหว้ ทั้งสองทักทายกันพอเป็นพิธี

“เป็นยังไงบ้างครับคุณวรา ตั้งแต่คุณนิรชามาดูแลที่นี่” ไตรศูรย์หันไปคุยกับผู้จัดการต่อ

“ก็ดีครับ แต่เขี้ยวไปหน่อย ผู้หญิงก็อย่างนี้แหล่ะครับ” กระซิบพลางหัวเราะในตอนหลัง อย่างไม่จริงจังในสิ่งที่พูดมากนัก

“เอาน่า เดี๋ยวทุกอย่างลงตัวแล้วก็ดีเองแหล่ะครับ”

“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะครับคุณไตร ว่าแต่วันนี้จะรับอะไรกันดีครับ”

“อืมม์ เดี๋ยวให้คุณเกี้ยวดูก่อนนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางเลื่อนเมนูให้เกี้ยวเกล้า หญิงสาวเลือกสั่งอาหารเหนือสองอย่าง ไตรศูรย์จึงสั่งเพิ่มอีกสองอย่าง ผู้จัดการรับออร์เดอร์แล้วเดินจากไป

“เป็นร้านที่คุณลุงพึ่งขายให้คุณนิรชาแม่ของนีร่าน่ะ เมื่อก่อนผมก็เคยมาช่วยคุณลุงดูแลในบางครั้ง” เขาบอกเมื่อเห็นเธอทำท่าเหมือนสงสัยเรื่องที่เขาพูดคุยกับผู้จัดการเมื่อครู่ “ที่นี่อาหารอร่อยนะ เป็นร้านสาขาของโรงแรมเรา เพราะที่โน่นเวลาลูกค้าเยอะๆ จะไม่มีโต๊ะว่างเลย คุณลุงเลยต้องขยายออกมาอีกสาขา ที่ขึ้นชื่อก็จะเป็นอาหารเหนือที่หากินตามตลาดทั่วไปค่อนข้างยาก เช่น ยำหัวปลี กับยำเตาแบบดั้งเดิมแท้ๆ ที่ผมสั่งเพิ่มเมื่อกี้ แต่ก็มีอาหารภาคอื่นให้เลือกอยู่เหมือนกัน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกพนักงานได้นะ” เขายังบอกเล่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอาหารที่สั่งทยอยมาเสิร์ฟ มีเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง

“ว่าไงป๋อง สบายดีหรือเปล่าเราน่ะ” เขาทักทายพนักงานชายวัยรุ่นคนนั้น ที่กำลังวางจานยำหัวปลีลงบนโต๊ะ

“คุณไตร สวัสดีครับ ผมสบายดีครับ” ยกมือไหว้ไตรศูรย์ด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี เขาจึงแนะนำให้รู้จักกับเกี้ยวเกล้า ป๋องเป็นพนักงานในร้านที่อยู่มาตั้งแต่ร้านเปิดจนกระทั่งเปลี่ยนเจ้าของในตอนนี้

“เงินเดือนขึ้นเยอะแล้วมั้ง ขยันออกอย่างนี้” เขาแกล้งแซว ด้วยรู้ว่านิสัยของพนักงานคนนี้ตอนอยู่กับลุงของเขา มักเอื่อยเฉื่อยจนเหมือนขี้เกี้ยจ แต่ด้วยความที่เป็นคนซื่อสัตย์ อดทน ไม่บ่นเวลาที่ถูกใช้มากๆ หรือถูกด่าทำให้เขาอยู่มาได้เรื่อยๆ

“ไม่ขยันได้ยังไงล่ะครับ คุณนิรชาแกเอาตาย ไหนจะคุณนีร่าอีก ว่าแต่ตอนนี้ที่โรงแรมของคุณไตรรับคนบ้างหรือเปล่าครับ ผมอยากไปอยู่กับคุณไตรจริงๆ ” ท้ายประโยคกระซิบกระซาบ

“ตำแหน่งยืนหลับ เอ๋อรับประทานน่ะไม่มีหรอก” เขายังแกล้งกัดลูกน้องเก่า ทำให้เกี้ยวเกล้าพลอยแอบยิ้มขำตามไปด้วย

“โธ่...คุณไตร ผมพูดจริงนะครับ ผมอยากไปอยู่กับคุณไตรม้ากมาก รับรองผมจะปรับปรุงตัวให้ดีกว่าเดิม อยู่กับคุณไตรกับคุณท่านสบายใจกว่ากันตั้งเยอะ” ‘คุณท่าน’ ที่เด็กหนุ่มเรียกหมายถึงคุณไตรรัตน์นั่นเอง

“เอาน่า ทนเอาหน่อย รอให้อะไรๆ มันลงตัวกว่านี้คงดีขึ้นเองแหล่ะ แต่ว่าถ้าแย่นักก็ค่อยว่ากันอีกที รู้นี่ว่าฉันอยู่ที่ไหน” เขาตบบ่าเด็กหนุ่มชื่อป๋องเบาๆ ให้กำลังใจ เด็กหนุ่มยิ้มแป้นก่อนจะถอยออกไป คอยเตรียมบริการโต๊ะเขาและโต๊ะข้างเคียง

“คุณไม่ควรกินข้าวผิดเวลาบ่อยๆ นะ เดี๋ยวจะเป็นกระเพาะเอาได้” เขาว่าขณะมองหญิงสาวตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวช้าๆ

“ไม่บ่อยหรอกค่ะ แค่บางวันที่ติดพันไปหน่อยแค่นั้นเอง ว่าแต่คุณมีอะไรจะคุยกับฉันเรื่องบ้านคะ” เธอถาม ไตรศูรย์จึงได้วางช้อน ก่อนควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้าเธอ

“กุญแจ? ” เกี้ยวเกล้าถือช้อนค้างมองพวงกุญแจในเขาถืองุนงง ชายหนุ่มพยักหน้า

“กุญแจของที่บ้านไง พวงนี้เป็นของตัวบ้านและทุกห้อง แล้วก็นี่เป็นกุญแจประตูใหญ่ ผมเขียนกำกับไว้ให้แล้วคุณจะได้ไม่ต้องลำบากปีนรถ กระโดดข้ามรั้วให้จุกเล่นอีก” เขากัดด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนถูกกัดหน้าง้ำ แต่ก็รับกุญแจมาใส่กระเป๋าถือแต่โดยดี

“ตอนนี้ผมลงต้นไม้ ดอกไม้หมดแล้วนะ ตัวบ้านเองก็โอเคแล้ว ที่เหลือคุณไปดูอีกทีละกันนะว่าต้องการให้ทำอะไรเพิ่มเติมหรือตรงไหนไม่ถูกใจก็บอกผมได้ จะให้คนแก้ไขให้” เธอพยักหน้ารับคำ “แล้วคุณจะกลับเมื่อไหร่” ไตรศูรย์ถามต่อ

“คงเป็นลอยกระทงที่จะถึงนี่แหล่ะค่ะ เท่าที่คุยกับป้าอิ่นไว้ฉันกับลี่จะไปออกร้านในงานยี่เป็งของที่บ้าน ก็เลยกะจะอยู่กับแม่สักอาทิตย์หนึ่งด้วย”

“ดีแล้วล่ะ คุณจะได้พักบ้าง อ้อ...หากคุณอยากจะไปค้างที่บ้านเรา เอ๊ย! บ้านยาย คุณก็ไปได้เลยนะ ผมให้น้าปันกับน้าลีดูแลให้เหมือนเดิม ขาดเหลืออะไรก็บอกแกได้”

เกี้ยวเกล้าจอดรถหน้าประตูใหญ่ แล้วอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นต้นลีลาวดีปลูกเรียงรายข้างรั้วยาวมาถึงบริเวณประตู และต้นพวงชมพูที่ปลูกข้างเสาใหญ่ของประตูทั้งสองด้าน เมื่อมันโตคงเลื้อยขึ้นไปปกคลุมซุ้มประตู เธอนึกอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จะได้เห็นความสวยงาม อ่อนหวานเหมือนวันเก่า แม้ว่าประตูจะต่างกันก็ตาม หญิงสาวผลักประตูที่เปิดแง้มไว้อยู่แล้ว และเห็นน้าปันเดินออกมาต้อนรับ

“มาคนเดียวเหรอหนูเกี้ยว”

“จ้ะน้าปัน น้าลีล่ะคะ”

“ข้างในโน่นแน่ะ”

เมื่อเธอขับรถเข้าไปตามทางดินลูกรัง ก็เห็นต้นกาสะลองเรียงรายอยู่ริมทางเดิน เกี้ยวเกล้าจอดรถที่บ้านหลังเล็กของสองผัวเมีย

“นังหนูเกี้ยว มาแล้วเหรอ”

“เกี้ยวจะมาดูบ้านหน่อยน่ะจ้ะน้าลี” เธอบอกน้ามาลีที่นั่งอยู่บนแคร่ ก่อนออกเดินไปตามทางเล็กๆ ที่ยังคงสภาพเดิมไว้ แต่มีต้นกาสะลองเพิ่มเติมขึ้นมา และหากวันหนึ่งที่มันโตพอที่จะออกดอกได้ ริมทางเดินคงเต็มไปด้วยดอกกาสะลองสีขาว ร่วงราย กลิ่นหอมกรุ่นคงกำจายไปทั่ว เมื่อเดินไปถึงบริเวณลานบ้าน เกี้ยวเกล้าชะงักกับต้นกาสะลองอีกต้นที่ถูกนำมาแทนที่ต้นเก่า มันอาจจะต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเติบโตได้เท่ากับต้นนั้น แต่นั่นก็คงไม่สำคัญเท่ากับการมีอยู่ของมันในวันนี้

###################################################
ตอนนี้อีบุ๊ค ‘ฝากรักไว้ในสายหมอก’ ลงขายแล้วนะคะ
ตามลิ้งค์ที่แนบมาค่ะ ใครสนใจอยากเก็บพี่ไตร+น้องเกี้ยวเข้ากรุสมบัติ เข้าไปโหลดกันได้รัวๆเลยจร้า
หรือสนใจนิยายเรื่องอื่นๆในนาม ‘พิริตา’ และ ‘อเมทริน’ ก็สามารถเข้าไปโหลดกันได้นะคะ ทั้งตัวอย่างและอีบุ๊ค
ขอบคุณค่า
meb
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data
=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzEy
OTE2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNTc3OTMiO30
hytexts
https://www.hytexts.com/ebook/B012031-ฝากรักไว้ในสายหมอก
ookbee
http://www.ookbee.com/shop/BookInfo?pid=a927a107-7f6d-4c43-9301-a8c03f420109&affiliateCode=1168c15837084f8bbb5cf6fde0ca707d
นายอินทร์ปัณณ์
https://naiin.com/product/detail/214536



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2560, 21:23:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2560, 21:23:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 943





<< ตอนที่ 15    ตอนที่ 17 >>
แว่นใส 26 พ.ค. 2560, 07:19:54 น.
คิดถึงความหลังนะ


กานพลู 30 พ.ค. 2560, 14:00:23 น.
ความหลังฝังใจ อิ อิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account