ห้วงฝันวันรัก (ผ่านพิจารณาสนพ.)
กิรณา ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ได้เพียงไม่นาน แต่แล้วชีวิตกลับต้องพลิกผันเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง หล่อนได้ข้ามผ่านไปยังช่วงเวลาอนาคต!

ภายใต้ความลึกลับของกาลเวลาที่ชวนพิศวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการที่หญิงสาวต้องมารับรู้ถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการี โดยไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ดรัล ในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับสาวข้างบ้านอย่างกิรณาตั้งแต่แรกพบเสียเท่าไหร่ แต่จำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลายเงื่อนงำที่เกิดขึ้น

อดีต ปัจจุบัน อนาคต...เหตุการณ์ในช่วงเวลาใดกันแน่ที่มีแต่ความหลอกลวง...
Tags: เวลา ดราม่า ไซไฟ ฆาตกรรม หมอ บรรณารักษ์ สืบ อนาคต อบอุ่น เพื่อนบ้าน โรแมนติก

ตอน: บทที่ 2---35%

บทที่ 2



นานแล้วที่กิรณาเอาแต่นั่งเหม่อลอยมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปตรงหน้าเงียบๆ เพียงลำพังในศาลาวัด ภาพมารดาที่ใส่กรอบอย่างดี วางอยู่หน้าพิธี สะเทือนใจผู้เป็นลูกสาวน้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัว...รอยยิ้มสดใสของมารดายังคงชัดเจนในความทรงจำ

งานศพอรวีถูกจัดขึ้นสองวันแล้วในแบบเรียบง่ายตามฐานะครอบครัวต่างจังหวัด ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน แต่ก่อนที่กิรณาจะมาดูศพมารดาที่วัดแห่งนี้ ดรัลพาหล่อนไปหาบิดาที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันถึงสิ่งที่เขาพูดให้หญิงสาวเห็นเต็มสองตา และนั่นทำให้กิรณาช็อกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะบิดาหล่อนไม่ใช่แค่เพียงนอนป่วยด้วยอาการหอบอย่างที่เข้าใจ แต่กลับอยู่ในสภาพนอนแน่นิ่งกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่รับรู้อะไรอยู่ในห้องฉุกเฉิน

ดรัลบอกว่าคืนเกิดเหตุจำรัสทะเลาะกับอรวีรุนแรงมาก จากรูปการณ์ตำรวจเลยสันนิษฐานว่า ทั้งสองคงยื้อแย่งปืนกันจนปืนลั่นใส่ภรรยา

‘คุณพ่อคุณคงทั้งตกใจแล้วก็เสียใจมากเลยอาการหอบกำเริบ แต่นับว่ายังโชคดีที่ท่านหมดสติไปก่อน ไม่อย่างนั้นอาจขาดอากาศหายใจเฉียบพลันได้ ท่านล้มหัวฟาดกับขอบโต๊ะน่ะลูกหว้า ส่วนคุณแม่คุณ...ผมเสียใจด้วย ท่านเสียก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว’

กิรณาฟังเรื่องที่เขาเล่าแล้วใจหาย หล่อนแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ไม่สิ หล่อนไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาแม้บิดามารดาจะมีปากเสียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้งก็ตาม หากไม่มีทางที่จะรุนแรงถึงขั้นทำร้ายกันได้

“พร้อมรึยังลูกหว้า”

ดรัลมาตาม ยามนั้นเองหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในภวังค์เศร้าครุ่นคิดเรื่องบิดามารดาถึงได้รู้สึกตัว ปาดน้ำตาทิ้ง

“แขกมากันแล้วเหรอคะ” กิรณาถามแม้เสียงยังเจือสะอื้น

“คุณไหวรึเปล่า ให้ผมช่วยดูแลให้ก่อนมั้ย”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณดรัล ฉันเริ่มโอเคขึ้นแล้ว”

กิรณาพยายามปรับสีหน้าให้ดูดีขึ้น ทว่าดวงหน้ายังซีดเซียว ดรัลซึ่งอยู่ช่วยกิรณามาตั้งแต่บ่ายจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกที่มาร่วมงานศพ เห็นอาการสาวเจ้าแล้วสงสารจับหัวใจ แต่ญาติทางฝั่งอรวีเริ่มทยอยกันมาแล้ว ลูกสาวอย่างกิรณาควรไปต้อนรับ ดรัลเลยจำต้องแข็งใจให้กิรณาลุกขึ้น โดยที่เขาช่วยประคองร่างที่อ่อนแรงของหญิงสาวออกไปต้อนรับแขกด้านนอก

พิธีสวดพระอภิธรรมศพผ่านพ้นไปในค่ำคืนนั้น ดรัลขับรถมาส่งกิรณาที่บ้าน ระหว่างทางทั้งเขาและหล่อนต่างเงียบกันไปทั้งคู่ กิรณานั่งซึม ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความมืดมิด ชีวิตที่หญิงสาวกำลังเผชิญอยู่เวลานี้ทั้งหม่นหมองและมืดมนไม่ต่างจากท้องฟ้ายามนี้นักหรอก เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากชนิดที่กิรณายังตั้งตัวไม่ทัน หากไม่เพียงแค่เรื่องของบิดามารดาเท่านั้น...เรื่องดรัลก็ด้วย

กิรณาอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มข้างกายมัวแต่สนใจรถบนท้องถนนสบมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

วันนี้ดรัลอยู่กับหล่อนแทบทั้งวัน เขาคอยเอาใจ ดูแลช่วยเหลือหล่อนสารพัด ถ้าเทียบกับดรัลคนก่อนที่หล่อนเคยรู้จัก ดรัล ณ ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ความสนิทสนมที่เขามีให้มันกะทันหันเกินไปจนทำให้สาวเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้คือความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะถ้าหล่อนไม่หลงเข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก ผู้ชายมาดขรึมอย่างดรัลเนี่ยนะจะมา...เอิ่ม...สนใจหล่อน แทบไม่เคยเห็นว่าจะมีวี่แวว !

กิรณาหยิกแขนตัวเอง แล้วร้องโอยออกมาเพราะเจ็บจริง แถมยังมีรอยแดงที่แขนยืนยันถึงความซาดิสม์ของหล่อนอีกต่างหาก เรียกรอยยิ้มขันจากชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถอยู่ข้างๆ

“ทำอะไรของคุณ เดี๋ยวก็ได้ฟกช้ำดำเขียวกันพอดี”

กิรณาอึกอักเล็กน้อย กลัวเขาเห็นเลยรีบกุมแขนตัวเองปิดรอยแดงนั้น

“ฉันแค่ทดสอบอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ ว่าแต่...เอ่อ...ทำไมวันนี้คุณจู่ๆ ถึงได้...เอิ่ม...แบบคอยมา...เอ่อ...”

“ดูแลคุณน่ะเหรอ” ดรัลพูดต่อให้เองเสร็จสรรพ

รถติดสัญญาณไฟจราจรพอดี ดรัลเลยสบโอกาสนั้นหันมามองหญิงสาวข้างกายได้อย่างถนัดตา “วันนี้คุณถามผมแปลกๆ หลายอย่างแล้วนะลูกหว้า มีอะไรรึเปล่า”

“...”

ไม่มีคำตอบจากสาวข้างกายนอกจากสีหน้าเหยเกที่แทนคำตอบนั้น

ถึงอย่างนั้นสำหรับดรัลแล้วกลับรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ เพราะอย่างน้อยสีหน้านั้นของหญิงสาวก็ยังดูดีกว่าตอนอยู่ที่งานศพมาก น้ำตาก็เหือดแห้งไปแล้ว เขาเลยเอ่ยออกมาว่า

“บอกตามตรงนะลูกหว้า ที่งานศพ ผมไม่สบายใจเลย คุณดูเหม่อๆ ไม่สู้ดี ญาติๆ คุณก็เห็น พวกเขาเป็นห่วงคุณมากนะ ถ้าคุณกังวลเรื่องที่พวกเขาต้องเหนื่อยมางานศพคุณแม่คุณที่นี่ คุณไม่ต้องกังวลเลย ทุกคนเข้าใจคุณดีว่าเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน คุณพ่อคุณก็ยังต้องอยู่รักษาที่นี่”

“ฉันรู้ค่ะว่าคุณกับญาติๆ เข้าใจฉัน”

กิรณายังจำภาพตอนที่ญาติทางฝั่งอรวีกับจำรัสลงรถเข้ามาในศาลางานศพอรวีได้ ทุกคนนั่งรถตู้รวมตัวกันมาจากลำปางด้วยใจล้วนๆ

กิรณากลับมาเงียบอีกครั้ง ดรัลเห็นเช่นนั้นก็เอื้อมมือมาเกาะกุมมือหญิงสาว บีบมือให้กำลังใจ กิรณาเลยคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา

“ขอบคุณนะคะคุณดรัล ฉันดีขึ้นเยอะแล้วละค่ะ เรื่องมัน เอิ่ม เกิดขึ้นกะทันหันจริงๆ ฉันเลยยังเบลอๆ พูดอะไรแปลกๆ ออกไป” กิรณาอ้อมแอ้มหาเหตุผลบอกเขาไปอย่างนั้น หล่อนคงเบลอจริงนั่นแหละ เพราะจนถึงตอนนี้หล่อนยังจำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ...แม้แต่ความรู้สึกในวันเกิดเหตุก็ตาม





************************



“ลูกหว้า ลูกหว้าจ๊ะ”

กิรณารู้สึกเหมือนมีมือใครบางคนมาแตะที่บ่าพยายามเขย่าเรียกเลยปัดออกอย่างรำคาญๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ยกเปลือกตาที่หนักอึ้งสะลึมสะลือลืมตาตื่น

หญิงสาวเครื่องหน้าคมเข้มแบบแขก ผิวสีน้ำผึ้ง รูปร่างสันทัดสมส่วนในชุดบรรณารักษ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หวานตา...เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่นั่นเองที่เป็นคนปลุก และนั่นทำให้กิรณากวาดตามองไปรอบกายอย่างงงๆ เมื่อพบว่าตัวเองนั้นนอนฟุบหลับอยู่ที่เคาน์เตอร์ให้บริการยืม-คืนหนังสือ ซึ่งเป็นที่ประจำของบรรณารักษ์ในห้องสมุด

“วันนี้ลูกหว้าดูเหนื่อยๆ เพลียๆ นะ ไม่สบายรึเปล่า”

“หว้า...เอ่อ...” กิรณาอึกอัก ได้ยินเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทักเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกใจตัวเอง

เมื่อกี้หล่อนยังอยู่กับดรัลอยู่เลย ทำไมกลายเป็นมาอยู่ห้องสมุดได้

กิรณาปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือบนพวงแก้มทิ้ง พลางเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาฝาผนังห้องสมุด พอเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้วก็ละอายใจขึ้นมาในบัดดลที่อู้งานผลอยหลับไปได้ เลยจะลุกไปล้างหน้าล้างตา

“หว้าขอโทษนะคะที่อู้งานเฉยเลย”

“โอ๊ย เรื่องเล็กจ้ะ” หวานตาโบกปัดไปมาในอากาศอย่างคนไม่ถือสาหาความแต่อย่างใด ไม่เพียงแค่นั้นยังเข้ามาช่วยพยุงกิรณาพาไปเข้าห้องน้ำเพราะดูท่าทางอ่อนแรง

“คราวก่อนพี่เองก็ไม่ได้อยู่ช่วยลูกหว้าเหมือนกัน นี่นับว่าโชคดีนะเนี่ยที่วันนี้คนไม่ค่อยเข้าห้องสมุด ลูกหว้าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเลยก็ได้นะ ทางนี้พี่ดูแลเองได้”

“อย่าดีกว่าค่ะพี่ตา” บรรณารักษ์รุ่นน้องปฏิเสธความหวังดีนั้น

ถึงกิรณาจะเป็นข้าราชการบรรณารักษ์ มีสถานะเป็นหัวหน้าของหวานตาทางพฤตินัยไปโดยปริยาย เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่บรรณารักษ์อัตราจ้างก็ตาม แต่ยังไงเสียหวานตาก็มีประสบการณ์ในการทำงานและอายุมากกว่าหล่อนอยู่หลายปี นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่หล่อนค่อนข้างเกรงใจและให้ความเคารพ

“แหม เห็นลูกหว้าหมดเรี่ยวแรงแบบนี้แล้วพี่ก็อดคิดไม่ได้เสียด้วยสิ ไหนว่าเมื่อวานแค่ไปกินข้าวเย็นกับวัตเขาเฉยๆ ไงจ๊ะ เอ...หรือว่าไปต่อกันดึก”

อยู่ดีๆ เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ก็พูดถึง...ทิวัตถ์ !?

กิรณายังอยู่ในอาการเนือยๆ หันมองหวานตา

สีหน้าพิลึกแกมฉงนของรุ่นน้องนั้น หวานตากลับมีแววขบขัน นึกว่ากิรณากระอักกระอ่วนไม่อยากเล่าเรื่องเมื่อวานให้จั๊กจี้หัวใจเลยละไว้แค่นั้น

ได้เวลาเลิกงาน กิรณาขับรถกลับบ้านตามปกติ จู่ๆ ก็ต้องเหยียบเบรกดังเอี๊ยด เพราะหน้าบ้านของหล่อนยามนี้ไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ไม่ว่าจะเป็นกระถางต้นไม้ริมฟุตปาธหน้าบ้านที่แตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน ถังขยะล้มระเนระนาด ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนเห็นสาวบ้านฝั่งตรงข้ามกำลังหยิบขยะบนพื้นปาใส่บ้านหล่อนไม่ยั้ง เสียงดังเอะอะโวยวายอย่างกับกำลังทะเลาะกับใครอยู่อย่างนั้น สร้างความตื่นตระหนกตกใจแก่เจ้าของบ้านอย่างกิรณา รีบหุนหันพลันแล่นลงจากรถจะมาเอาเรื่อง

“นี่มันอะไรกัน ออกไปให้พ้นจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ยายลูกหว้ามาพอดีเลยค่ะคุณ”

คนถูกเรียกว่า ‘ลูกหว้า’ ชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหูนั้นดังมาจากในบ้านตัวเอง ไม่นึกว่าจะมีใครอื่นอีก หันมองเท่านั้นสาวเจ้าของบ้านถึงกับเบิกตาโพลงราวเห็นผี ต้องขยี้ตาตัวเองมองชายหญิงมีอายุตรงหน้าตาปริบๆ

“พ่อ...แม่...”

อรวีกำลังหลบลูกกระสุนขยะอยู่บนระเบียงบ้านกับจำรัส กระวีกระวาดมาหาลูกสาว ไม่ได้สังเกตหรอกว่าลูกสาวยังคงยืนค้างอยู่อย่างนั้น...ทั้งประหลาดใจ ดีใจ งุนงง ความรู้สึกมากมายปนเปกันมั่วไปหมดเมื่อเห็นบิดามารดาอยู่ที่บ้านเหมือนเคย ไม่ได้จากไปไหน !

“มาได้เวลาพอดีเลยยายลูกหว้า ช่วยพูดกับแม่หนูคนนี้ให้ทีสิลูก แม่ห้ามเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมหยุด”

อรวีฟ้องลูกสาว ยังไม่กล้าเปิดประตูรั้วให้เพราะกลัวสาวบ้านตรงข้ามจะเข้ามาอาละวาด

“ไม่ต้อง ฉันไม่ฟัง” สาวบ้านตรงข้ามหันมาตวาดแวดใส่ “ป้าบอกคนของป้าก่อนเถอะว่าวันหน้าวันหลังช่วยทำตัวให้น่าเคารพด้วย มีอย่างที่ไหนโยนขี้หมาเข้ามาในบ้านคนอื่น ทุเรศที่สุด !”

“เอ๊ะ ไอ้เด็กเวร” เป็นจำรัสที่ตวาดกลับมา

“ชอบปล่อยหมาออกไปขี้บ้านคนอื่น แล้วยังมีหน้ามาอาละวาดระรานชาวบ้านเขาอีก ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำๆ พูดจาไม่รู้เรื่องใช่มั้ย”

“กรี๊ดดดดดดด ฉันไม่ใช่เด็กเวรนะ”

ไม่เพียงแค่กรีดร้อง สาวบ้านตรงข้ามยังเต้นเร่าๆ อาละวาดด้วยการหยิบขวดน้ำพลาสติกบนพื้นแถวนั้นปาเข้าไปในบ้านกิรณา จงใจให้โดนจำรัส แต่โชคดีที่พลาดเป้า กลับเป็นจำรัสที่พอคว้าไม้กวาดในบ้านได้ก็ปาใส่ ‘เด็กเวร’ เอาคืนกันไปเอาคืนกันมา

แม้กิรณายังงุนงงกับสิ่งที่เห็น หากภาพชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้หล่อนจำต้องตั้งสติ ทิ้งความสับสนเกี่ยวกับบิดามารดาไว้ข้างหลัง ร้องตะโกนสุดเสียงห้ามศึกตรงหน้า ก็หล่อนเป็นห่วงบิดาของหล่อนน่ะสิ ได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นกลัวจะเป็นอะไรไปอีก แต่แทนที่ทั้งจำรัสทั้งสาวบ้านฝั่งตรงข้ามจะหยุดกลับยิ่งตะโกนด่าทอใส่กันราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตโกรธแค้นกันมาสักหลายร้อยชาติ ไม่วายสาวบ้านตรงข้ามทำท่าจะปีนรั้วเข้าไปในบ้าน ร้อนถึงกิรณาต้องเข้ามาจับตัวไว้

เหตุการณ์อีรุงตุงนังตรงหน้าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่ดรัลขับรถกลับมาบ้านพอดี ด้วยความที่บ้านกิรณาอยู่ท้ายซอย ขณะที่บ้านดรัลเองอยู่หลังติดกับหญิงสาว แถมเจ้าหล่อนยังจอดรถขวางหน้าบ้านเขา ชายหนุ่มข้างบ้านเลยเปิดประตูลงจากรถมาอย่างงงๆ

“มาช่วยฉันตรงนี้ทีค่ะคุณดรัล” กิรณาเหลือบไปเห็นเขาเลยร้องเรียก

ชายหนุ่มข้างบ้านยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ก็รีบเข้ามาช่วยฉุดรั้งสาวบ้านตรงข้ามไว้ กิรณาเมื่อปล่อยให้ดรัลเป็นคนจัดการสาวอาละวาดได้ก็วิ่งไปเปิดประตูรั้ว ส่งสายตาบอกเป็นนัยให้เขาลากคนอาละวาดเข้ามาในบ้านด้วยกัน




*****************


ทักทายนักอ่านในวันหยุดจ้า วันนี้เบาๆ เสิร์ฟหวานนิดๆ พรุ่งนี้ไรเตอร์อาจขอพักหนึ่งวันน้าาาา วันอาทิตย์น่าจะเป็นวันครอบครัวของทุกท่าน ไรเตอร์ก็เช่นกัน^^ ใครที่ตามอ่านไม่ทันจะได้ตามอ่านกันทันด้วย (หวังดีนะเนี่ย5555555)





สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2560, 15:46:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2560, 15:46:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 741





<< บทที่ 1---100%   บทที่ 2---50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account