ต้อง(ใจ)มนตร์จันทร์ [มนตร์จันทร์ร้ายพ่ายรัก] Rewrite+Re-up
เธอ... 'หงส์' ที่โผบินเหนือมังกรทั้งมวล

เขา... 'จ่าฝูงมังกร' ที่หัวสั่นง่อนแง่นกำลังจะหลุด

เพื่อรักษา 'ทั้งหัวทั้งหาง' ตัวเองไว้ เขาจึงจำต้อง 'รวบหัวรวบหาง' เธอมาไว้ในครอบครอง

โดยหารู้ไม่ว่า หงส์สาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเข้มตัวนี้ ซุกซ่อนลูกไม้ร้อยเล่ห์แสนเผ็ดร้อนไว้ใต้ปีกมากมายขนาดไหน

แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกิน...

เขาแต่ง 'แม่มด' ในคราบนาง 'หงส์' มาเป็น ภรรยา เสียแล้ว...
Tags: ฟิน มาเฟีย พริมสิตางศุ์

ตอน: Chapter 2 : แสนพยศ (1st Rewrite)




แสนพยศ



เข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาค่อยๆ เดินทีละก้าวจนล่วงเลยมาถึงเลขหก ขณะที่นาฬิกาธรรมชาติก็ทำหน้าที่ของมัน ระบายสีเข้มๆ ทาทับท้องฟ้าสีอ่อนใสก่อนหน้าให้ทึบขึ้นจนเกือบมืดสนิทไปทั่วทั้งผืน



ทว่าร้านเบเกอรี่ขนาดหลายคูหาใจกลางเมืองแห่งนี้กลับยังแน่นขนัดอยู่เช่นเดิม ราวกับตั้งแต่เช้าจรดเย็นนี้ไม่มีใครประสงค์จะสละที่นั่งของตนแต่อย่างใด



น้ำผึ้งพระจันทร์กดเครื่องคิดเลขคำนวณบัญชีรายการสุดท้าย มืออีกข้างพลางยกขึ้นนวดท้ายทอยสลับกับทุบบ่าแข็งเกร็งของตัวเอง เมื่อปลายปากกาเขียนตวัดตัวเลขตัวสุดท้ายลงบนสมุดเรียบร้อย หางตาคมกริบจึงค่อยเหลือบขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังร้าน ครั้นพอเห็นว่าถั่วเคลือบช็อกโกแลตเม็ดสุดท้ายหมดทันเวลาเลิกงานของเธอพอดิบพอดี จึงไม่รอช้าลุกขึ้นไปล้างไม้ล้างมือ เก็บข้าวของเตรียมกลับบ้านทันที



วันนี้ไม่ใช่เวรเช็กสต็อกวัตถุดิบของเธอ ทั้งเธอยังถูกก่อกวนจนปวดเศียรเวียนเกล้าเกินกว่าจะพูดคุยเล่นหัวกับใคร หุ้นส่วนทั้งสองจึงรีบโบกมือไล่เธอออกจากร้าน ด้วยรู้ดีว่าหากเหนี่ยวรั้งคนอารมณ์ไม่คงที่ไว้ในร้านต่อไป ดีไม่ดีพรุ่งนี้รูปร้านเธออาจขึ้นหนาบนหน้าหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวว่า ‘ไฮโซสาวเหลืออดแทงลูกค้าดับอนาถคาร้านขนม’ ก็เป็นได้



หญิงสาวกวาดตามองไปทั่วร้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากร้านตามวิสัยของเจ้าของร้าน ทว่าครั้งนี้กลับน่าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่าเห็นความไม่เรียบร้อยครั้งไหนๆ เพราะโต๊ะหมายเลข 17 ที่ริมสุดของร้านยังคงสถิตแน่นิ่งอยู่ที่เดิมราวคราบกาแฟเปื้อนฝังแน่นบนผืนผ้าไม่มีผิด



ท่ามกลางแก้วกาแฟที่แทบจมหัวคนได้นั้น บางคนนั่งฉีกยิ้มแฉ่ง บางคนทำหน้าผะอืดผะอมคล้ายอยากสำรอกคาเฟอีนในกระแสเลือดออกมาทำเอาน้ำผึ้งพระจันทร์นึกขัน และนึกอึดอัดไปในเวลาเดียวกัน



แต่เมื่อคิดได้ว่าเขามีกำลังซื้อและเธอมีกำลังขาย ก็ไม่เหลือเหตุผลใดให้ยุ่งยากใจอีก สายตาคมจึงละจากจุดหมายไม่ควรมองแล้วหมุนตัวออกจากร้านทันที โดยไม่ทันคิดว่าใครบางคนจะติดสอยห้อยตามสายตาที่ถอนกลับมาของเธอออกมายังนอกร้านด้วย



“คุณจะไปไหน” เสียงทุ้มลึกดังนำหน้ามือหนามาเพียงเสี้ยววินาที เรียกให้น้ำผึ้งพระจันทร์หันมาสะบัดมือเขาออกจากข้อมือตัวเองทันทีตามสัญชาตญาณ



“ฉันก็จะกลับบ้านน่ะสิ จะมาดึงฉันไว้ทำไมล่ะ ปล่อย!” น้ำผึ้งพระจันทร์โวยลั่นพร้อมสะบัดมือเขาออกแรงๆ อีกครั้งจนหลุด



“งั้นผมไปด้วย” หยางหลงพูดง่ายๆ ราวเด็กชายรั้นจะติดสอยห้อยตามแม่ไปทุกที่



“จะบ้ารึไง! ยามกะดึกประเภทไหนเลิกงานหกโมงเย็น” ผู้มีศักดิ์เป็นนายจ้างสาวตวาดเสียงดัง



เขาเป็นคนเสนอตัวมาของานทำทั้งที่เธอไม่ได้เต็มใจจ้าง แต่พอเธอรับเขาทำงานเพื่อตัดรำคาญให้จบๆ เรื่อง เขาก็ดันจะหนีกลับทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มงานสักชั่วโมง เขาเห็นเธอเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาหรือไงกัน!



“งั้นผมลาออก” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่แยแส



“คิดว่าฉันเป็นเพื่อนเล่นคุณรึไง” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามกลับเสียงเย็น ทว่าในใจกลับเริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมาทีละนิดแล้ว



“ก็คุณบอกเองว่าไม่ต้องการคนมาเฝ้าเนยถั่วตอนกลางคืน ผมเลยไม่รู้จะอยู่ทำไม”



“คิดว่าที่ฉันปล่อยคุณเพราะฉันใจดีรึไง ฟังนะ ถ้าฉันเห็นว่าคุณยังตามฉันมาอีกแม้แต่ก้าวเดียว ฉันไม่เอาคุณไว้แน่” เธอประกาศกร้าวตาขวางพร้อมยกมือชี้หน้า ก่อนจะขุดความใจเย็นเฮือกสุดท้ายขึ้นมาสั่งให้ร่างทั้งร่างของตัวเองหันหลังเดินจากไป



น่ากลัวว่าเจ้ากรรมนายเวรทุกชาติทุกภพของเธอจะไล่ตามมาทันแล้ว ใครต่อใครถึงได้พร้อมใจกันมาทดสอบความอดทนเธอถึงที่แบบนี้



ไม่กลัวว่าเธอจะเหลืออดจนออกหมัดออกศอกปัดรังควานบ้างหรือไง!



ร่างเล็กเดินกระแทกฝีเท้าหนักๆ ระบายอารมณ์ลงบนพื้นคอนกรีตจนส่งเสียงดังกริกๆ มาถึงลานจอดรถ ดวงตาสีม่วงเข้มทอดยาวไปยังรถพอร์ชคันงามของตัวเองที่จอดอยู่ด้านในสุด ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้จนห่างเพียงไม่ถึงก้าวดี ดวงตากลมโตกลับต้องเบิกโพลงจนแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อเห็นว่ารถพอร์ชสุดรักสุดหวงเหลือเพียงแค่สามล้อ!



พับผ่าสิ! ล้อรถเธอหายอย่างนั้นหรือ!



สวรรค์ไม่อยากให้เธอแก่ตายแล้วหรือไง ถึงได้แช่งชักหักกระดูกกันนัก!



"ทำไมมันซวยอย่างนี้วะเนี่ย!" น้ำผึ้งพระจันทร์สบถเสียงดังพร้อมส่งฝีเท้าหนักๆ ไปเตะสั่งสอนล้อรถที่ยังเหลืออยู่ดังป้าบ โทษฐานไม่ดูแลเพื่อนอีกล้อให้ดี ปล่อยให้ใครลักพาตัวไปเสียได้



มือบางยกขึ้นเสยเรือนผมยาวสลวยลวกๆ แก้หงุดหงิด ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าเธอยังเหลือเพื่อนอีกตั้งสองคน ดีชั่วอย่างไรก็คงพอจะไปส่งเธอกลับบ้านได้บ้าง



หากขณะกำลังรื้อค้นโทรศัพท์ในกระเป๋าเตรียมโทรหาเพื่อนรักนั้นเอง เสียงทุ้มลึกเจือแววยียวนที่เธอเพิ่งหนีพ้นมาได้ไม่กี่นาทีก็ดังขึ้น



"ไง... มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับคุณเจ้าของร้าน" ใบหน้าหล่อเหลายื่นออกมานอกหน้าต่างรถลีมูซีนสีดำคันหรู ส่งยิ้มหวานแต่เปลือกให้เธอจนริมฝีปากแทบแขวนขึ้นไปอยู่บนใบหู



ทว่าประเด็นมันอยู่ที่ว่า นอกจากคำพูดและท่าทีเยาะเย้ยของเขา เธอยังได้ยินอะไรมากกว่านั้น...



‘เดือดจนควันออกหูเลยสิยัยแม่มด’



“คุณ! คุณขโมยล้อรถฉันไปใช่มั้ย!” เธอชี้หน้าตวาดลั่น แทบจะพ่นไฟบรรลัยกัลป์ออกมาเผาคนสมควรตายเสียให้ได้



‘ฉลาดไม่เบานี่’



ในโสตประสาทพิเศษที่มีเพียงเธอเท่านั้นได้ยิน เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เช่นเดียวกับเสียงพูดของเขาบอกเล่าความจริงออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ริมฝีปากได้รูปนั้นกลับเอ่ยถ้อยคำอีกประเภทหนึ่งออกมาแทน



“คุณมีหลักฐานอะไรไม่ทราบครับ” คนโกหกลอยหน้าลอยตาถามกลับ



หากไม่เพราะวันนี้พระอาทิตย์ตกดินเร็วกว่าปกติ พลังของดวงจันทร์ทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิท เธอก็คงไม่มีวันรู้เลยว่าคนบางคนจะหน้าด้านหน้าทนได้ปานนี้!



แต่จะให้เธอตอบเขาว่าอย่างไรได้...จะให้บอกว่าเธอได้ยินที่เขาคิดงั้นหรือ!



“คืนให้ฉันดีๆ ก่อนที่ฉันจะแจ้งความ” น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยด้วยน้ำอดน้ำทนเฮือกสุดท้าย



“ถ้าคุณมั่นใจอย่างนั้นล่ะก็นะ” เขาเอียงคอยักไหล่พูดพลางอมยิ้มที่มุมปาก



จบคำคนร่างสูงก็เปิดประตูก้าวลงจากรถมาหยุดยืนตรงหน้าเธอกับรถพอร์ชคันพิการ นัยน์ตาดำสนิทดุจท้องฟ้ารัตติกาลจ้องลึกลงไปในดวงตาสีม่วงเข้ม ราวต้องการไขปริศนาในใจเธอให้ได้ด้วยการสบตาเพียงเสี้ยววินาที



โดยหารู้ไม่ว่าการทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ตัวเขาเองถูกไขปริศนาเพิ่มขึ้นต่างหาก



‘หึ...อยากจะรู้นักถ้าฉันจูบเธอตอนนี้ เธอยังจะยืนอยู่ได้มั้ยแม่คนเก่ง...’



น้ำผึ้งพระจันทร์เบือนหน้าหนีความคิดสัปดนของเขาแทบไม่ทัน ทั้งที่เคยได้ยินความคิดคนมาทุกรูปแบบแล้ว แต่เธอกลับบอกไม่ถูกนักว่าทำไมตอนนี้ถึงยังรู้สึกเหมือนโดนของร้อนลวกแก้มอยู่อีก



“เป็นไรไปคุณ หน้าแดงเชียว” หยางหลงรู้สึกว่าเธอดูแปลกๆ ไป จึงยื่นหน้าไปถามด้วยความเป็นห่วง แต่เธอกลับถอยกรูดเสียอย่างกับกลัวเขาจับกิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังขู่เขาฟ่อๆ เป็นแมวน้อยใจเสืออยู่แท้ๆ



หรือเธอจะเกลียดเขาเสียแล้ว...



“คุณรีบคืนล้อรถฉันมาดีกว่า เรื่องจะได้จบๆ” เธอขึ้นเสียงต่อรองราวเหลืออดเหลือทนกับเขาเต็มที ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีก็เบือนหน้าหลบสายตาเขาไปอีก



“ผมว่าคุณแปลกๆ ไปนะ” หยางหลงไม่สนคำต่อรอง แต่เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยอดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้



เขาคงไม่ได้แกล้งเธอแรงเกินไปหรอกนะ...



เขาก็แค่อยากให้เธอจำหน้าเขาได้เท่านั้น... ไม่นึกว่าเธอจะอารมณ์ร้อนเกลียดกันง่ายดายขนาดนี้...



ร่างเล็กไม่สนคำถามของเขา รีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือจนเจอแล้วกดโทรออกหาเพื่อนรักเพื่อขอความช่วยเหลือทันที



“ฮัลโหลน้ำพลอย แกไปส่งฉันกลับบ้านที ฉันอยู่ที่ลานจอดรถ เดี๋ยวนี้เลย” จบความหญิงสาวก็กดตัดสายไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนได้เอ่ยถามอะไร



น้ำผึ้งพระจันทร์เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปปั้นของเขาอีกครั้ง ทั้งสีหน้าแววตาล้วนร้อนไปด้วยโทสะจนเกือบจะเผาคนได้



ทว่าตัวเขา นอกจากความคิดลามกพวกนั้นกลับไม่มีความคิดอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะความคิดว่าจะคืนล้อรถให้เธอ ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่แวบเดียว



“นี่คุณอยากให้ฉันแจ้งความจริงๆ ใช่มั้ย” น้ำผึ้งพระจันทร์ขึ้นเสียงถามอีกครั้งเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหาเรื่องคนประเภทไหนอยู่ ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะเห็นความใจดีของเธอเป็นความคิดเด็กเล่นไปเสียได้



‘ตัวสูงเท่าหลังคารถรึเปล่าเนี่ย แจ้งความงั้นเหรอ...หึๆ’



เสียงความคิดกลั้วเสียงหัวเราะเยาะเย้ยทำลายความอดทนเสี้ยวสุดท้ายจนขาดผึ่งลงในคราวเดียว คนร่างเล็กโยนกระเป๋าถือสีดำในมือลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทไว้แน่น แล้วเตะตัดข้อเท้าแกร่งสุดแรงพร้อมกับเอี้ยวตัวโยนเขาขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะจัดการทุ่มเขาลงกับพื้นคอนกรีตจนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ



พลั่ก!



“อั่ก! แค่กๆ!” ชายหนุ่มทั้งพยายามยันตัวลุกขึ้น ทั้งเอามือกดลิ้นปี่บรรเทาอาการเจ็บจุก แต่กดได้ประเดี๋ยวก็ต้องเอื้อมไปจับกระดูกสันหลังตัวเองอีก ด้วยไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่ดีหรือเปล่า



“ฉันขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย ไอ้ที่คิดจะลองดี ฉันขอเตือนว่าอย่า!” น้ำผึ้งพระจันทร์ชี้หน้าคาดโทษคนร่างสูงซึ่งยังกองอยู่พื้นเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูก ไม่ยี่หระต่อท่าทางประคบประหงมของเพื่อนเขาอีกสองคนที่วิ่งลงมายื้อยุดฉุดร่างเจ็บจุกของเขาขึ้นมา ราวกับเขาเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย



ทันใดนั้นเอง เพียงน้ำพลอยซึ่งถูกขอความช่วยเหลือเมื่อนาทีก่อนหน้าก็เดินมาถึงลานจอดรถพอดี ทว่ายังไม่ทันจะได้รับคำอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ถูกลากไปยังรถเบนซ์คันหรูของตัวเองและได้รับคำสั่งให้ออกรถทันที



“เกิดไรขึ้นวะ” เพียงน้ำพลอยถามเสียงตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็ก้าวเข้านั่งยังที่นั่งคนขับแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมออกรถตามคำสั่งของเพื่อนสาว



“...” น้ำผึ้งพระจันทร์ไม่ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นพิงพนักเบาะแล้วหลับตาลงเป็นสัญญาณว่าไม่ประสงค์จะได้ยินคำถามหรือความเห็นจากใครหน้าไหนทั้งนั้น



หากขณะที่รถกำลังจะขับผ่านผู้เคราะห์ร้ายหนึ่งชีวิตกับอีกสองชีวิตของทีมกู้ภัย น้ำผึ้งพระจันทร์ก็ปรือตาขึ้นมามองเขาเล็กน้อย ด้วยอยากรู้ว่าเขาจะเจ็บจุกถึงขั้นไหนกัน และมีทีท่าว่าจะเข็ดหลาบบ้างหรือเปล่า



แต่ที่ไหนได้...เขากลับไม่มีท่าทีของคนเจ็บเลยสักนิด!



ใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปปั้นสลักนั้นอมยิ้มที่มุมปากตามแบบฉบับของเจ้าตัว นัยน์ตาดำขลับวาวโรจน์ด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด ไม่ได้ยกมือไม้ยกไม้ขึ้นจับกระดูกลูบซี่โครงเหมือนเมื่อนาทีก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย



ที่ทำเหมือนเจ็บจนจะเป็นจะตายเมื่อครู่ น่ากลัวว่าจะเป็นแค่ลูกไม้สำออยของเขาเสียมากกว่า หรือไม่ก็คงแกล้งหลอกให้เธอดีใจเล่น



แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน คนๆ นี้ก็ช่างกะล่อน ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลงหาดีไม่ได้!



‘คุณนี่ไม่ธรรมดาอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ’



น้ำผึ้งพระจันทร์เบือนหน้าหนีความคิดจากนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย ในใจเฝ้าข่มลางสังหรณ์ที่ปะทุขึ้นมาขู่ขวัญว่า เธออาจไม่ได้เขาวันนี้เป็นวันสุดท้าย...







เพียงไม่กี่อึดใจต่อมารถเบนซ์สีดำก็จอดสนิทลงที่หน้าประตูคฤหาสน์เฉียน น้ำผึ้งพระจันทร์เอ่ยขอบคุณและบอกลาเพื่อนสั้นๆ แต่ไม่ได้รั้งให้เพื่อนอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านเหมือนทุกครั้ง เพราะรู้ดีว่าวันนี้เพื่อนมีเวรเช็กสต็อกวัตถุดิบที่ร้าน



หลังจากส่งเพื่อนเสร็จเรียบร้อย ร่างเล็กก็เดินเข้าบ้านพลางคิดอะไรกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย บ้างคิดถึงเรื่องงาน บ้างก่นด่าสาปแช่งคนจนไม่ทันมองว่าบิดาหยุดยืนรอทักทายอยู่ตรงหน้านานแล้ว จึงเดินเลยผ่านไปราวบิดาเป็นเพียงอากาศธาตุ



“อ้าวเฮ้ย! ป๋ายืนอยู่ทั้งคนนี่ไม่เห็นรึไง” เฟยหลงร้องเรียกตามหลัง เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนรอดบุตรสาวก็ยังไม่เห็นตัวเองอยู่ดี



“ขอโทษค่ะคุณป๋า เจ้าจันทร์คิดเรื่องงานเพลินไปหน่อย คุณป๋าทานอะไรรึยังคะ” น้ำผึ้งพระจันทร์หันหลังกลับมาคุยกับบิดาด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย ทำให้คนเป็นบิดาเชื่อโดยสนิทใจว่าบุตรสาวยุ่งอยู่กับงานจนสติสะตังเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ



“กินแล้ว นี่ไงกินของหวานอยู่” เฟยหลงว่าพลางยกแก้วน้ำส้มที่ลูกสาวสุดรักคั้นเก็บไว้ให้ให้ดู ก่อนจะเอ่ยถามต่อ



“แล้วรถเราไปไหน ป๋าเห็นรถหนูน้ำพลอยมาส่ง”



“อยู่ที่ร้านค่ะ เฮียเว่ยไปไหนคะ” น้ำผึ้งพระจันทร์ถามพลางสอดส่องสายตาหาลูกชายของลูกน้องคนสนิทของบิดาที่ตนนับถือเป็นพี่ชาย



“อยู่โรงฝึกมั้ง” เฟยหลงตอบสั้นๆ แล้วหันหลังจากไปหาโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดข่าวภาคค่ำ ปล่อยให้ลูกสาวไปตามหาคนที่อยากเจอเอาเอง



เขาไม่เคยเซ้าซี้ลูกมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยรู้ดีว่าเธอเป็นพวกปากแข็งเท่าไหร่ หัวแข็งเท่าไหร่ ใจยิ่งแข็งเสียกว่า หากก็ยังดีที่เป็นเด็กรู้ความ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยสร้างเรื่องให้เขาลำบากใจเลยสักครั้ง ทั้งเขาเองก็ไม่ใช่คนจู้จี้ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ต่อให้เขารู้เรื่องที่ว่านั้นอยู่แล้วก็มักจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วรอให้ลูกเป็นฝ่ายเข้ามาเล่าให้ฟังเอง



มีเพียงเรื่องใหญ่เรื่องเดียวที่ลูกทำเขากังวลนักหนา เขาออกปากพูดแล้วพูดอีกลูกสาวคนดีของเขาก็ยังทำหูทวนลม ปล่อยให้ลอยเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาอยู่ร่ำไป จนทุกวันนี้เขาก็เริ่มจะปลงตกเสียแล้ว



เรื่องของเรื่องก็คือลูกสาวเขาเจ้าอารมณ์จนขึ้นชื่อ ซ้ำยังเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนก็ล้วนขนพองสยองเกล้าตั้งแต่ยังได้ยินชื่อไม่จบ ต่อให้คุณหญิงคุณนายพวกนั้นจะเอ็นดูในสินเดิมของว่าที่เจ้าสาวแค่ไหน แต่จะมีแม่ผัวบ้านไหนอยากแต่งลูกสะใภ้พิษสงรอบตัวขนาดนี้เข้าบ้านกัน



เขาเองก็คร้านจะไปต่อปากต่อคำแก้ต่างให้ลูกเต็มที ตัวเขาเป็นพ่อถึงอย่างไรก็ต้องเข้าข้างลูกอยู่แล้ว พูดไปพูดมาคนเขาก็จะหาว่าเจ้าสัวเฉียนเที่ยวยัดเยียดลูกสาวให้คนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งที่อันที่จริงเขาก็แค่อยากให้ลูกแต่งงานแต่งการเป็นฝั่งเป็นฝากับคนดีๆ ไม่ทำแต่งานหาแต่เงินเอาไปใช้อยู่บนคาน



แต่เพราะไม่มีใครเข้าใจลูกอย่างที่เขาเข้าใจ...จึงไม่มีใครรักลูกอย่างที่เขารัก...



ลูกสาวเขาคนนี้ เปลือกนอกร้ายกาจ เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ แต่ภายในกลับเย็นชา ว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ



ทว่าท้ายที่สุดแล้วความว่างเปล่านั้นก็ยังเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง...







น้ำผึ้งพระจันทร์วิ่งขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งไปยังโรงฝึกด้านหลังคฤหาสน์เพื่อปลดปล่อยอารมณ์คุกรุ่นที่สะสมมาตลอดทั้งวัน



ร่างเล็กในชุดเทควันโดสีขาวสะอาดคาดสายสีดำที่เอวคอดก้าวเร็วๆ ผ่านทางเชื่อมจากสวนด้านหลังคฤหาสน์ไปยังอาคารชั้นเดียวขนาดกว่าครึ่งสนามฟุตบอล ที่ซึ่งมีไว้สำหรับฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ทุกชนิด และยังเป็นที่ที่น้ำผึ้งพระจันทร์จะต้องแวะมาขลุกอยู่แทบจะวันเว้นวัน หรือหากวันไหนไม่ได้อยู่ที่นี่ ก็จะไปอยู่ที่สนามยิงปืนซึ่งอยู่ถัดจากโรงฝึกไปนี้เอง



‘ตระกูลเฉียน’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ตระกูลอัศวพาธากุล’ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ทำมาค้าขายถูกกฎหมายมาโดยตลอด หากกล่าวถึงข้อนี้แล้ว เจ้าสัวเฉียนผู้ปกครองย่อมไม่มีความจำเป็นอันใดจะต้องชุบเลี้ยงบริวารหลายร้อยคน และยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องฝึกฝนทุกคนให้อยู่ในสภาพพร้อมรบอยู่เสมอ แม้กระทั่งลูกสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นก็ยังต้องฝึกหนักกับเขาด้วย ซ้ำยังหนักยิ่งกว่าลูกน้องชายร่างบึกบึนคนอื่นๆ เสียอีก



แต่เพราะ ‘เฉียนเฟยหลง’ ไม่ใช่คนมีเบื้องหลังสะอาดสะอ้านถึงเพียงนั้น แม้เขาจะวางปืนแล้วและพยายามล้างคราบเลือดในมือทุกวิถีทาง เพื่อมาใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่กับภรรยาที่เมืองไทย ทว่าความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่นก็คือ...



‘คราบเลือดหาใช่คราบดิน’ ที่ใช้เพียงน้ำก็ล้างออกได้...



ต่อให้ใครไม่เห็น...กลิ่นคาวเลือดก็ยังอบอวลติดจมูกเจ้าตัว และยังเตะจมูกนักล่าอยู่ดี...



ภาพคุณหนูน้ำผึ้งพระจันทร์ที่แสนบอบบางน่าทะนุถนอมจึงเป็นเพียงภาพลวงตาโดยสิ้นเชิง แท้จริงแล้วเธอไม่ต่างจากนายทหารชั้นแนวหน้าของหน่วยรบพิเศษเลยสักนิด รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนั้นทั้งคล่องแคล่ว ว่องไว และเฉียบขาด อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาก็เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์นับสิบนับร้อย ความอ่อนโยนอ่อนหวานที่ควรมี จึงเอ่ยได้ยากนักว่ามันเหือดหายไปหรือไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก



ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแซ็วทั้งโรงฝึกน้ำผึ้งพระจันทร์ก็หาตัวพี่ชายคนสนิทเจอในที่สุด จึงก้าวยาวๆ เข้าไปหาเขาอย่างไม่รอช้า ปล่อยให้พี่น้องคนอื่นๆ โห่ร้องกันต่อไปตามหน้าที่ เหมือนอย่างที่ทำทุกครั้งตอนเธอมาโรงฝึก



“ไงครับคุณหนู ทำไมวันนี้ถึงลงมาเยี่ยมเยียนโรงฝึกให้พวกกระผมได้ยลโฉมได้ล่ะขอรับ” เว่ยเอ่ยสัพยอกแทนคำทักทาย ก่อนจะหันไปพยักพเยิดให้กับเสียงร้องแซ็วของพี่น้องคนอื่นๆ



น้ำผึ้งพระจันทร์หน้ามุ่ยจนแก้มป่องราวกับถือสากับคำพูดเล่นหัวของเว่ย หากเว่ยกับพี่น้องคนอื่นๆ เองก็รู้จักคุณหนูแต่ในนาม พี่น้องในทางพฤตินัยตรงหน้านี้เป็นอย่างดี คำพูดเล่นหัวประเภทนี้มีให้ได้ยินอยู่ทุกวี่วัน ซ้ำยังได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อยแล้วด้วย หากจะโกรธเคืองกันก็ควรจะเป็นเสียตั้งแต่ตอนนั้น ที่เห็นอยู่นี้น่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวไปกินรังแตนที่ไหนมาเสียมากกว่า



‘ดูทำหน้าเข้า ถูกใครเหยียบหางเข้าสิท่า’ เสียงความคิดลอยตามคำพูดของเว่ยมา น้ำผึ้งพระจันทร์เพียงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แล้วเอ่ยตัดบทขึ้น



“อย่าแซ็วน่าเฮีย เออนี่คืนนี้ไปเอารถกลับมาจากร้านให้เจ้าจันทร์หน่อยสิ รถเจ้าจันทร์โดนขโมยล้อ” เธอบอกเสียงฉุน



“ไอ้คนขโมยนี่ก็โง่ ของสาวๆ สวยๆ น่ารักๆ มีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ขโมย มาขโมยของผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายอย่างแก ฮ่าๆๆๆ ชะตามันจะขาดมันยังไม่รู้ตัวอีก ฮ่าๆๆๆ” เว่ยเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะร่วน เรียกให้พี่น้องคนอื่นๆ หัวเราะตามไปด้วยอย่างครึกครื้น



“เฮีย!” น้ำผึ้งพระจันทร์ร้องท้วงเสียงดัง เมื่อเห็นว่าตัวเองกลายเป็นตัวตลกให้พวกพี่ๆ ได้หัวเราะกันอีกจนได้



เธอรู้ดี...พวกเขาไม่เห็นเธอเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำไป!



“เริ่ม!” เธอคร้านจะฟังความคิดใครให้ปวดหัวอีก จึงกระชับสายดำที่เอวให้แน่นแล้วร้องบอกเว่ยให้เตรียมตัวรับการต่อสู้ในวินาทีต่อจากนี้ให้ดี



การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเกือบจะบ้าคลั่งถึงสามชั่วโมงเต็มๆ โดยไม่มีการออมแรงให้เพศที่อ่อนแอกว่าหรือผู้อายุน้อยกว่าแต่อย่างใดเหมือนที่เคยตกลงกันไว้เสมอมา เพราะเธอมักจะรู้สึกอยู่ทุกครั้งว่าแค่การรู้ความคิดของพวกเขาก็นับว่าเอาเปรียบพวกเขามากพออยู่แล้ว หากจะต้องให้พวกเขาออมแรงให้อีก เธอก็คงไม่รู้จะฝึกซ้อมไปทำไม



ด้วยเหตุนี้เธอจึงมักไม่ฝึกซ้อมในตอนกลางคืนนัก เพราะรู้สึกว่ามันออกจะไร้ประโยชน์ จนใจที่วันนี้เธอต้องการออกกำลังกายจริงๆ จึงยอมฝืนข้อห้ามของตัวเองลงมายังโรงฝึกหลังพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้







หลังจากเสียเหงื่อจนหนำใจ น้ำผึ้งพระจันทร์ก็เดินกลับเข้ามาในครัวเพื่อหาน้ำดื่มดับกระหาย หากแต่แก้วน้ำที่เคยวางอยู่บนโต๊ะหินแกรนิตกลับไม่ได้อยู่ที่เดิมของมัน ทั้งที่เธอเคยกำชับแม่บ้านไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าห้ามเคลื่อนย้ายของในครัวโดยที่เธอไม่อนุญาต



“จริงๆ เลย” น้ำผึ้งพระจันทร์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมามองแก้วน้ำที่ชั้นวางของอีกด้านหนึ่ง



ทว่าภายใต้แสงสลัวๆ ในห้องครัว หน้าผากเธอกลับชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคนที่สูงกว่าเธอหลายสิบเซน จนร่างทั้งร่างของเธอเซถลาเพราะแรงกระแทก หากในขณะเดียวกัน ก็เพราะแขนยาวๆ ของเขาคว้าเอวไว้ได้ทันนั่นเอง เธอถึงไม่หงายหลังล้มหัวฟาดตู้เย็นไปเสียก่อน



“ตอนเย็นไม่กินข้าว เอาแต่เล่นก็เป็นแบบเนี้ย” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์ดังขึ้นที่ริมหูทำเอาคนตัวเล็กตาเบิกโพลง รีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงนั้นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้จนอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้วแล้ว



เป็นไปไม่ได้...เธอก็แค่เห็นภาพหลอนเพราะเสียเหงื่อมากก็เท่านั้น...



เขาจะตามมาที่บ้านเธอได้อย่างไรกัน!



‘คุณคงไม่รู้ว่า...ผมชอบกลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงที่สุด’



เสียงทุ้มแหบพร่าจากความคิดเลื่อนเปื้อนของเขาตอกย้ำให้เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เลอะเลือนแต่อย่างใด คนขี้ขโมยเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้ากับคนโรคจิตตรงหน้านี้เป็นคนเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย



เขาคิดว่าเธอไม่กล้าฆ่าเขาหรือยังไง!



“คุณ...มาที่นี่ได้ยังห้ะ ยังไม่เข็ดอีกรึไง ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!” น้ำผึ้งพระจันทร์ปัดลำแขนหนาที่โอบรัดเอวเธออยู่เป็นพัลวัน ก่อนจะทั้งผลักทั้งไล่เขาเสียงลั่น



“พูดกันดีๆ ไม่ได้รึไง” หยางหลงเอ่ยเสียงอ่อน



“ไม่ฟัง! ไม่พูด! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้โรคจิต!” น้ำผึ้งพระจันทร์โวยวายเสียงดังพร้อมใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกไป



เขาไม่ได้แข็งขืนแรงเธอไว้มากนัก ยอมให้เธอผลักจนถอยร่นไปเรื่อยๆ ทว่าพร้อมกันนั้นก็พยายามรวบมือรวบไม้เธอไว้ด้วย ไม่ให้เธอทุบตีเขาจนน่วมไปเสียก่อน



และตอนนี้เขาก็ได้พิสูจน์จนรู้แน่แก่ใจแล้วว่า...เรี่ยวแรงเธอมหาศาลจริงๆ...



“ผมเนี่ยนะโรคจิต!” หยางหลงทวนถามอย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเอง



“ไม่ให้เรียกโรคจิตแล้วจะให้เรียกอะไร! ไอ้โรคจิต! ไอ้โรคจิตขี้ขโมย!” น้ำผึ้งพระจันทร์ตวาดลั่นพลางจ้องเขาตาขวาง หากคนถูกกล่าวหากลับเอาแต่ยืนจ้องหน้าเธอนิ่งๆ ในหัวเริ่มนึกทบทวนถึงสิ่งที่เธอพูดอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ได้แต่นึกขันกับตัวเอง



เขาทำกับเธอถึงเพียงนั้น ซ้ำยังตามมาถึงที่บ้าน หากเธอยังมองว่าเขาสติดีนั่นต่างหากที่เรียกว่าแปลก



แต่จะว่าไป เขาอาจจะสติเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ



เธอท่าทางแข็งกร้าวดื้อรั้นออกอย่างนั้น เขากลับมองว่าน่ารักไปเสียได้...



“เอาล่ะๆ หยุดแล้วฟังผมก่อน” หยางหลงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ



“ไม่หยุด! ออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้นะ!” คนตัวเล็กไม่ยอมแม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เอาแต่ผลักไสเขาจนสุดแรงทั้งยังปัดป้องมือเขาออกจากแขนไม่หยุด



“คุณ! หยุด!” หยางหลงขึ้นเสียงดุคนตัวเล็กมากฤทธิ์ที่เอาแต่โวยวายไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ขณะเดียวกันก็ออกแรงรวบข้อมือเล็กๆ ของเธอไว้



หากใครจะรู้ว่าเธอหัวรั้นได้ปานนี้...



“ไม่หยุด! ฉันบอกให้ออกไปไง! ไอ้บ้า! ไอ้โรคจิต! ไอ้...” ยังไม่ทันทีคำบริภาษพยางค์อื่นๆ จะได้ตามมา ริมฝีปากได้รูปก็จัดการโน้มลงบดขยี้ริมฝีปากบางทว่าร้ายกาจนั้นอย่างแรง ทั้งยังออกแรงดันแผ่นหลังเล็กบางจนถอยร่นไปติดกับตู้เย็น แล้วรวบข้อมือเธอไปตรึงไว้เหนือศีรษะ ทำเอาดวงตาสีม่วงเข้มเบิกโพลงขึ้นสุดขีด



รสจูบแสนดุเดือดของเขา ทั้งรุนแรง เผด็จการ และเอาแต่ใจขึ้นทุกขณะ ราวกับต้องการปราบพยศเธอให้อยู่หมัด และปรารถนาให้เธออยู่ใต้อำนาจของราชาซาตานอย่างเขาแต่เพียงผู้เดียว...



กลิ่นช็อกโกแลตหอมหวานติดปลายลิ้น ยิ่งเร่งไฟปรารถนาให้ชายหนุ่มต้องการครอบครองริมฝีปากนุ่มนั้นลึกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ลำแขนแกร่งกระชับเอวคอดของเธอแน่น ขณะที่มืออีกข้างก็รั้งท้ายทอยเธอเอาไว้ ไม่ปล่อยให้คนใต้การควบคุมหลุดรอดไปไหนได้



เสียงครางต่ำดังกระหึ่มในลำคออย่างพึงใจ กระทั่งคนร่างเล็กในอ้อมกอดสั่นเทาราวลูกแมวน้อยเสียขวัญ และเหนื่อยหอบจวนจะขาดอากาศหายใจ เขาก็ยังไม่ปรารถนาจะปล่อยมือจากเรือนร่างหอมหวานนี้



หากยังไม่ทันที่ไฟปรารถนาจะได้เผาผลาญสติห้วงสุดท้ายของเขาจนมอดไหม้ เรือนร่างเล็กหอมกรุ่นนั้นกลับหยุดดิ้นเอาเสียดื้อๆ แล้วปล่อยให้ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกลงกับอกเขา ปล่อยให้เขาชะงักค้างจมอยู่กับเพลิงปรารถนาเพียงคนเดียว



ดูท่าจูบของเขาจะทำยัยแม่มดคลั่งจนเป็นลมไปเสียแล้ว...







ฉากปราบพยศในตำนานกลับมาแล้ววว
รอติดตามตอนต่อไปกันด้วยน้าา

พรูฟยากมาก กว่าจะได้แต่ละตอนน้ำตาจะไหล
ขอกำลังใจให้กันหน่อยน้าา


ช่วยเม้นท์+จิ้มโหวตเป็นกำลังใจให้กันหน่อยน้าา^^





พริมสิตางศุ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2560, 00:46:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2560, 00:46:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 738





<< Chapter 1 : แรกร้าย (1st Rewrite)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account