"หัวใจผูกรัก"
‘คุณไม่ใช่ผู้ชาย...คุณเป็นเกย์!’ ถ้อยคำที่เธอตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความเข้าใจผิดในวันแรกที่ได้เจอกัน กลับทำให้เขา...’วสุ’ ด็อกเตอร์หนุ่มหมาดๆ เกิดสนใจในตัวเธอ...’มณีมณฑ์’ หรือ ‘มุก’ สาวน้อยนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สี่ขึ้นมา จนต้องพาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยการเข้าทางทั้งแม่และป้าของเธอ โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างครอบครัวที่มีเป็นทุนเดิม...แต่เมื่อแม่สาวน้อยทั้งดื้อรั้น ปากแข็ง แถมยังขยันเข้าใจเขาผิดบ่อยๆ ชายหนุ่มจะใช้ความรักผูกพันร้อยรัดหัวใจของเธอไว้ได้อย่างไร...
Tags: หัวใจผูกรัก
ตอน: ตอนที่ 5 (จบ)
5…
คิ้วเข้มของวสุขมวดเข้าหากันเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ลากยาวจนสุดก่อนจะตัดไปเป็นครั้งที่สอง บ่งบอกว่าปลายสายยังคงไม่รับโทรศัพท์เขาและไม่มีการโทรกลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะถึงแม้จะติดธุระจนมารับสายไม่ได้ มณีมณฑ์ก็จะโทรกลับมาทันทีที่ว่างเสมอ
...เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
หลังจากส่งแขกของตนเองไปเมื่อตอนบ่ายจัด ชายหนุ่มก็เข้าห้องทำงานส่วนตัวเพื่อเคลียร์งานที่คั่งค้าง แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวันหยุดเขาก็แทบจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่าง และห้องทำงานก็เป็นสถานที่เดียวที่ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเขาต่อให้มีเรื่องด่วนเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นกว่าวสุจะได้รู้จากมารดาว่ามณีมณฑ์ติดตามคุณพลอยรุ้งและคุณไพลินมาที่บ้านเขาก็เป็นเวลาค่ำ เมื่อตอนที่เขาไปทานมื้อเย็นกับท่านที่ตึกใหญ่นั่นเอง
‘อ้าว วสุไม่ได้เจอกับหนูมุกหรอกเหรอ’ คุณวิกานดามีสีหน้าประหลาดใจเมื่อทราบเรื่อง ‘ก็แม่ให้เด็กพาหนูมุกไปส่งที่ตึกเล็ก แล้วสักพักน้องก็กลับมา แม่ยังนึกว่าเราได้ทานขนมที่น้องทำมาให้แล้วซะอีก’
‘มีขนมด้วยเหรอครับ’ ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ คิดว่าเมื่อครู่นี้เขาอาจจะหูฝาดไป
...มุกน่ะเหรอทำขนมมาให้เขา
‘มีสิจ๊ะ หนูมุกทำบลูเบอร์รี่ชีสพายมาให้ ก็วสุเป็นคนอยากทานเองไม่ใช่เหรอ’ ผู้เป็นแม่ยืนยันหนักแน่น ก่อนจะหันไปซักไซ้ไล่เรียงเด็กรับใช้วัยรุ่นที่เธอมอบหมายหน้าที่ให้พาหญิงสาวไปส่งแทน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ให้คำตอบตามความจริง แต่กลับไม่ทำให้คนฟังรู้สึกกระจ่างขึ้นแต่อย่างใด
‘เอ แปลก...’ คุณวิกานดารำพึง อันที่จริงเธอก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่ามณีมณฑ์ดูเงียบลงไปกว่าเดิมบ้าง แต่โดยรวมแล้วหญิงสาวก็ยังยิ้มแย้มสดใสดี ความผิดปกติที่มีจึงอาจเห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่
ในขณะที่คนฟังอีกคนกลับรู้สึกงุนงงยิ่งกว่า แม้จะดีใจที่เธอจดจำคำพูดระหว่างกันได้ แต่ความไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีมากกว่า และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาโทรศัพท์ไปหาเธออีกเป็นครั้งที่สาม
ครั้งนี้สัญญาณตัดเข้าระบบฝากข้อความทันที
...มณีมณฑ์ปิดเครื่อง
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ไม่สดใสนักสำหรับมณีมณฑ์...
ความจริงจะเรียกว่าเช้าก็ไม่ถูกนัก เพราะกว่าหญิงสาวจะลุกจากเตียงได้ก็เป็นเวลาที่เข็มสั้นเดินผ่านเลขเก้าไปไกลแล้ว ซ้ำเธอยังมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับจากการนอนไม่พออีกต่างหาก ถ้ารอบตาคล้ำเป็นหมีแพนดาด้วยจะไม่แปลกใจเลย
คิดแล้วก็ให้โมโหตัวเอง...รวมไปถึงตัวต้นเหตุที่แสดงฉากโรแมนติกกับสาวสวยให้เธอเห็นเต็มตา จนกลายเป็นภาพฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในหัวอย่างที่เรียกได้ว่าถ้าเป็นแผ่นซีดีก็คงเล่นจนแผ่นสึกไปแล้วแน่ๆ
ยิ่งเมื่อเปิดโทรศัพท์ที่ปิดไว้ตลอดคืนแล้วพบหมายเลขที่พยายามติดต่อเข้ามาเพียงครั้งเดียว คิ้วโค้งเรียวก็ยิ่งขมวดมุ่นด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวก็ไม่สามารถให้คำนิยามได้ถูก ด้วยว่ามันมีทั้งความน้อยใจปะปนกับความหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วน
...ตกลงว่าอยากคุยกับเธอแน่หรือเปล่าเนี่ย โทรมาครั้งเดียวแล้วก็หายเงียบไปแบบนี้ ร่างบางคิดอย่างพาลๆ ทำเป็นลืมไปเสียสนิทว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาก่อน ไม่ยอมโทรกลับ แถมยังปิดเครื่องหนีเขาอีกต่างหาก
มณีมณฑ์วางโทรศัพท์เอาไว้ที่เดิม ก่อนจะถือหนังสือนิยายเล่มโปรดลงไปยังศาลากลางสวนที่เธอตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน หลังได้รับรายงานจากเด็กรับใช้ว่าคุณไพลินออกไปเดินสายเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงกับคุณพลอยรุ้งตั้งแต่เช้าแล้ว และอาจไม่กลับจนกว่าจะเย็น
นั่งเอกเขนกอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้า เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในบ้านก็ดังมากระทบหู ทำให้หญิงสาวนึกประหลาดใจที่ผู้เป็นมารดากลับมาเร็วกว่าที่บอกไว้ แต่คนที่ก้าวเข้ามาในศาลาอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นกลับไม่ใช่ทั้งคุณไพลินหรือเด็กรับใช้คนใดในบ้านของเธอ
“มุก”
เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ดังมาจากเบื้องหลังทำให้ร่างบางหันขวับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง พร้อมๆ กับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
ปากไวเท่าความคิด...เมื่อหญิงสาวตั้งคำถามเสียงขุ่น แสดงให้เห็นว่าไม่เต็มใจจะต้อนรับเขาสักเท่าไหร่
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง ใครอนุญาตให้เข้ามาไม่ทราบ”
หากวสุก็ยังคงยิ้มได้อย่างเคยเมื่อให้คำตอบว่า “ผมก็ขับรถเข้ามาตามปกตินั่นแหละครับ พอบอกว่ามาหามุก เด็กที่มาเปิดประตูก็ชี้ให้ผมเดินมาทางนี้ บอกว่ามุกอยู่ที่ศาลา ให้เดินเข้ามาได้เลย”
...ขนาดเด็กรับใช้บ้านเธอยังกลายเป็นพวกเขาด้วยเหรอเนี่ย มณีมณฑ์นึกคาดโทษฝ่ายนั้นอยู่ในใจ ค่าที่ปล่อยให้คนนอกเดินเข้าบ้านมาได้หน้าตาเฉย ก่อนจะเบิกตาโต...ถอยกรูดไปชิดเสาอีกด้านแทบไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายถือวิสาสะนั่งลงเคียงข้างทั้งที่ศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมยังมีที่นั่งให้เลือกอีกตั้งหลายมุม และเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไกลกว่านั้นด้วยการเอื้อมมือมายึดข้อมือเล็กไว้มั่น เรียกเสียงโวยวายพร้อมกับอาการบิดมือหนีอย่างต่อต้านทันที
“แล้วจะมาจับมือฉันไว้ทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ถ้าไม่จับไว้เดี๋ยวมุกก็หนีไปก่อนที่จะตอบคำถามผมน่ะสิ” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ รวบมือบางเอาไว้ด้วยท่าทางสบายๆ หากดวงตาฉายแววรู้ทัน “ว่าไงครับ มีเหตุผลดีๆ อะไรบ้างหรือเปล่า ทั้งเรื่องที่ไปถึงหน้าบ้านผมแล้วแต่กลับไม่ยอมเข้าไปทัก แถมเมื่อคืนนี้ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมอีก”
“ก็ฉันเห็นว่าคุณกำลังมีแขก เลยไม่อยากเข้าไปรบกวน กลัวว่าจะเป็นการขัดจังหวะคุณเปล่าๆ...เหตุผลแค่นี้ดีพอไหมล่ะ”
เสียงใสไม่วายเน้นคำเป็นเชิงประชดในตอนท้าย ขณะที่คู่สนทนาดูเหมือนจะจับความผิดปกติบางอย่างได้จากคำตอบของเจ้าหล่อน
“ถ้าเข้ามาตอนที่ผมกำลังคุยกับเพื่อน ก็ไม่น่าจะเรียกว่าขัดจังหวะหรือรบกวนอะไรมากมายนะ ยกเว้นมุกคิดว่าผมกำลังทำอย่างอื่นอยู่” ดวงตาคมเข้มจับจ้องใบหน้ารูปหัวใจอย่างพิจารณา ก่อนจะดักคอเรียบๆ ว่า “หรือไม่ใช่แค่ ‘คิด’ แต่มุก ‘เห็น’ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่...นี่มุกแอบดูผมหรือเปล่าเนี่ย”
“ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่!” หญิงสาวรีบเปลี่ยนคำตอบทันควัน และอาการเลิกคิ้วนิดๆ เหมือนกำลังรอฟังของเขาก็ทำให้เธอเร่งร้อนแก้ตัวจนเผลอทำพลาดซ้ำสอง ด้วยการเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังเข้าใจทันทีว่าเธอเห็นภาพอะไรเข้า
“ฉันไม่ได้แอบดูสักหน่อย คุณต่างหากที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนคนเดินผ่านไปมายังเห็นได้ ไม่จำเป็นต้องแอบดูด้วยซ้ำ!”
แม้จะนึกสงสัยอยู่แล้วว่ามณีมณฑ์คงเห็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอเข้าใจเขาผิด แต่วสุก็ไม่คิดว่าความประจวบเหมาะของช่วงเวลาจะทำให้เธอบังเอิญมาเจอเขาในจังหวะนั้นเข้าพอดี ประกอบกับความมีจินตนาการสูงกว่าคนทั่วไปของหญิงสาวที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเธอจะนำภาพที่เห็นไปแต่งเติมเรื่องราวต่อตามมุมมองของตัวเอง
...นอกจากจะไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เขาเพียรแสดงออกตลอดมาเสียทีแล้วยังจะขยันเข้าใจผิดเรื่องของเขากับผู้หญิงคนอื่นเสียอีกด้วย คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว...ไม่น่าลืมเลยว่าสาวน้อยของเขาน่ะ ‘ขี้หึง’ ขนาดไหน
“แต่กอดกับเพื่อนสนิทเนี่ย ผมไม่ถือว่าเป็นการทำอะไรประเจิดประเจ้อนะครับ” ชายหนุ่มกลั้นรอยยิ้มขำที่มุมปาก บรรจงเอ่ยช้าๆ ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆ “โดยเฉพาะถ้าเพื่อนคนนั้นกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วด้วย มุกคิดว่าผมไม่ควรจะแสดงความยินดีกับเขาหน่อยเหรอ”
ใบหน้ารูปหัวใจฉายแววงุนงงปนไม่อยากเชื่อในตอนแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเมื่อวสุเฉลยที่มาของภาพดังกล่าวให้ฟังว่า
“เมื่อวานนี้เพื่อนผมเอาการ์ดแต่งงานมาให้ แต่ว่าที่เจ้าบ่าวของเขาติดธุระก็เลยไม่ได้มาด้วย...ผมกับฝนรู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วก็ได้ไปเจอกันตอนเรียนที่โน่นอีกก็เลยสนิทกันมาก ไม่คิดด้วยว่ามุกจะมาเห็นตอนนั้นเข้าพอดีเลยทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่”
สีหน้ามึนงงของคนฟังทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ และก็อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าเจ้าหล่อนว่า “พอรู้อย่างนี้แล้วผมผิดหวังนะที่มุกไม่โวยวายเลย เห็นผมกอดกับคนอื่นแล้วไม่รู้สึกโมโหหึงบ้างเลยเหรอครับ”
...ใครบอกว่าไม่โมโหล่ะ มากเลยแหละ ถึงขนาดเขวี้ยงขนมที่บรรจงทำกับมือทิ้งถังขยะเนี่ย มณีมณฑ์คิดในใจ ไม่ยอมหลุดปากออกไปให้อีกฝ่ายได้ใจเด็ดขาด แต่ถ้อยคำของเขาก็ช่างก่อกวนอารมณ์จนเธออดใจไม่โต้ตอบไม่ไหว
“นี่! ฉันไม่ใช่นางอิจฉานะ จะได้เข้าไปแว้ดๆๆ ใส่คุณ แบบนั้นมันละครหลังข่าวชัดๆ แล้วฉันก็ไม่อยากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปขัดจังหวะใครด้วย มันเสียมารยาท!”
“จริงเหรอ แต่ผมอยากให้มุกทำนะ ผมชอบเวลาที่มุกทำท่าหึงผมน่ะ”
ท่าทางภูมิอกภูมิใจในตนเองของชายหนุ่มทำให้ร่างบางเกิดอาการคันไม้คันมือ นึกอยากจะประทุษร้ายอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติ หากติดที่ว่ามือเธอทั้งสองข้างถูกยึดไว้มั่นนี่สิเลยทำได้ไม่ถนัดนัก
“พูดเองเออเองตลอด!” หญิงสาวจิกปลายเล็บเป็นจังหวะตามคำพูด แม้จะไม่เต็มแรงแต่ก็คงทำให้เจ็บๆ คันๆ ได้บ้าง “ฉันไม่เคยบอกสักคำว่าหึง! แล้วใครจะสนกันว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบอะไร”
“ก็เพราะมุกไม่เคยบอกน่ะสิ ผมถึงต้องพูดเอง ไม่อย่างนั้นคงหมดกำลังใจไปนานแล้ว...รู้ตัวไหมว่ามุกดุผมบ่อยจนนายเพชรยังบอกเลยว่าถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ ผมคงโดนมุกข่มจนหงอแน่ๆ”
...จริงหรือ หญิงสาวฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะข่มเขาได้จริงๆ หรือเปล่า ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะเอาชนะเขาได้ มีแต่จะถูกหลอกล่อชักจูงไปในทิศทางที่เขาวางไว้เสียมากกว่า พอคิดถึงตรงนี้เธอก็เลยรู้ตัวว่าเกือบจะตกหลุมเขาอีกแล้ว
“ใครเป็นแฟนใคร พูดให้ดีๆ นะ” มณีมณฑ์เอ่ยเสียงแข็ง ด้วยเรื่องราวบางอย่างที่เคยได้รับรู้มายังฝังอยู่ในความทรงจำ “แล้วคุณเอาผู้หญิงคนนั้นไปไว้ที่ไหนไม่ทราบ คนที่พี่เพชรบอกว่าคุณชอบอยู่น่ะ”
ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อย้อนถาม “คนไหนครับ ผู้หญิงคนเดียวที่ผมเคยพูดถึงกับนายเพชรก็คือมุกนั่นแหละ นอกจากนั้นไม่มีแล้ว”
คนฟังนั่งอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ยังพยายามยืนยันสิ่งที่เคยได้ยินมา “ก็หลังจากที่ฉันเข้าใจคุณผิดตอนเจอกันครั้งแรก พี่เพชรก็บอกว่าคุณไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ เพราะคุณมีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว”
“ใช่ครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับนายเพชรเรื่องมุก”
หัวใจที่เหมือนถูกบีบจนลีบเล็กเมื่อวันวานกลับพองฟูขึ้นช้าๆ เมื่อได้ซึมซับความหมายในคำพูดของเขา ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้หญิงสาวถึงกับชะงัก
“แต่วันนั้นผมไม่ได้บอกนายเพชรว่าผมชอบมุกหรอกนะ สงสัยว่าหมอนั่นจะเติมเข้าไปเองมากกว่า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความรู้สึกเหมือนถูกผลักลงเหวด้วยคำพูดสั้นๆ นั้นทำให้เธอกระชากมือออกจากการเกาะกุมสุดแรง พอดีกับที่ชายหนุ่มผ่อนแรงลง...มือเรียวเล็กจึงเป็นอิสระได้โดยง่าย
“สรุปว่าพี่เพชรเข้าใจผิดไปเองล่ะสิ” ...รวมทั้งเธอและคนอื่นๆ ด้วย
วสุเห็นใบหน้าใสที่เปลี่ยนสีไปนิดเดียวก็พอรู้ว่าแม่สาวน้อยคงเข้าใจอะไรผิดไปอีกแล้ว เขาจึงรีบแก้ไขคำพูดพร้อมกับคว้ามือบางเอาไว้ก่อนที่เธอจะลุกหนีไปเสียก่อน
“ไม่ใช่หรอกครับ เรียกว่ามองการณ์ไกลดีกว่า เพราะว่าตอนนั้นผมแค่สนใจ แต่ยังไม่ได้ชอบมุก”
มณีมณฑ์รู้สึกถึงแรงบีบกระชับเบาๆ ที่ส่งผ่านมาจากปลายนิ้ว ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคู่คมที่มองตรงมาอย่างเปิดเผยความรู้สึกในใจราวกับถูกตรึงอยู่กับที่
“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะรู้สึกชอบใครตั้งแต่แรกเห็น...แต่มุกทำให้ผมสนใจ สะดุดตาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน พอรู้จักกันมากขึ้น จากสนใจก็กลายเป็นชอบ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรัก...ที่ผมไม่เคยบอกก็เพราะรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป มุกเองก็ยังเด็ก ผมอยากให้ความรู้สึกที่มุกมีต่อผมค่อยๆ เพิ่มขึ้น ให้มุกค่อยๆ ชินกับการมีผมอยู่ข้างๆ แล้วในที่สุดมุกก็จะรู้ตัวว่าจำเป็นต้องมีผมอยู่ด้วยตลอดไป”
ความอบอุ่นจากมือที่เกาะกุมมือเธอไว้ส่งผ่านมาถึงตัวและแล่นต่อไปถึงหัวใจที่เธอรู้สึกว่ามันพองฟูจนคับอก...เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวานที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีอยู่ แต่มีคำถามบางอย่างที่เธอยังสงสัย
“ถ้าอยากจะรอ แล้วทำไมถึงมาบอกกันวันนี้”
“ก็มุกขยันเข้าใจผมผิดๆ บ่อยนี่นา เมื่อวานก็ปิดมือถือหนีไปทีนึงแล้ว ถ้าไม่บอกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า ผมอยากให้มุกเข้าใจความรู้สึกของผม” ชายหนุ่มถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มเนียน ประคองใบหน้ารูปหัวใจให้สบตาเขาตรงๆ เมื่อเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า
“ผมอยากให้เราเข้าใจกัน แต่ผมยังไม่รู้เลยว่ามุกคิดยังไงกันแน่”
ดวงตาคู่โตกลอกไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มหวาน เอ่ยเสียงใสว่า “พี่วสุเคยสัญญาว่าจะไม่ไปเดินกับผู้หญิงที่ไหนสองต่อสองโดยไม่บอกมุกก่อน วันนี้สัญญาเพิ่มอีกข้อได้ไหมคะว่าจะไม่ไปกอดกับผู้หญิงคนไหนโดยไม่บอกมุกก่อนอีกเหมือนกัน”
วสุมองหญิงสาวที่ส่งรอยยิ้มหวานแบบที่ทำเอาเขาเกือบตาพร่า พร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวอย่างน่ารักจนเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง โดยเฉพาะกับประโยคต่อมา
“เพราะว่ามุกหึง”
ชายหนุ่มฟังแล้วนึกอยากจะดึงร่างบางเข้ามากอดให้มั่นใจว่าเธอรู้และยอมรับความรู้สึกของเขาจริงๆ แต่ด้วยความเหมาะสมทำให้เขาเลือกที่จะกุมมือเธอเอาไว้เท่านั้นเมื่อเอ่ยเหมือนจะขอคำยืนยัน
“จะไม่บอกกันตรงๆ หน่อยเหรอมุก”
มณีมณฑ์ส่ายหน้า ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ซุกซน ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะลุกหนีไปว่า
“ก่อนจะหึง ต้องรู้สึกยังไงก่อน...ถ้าแค่นี้ยังแปลไม่ได้ก็เอาคำว่าด็อกเตอร์คืนเขาไปเถอะค่ะ”
...14 กุมภาพันธ์...วันวาเลนไทน์
วสุมาถึงบ้านมณีมณฑ์ก่อนเวลาที่นัดกันไว้เล็กน้อย คุณไพลินเป็นผู้ออกมาต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเช่นเคย ก่อนจะให้รายละเอียดว่า
“ยัยมุกยังแต่งตัวไม่เสร็จเลยจ้ะวสุ แต่ก็คงใกล้แล้วล่ะ ที่ช้าก็เพราะป้าพลอยขึ้นไปคุมเข้มเนี่ยแหละ...หลานสาวจะออกงานทั้งที ให้น้อยหน้าไม่ได้เลย”
ชายหนุ่มได้มาขออนุญาตคุณไพลินพามณีมณฑ์ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทเขาตั้งแต่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งเมื่อคุณพลอยรุ้งรู้เข้าก็รับเป็นธุระจัดการเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงหาช่างแต่งหน้าทำผมให้หลานสาวเรียบร้อยเสร็จสรรพ ท่าทางผู้อาวุโสมีความสุขเหมือนได้เล่นแต่งตัวตุ๊กตาตามประสาคนที่มีแต่ลูกชาย จนหญิงสาวโอดครวญผ่านสายโทรศัพท์มาให้เขาได้ยินว่า
‘ป้าพลอยจับมุกลองชุดไปไม่รู้กี่สิบชุดกว่าจะได้ที่ถูกใจ แถมป้าวิยังบอกอีกว่าจะให้ยืมเครื่องประดับใส่ไปงาน ให้มาเลือกดูที่บ้าน’ น้ำเสียงตอนท้ายของเจ้าหล่อนส่อแววอยากกรี๊ดเต็มที่ ‘พี่วสุไปบอกแม่พี่เลยนะว่าอย่าจัดชุดใหญ่มาเด็ดขาด มุกรับผิดชอบไม่ไหวจริงๆ ด้วย’
ตอนนั้นเขาได้แต่ปลอบใจอีกฝ่ายไปตามเรื่องตามราว เพราะไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนไปคัดค้านบรรดาแม่ๆ ป้าๆ ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าคนจะไปงานเสียอีกได้ ยังดีว่าเขาเป็นผู้ชายเลยไม่มีใครมาจู้จี้จุกจิกด้วยนัก งานนี้คงมีแต่มณีมณฑ์นั่นแหละที่ต้องรับไปเต็มๆ
ไม่นานหลังจากนั้นคนที่เขารอคอยก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับคุณพลอยรุ้งที่มีรอยยิ้มเต็มหน้า...ร่างบางอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสดใสสมวัย พวงผมหยักศกเป็นลอนถูกรวบไว้สูง ร้อยพันด้วยลูกปัดเม็ดเล็กๆ อย่างน่ารัก เข้าชุดกับต่างหูมุกสีชมพูซึ่งเป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวที่คุณวิกานดาเลือกมาให้
จนกระทั่งขึ้นมานั่งอยู่บนรถด้วยกัน วสุก็ยังไม่ออกรถ แต่กลับหันหน้ามามองคนนั่งข้างด้วยแววตาชื่นชมปนเอ็นดู ทำเอาคนถูกมองชักเริ่มทำหน้าไม่ถูก
“วันนี้มุกน่ารักมาก”
“ก็น่ารักอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพิ่งรู้เหรอ” หญิงสาวเชิดหน้า ทำท่าหยิ่งๆ กลบเกลื่อนความเขินตามสไตล์ ก่อนที่คิ้วโค้งเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็บอกให้ยื่นมือมา
“ทำไม...” ถามยังไม่ทันจบประโยค สร้อยข้อมือทองคำขาวร้อยจี้รูปดอกไม้ที่มีเกสรเป็นไข่มุกสีชมพูเม็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือของเธอ พร้อมกับเสียงทุ้มแฝงแววพึงพอใจ
“เหมาะกับมุกอย่างที่คิดจริงๆ...สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ”
มณีมณฑ์มองสร้อยข้อมือดีไซน์แปลกตาอย่างตกตะลึงอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “ขี้โกงนี่นา ไม่บอกกันก่อนว่าเตรียมของไว้ให้ มุกเลยไม่ได้เตรียมอะไรให้พี่วสุเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกมุก” ชายหนุ่มปลอบใจสาวน้อยของเขายิ้มๆ “ที่จริงพี่ซื้อสร้อยเส้นนี้ไว้นานแล้ว ตั้งใจจะให้มุกเป็นของขวัญวันเกิดครบ 22 ปี...ฉลองที่อายุเราเข้ามาใกล้กันหน่อย พี่จะได้ห่างจากข้อหาหลอกเด็กไปได้อีกนิด แต่คิดอีกทีให้วันนี้เลยดีกว่า...มุกชอบหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากร่างบางนอกจากอาการพยักหน้ารับ ทำให้วสุหัวเราะเบาๆ อย่างโล่งใจ หันกลับไปบังคับรถเคลื่อนออกจากที่อย่างนุ่มนวลเมื่อเล่าต่อเรื่อยๆ
“นี่พี่รีบไปล็อบบี้แม่ไว้ก่อนนะว่าจะให้สร้อยข้อมือมุก แม่ถึงได้จัดต่างหูคู่นี้มา ไม่อย่างนั้นมุกได้เจอชุดใหญ่แน่...พี่เห็นแม่เอาเครื่องเพชรออกมาทำความสะอาดเตรียมไว้ตั้งหลายชุด”
“งั้นมุกก็ต้องขอบคุณพี่วสุเป็นสองเท่าเลยสิเนี่ย” หญิงสาวว่า อดคิดไม่ได้ว่าถ้ายินยอมรับเครื่องประดับที่คุณวิกานดาจัดมาให้จริงๆ ชีวิตเธอคงหาความปลอดภัยได้ยากแน่...ก็เล่นมีแต่ของล่อตาล่อใจโจรทั้งนั้นเลยนี่นา
“ถ้าอยากขอบคุณกับให้ของขวัญตอบแทนพี่น่ะ ไม่ยากหรอก” ร่างสูงเอียงหน้ามากระซิบด้วยถ้อยคำที่ทำให้อารมณ์คนฟังถึงกับสะดุดว่า “หอมแก้มพี่สองที...นี่แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมที่สุดแล้วนะ”
มณีมณฑ์แทบเต้นกับข้อเสนอแสนจะยุติธรรมจากคนข้างตัวที่ฟังยังไงก็เหมือนหาเรื่องให้เธอเสียเปรียบชัดๆ ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปคีบเนื้อที่แขนอีกฝ่ายแล้วบิดแรงๆ อย่างหมั่นไส้
“เอา ‘แหนบ’ ไปสองทีก่อนแล้วกัน! แล้วก็หันไปขับรถดีๆ เลย อย่ามัวแต่พูดเล่น เดี๋ยวก็ไปไม่ทันงานเริ่มกันพอดี”
ถึงแม้จะเคยไปร่วมงานแต่งงานมาหลายครั้ง แต่มณีมณฑ์ก็ต้องยอมรับว่างานแต่งงานวันนี้เป็นงานที่เธอประทับใจมากที่สุด ด้วยความสุขของคู่บ่าวสาวดูเหมือนจะเปล่งประกายออกมาจนผู้ร่วมงานสัมผัสได้ ทั้งความใกล้ชิดของเจ้าของงานกับแขกและบรรยากาศเป็นกันเองของงานก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ทั้งที่เพิ่งเคยเจอกับพวกเขาเป็นครั้งแรก
ธารารัตน์...เจ้าสาวที่สวยสะดุดตาในชุดแต่งงานแบบสั้นสีฟ้าต่างจากสมัยนิยม บ่งบอกว่าเป็นคนมั่นใจในตนเอง ดูเหมาะสมกันดีกับชายหนุ่มร่างสูงที่มีดวงตาและรอยยิ้มเปิดเผยอย่างณภพ
มณีมณฑ์ได้รับรู้เรื่องราวความรักของคนทั้งสองจากคำบอกเล่าของวสุที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับธารารัตน์ตอนปริญญาโทและเอก ในขณะที่ณภพเรียนอยู่อีกรัฐหนึ่ง เขาจึงเพิ่งมาสนิทสนมด้วยหลังจากที่ทั้งคู่คบหากันแล้ว
“รู้ไหมว่าที่จริงแล้วยัยฝนแอบชอบนายภพก่อน พยายามจีบอยู่เป็นปีเลยแหละกว่านายภพจะตกลงเป็นแฟนด้วย” ชายหนุ่มเล่าให้คนข้างตัวฟังขำๆ ทำเอาร่างบางกะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะไม่ยอมเชื่อจนเขาพยักพเยิดให้ดูวีดีโอประกอบงานแต่งงานที่กำลังฉายภาพตอนฝ่ายหญิงกำลังสารภาพรักพอดี
“พี่ฝนกับพี่ภพน่ารักกันมากๆ เลยนะคะ เหมาะสมกันมากเลยด้วย” หญิงสาวยิ้มอย่างชื่นชมเมื่อวีดีโอจบลงพร้อมกับความประทับใจ “งานแต่งงานก็ไม่มีพิธีการเยอะเกินไป ดูอบอุ่นดี”
“ตอนงานเราจะเอาแบบนี้ก็ได้นะ...ถ้ามุกชอบ เดี๋ยวจะไปถามยัยฝนให้ว่าจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาจากที่ไหน” วสุเออออด้วยหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังเบิกตาโต อ้าปากจะโวยวายตามนิสัย แต่นึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในงานเลี้ยงจึงเปลี่ยนเป็นเค้นเสียงกระซิบอย่างเข่นเขี้ยวแทน
“คิดล่วงหน้าเร็วเกินไปแล้ว! มุกยังเรียนไม่จบเลยนะ”
“งั้นก็อีกสองปี รอให้มุกเรียนจบก่อนก็ได้”
มณีมณฑ์เบ้หน้ากับวาจาที่ฟังดูเหมือนให้เวลาเธอได้เตรียมใจ ทั้งที่ความจริงยังไงเขาก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นอยู่แล้ว...อีกอย่าง ‘แต่งงาน’ นะ ไม่ใช่เล่นขายของ อยู่ๆ จะมาขอกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ได้ยังไงเล่า ฮึ่ยย
“แต่มุกอยากทำงานก่อนนี่ อยากเรียนต่อด้วย แล้วก็ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่อยากทำ” ร่างบางตั้งท่าจะร่ายยาว ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองอย่างดีจากคู่สนทนา
“ได้ครับ แล้วแต่มุกเลย”
...แต่นั่นต้องหลังจากแต่งงานกับพี่แล้วนะ ชายหนุ่มต่อประโยคในใจ ซ่อนยิ้มมองอีกฝ่ายที่ทำท่ากระหยิ่มเมื่อเห็นเขายอมลงให้ง่ายๆ ด้วยแววตาหมายมาด...ตอนนี้เขาจะปล่อยให้เจ้าหล่อนวางใจไปก่อน แต่รับรองได้เลยว่าพอถึงเวลานั้นแล้วมณีมณฑ์ไม่มีทางปฏิเสธเขาได้แน่
กว่าจะใช้ความรักถักทอเป็นสายใยผูกหัวใจเธอเอาไว้ได้...เขาต้องใช้เวลาและความอดทนไปมากมายเท่าไหร่ ยังไงเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอดิ้นหลุดไปไหนได้หรอก
แล้วเธอก็จะได้รู้ว่าเวลาสองปี...มันไม่นานเลย...
The End
คิ้วเข้มของวสุขมวดเข้าหากันเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ลากยาวจนสุดก่อนจะตัดไปเป็นครั้งที่สอง บ่งบอกว่าปลายสายยังคงไม่รับโทรศัพท์เขาและไม่มีการโทรกลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะถึงแม้จะติดธุระจนมารับสายไม่ได้ มณีมณฑ์ก็จะโทรกลับมาทันทีที่ว่างเสมอ
...เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
หลังจากส่งแขกของตนเองไปเมื่อตอนบ่ายจัด ชายหนุ่มก็เข้าห้องทำงานส่วนตัวเพื่อเคลียร์งานที่คั่งค้าง แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวันหยุดเขาก็แทบจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่าง และห้องทำงานก็เป็นสถานที่เดียวที่ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเขาต่อให้มีเรื่องด่วนเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นกว่าวสุจะได้รู้จากมารดาว่ามณีมณฑ์ติดตามคุณพลอยรุ้งและคุณไพลินมาที่บ้านเขาก็เป็นเวลาค่ำ เมื่อตอนที่เขาไปทานมื้อเย็นกับท่านที่ตึกใหญ่นั่นเอง
‘อ้าว วสุไม่ได้เจอกับหนูมุกหรอกเหรอ’ คุณวิกานดามีสีหน้าประหลาดใจเมื่อทราบเรื่อง ‘ก็แม่ให้เด็กพาหนูมุกไปส่งที่ตึกเล็ก แล้วสักพักน้องก็กลับมา แม่ยังนึกว่าเราได้ทานขนมที่น้องทำมาให้แล้วซะอีก’
‘มีขนมด้วยเหรอครับ’ ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ คิดว่าเมื่อครู่นี้เขาอาจจะหูฝาดไป
...มุกน่ะเหรอทำขนมมาให้เขา
‘มีสิจ๊ะ หนูมุกทำบลูเบอร์รี่ชีสพายมาให้ ก็วสุเป็นคนอยากทานเองไม่ใช่เหรอ’ ผู้เป็นแม่ยืนยันหนักแน่น ก่อนจะหันไปซักไซ้ไล่เรียงเด็กรับใช้วัยรุ่นที่เธอมอบหมายหน้าที่ให้พาหญิงสาวไปส่งแทน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ให้คำตอบตามความจริง แต่กลับไม่ทำให้คนฟังรู้สึกกระจ่างขึ้นแต่อย่างใด
‘เอ แปลก...’ คุณวิกานดารำพึง อันที่จริงเธอก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่ามณีมณฑ์ดูเงียบลงไปกว่าเดิมบ้าง แต่โดยรวมแล้วหญิงสาวก็ยังยิ้มแย้มสดใสดี ความผิดปกติที่มีจึงอาจเห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่
ในขณะที่คนฟังอีกคนกลับรู้สึกงุนงงยิ่งกว่า แม้จะดีใจที่เธอจดจำคำพูดระหว่างกันได้ แต่ความไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีมากกว่า และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาโทรศัพท์ไปหาเธออีกเป็นครั้งที่สาม
ครั้งนี้สัญญาณตัดเข้าระบบฝากข้อความทันที
...มณีมณฑ์ปิดเครื่อง
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ไม่สดใสนักสำหรับมณีมณฑ์...
ความจริงจะเรียกว่าเช้าก็ไม่ถูกนัก เพราะกว่าหญิงสาวจะลุกจากเตียงได้ก็เป็นเวลาที่เข็มสั้นเดินผ่านเลขเก้าไปไกลแล้ว ซ้ำเธอยังมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับจากการนอนไม่พออีกต่างหาก ถ้ารอบตาคล้ำเป็นหมีแพนดาด้วยจะไม่แปลกใจเลย
คิดแล้วก็ให้โมโหตัวเอง...รวมไปถึงตัวต้นเหตุที่แสดงฉากโรแมนติกกับสาวสวยให้เธอเห็นเต็มตา จนกลายเป็นภาพฉายซ้ำวนเวียนอยู่ในหัวอย่างที่เรียกได้ว่าถ้าเป็นแผ่นซีดีก็คงเล่นจนแผ่นสึกไปแล้วแน่ๆ
ยิ่งเมื่อเปิดโทรศัพท์ที่ปิดไว้ตลอดคืนแล้วพบหมายเลขที่พยายามติดต่อเข้ามาเพียงครั้งเดียว คิ้วโค้งเรียวก็ยิ่งขมวดมุ่นด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวก็ไม่สามารถให้คำนิยามได้ถูก ด้วยว่ามันมีทั้งความน้อยใจปะปนกับความหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วน
...ตกลงว่าอยากคุยกับเธอแน่หรือเปล่าเนี่ย โทรมาครั้งเดียวแล้วก็หายเงียบไปแบบนี้ ร่างบางคิดอย่างพาลๆ ทำเป็นลืมไปเสียสนิทว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาก่อน ไม่ยอมโทรกลับ แถมยังปิดเครื่องหนีเขาอีกต่างหาก
มณีมณฑ์วางโทรศัพท์เอาไว้ที่เดิม ก่อนจะถือหนังสือนิยายเล่มโปรดลงไปยังศาลากลางสวนที่เธอตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน หลังได้รับรายงานจากเด็กรับใช้ว่าคุณไพลินออกไปเดินสายเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงกับคุณพลอยรุ้งตั้งแต่เช้าแล้ว และอาจไม่กลับจนกว่าจะเย็น
นั่งเอกเขนกอ่านหนังสือไปได้ไม่กี่หน้า เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในบ้านก็ดังมากระทบหู ทำให้หญิงสาวนึกประหลาดใจที่ผู้เป็นมารดากลับมาเร็วกว่าที่บอกไว้ แต่คนที่ก้าวเข้ามาในศาลาอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นกลับไม่ใช่ทั้งคุณไพลินหรือเด็กรับใช้คนใดในบ้านของเธอ
“มุก”
เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูที่ดังมาจากเบื้องหลังทำให้ร่างบางหันขวับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง พร้อมๆ กับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
ปากไวเท่าความคิด...เมื่อหญิงสาวตั้งคำถามเสียงขุ่น แสดงให้เห็นว่าไม่เต็มใจจะต้อนรับเขาสักเท่าไหร่
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง ใครอนุญาตให้เข้ามาไม่ทราบ”
หากวสุก็ยังคงยิ้มได้อย่างเคยเมื่อให้คำตอบว่า “ผมก็ขับรถเข้ามาตามปกตินั่นแหละครับ พอบอกว่ามาหามุก เด็กที่มาเปิดประตูก็ชี้ให้ผมเดินมาทางนี้ บอกว่ามุกอยู่ที่ศาลา ให้เดินเข้ามาได้เลย”
...ขนาดเด็กรับใช้บ้านเธอยังกลายเป็นพวกเขาด้วยเหรอเนี่ย มณีมณฑ์นึกคาดโทษฝ่ายนั้นอยู่ในใจ ค่าที่ปล่อยให้คนนอกเดินเข้าบ้านมาได้หน้าตาเฉย ก่อนจะเบิกตาโต...ถอยกรูดไปชิดเสาอีกด้านแทบไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายถือวิสาสะนั่งลงเคียงข้างทั้งที่ศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมยังมีที่นั่งให้เลือกอีกตั้งหลายมุม และเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอหนีไปไกลกว่านั้นด้วยการเอื้อมมือมายึดข้อมือเล็กไว้มั่น เรียกเสียงโวยวายพร้อมกับอาการบิดมือหนีอย่างต่อต้านทันที
“แล้วจะมาจับมือฉันไว้ทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ถ้าไม่จับไว้เดี๋ยวมุกก็หนีไปก่อนที่จะตอบคำถามผมน่ะสิ” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ รวบมือบางเอาไว้ด้วยท่าทางสบายๆ หากดวงตาฉายแววรู้ทัน “ว่าไงครับ มีเหตุผลดีๆ อะไรบ้างหรือเปล่า ทั้งเรื่องที่ไปถึงหน้าบ้านผมแล้วแต่กลับไม่ยอมเข้าไปทัก แถมเมื่อคืนนี้ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมอีก”
“ก็ฉันเห็นว่าคุณกำลังมีแขก เลยไม่อยากเข้าไปรบกวน กลัวว่าจะเป็นการขัดจังหวะคุณเปล่าๆ...เหตุผลแค่นี้ดีพอไหมล่ะ”
เสียงใสไม่วายเน้นคำเป็นเชิงประชดในตอนท้าย ขณะที่คู่สนทนาดูเหมือนจะจับความผิดปกติบางอย่างได้จากคำตอบของเจ้าหล่อน
“ถ้าเข้ามาตอนที่ผมกำลังคุยกับเพื่อน ก็ไม่น่าจะเรียกว่าขัดจังหวะหรือรบกวนอะไรมากมายนะ ยกเว้นมุกคิดว่าผมกำลังทำอย่างอื่นอยู่” ดวงตาคมเข้มจับจ้องใบหน้ารูปหัวใจอย่างพิจารณา ก่อนจะดักคอเรียบๆ ว่า “หรือไม่ใช่แค่ ‘คิด’ แต่มุก ‘เห็น’ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่...นี่มุกแอบดูผมหรือเปล่าเนี่ย”
“ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่!” หญิงสาวรีบเปลี่ยนคำตอบทันควัน และอาการเลิกคิ้วนิดๆ เหมือนกำลังรอฟังของเขาก็ทำให้เธอเร่งร้อนแก้ตัวจนเผลอทำพลาดซ้ำสอง ด้วยการเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังเข้าใจทันทีว่าเธอเห็นภาพอะไรเข้า
“ฉันไม่ได้แอบดูสักหน่อย คุณต่างหากที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนคนเดินผ่านไปมายังเห็นได้ ไม่จำเป็นต้องแอบดูด้วยซ้ำ!”
แม้จะนึกสงสัยอยู่แล้วว่ามณีมณฑ์คงเห็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอเข้าใจเขาผิด แต่วสุก็ไม่คิดว่าความประจวบเหมาะของช่วงเวลาจะทำให้เธอบังเอิญมาเจอเขาในจังหวะนั้นเข้าพอดี ประกอบกับความมีจินตนาการสูงกว่าคนทั่วไปของหญิงสาวที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเธอจะนำภาพที่เห็นไปแต่งเติมเรื่องราวต่อตามมุมมองของตัวเอง
...นอกจากจะไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เขาเพียรแสดงออกตลอดมาเสียทีแล้วยังจะขยันเข้าใจผิดเรื่องของเขากับผู้หญิงคนอื่นเสียอีกด้วย คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว...ไม่น่าลืมเลยว่าสาวน้อยของเขาน่ะ ‘ขี้หึง’ ขนาดไหน
“แต่กอดกับเพื่อนสนิทเนี่ย ผมไม่ถือว่าเป็นการทำอะไรประเจิดประเจ้อนะครับ” ชายหนุ่มกลั้นรอยยิ้มขำที่มุมปาก บรรจงเอ่ยช้าๆ ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆ “โดยเฉพาะถ้าเพื่อนคนนั้นกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วด้วย มุกคิดว่าผมไม่ควรจะแสดงความยินดีกับเขาหน่อยเหรอ”
ใบหน้ารูปหัวใจฉายแววงุนงงปนไม่อยากเชื่อในตอนแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเมื่อวสุเฉลยที่มาของภาพดังกล่าวให้ฟังว่า
“เมื่อวานนี้เพื่อนผมเอาการ์ดแต่งงานมาให้ แต่ว่าที่เจ้าบ่าวของเขาติดธุระก็เลยไม่ได้มาด้วย...ผมกับฝนรู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วก็ได้ไปเจอกันตอนเรียนที่โน่นอีกก็เลยสนิทกันมาก ไม่คิดด้วยว่ามุกจะมาเห็นตอนนั้นเข้าพอดีเลยทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่”
สีหน้ามึนงงของคนฟังทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ และก็อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าเจ้าหล่อนว่า “พอรู้อย่างนี้แล้วผมผิดหวังนะที่มุกไม่โวยวายเลย เห็นผมกอดกับคนอื่นแล้วไม่รู้สึกโมโหหึงบ้างเลยเหรอครับ”
...ใครบอกว่าไม่โมโหล่ะ มากเลยแหละ ถึงขนาดเขวี้ยงขนมที่บรรจงทำกับมือทิ้งถังขยะเนี่ย มณีมณฑ์คิดในใจ ไม่ยอมหลุดปากออกไปให้อีกฝ่ายได้ใจเด็ดขาด แต่ถ้อยคำของเขาก็ช่างก่อกวนอารมณ์จนเธออดใจไม่โต้ตอบไม่ไหว
“นี่! ฉันไม่ใช่นางอิจฉานะ จะได้เข้าไปแว้ดๆๆ ใส่คุณ แบบนั้นมันละครหลังข่าวชัดๆ แล้วฉันก็ไม่อยากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปขัดจังหวะใครด้วย มันเสียมารยาท!”
“จริงเหรอ แต่ผมอยากให้มุกทำนะ ผมชอบเวลาที่มุกทำท่าหึงผมน่ะ”
ท่าทางภูมิอกภูมิใจในตนเองของชายหนุ่มทำให้ร่างบางเกิดอาการคันไม้คันมือ นึกอยากจะประทุษร้ายอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติ หากติดที่ว่ามือเธอทั้งสองข้างถูกยึดไว้มั่นนี่สิเลยทำได้ไม่ถนัดนัก
“พูดเองเออเองตลอด!” หญิงสาวจิกปลายเล็บเป็นจังหวะตามคำพูด แม้จะไม่เต็มแรงแต่ก็คงทำให้เจ็บๆ คันๆ ได้บ้าง “ฉันไม่เคยบอกสักคำว่าหึง! แล้วใครจะสนกันว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบอะไร”
“ก็เพราะมุกไม่เคยบอกน่ะสิ ผมถึงต้องพูดเอง ไม่อย่างนั้นคงหมดกำลังใจไปนานแล้ว...รู้ตัวไหมว่ามุกดุผมบ่อยจนนายเพชรยังบอกเลยว่าถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ ผมคงโดนมุกข่มจนหงอแน่ๆ”
...จริงหรือ หญิงสาวฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะข่มเขาได้จริงๆ หรือเปล่า ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะเอาชนะเขาได้ มีแต่จะถูกหลอกล่อชักจูงไปในทิศทางที่เขาวางไว้เสียมากกว่า พอคิดถึงตรงนี้เธอก็เลยรู้ตัวว่าเกือบจะตกหลุมเขาอีกแล้ว
“ใครเป็นแฟนใคร พูดให้ดีๆ นะ” มณีมณฑ์เอ่ยเสียงแข็ง ด้วยเรื่องราวบางอย่างที่เคยได้รับรู้มายังฝังอยู่ในความทรงจำ “แล้วคุณเอาผู้หญิงคนนั้นไปไว้ที่ไหนไม่ทราบ คนที่พี่เพชรบอกว่าคุณชอบอยู่น่ะ”
ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อย้อนถาม “คนไหนครับ ผู้หญิงคนเดียวที่ผมเคยพูดถึงกับนายเพชรก็คือมุกนั่นแหละ นอกจากนั้นไม่มีแล้ว”
คนฟังนั่งอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน แต่ยังพยายามยืนยันสิ่งที่เคยได้ยินมา “ก็หลังจากที่ฉันเข้าใจคุณผิดตอนเจอกันครั้งแรก พี่เพชรก็บอกว่าคุณไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ เพราะคุณมีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว”
“ใช่ครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับนายเพชรเรื่องมุก”
หัวใจที่เหมือนถูกบีบจนลีบเล็กเมื่อวันวานกลับพองฟูขึ้นช้าๆ เมื่อได้ซึมซับความหมายในคำพูดของเขา ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้หญิงสาวถึงกับชะงัก
“แต่วันนั้นผมไม่ได้บอกนายเพชรว่าผมชอบมุกหรอกนะ สงสัยว่าหมอนั่นจะเติมเข้าไปเองมากกว่า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความรู้สึกเหมือนถูกผลักลงเหวด้วยคำพูดสั้นๆ นั้นทำให้เธอกระชากมือออกจากการเกาะกุมสุดแรง พอดีกับที่ชายหนุ่มผ่อนแรงลง...มือเรียวเล็กจึงเป็นอิสระได้โดยง่าย
“สรุปว่าพี่เพชรเข้าใจผิดไปเองล่ะสิ” ...รวมทั้งเธอและคนอื่นๆ ด้วย
วสุเห็นใบหน้าใสที่เปลี่ยนสีไปนิดเดียวก็พอรู้ว่าแม่สาวน้อยคงเข้าใจอะไรผิดไปอีกแล้ว เขาจึงรีบแก้ไขคำพูดพร้อมกับคว้ามือบางเอาไว้ก่อนที่เธอจะลุกหนีไปเสียก่อน
“ไม่ใช่หรอกครับ เรียกว่ามองการณ์ไกลดีกว่า เพราะว่าตอนนั้นผมแค่สนใจ แต่ยังไม่ได้ชอบมุก”
มณีมณฑ์รู้สึกถึงแรงบีบกระชับเบาๆ ที่ส่งผ่านมาจากปลายนิ้ว ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคู่คมที่มองตรงมาอย่างเปิดเผยความรู้สึกในใจราวกับถูกตรึงอยู่กับที่
“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะรู้สึกชอบใครตั้งแต่แรกเห็น...แต่มุกทำให้ผมสนใจ สะดุดตาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน พอรู้จักกันมากขึ้น จากสนใจก็กลายเป็นชอบ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรัก...ที่ผมไม่เคยบอกก็เพราะรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป มุกเองก็ยังเด็ก ผมอยากให้ความรู้สึกที่มุกมีต่อผมค่อยๆ เพิ่มขึ้น ให้มุกค่อยๆ ชินกับการมีผมอยู่ข้างๆ แล้วในที่สุดมุกก็จะรู้ตัวว่าจำเป็นต้องมีผมอยู่ด้วยตลอดไป”
ความอบอุ่นจากมือที่เกาะกุมมือเธอไว้ส่งผ่านมาถึงตัวและแล่นต่อไปถึงหัวใจที่เธอรู้สึกว่ามันพองฟูจนคับอก...เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวานที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีอยู่ แต่มีคำถามบางอย่างที่เธอยังสงสัย
“ถ้าอยากจะรอ แล้วทำไมถึงมาบอกกันวันนี้”
“ก็มุกขยันเข้าใจผมผิดๆ บ่อยนี่นา เมื่อวานก็ปิดมือถือหนีไปทีนึงแล้ว ถ้าไม่บอกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า ผมอยากให้มุกเข้าใจความรู้สึกของผม” ชายหนุ่มถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มเนียน ประคองใบหน้ารูปหัวใจให้สบตาเขาตรงๆ เมื่อเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า
“ผมอยากให้เราเข้าใจกัน แต่ผมยังไม่รู้เลยว่ามุกคิดยังไงกันแน่”
ดวงตาคู่โตกลอกไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มหวาน เอ่ยเสียงใสว่า “พี่วสุเคยสัญญาว่าจะไม่ไปเดินกับผู้หญิงที่ไหนสองต่อสองโดยไม่บอกมุกก่อน วันนี้สัญญาเพิ่มอีกข้อได้ไหมคะว่าจะไม่ไปกอดกับผู้หญิงคนไหนโดยไม่บอกมุกก่อนอีกเหมือนกัน”
วสุมองหญิงสาวที่ส่งรอยยิ้มหวานแบบที่ทำเอาเขาเกือบตาพร่า พร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวอย่างน่ารักจนเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง โดยเฉพาะกับประโยคต่อมา
“เพราะว่ามุกหึง”
ชายหนุ่มฟังแล้วนึกอยากจะดึงร่างบางเข้ามากอดให้มั่นใจว่าเธอรู้และยอมรับความรู้สึกของเขาจริงๆ แต่ด้วยความเหมาะสมทำให้เขาเลือกที่จะกุมมือเธอเอาไว้เท่านั้นเมื่อเอ่ยเหมือนจะขอคำยืนยัน
“จะไม่บอกกันตรงๆ หน่อยเหรอมุก”
มณีมณฑ์ส่ายหน้า ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ซุกซน ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะลุกหนีไปว่า
“ก่อนจะหึง ต้องรู้สึกยังไงก่อน...ถ้าแค่นี้ยังแปลไม่ได้ก็เอาคำว่าด็อกเตอร์คืนเขาไปเถอะค่ะ”
...14 กุมภาพันธ์...วันวาเลนไทน์
วสุมาถึงบ้านมณีมณฑ์ก่อนเวลาที่นัดกันไว้เล็กน้อย คุณไพลินเป็นผู้ออกมาต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเช่นเคย ก่อนจะให้รายละเอียดว่า
“ยัยมุกยังแต่งตัวไม่เสร็จเลยจ้ะวสุ แต่ก็คงใกล้แล้วล่ะ ที่ช้าก็เพราะป้าพลอยขึ้นไปคุมเข้มเนี่ยแหละ...หลานสาวจะออกงานทั้งที ให้น้อยหน้าไม่ได้เลย”
ชายหนุ่มได้มาขออนุญาตคุณไพลินพามณีมณฑ์ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทเขาตั้งแต่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งเมื่อคุณพลอยรุ้งรู้เข้าก็รับเป็นธุระจัดการเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงหาช่างแต่งหน้าทำผมให้หลานสาวเรียบร้อยเสร็จสรรพ ท่าทางผู้อาวุโสมีความสุขเหมือนได้เล่นแต่งตัวตุ๊กตาตามประสาคนที่มีแต่ลูกชาย จนหญิงสาวโอดครวญผ่านสายโทรศัพท์มาให้เขาได้ยินว่า
‘ป้าพลอยจับมุกลองชุดไปไม่รู้กี่สิบชุดกว่าจะได้ที่ถูกใจ แถมป้าวิยังบอกอีกว่าจะให้ยืมเครื่องประดับใส่ไปงาน ให้มาเลือกดูที่บ้าน’ น้ำเสียงตอนท้ายของเจ้าหล่อนส่อแววอยากกรี๊ดเต็มที่ ‘พี่วสุไปบอกแม่พี่เลยนะว่าอย่าจัดชุดใหญ่มาเด็ดขาด มุกรับผิดชอบไม่ไหวจริงๆ ด้วย’
ตอนนั้นเขาได้แต่ปลอบใจอีกฝ่ายไปตามเรื่องตามราว เพราะไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนไปคัดค้านบรรดาแม่ๆ ป้าๆ ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าคนจะไปงานเสียอีกได้ ยังดีว่าเขาเป็นผู้ชายเลยไม่มีใครมาจู้จี้จุกจิกด้วยนัก งานนี้คงมีแต่มณีมณฑ์นั่นแหละที่ต้องรับไปเต็มๆ
ไม่นานหลังจากนั้นคนที่เขารอคอยก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับคุณพลอยรุ้งที่มีรอยยิ้มเต็มหน้า...ร่างบางอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสดใสสมวัย พวงผมหยักศกเป็นลอนถูกรวบไว้สูง ร้อยพันด้วยลูกปัดเม็ดเล็กๆ อย่างน่ารัก เข้าชุดกับต่างหูมุกสีชมพูซึ่งเป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวที่คุณวิกานดาเลือกมาให้
จนกระทั่งขึ้นมานั่งอยู่บนรถด้วยกัน วสุก็ยังไม่ออกรถ แต่กลับหันหน้ามามองคนนั่งข้างด้วยแววตาชื่นชมปนเอ็นดู ทำเอาคนถูกมองชักเริ่มทำหน้าไม่ถูก
“วันนี้มุกน่ารักมาก”
“ก็น่ารักอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพิ่งรู้เหรอ” หญิงสาวเชิดหน้า ทำท่าหยิ่งๆ กลบเกลื่อนความเขินตามสไตล์ ก่อนที่คิ้วโค้งเรียวจะขมวดมุ่นเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็บอกให้ยื่นมือมา
“ทำไม...” ถามยังไม่ทันจบประโยค สร้อยข้อมือทองคำขาวร้อยจี้รูปดอกไม้ที่มีเกสรเป็นไข่มุกสีชมพูเม็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือของเธอ พร้อมกับเสียงทุ้มแฝงแววพึงพอใจ
“เหมาะกับมุกอย่างที่คิดจริงๆ...สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ”
มณีมณฑ์มองสร้อยข้อมือดีไซน์แปลกตาอย่างตกตะลึงอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “ขี้โกงนี่นา ไม่บอกกันก่อนว่าเตรียมของไว้ให้ มุกเลยไม่ได้เตรียมอะไรให้พี่วสุเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกมุก” ชายหนุ่มปลอบใจสาวน้อยของเขายิ้มๆ “ที่จริงพี่ซื้อสร้อยเส้นนี้ไว้นานแล้ว ตั้งใจจะให้มุกเป็นของขวัญวันเกิดครบ 22 ปี...ฉลองที่อายุเราเข้ามาใกล้กันหน่อย พี่จะได้ห่างจากข้อหาหลอกเด็กไปได้อีกนิด แต่คิดอีกทีให้วันนี้เลยดีกว่า...มุกชอบหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากร่างบางนอกจากอาการพยักหน้ารับ ทำให้วสุหัวเราะเบาๆ อย่างโล่งใจ หันกลับไปบังคับรถเคลื่อนออกจากที่อย่างนุ่มนวลเมื่อเล่าต่อเรื่อยๆ
“นี่พี่รีบไปล็อบบี้แม่ไว้ก่อนนะว่าจะให้สร้อยข้อมือมุก แม่ถึงได้จัดต่างหูคู่นี้มา ไม่อย่างนั้นมุกได้เจอชุดใหญ่แน่...พี่เห็นแม่เอาเครื่องเพชรออกมาทำความสะอาดเตรียมไว้ตั้งหลายชุด”
“งั้นมุกก็ต้องขอบคุณพี่วสุเป็นสองเท่าเลยสิเนี่ย” หญิงสาวว่า อดคิดไม่ได้ว่าถ้ายินยอมรับเครื่องประดับที่คุณวิกานดาจัดมาให้จริงๆ ชีวิตเธอคงหาความปลอดภัยได้ยากแน่...ก็เล่นมีแต่ของล่อตาล่อใจโจรทั้งนั้นเลยนี่นา
“ถ้าอยากขอบคุณกับให้ของขวัญตอบแทนพี่น่ะ ไม่ยากหรอก” ร่างสูงเอียงหน้ามากระซิบด้วยถ้อยคำที่ทำให้อารมณ์คนฟังถึงกับสะดุดว่า “หอมแก้มพี่สองที...นี่แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมที่สุดแล้วนะ”
มณีมณฑ์แทบเต้นกับข้อเสนอแสนจะยุติธรรมจากคนข้างตัวที่ฟังยังไงก็เหมือนหาเรื่องให้เธอเสียเปรียบชัดๆ ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปคีบเนื้อที่แขนอีกฝ่ายแล้วบิดแรงๆ อย่างหมั่นไส้
“เอา ‘แหนบ’ ไปสองทีก่อนแล้วกัน! แล้วก็หันไปขับรถดีๆ เลย อย่ามัวแต่พูดเล่น เดี๋ยวก็ไปไม่ทันงานเริ่มกันพอดี”
ถึงแม้จะเคยไปร่วมงานแต่งงานมาหลายครั้ง แต่มณีมณฑ์ก็ต้องยอมรับว่างานแต่งงานวันนี้เป็นงานที่เธอประทับใจมากที่สุด ด้วยความสุขของคู่บ่าวสาวดูเหมือนจะเปล่งประกายออกมาจนผู้ร่วมงานสัมผัสได้ ทั้งความใกล้ชิดของเจ้าของงานกับแขกและบรรยากาศเป็นกันเองของงานก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ทั้งที่เพิ่งเคยเจอกับพวกเขาเป็นครั้งแรก
ธารารัตน์...เจ้าสาวที่สวยสะดุดตาในชุดแต่งงานแบบสั้นสีฟ้าต่างจากสมัยนิยม บ่งบอกว่าเป็นคนมั่นใจในตนเอง ดูเหมาะสมกันดีกับชายหนุ่มร่างสูงที่มีดวงตาและรอยยิ้มเปิดเผยอย่างณภพ
มณีมณฑ์ได้รับรู้เรื่องราวความรักของคนทั้งสองจากคำบอกเล่าของวสุที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับธารารัตน์ตอนปริญญาโทและเอก ในขณะที่ณภพเรียนอยู่อีกรัฐหนึ่ง เขาจึงเพิ่งมาสนิทสนมด้วยหลังจากที่ทั้งคู่คบหากันแล้ว
“รู้ไหมว่าที่จริงแล้วยัยฝนแอบชอบนายภพก่อน พยายามจีบอยู่เป็นปีเลยแหละกว่านายภพจะตกลงเป็นแฟนด้วย” ชายหนุ่มเล่าให้คนข้างตัวฟังขำๆ ทำเอาร่างบางกะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะไม่ยอมเชื่อจนเขาพยักพเยิดให้ดูวีดีโอประกอบงานแต่งงานที่กำลังฉายภาพตอนฝ่ายหญิงกำลังสารภาพรักพอดี
“พี่ฝนกับพี่ภพน่ารักกันมากๆ เลยนะคะ เหมาะสมกันมากเลยด้วย” หญิงสาวยิ้มอย่างชื่นชมเมื่อวีดีโอจบลงพร้อมกับความประทับใจ “งานแต่งงานก็ไม่มีพิธีการเยอะเกินไป ดูอบอุ่นดี”
“ตอนงานเราจะเอาแบบนี้ก็ได้นะ...ถ้ามุกชอบ เดี๋ยวจะไปถามยัยฝนให้ว่าจ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์มาจากที่ไหน” วสุเออออด้วยหน้าตาเฉย ขณะที่คนฟังเบิกตาโต อ้าปากจะโวยวายตามนิสัย แต่นึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในงานเลี้ยงจึงเปลี่ยนเป็นเค้นเสียงกระซิบอย่างเข่นเขี้ยวแทน
“คิดล่วงหน้าเร็วเกินไปแล้ว! มุกยังเรียนไม่จบเลยนะ”
“งั้นก็อีกสองปี รอให้มุกเรียนจบก่อนก็ได้”
มณีมณฑ์เบ้หน้ากับวาจาที่ฟังดูเหมือนให้เวลาเธอได้เตรียมใจ ทั้งที่ความจริงยังไงเขาก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นอยู่แล้ว...อีกอย่าง ‘แต่งงาน’ นะ ไม่ใช่เล่นขายของ อยู่ๆ จะมาขอกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ได้ยังไงเล่า ฮึ่ยย
“แต่มุกอยากทำงานก่อนนี่ อยากเรียนต่อด้วย แล้วก็ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่อยากทำ” ร่างบางตั้งท่าจะร่ายยาว ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองอย่างดีจากคู่สนทนา
“ได้ครับ แล้วแต่มุกเลย”
...แต่นั่นต้องหลังจากแต่งงานกับพี่แล้วนะ ชายหนุ่มต่อประโยคในใจ ซ่อนยิ้มมองอีกฝ่ายที่ทำท่ากระหยิ่มเมื่อเห็นเขายอมลงให้ง่ายๆ ด้วยแววตาหมายมาด...ตอนนี้เขาจะปล่อยให้เจ้าหล่อนวางใจไปก่อน แต่รับรองได้เลยว่าพอถึงเวลานั้นแล้วมณีมณฑ์ไม่มีทางปฏิเสธเขาได้แน่
กว่าจะใช้ความรักถักทอเป็นสายใยผูกหัวใจเธอเอาไว้ได้...เขาต้องใช้เวลาและความอดทนไปมากมายเท่าไหร่ ยังไงเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอดิ้นหลุดไปไหนได้หรอก
แล้วเธอก็จะได้รู้ว่าเวลาสองปี...มันไม่นานเลย...
The End
เมษาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2560, 00:25:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2560, 00:25:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 806
<< ตอนที่ 4 |