เพลงซ่อนรัก Romance melody
เจอโรม นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ผู้ครองตำแหน่งแชมป์หลายสมัย

อุบัติเหตุเมื่อสามเดือนก่อนทำให้เขาโคม่า อยู่โรงพยาบาล

เมื่อฟื้นขึ้นมา เจอโรมจำอะไรไม่ได้เลย

สิ่งที่คนรอบข้างบอกก็คือ เขาเลว เจ้าชู้ และสมควรตาย แม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ยังไม่รัก

ความทรงจำของเจอโรมเปรียบเสมือนกระดาษขาว เขาจำอะไรไมได้เลย

จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง เคยชอบอะไร เคยทำอะไร

ผู้หญิงคนเดียวที่รู้สีกคุ้นเคย คือ ชาลิสา

แต่เธอเกลียดเขา จนแช่งให้เขาตาย

เพราะเขาเคยลวนลามหญิงสาวบนเครื่องบินและฟาดหน้าเธอด้วยเงินปิดปากเพื่อให้ทุกอย่างเงียบ

เจอโรมตามติดหญิงสาว เพื่อหวังว่า ไวโอลินอันไพเราะของเธอจะทำให้เขาฟื้นจากความจำเสื่อม

แต่ยิ่งใกล้กัน ความจริงก็ยิ่งเปิดเผย..

ว่า เบื้องหลังอุบัติเหตุนั้นมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่..


Tags: เพลงโอเปร่า แบดบอย นักดนตรีสุดเซอร์และฆาตกรรม

ตอน: บทที่ ๒

บทที่ ๒

มาลงต่อแล้วนะคะ ขอภัยที่ทำให้รอนานค่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมามีเรืองเครียดๆ ทำให้ไม่ค่อยสบายใจเท่าที่ควรค่ะ และงานหนักมาก กลับมาถึงบ้านรีบชาร์จแบต รอรับวันอันหนักหน่วงต่อไปค่ะ

ส่งกำลังให้กับนักอ่านทุกท่านในวันอาทิตย์นะคะ ใครไม่อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ เหมือนกันมั่ง รถติดหนักอีกแล้ว แต่ก็ต้องสู้กันปายเนอะ


I hate to flash back for the things that I don’t remember

Random fairy tale



เจอโรมอยากย้อนเวลาว่า ตัวเขาไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวในวันนี้ เขาดูบื้อและคล้ายตัวตลกในรายการทอล์กโชว์ซึ่งกำลังโด่งดังในจอโทรทัศน์ ขณะที่แพทริเซียดูเฉิดฉาย ภาพลักษณ์ของหล่อนคงประทับใจผู้ชมทางบ้านเป็นอย่างมาก ในฐานะแฟนสาวผู้ซื่อสัตย์และอดทนรอแฟนหนุ่มที่โคม่าอยู่ถึงสามเดือน ความรักของหล่อนที่เห็นผ่านหน้าจอคงทำให้ผู้ชมพร้อมใจกันเทคะแนนนิยมให้ ชื่อเสียงของหล่อนในฐานะนางแบบสาวดาวรุ่งคงจะโด่งดังคับฟ้ามากขึ้นไปอีก ขณะที่เจอโรมได้แต่พยักหน้าตามปล่อยให้หญิงสาวเป็นฝ่ายตอบคำถามเกือบทั้งหมด พอนักข่าวพยายามจะถามว่า เขารู้สึกยังไงบ้าง เขาก็ได้แต่ตอบว่า ดีครับ หรือไม่ก็ว่า ผมยังไม่ค่อยสบายเท่าไหร่



ผู้ชมทางบ้านคงสงสัยถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม สังเกตได้จากแววตาของบรรดาเหยี่ยวข่าวที่จ้องมองเขาราวกับตัวประหลาด เจอโรมอยากคิดว่า พวกเขาแปลกใจระคนดีใจที่นักแข่งรถขวัญใจฟื้นจากอาการโคม่าและอาจจะกลับมาแข่งรถได้อีกในเวลาอันใกล้ แต่ข่าวที่เจนให้ดูทางไอแพดทำให้เขารู้ว่า แท้จริงแล้ว ชื่อเสียงของเจอโรมไม่ได้มีแต่เรื่องดี แม้เขาจะมีแฟนคลับเป็นจำนวนมากแต่ก็มีคนเกลียดมากเช่นเดียวกัน เว็บไซด์หลายแห่ง รวมถึงประชาชนจำนวนมากโพสต์ข้อความยินดีเมื่อรู้ว่า เขาประสบอุบัติเหตุ หลายคนแช่งให้เขาตายไปเลยเสียด้วยซ้ำ



รถพาชายหนุ่มออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าสู่ถนนใจกลางกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ตึกและสิ่งก่อสร้างที่เป็นศิลปะยุคกลาง แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ประเทศออสเตรียมีฐานะเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 9 รัฐด้วยกัน เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล พรมแดนจรดประเทศเยอรมัน ส่วนทางตะวันออกจรดเชโกสโลวาเกียและฮังการี ใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี ตะวันตกจรดลิกเตนสไตน์และสวิตเซอร์แลนด์ เมืองหลวงคือ กรุงเวียนนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการปกครองมีแม่น้ำดานูบไหลผ่าน

ปัจจุบันกรุงเวียนนาได้ชื่อว่า เป็นนครแห่งเสียงดนตรี นักแต่งเพลงคลาสสิกล้วนแต่มีบ้านเกิดอยู่ที่นี่ ตั้งแต่โมซาร์ท[1] โยเซฟ ไฮเดิน[2] โยฮันน์ สเตราส์[3] ภายในเมืองเวียนนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรียมานานมากแล้ว เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามอลังการ โดยเฉพาะเมื่อรถแล่นผ่านพระราชวังเชินบรุนน์(Schloss Schonbrunn) ซึ่งถือเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก จักรพรรดิโยเซฟที่ 1 เป็นผู้คิดสร้างวังนี้ให้โอ่อ่าหรูหราเท่ากับพระราชวังแวร์ซายของประเทศฝรั่งเศส





ปัจจุบันได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม เจอโรมมองผ่านกระจกรถ เข้าไปตรงลานกว้างด้านหน้าพระราชวัง เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินเข้าไปชม เขารู้สึกว่า พระราชวังช่างสวยงามเหลือเกิน อาจเพราะในหัวเขาไม่มีความทรงจำเรื่องใดๆ หลงเหลืออยู่เลยก็เป็นได้ สิ่งก่อสร้างสีเหลืองอันเป็นสีเฉพาะทำให้พระราชวังโดดเด่นและเป็นเป้าสายตา ชายหนุ่มตั้งใจว่า จะหาโอกาสมาเที่ยวชมพระราชวังสักครั้ง บางทีเขาอาจะมีความทรงจำดีๆ หลงเหลืออยู่ก็เป็นได้





รถพาชายหนุ่มแล่นผ่านเขตเมืองเก่า เมื่อมองเข้าไปตามตรอกซอยแคบๆ ยังคงปูด้วยหินเหมือนยุคกลาง บ่อยครั้งที่มีรถม้าแล่นผ่าน อีกทั้งระบบการขนส่งที่คลาสสิกมากได้แก่ รถราง ( Tram) สีขาวคาดแดงยังคงวิ่งผ่านถนนวงแหวน ( The Ring) ล้อมเขตเมืองเก่าชั้นใน เจอโรมมองตึกรามบ้านช่องแต่ไม่มีที่ใดเลยที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แพทริเซียใช้โทรศัพท์ส่งข้อความโต้ตอบใครสักคนตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล หล่อนดูเครียดแม้ว่า พยายามแสร้งฉีกยิ้มตลอดเวลาแต่ชายหนุ่มก็จับสังเกตได้ แต่เขาเลือกที่จะนั่งเงียบๆ ไม่ท้วงอะไร



ก่อนออกจากโรงพยาบาลนักข่าวได้ขอถ่ายรูปเขากับหญิงสาวอยู่เกือบยี่สิบนาที เชื่อได้ว่า หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าพรุ่งนี้คงมีภาพคู่อยู่เป็นแน่ เจอโรมได้แต่แปลกใจว่า เมื่อก่อนนี้เขารับมือกับกองทัพนักข่าวจำนวนมหาศาลนี้ได้อย่างไร แล้วยังไมโครโฟนจำนวนมากที่วางเรียงรายราวกับภูเขาลูกย่อมๆ เจอโรมต้องพยายามตั้งสติ เมื่อนักข่าวถามเขาด้วยคำถามสารพัด แต่เขากลับตอบไปเพียงว่า เขาจำไม่ได้

แพทริเซียเป็นฝ่ายอธิบายแทนว่า ผลของอุบัติเหตุทำให้ชายหนุ่มสูญเสียความทรงจำ เสียงครางฮือดังขึ้นในห้องประชุมแต่เพียงแว็บเดียวทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมอีก ทุกคนต่างต้องการคำตอบว่า เขาจะกลับมาแข่งรถได้อีกเมื่อไหร่ซึ่งชายหนุ่มเองก็ตอบไม่ได้ เขาไม่แน่ใจว่า ความสามารถนั้นยังคงอยู่หรือเปล่า หลังจากผ่านการเป็นเจ้าชายนิทรามาเป็นเวลาสามเดือน แขนที่หักคงไม่เป็นอุปสรรคเพราะแพทย์ให้ความมั่นใจว่า หากเขาหมั่นทำกายภาพพละกำลังจะกลับคืนมา แต่เรื่องสมองและสายตาที่ต้องปรับตัวกับความเร็วนั้นยังไม่อาจรับประกันได้ อาชีพนักแข่งรถต้องใช้สมรรถภาพต่างๆ ของร่างกายประสานกัน ทั้งสมอง สายตา มือและเท้าที่ทำงานและตอบสนองได้ฉับไว บางทีเขาอาจจะต้องลองลงสนามก่อนถึงจะให้คำตอบได้





ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งมองวิวทิวทัศน์จากหน้าต่างรถ เขารู้ได้ว่า รถคันนี้กำลังแล่นออกจากเมืองสังเกตจากตึกรามบ้านช่องที่เปลี่ยนไป เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า เจ้าตัวก็เลือกที่จะหลับตาพิงกับกระจกรถ เขาปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์ ผ่านไปนานทีเดียวจนกระทั่งรถจอด หญิงสาวก็เป็นฝ่ายสะกิด





“ถึงแล้วค่ะ”



ชายหนุ่มมองสิ่งก่อสร้างตรงหน้า ไม่แปลกใจเท่าใดนักเมื่อเห็นตึกหลังใหญ่ที่มีความหรูหราไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาวในตัวเมือง เจนเคยให้เขาดูรูปบ้านจากนิตยสารฉบับหนึ่ง การดีไซน์ที่คลาสสิกทำให้บ้านนี้ดูหรูหรา ด้านขวาเป็นโรงรถที่มีรถสปอร์ตหรูจอดอยู่ถึงห้าคัน ชายหนุ่มก้าวลงจากรถโดยมีคนขับรถช่วยเปิดประตูให้ แม่บ้านซึ่งแต่งชุดเครื่องแบบเดินมารับกระเป๋า น่าแปลกที่พวกหล่อนไม่ได้มีรอยยิ้มแต่ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้เท่านั้น



ที่หน้าประตูนั่นเองมีชายสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่ อายุน่าจะราวหกสิบปลาย ผมเป็นสีดอกเลา ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นบ่งถึงประสบการณ์ชีวิต แต่ที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นแววตาเย็นชาคู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรจากคนตรงหน้า



“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”



ชายหนุ่มคาดหวังว่า จะได้รับการโอบกอดและการทักทายที่ใกล้ชิดกว่านี้แต่เปล่าเลย บางทีเขาอาจจะดูละครมากไปถึงคิดว่า พ่อบ้านเก่าแก่ที่ทำงานกับครอบครัวมานานเกือบสามสิบปีคงจะดีใจที่เจอโรมฟื้นจากอาการโคม่า แต่อัลเบิร์ตไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาโค้งตัวทำความเคารพอย่างเป็นทางการและพาเจอโรมเดินเข้าไปในตัวบ้านแทน



เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงที่มีชุดเก้าอี้รับแขกวางอยู เจอโรมก็ต้องทึ่งกับความวิจิตรงดงามตรงหน้า แชนเดอร์เลียซึ่งแค่มองก็รู้ว่า คงเป็นของมีราคา เขามั่นใจว่า หากเป็นกลางคืนและเปิดไฟห้องนี้คงสว่างไสวไม่ต่างจากโรงละครโอเปร่าแน่ๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมองก็รู้ว่า เป็นของเก่า แม่บ้านซึ่งมีทั้งสิ้นสามคนด้วยกันยืนเรียงรายกันอยู่ น่าแปลกที่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้หญิงสูงอายุ ไม่มีแม่บ้านวัยรุ่นหรือคนที่อายุน้อยว่าห้าสิบเลยสักคน



“ผมจะพาคุณขึ้นไปบนห้อง”





อัลเบิร์ตผายมือและเดินนำชายหนุ่มไปตรงบันได โดยไม่สังเกตเลยว่า แพทริเซียหน้าบึ้ง ดูเหมือนหล่อนกำลังจะถูกลืมไปด้วยซ้ำ

“แล้วฉันละคะ”

พ่อบ้านสูงวัยสบตาเย็นชา ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า

“คุณเจอโรมคงต้องการพักผ่อน แต่ถ้าคุณอยากจะนั่งเล่นต่อในห้องรับแขก ก็คงไม่มีใครว่าอะไร”

ชายหนุ่มเดาเอาว่า นั่นคือ วิธีไล่แขกกรายๆ อัลเบิร์ตดูไม่ค่อยชอบหน้าแพทริเซียเท่าใดนัก สังเกตจากนัยน์ตาขวางๆ ตั้งแต่ตอนที่พบกันที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อน จนถึงวันนี้ก็แสดงความรังเกียจออกมาทางหน้าตา แต่เพราะวันนี้เจอโรมเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจการประกาศสงครามระหว่างคนทั้งคู่ การถูกรุมทึ้งโดยกองทัพนักข่าวทำให้รู้สึกเพลียจนแทบลืมตาไม่ไหว แพทริเซียเดินกระแทกส้นเข้ามา





“งั้นฉันกลับก่อนนะคะ คุณจะได้พัก”



หล่อนเขย่งเท้าขึ้นมาหอมที่ข้างแก้ม เจอโรมพยักหน้า เขาหันไปทางอัลเบิร์ตที่รออยู่แล้วก็เดินตามไป ทั้งคู่ไม่ได้หันมามองหญิงสาวอีกเลยจึงไม่รู้ว่า หญิงสาวกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งด้วยท่าทางรีบร้อน..





ห้องนอนของเจอโรมมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น เครื่องเรือนเป็นสีเทากับดำแทบทั้งหมด ทุกอย่างเป็นโทนเรียบเน้นประโยคใช้สอย เตียงค่อนข้างกว้างมีฟูกหนา ด้านข้างมีโคมไฟตรงหัวเตียง โทรทัศน์เป็นแบบจอแอลซีดีขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของผนังฝั่งปลายเตียง เครื่องเสียงราคาแพงวางอยู่มุมหนึ่ง ส่วนรีโมททั้งหมดวางอยู่บนเตียง ผ้าปูที่นอน หมอนผ้าห่ม การจัดเรียงทุกอย่างทำให้ชายหนุ่มนึกถึงห้องในโรงแรมห้าดาวในเมืองเช่นเดียวกับอัลเบิร์ตที่ยืนนิ่งประสานมือกันด้านหน้า เหมือนรอว่า เขาจะสั่งอะไร



แม่บ้านนำกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ในห้องเรียบร้อยแล้วแต่ข้าวของถูกนำไปใส่ตู้ ประตูตู้เสื้อผ้าด้านหนึ่งเปิดเอาไว้เพื่อให้เห็นว่า ภายในมีของบรรจุอยู่เต็ม ทั้งเสื้อผ้า ชุดทำงาน ชุดลำลอง ทางซ้ายมือเป็นห้องแต่งตัวและตู้เสื้อผ้าอีกชุดลักษณะเป็นวอล์คอินโคลเซ็ท มีกล่องไม้บรรจุเครื่องประดับ ได้แต่นาฬิกา เข็ดกลัดติดเนคไท



“รหัสตู้เซฟผมจดไว้ให้ตรงหัวเตียง เผื่อคุณจำไม่ได้”





ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อยที่พ่อบ้านอาวุโสรู้รหัสตู้เซฟ แต่เพราะนายแพทย์จอห์นเคยเกริ่นให้ฟังว่า คนงานทุกคนล้วนแต่ทำงานให้กับตระกูลเขามานานเกินสามสิบปีแล้ว ดังนั้นในเรื่องความซื่อสัตย์จึงไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนกลับบ้านแพทย์ได้เรียกไปพบเพื่อให้เตรียมการเตรียมการสำหรับคนป่วยที่จะกลับบ้าน และหลังจากนั้นเจอโรมต้องทำกายภาพทุกวันฟื้นฟูร่างกายอีกด้วย





“ขอบใจมาก”



“คุณมีอะไรเรียกผมได้ อินเทอร์คอมอยู่ตรงหัวเตียง ทันทีที่คุณกดผมจะมาถึงในห้านาที ห้องผมอยู่ถัดไปนี่เอง”



แม้จะรู้สึกว่า นั่นคือ การดูแลใกล้ชิดแต่ทำไมถึงรู้สึกได้ถึงความเหินห่าง แววตาของอัลเบิร์ตเย็นชาและไม่เป็นมิตร ไม่มีการถามถึงอาการป่วย หรือแสดงความห่วงใยในด้านอื่นๆ ทุกอย่างเป็นแค่หน้าที่เท่านั้น



“เมื่อก่อนผมพักในห้องนี้หรือ”



“ครับ...แต่บางทีก็ไม่ได้กลับมา”



“ถ้าไม่กลับบ้าน แล้วผมนอนที่ไหน”



“โรงแรม โมเต็ล หรือไม่ก็บ้านคู่ขา”



เจอโรมเลิกคิ้วกับคำตอบที่ดูจะประชดประชันเกินไปสักหน่อย เขาจำไม่ได้ว่า ก่อนหน้านี้เป็นคนยังไง แต่จากน้ำเสียงของอัลเบิร์ต เขาต้องไม่ใช่ผู้ชายเรียบร้อยแน่ๆ เผลอๆ อาจจะเสเพลถึงขีดสุด มั่วผู้หญิงไม่เลือกหน้า ยิ่งประกอบกับภาพคู่มากมายในอินเทอร์เน็ตทำให้เดาได้ นักแข่งรถหนุ่มใช้ชีวิตยิ่งกว่าคุ้ม เปลี่ยนคู่ควงแทบทุกอาทิตย์



“เมื่อก่อนผมชอบทำอะไรบ้าง”





“แข่งรถ แล้วก็มั่วผู้หญิง”

ชายหนุ่มอยากจะคิดอัลเบิร์ตพูดเล่น แต่น้ำเสียงเชือดเฉือนทำให้เดาได้อีกเช่นเคยว่า อัลเบิร์ตคงไม่ชอบพฤติกรรมเขาเท่าใดนักเผลอๆ อาจจะถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำ



“พ่อกับผมสนิทกันไหม”



“ไม่...คุณสองคนแทบจะไม่คุยกันด้วยซ้ำ ยกเว้นมีเรื่องสำคัญจริงๆ”





เพราะเหตุนี้เองใช่ไหม เจอโรมถึงได้ไม่รู้สึกเสียใจเมื่อทราบข่าวบิดาฆ่าตัวตาย พ่อเขาเป็นนักธุรกิจและมีข่าวว่า ท่านกินยาเกินขนาดเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง อัลเบิร์ตมีสีหน้าเคร่งเครียดทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจอโรมเดาว่า คงลำบากใจ



“ทำไมแม่บ้านของเราถึงมีแต่ผู้สูงอายุ”

“นั่นเป็นคำสั่งของพ่อคุณ”



“คำสั่งพ่องั้นหรือ”



เจอโรมชักน้ำเสียง เดาว่า แม่บ้านทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนเก่าแก่ ทำงานด้วยกันมานาน เมื่อเวลาผ่านไปอายุก็มากขึ้นแต่พอฟังคำเฉลยจากพ่อบ้านก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม





“นายท่านคิดว่า คงจะปลอดภัยกว่า ถ้ามีแต่แม่บ้านสูงอายุเพราะเมื่อก่อนคุณไม่ค่อยเก็บมือเก็บไม้สักเท่าไหร่”



เจอโรมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำเฉลย อยากจะเอาหน้ามุดดินเสียตรงนั้น นอกจากกิตติศัพท์ว่า เจ้าชู้หาตัวจับยากแล้ว เขายังเป็นพวกบ้าตัณหาไล่ปล้ำแม่บ้านสาวๆ อีกงั้นหรือ ถ้าเมื่อเขาเลวร้ายขนาดนั้น แล้วชายตรงหน้าล่ะเขาเคยทำอะไรที่ไม่สมควรให้อภัยต่ออัลเบิร์ตหรือเปล่า ความสัมพันธ์ถึงได้อึมครึมเช่นนี้



“แล้วคุณล่ะ ผมกับคุณสนิทกันไหม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหรือเปล่า”



คิ้วของอัลเบิร์ตเลิกขึ้น ดวงตามีรอยเย้ยหยันเมื่อตอบ

“นี่คุณจำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือ”

พ่อบ้านสูงวัยถามย้ำ สีหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม เจอโรมถอนหายใจเฮือก อยากจะคิดว่า อัลเบิร์ตไม่ได้ตั้งใจแสดงทั้งน้ำเสียงและแววตาออกมาอย่างนั้น แต่ทั้งหมดก็คือ เรื่องจริง เพียงคุยกันไม่กี่นาทีก็รู้ได้ว่า พ่อบ้านอาวุโสคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ





“ผมจำอะไรไม่ได้เลย พอผมตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็ว่างเปล่า แม้แต่ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้อง เจอโรมเดาว่า เขาคงไปแตะอะไรบางอย่างที่ทำให้พ่อบ้านสูงวัยรู้สึกหงุดหงิด

“อีกหน่อยก็จำได้เอง ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน”

อัลเบิร์ตโคลงหัว คล้ายไม่อยากสนทนาด้วย เจอโรมไม่กล้ารั้งตัวพ่อบ้านไว้อีก เขาเดินตามไปที่ประตู



“ขอบคุณมาก”

พ่อบ้านสูงวัยเลิกคิ้ว สีหน้าประหลาดใจสุดขีด





“สมองคุณต้องกระทบกระเทือนมากๆ แน่ เพราะคุณไม่เคยขอบคุณใครมาก่อน”

“นี่ผมแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”

อัลเบิร์ตแค่นเสียงเจือความเย้ยหยันตอบด้วยประโยคที่ว่า

”แย่ไม่แย่ไม่รู้ แต่พวกเราที่ทำงานที่นี่อยากจะหักคอคุณกันทุกคน”





ชายหนุ่มนับแกะเป็นตัวที่ร้อยสั่งตัวเองให้ข่มตาลง แต่สุดท้ายเขาก็นอนไม่หลับอยู่ดี บางทีอาจเป็นเพราะเขาเริ่มชินกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล หรือไม่ก็โหยหาเสียงเตือนจากเครื่องวัดชีพจรและความดันที่ได้ยินจนชินหู พอมาเจอกับห้องเงียบๆ ทำให้นอนไม่หลับ สุดท้ายเจอโรมก็ล้มเลิกความพยายามที่จะนอนหลับ เขาลุกขึ้นมานั่งและใช้เวลาอยู่พักใหญ่ว่าจะหาวิธีเปิดรีโมททีวีและเครื่องเสียงเนื่องยังไม่คุ้นกับอุปกรณ์ไฮเทคพวกนี้



รายการทุกช่องดูน่าเบื่อ ทั้งข่าวภาคดึก หรือแม้แต่ซีรีย์ในช่อง เขากดปุ่มรีโมทวนไปจนครบรอบแต่ก็ยังหารายการที่ตัวเองชอบไม่ได้อยู่ดี ยิ่งเปิดดูเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนประสาทตื่นตัวมากขึ้นจนต้องลุกขึ้นจากเตียง เจอโรมตัดสินใจที่จะไม่กดเรียกพ่อบ้าน เพราะเดาจากสิ่งที่อัลเบิร์ตพูดเมื่อตอนบ่ายนั้น หมายความว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อหน้าที่ ไม่มีความผูกพันอย่างอื่น ปัญหาก็คือ เขาเคยทำอะไรให้กับคนในบ้านงั้นนอกเหนือจากความเจ้าชู้งั้นหรือ ทุกๆ คนจึงพากันเกลียด





ลึกๆ ลงไปแล้วชายหนุ่มอดกลัวไม่ได้ ว่า ตัวเองอาจทำบางอย่างที่แย่มากๆ จนเกินจะให้อภัย แต่ตอนนี้เขาคงไม่มีทางได้คำตอบ เจอโรมไม่รู้ว่า ตัวเองจะได้ความทรงจำคืนเมื่อไหร่ บางทีอาจไม่มีวันนั้น เมื่อเปิดทีวีจนครบทุกช่องแต่ไม่เจอช่องที่ต้องการจึงตัดสินใจปิดมันลง





ชายหนุ่มเดินไปที่เครื่องเล่นซีดีบ้าง มีแผ่นซีดีเพลงวางเรียงรายกันอยู่ เขาเลือกเปิดแผ่นขึ้นมา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพลงที่ดังอึกทึกจนน่าปวดหัวและไม่ส่งเสริมบรรยากาศการนอนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มก้มมองเพื่อหาแผ่นอื่นที่พอจะทำให้เขานอนหลับได้บ้าง



ชั้นวางข้างเตียงยังมีตู้ เขาจึงลองเปิดดู ในชั้นยังมีแผ่นซีดีอีกจำนวนหนึ่งถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก หลายแผ่นยังไม่ได้รับการแกะห่อพลาสติกด้วยซ้ำ เขาเดาว่า ของทั้งหมดคงเป็นแผ่นที่ตัวเขาไม่ค่อยชอบเท่าใดนักจึงโยนทิ้งไว้ในตู้ ชื่อที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าเป็นคีตกวีชาวออสเตรียชื่อว่า โยฮัน สเตราส์ เพลงวอลซ์ของเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง อีกทั้งเขายังมีรูปปั้นสีทองตั้งอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งอีกด้วย



เจอโรมใส่เข้าไปในเครื่องเล่น ไม่นานเสียงดนตรีไวโอลินพร้อมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ ก็ดังขึ้น น่าแปลกที่ความรู้สึกพุ่งพล่านที่มีมาตลอดทั้งวันบรรเทาลง ชายหนุ่มเอนกายพิงหัวเตียงและปิดตาลง เสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่บางคราวก็เร่งเร้า บางคราวก็อ่อนโยนทำให้ความเครียดลดลง เจอโรมหลับตาปล่อยให้ร่างกายซึมซับความสุขจากเสียงดนตรี แต่แล้วภาพของผู้หญิงคนหนึ่งก็ผุดขึ้น





เจอโรมเห็นหล่อนตอนนั่งอยู่ตรงโต๊ะสัมภาษณ์ เดินมาพร้อมผู้หญิงสูงอายุอีกคนหนึ่ง เขาไม่รู้ว่า ทำไมถึงรู้สึกคุ้นกับหญิงสาวเหลือเกิน เจอโรมเห็นหล่อนเพียงแว๊บเดียวแต่ทุกอย่างที่ประกอบเป็นผู้หญิงคนนั้นกลับเด่นชัดเสียเหลือเกิน



หล่อนรูปร่างบอบบาง นัยน์ตาเป็นสีเทาเฉดที่แปลกมากๆ ผมสีดำเข้มดกดำราวกับขนนกกาน้ำ ผมที่ทิ้งตัวลงกลางแผ่นหลังทำให้เรือนร่างนั้นดูอรชรอ้อนแอ้น บางทีหล่อนอาจจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ก็เป็นได้ สังเกตจากท่าเดินที่สง่างาม หลังของหล่อนตรง เอวบอบบาง เมื่อเจอโรมเผลอจ้องหญิงสาวก็รีบเบือนหน้าไปอีกทาง เขาไม่รู้ว่า เคยรู้จักหล่อนหรือเปล่า แต่สักวันหนึ่งเขาต้องรู้ให้ได้...





ชาลิสาดับไฟในห้องของป้ามาเรีย หล่อนเพิ่งให้ท่านกินยาแก้ปวดและพาเข้านอน หลังจากแพทย์ที่โรงพยาบาลฉีดยาห้ามเลือดและเย็บแผล ป้ามาเรียอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอยู่เกือบชั่วโมง เมื่อเห็นว่า ผ้าก๊อซไม่มีเลือดซึมเพิ่มก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอสั่งให้หยุดแอสไพรินเป็นเวลาเจ็ดวันรอจนกว่าแผลจะหาย อีกทั้งยังต้องกลับไปตัดไหมที่โรงพยาบาลอาทิตย์หน้า





ป้ามาเรียบ่นอุบเมื่อต้องจ่ายค่ายาเพิ่มเนื่องจากประกันสังคมไม่ครอบคลุมบางส่วน ชาลิสาพยายามปลอบว่า จำเป็น หากเลือดออกไปไม่หยุดจะเป็นอันตราย สองป้าหลานกลับบ้าน ชาลิสาจึงอาสาเป็นคนทำอาหารเย็นให้ ป้ายอมกินซุปข้นไปเพียงถ้วยเดียว แล้วก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งด้วยความเสียดายเงินอยู่เกือบชั่วโมง หญิงสาวต้องอยู่เป็นเพื่อน เมื่อยาออกฤทธิ์ ป้าหลับสนิทชาลิสาถึงได้มีเวลาส่วนตัว

หล่อนใช้เวลาอาบน้ำด้วยความเร็วราวกับจรวด เดือนตุลาคมอย่างนี้อากาศเริ่มหนาว เครื่องฮีตเตอร์ในห้องหล่อนเพิ่งจะเริ่มทำงาน ชาลิสาสวมเสื้อสเว็ตเตอร์ทับอีกชั้นเพราะรู้ดีว่า ตกดึกอากาศจะเย็นกว่านี้มาก หล่อนเปิดเพลงจากเครื่องเล่นตรงหัวเตียง แม้จะเหนื่อยแต่ตาสองข้างกลับเบิกโพลง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ป้ามาเรียแต่เพราะได้เจอกับคนที่ไม่อยากเจอต่างหาก



หญิงสาวไม่มีวันลืมเหตุการณ์เลวร้ายบนเครื่องบินเมื่อหลายเดือนก่อน ผู้ชายคนนั้นเป็นปีศาจ เป็นคนที่ควรตกนรกขุมที่ลึกที่สุด ทำไมเขาถึงไม่ตายไปเสียจากอุบัติเหตุนั่น ขณะที่ผู้บริสุทธิ์หลายคนกลับต้องสังเวยชีวิต อาจเพราะเขามีเงิน รายได้จากการเป็นนักแข่งรถอาจจะพอที่จะกว้านซื้อตัวแพทย์เก่งๆ จากทั่วโลกมารักษา ทั้งที่ชายหนุ่มบาดเจ็บสาหัสกะโหลกศีรษะร้าวมีเลือดคั่ง กลายเป็นเจ้าชายนิทรามานานถึงสามเดือน ข่าวการฟื้นจากโคม่าของเขาโด่งดังไปทั่ว ทั้งในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ล้วนแต่มีเรื่องของชายหนุ่มเต็มไปหมด ชาลิสาเลือกที่จะไม่คลิกดู นั่นก็เพราะหล่อนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่แช่งให้ชายหนุ่มตาย



ในช่วงแรกที่เกิดอุบัติเหตุ หล่อนเป็นคนหนึ่งที่ภาวนาขอก็ให้แพทย์ฝีมือไม่ดีพอจนทำให้เกิดข้อผิดพลาด หรือไม่ก็ให้เขากลายเป็นคนพิการ แต่สุดท้ายฟ้าก็ไม่เข้าข้าง สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ฟื้นขึ้นมาอยู่ดี

ทุกอย่างคือโชคชะตา หญิงสาวดึงตุ๊กตากระต่ายขึ้นมากอด แค่คิดถึงเจ้าของน้ำตาก็ไหลซึมตรงหางตา หล่อนเปิดไฟโคมตรงหัวเตียง หลับตาลงปลดปล่อยความเศร้าทั้งหมด ผ่านไปเกือบชั่วโมงชาลิสาก็หลับไปด้วยน้ำตาเหมือนเช่นทุกวัน...





ชายหนุ่มไม่รู้ว่า อะไรทำให้ตนตื่นเช้า อาจเป็นเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงลูกบิดประตูก็เป็นได้ แต่พอลืมตาขึ้นเจอโรมก็ไม่รู้สึกง่วงอีกเลย เขาลุกขึ้นอาบน้ำเดินลงไปชั้นล่าง ครัวอยู่ทางปีกซ้ายของบ้าน เขาตรงเข้าไปเปิดตู้เย็น ของสดจำพวกไส้กรอกและแฮม รวมถึงไข่ไก่ถูกแช่อยู่ ฝาตู้เย็นยังมีซอสชนิดต่างๆรวมถึงมายองเนส ผักสดถูกบรรจุอยู่ในกล่องสุญญากาศวางไว้ชั้นล่าง ส่วนมะเขือเทศและพริกหยวกถูกแช่ไว้ในลิ้นชักล่างสุด





เจอโรมนำขนมปังออกมาทาเนย วางแฮมลงไปแทรกด้วยชีสที่ค้นเจอในตู้เย็น ตามด้วยแตงกวาและมะเขือเทศ ก่อนจะบีบมายองเนสตามลงไป หลังจากนั้นจึงเปิดเตา ใส่เนยลงไปในกระทะและนำแซนวิชนาบลงไป เพื่อให้ชีสด้านในละลาย โชคดีที่เตาในครัวเป็นชนิดอัตโนมัติ มีปุ่มปิดเปิดเขียนไว้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มจึงไม่ต้องเสียเวลางมหาเหมือนตอนเปิดโทรทัศน์เมื่อคืน

เมื่อเตาร้อนได้ที่ หน้าขนมปังเริ่มเป็นสีเหลือง ส่งกลิ่นหอมน่ากินกว่าเดิม ชีสด้านในละลายจนเยิ้ม ชายหนุ่มตักขึ้นจากกระทะและนำใส่จานตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยม เขาเทนมสดจากขวดแก้วในตู้ มาวางคู่เตรียมตัวจะกินอาหารเช้า



“นั่นคุณทำอะไร”

อัลเบิร์ตเข้ามาพร้อมแม่บ้าน ตะคอกด้วยเสียงห้วนและไม่พอใจ สีหน้าดูตกใจไม่น้อยที่เห็นว่า เขากำลังทำอะไร

“ตายแล้วคุณเจอโรม ต้องการอะไรทำไมไม่กดเรียกละคะ”

แม้จะรู้ดีว่า บ้านหลังนี้มีอินเตอร์คอมสำหรับเรียกแม่บ้าน แต่เจอโรมเองอยากทำเองมากกว่า ชายหนุ่มไม่คิดว่า การทำอาหารเช้าง่ายๆ จะทำให้เกิดความตึงเครียดได้ถึงเพียงนี้



“ผมหิวก็เลยมาทำแซนวิชกิน”



“คุณทำเองทั้งหมดนี้เลยหรือคะ” เอ็มม่ากวาดมองแซนวิชซึ่งพร้อมได้ที่ ชีสที่อยู่ด้านในละลายออกมา ชายหนุ่มกำลังจะหยิบเข้าปากต้องชะงัก



“ใช่ครับ ทำไมหรือ มันแปลกตรงไหน”



ผู้ชายทุกคนควรจะทำอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเช้าง่ายๆ ที่มีส่วนประกอบเบสิกแค่ขนมปัง ผักและเนื้อสัตว์

“คุณเปิดเตาเป็นด้วยหรือคะ” เอ็มม่ายังไม่คลายสงสัยจึงถามขึ้น”

“ครับ มีปุ่มและตัวอักษรเขียนอยู่ ทำไมต้องทำท่าตกใจแบบนั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย”

เอ็มม่าได้แต่อึ้ง หน้าซีดเผือดอัลเบิร์ตกลับเป็นฝ่ายระเบิดอารมณ์ด้วยความไม่พอใจ

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำอะไรอย่างคุณ มันไม่ปกติแน่ๆ “

อัลเบิร์ตย้ำ สีหน้าบ่งชัดว่า หงุดหงิด เจอโรมอดโมโหไม่ได้



“อย่าทำตัวซีเรียสไปหน่อยเลยอัลเบิร์ต ไม่มีใครตำหนิคุณหรอก”



“ผมไม่ได้กลัวคนอื่นตำหนิ แต่ผมรับปากนายท่านเอาไว้ว่า จะดูแลคุณอย่างดีที่สุด พ่อคุณจ่ายเงินให้เดือนหนึ่งเป็นจำนวนหลายพันยูโรให้พวกเราดูแลคุณดังนั้นทางที่ดีนับจากนี้ถ้าต้องการอะไร กรุณากดเรียกจะดีกว่า”



พ่อบ้านอาวุโสโต้กลับด้วยน้ำเสียงกระด้างอีกทั้งยังไม่พอใจ เจอโรมสบตาคนตรงหน้า รู้ดีว่า ไม่ได้พูดเล่น เขาไม่รู้ว่า ตนเคยทำอะไรให้อัลเบิร์ตไม่พอใจ บางทีอาจเป็นเรื่องใหญ่ จนทำให้อีกฝ่ายเห็นว่า เขาคือ ตัวป่วน





“ก็ได้ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีก”

“งั้นก็ดีแล้ว ขอให้รักษาคำพูดด้วย เชิญคุณที่โต๊ะดีกว่า เราจะเสิร์ฟอาหารเช้าในสิบนาที”






[1] โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท เป็นนักประพันธ์ดนตรีชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก เกิดที่เมือง ซาลซ์บูร์ก ประพันธ์เพลงทั้งสิ้น ๗๐๐ เพลง ผลงานที่มีชื่อเสียง ชื่อว่า คาตาล็อกเคอเซล เปียโนคอนแชร์โตในบันไดเสียงเอเมเจอร์ หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า K. 488 หรือ KV 488

[2] เป็นคีตกวีชาวออสเตรียในยุคคลาสิก ได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งซิมโฟนี และบิดาแห่งสตริงควอเต็ด รูปปั้นของเขาอยู่ในสแตดพาร์กในกรุงเวียนนา

[3] เป็นคีตกวีชาวออสเตรีย ได้ชื่อว่า เป็นราชาแห่งเพลงวอล์ซ เพลงที่มีชื่อเสียงรู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ เดอะบลูดานูบ




tangtangmeow
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2560, 18:13:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2560, 18:13:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 863





<< บทที่ ๑ อดีต   บทที่ ๓ ปริศนา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account