พนาพร่ำรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อ 'พนสณฑ์' ทายาทเจ้าสัวพันล้าน ถูกกลั่นแกล้งให้รับมรดกเป็นที่ดินรกร้าง พร้อมเงื่อนไขต้องสร้างเงินล้านให้ได้ภายในปีเดียว แถมยังพ่วงเมียขัดดอก ลูกสาวนักพนันมาด้วย จะไหวไหมงานนี้...


***************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!


**************

นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์


(หนังสือพร้อมส่ง)


ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: แบดบอย ทายาทเศรษฐี ลูกสาวนักพนัน เมียขัดดอก น่ารัก ละมุน คู่ชีวิต ท้องไร่ท้องนา

ตอน: บทที่ 1 -100%

เช้าแล้ว รุจิรัตน์ลุกจากเตียงจำลองของตนด้วยความปวดเมื่อยไปทั้งร่างกาย หล่อนพับเก็บที่นอน เปิดหน้าต่างบานเก่าในห้องออกแล้วก็เปิดประตูออกมาพบว่า สามีของหล่อนตื่นก่อนหล่อนเองเสียอีก แถมที่นอนหมอนมุ้งก็เก็บเรียบร้อย มีถ้วยกาแฟใช้แล้ววางอยู่ที่ระเบียง รุจิรัตน์รู้สึกไม่ดีนัก หล่อนสอบตกตั้งแต่แรกเชียวหรือในชีวิตของการทำงานในฐานะภรรยาที่ควรจะตื่นก่อนนอนทีหลัง หล่อนกลับทำกลับกันเสียนี่

หล่อนสอดส่ายสายตามองหาเขาก็ไม่เห็น รถกระบะก็ยังอยู่ หญิงสาวค่อยอุ่นใจขึ้นมานิด เขาคงไม่ทิ้งรถไว้ถ้าหากจะหนีกลับไปแล้วทิ้งหล่อนไว้ที่นี่ ความจริงเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายนักหรอก รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลวนัก ถึงผิวจะเข้มไปสักหน่อย แต่รูปร่างเขาทั้งสูงใหญ่ อุดมด้วยมัดกล้ามอย่างคนรักษาสุขภาพ ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาสมกับเป็นหนึ่งในทายาทหนุ่มของตระกูลเสถียรพงศ์ประภากร นิสัยใจคอออกจะดูดุ ขรึม ไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่แล้งน้ำใจเสียทีเดียว

อีกอย่างหนึ่งเขาก็น่าจะเป็นสุภาพบุรุษพอสมควร เพราะเมื่อคืนนี้เขาก็ยังไม่แตะหล่อนแม้ปลายก้อย

หรือว่าเขาจะรังเกียจหล่อน เพราะประวัติของบิดา หรือไม่ก็เพราะความไม่น่าปรารถนาของหล่อนเองกระมัง หรือจะเพราะหล่อนจนกว่าเขา ด้อยกว่าเขาในทุกด้าน

คิดไปสารพัดอย่าง แต่รุจิรัตน์ก็ไม่หยุดมือที่ทำงานครัว หล่อนเตรียมอาหารเช้า อยากจะทำอะไรที่ได้น้ำแกงซดสักหน่อย ในลังน้ำแข็งที่เริ่มละลายไปกว่าครึ่งมีซี่โครงหมูและเนื้อวัวอยู่ หล่อนหันซ้ายแลขวา สายตาพลันสะดุดกับเถาเขียวปนน้ำตาลของใบพืชชนิดหนึ่ง เลื้อยอยู่แถวๆ เสากระท่อม

“ลูกฟักนี่นา อุ๊ย โชคดีจริง มีตั้งสองลูก เก็บมาแกงฟักซี่โครงหมูเผ็ดๆ ทานดีกว่า” หล่อนลงบันไดเรือนไปที่เถาฟักยาวเฟื้อย มันเริ่มเหี่ยวเฉา ลูกฟักมีเพียงสองลูกที่ไม่งามนัก แต่มันทำให้หล่อนได้ความคิด

“ทำแปลงผักสวนครัวไว้เก็บกินเองดีกว่า ที่ว่างตั้งเยอะตั้งแยะ” หล่อนประคองลูกฟักเดินกลับขึ้นบันได จัดการค้นหาเครื่องแกงในลังสารพัดนึกของเขา ได้พริก หอม กระเทียมมาครบก็ลงมือตำเครื่องแกง และแบ่งบางส่วนไว้ทำเมล็ดพันธุ์สวนครัวในฝันของหล่อน

ไม่ทันที่แดดจะแผดจ้า พนสณฑ์ก็กลับมาพร้อมกล้วยเครือใหญ่แบกมาบนไหล่กว้าง เขาจัดการผูกเชือกกล้วยเข้าที่ระเบียง แขวนกล้วยน้ำว้าลูกอวบอ้วน เครือยาวน่ากินไว้ตรงนั้น            

“ไปเอามาจากไหนคะนั่น สุกทั้งเครือ น่าจะหวานอร่อย”           

“ในไร่นี่เองผมไปเดินสำรวจมา แล้วก็เลยออกไปที่ไร่ชาวบ้าน ด้านใต้โน้นมีชาวบ้านมาถางป่าปลูกมันสำปะหลังอยู่สามสี่คน ผมไปว่าจ้างมาให้ช่วยทำงานวันนี้ เดี๋ยวสายๆ คงมา” เขาพูด ใช้มือเสยผมเปียกเหงื่อที่ปรกหน้าออก หล่อนนึกรำคาญแทน อยากจะขอตัดให้ แต่ก็เกรงว่าเขาจะรังเกียจ

“หิวไหมคะ วันนี้มีแกงซี่โครงหมูฟักหอม กับน้ำพริกและไข่เจียว ข้าวสวยสุกพอดี”

“อืม ขอผมไปล้างไม้ล้างมือก่อน” เขาลงเรือนไปที่ห้องน้ำ เมื่อกลับ มาหล่อนก็จัดวางสำรับไว้เรียบร้อย เขานั่งขัดสมาธิลง หล่อนนั่งพับเพียบ ตักข้าวสวยใส่จานให้เขาก่อน กลิ่นแกงฟักกระดูกหมูอ่อน หอมยั่วยวนยิ่งนัก พนสณฑ์เติมข้าวไปสองรอบถี่ๆ รุจิรัตน์อมยิ้มในหน้าด้วยความดีใจ

เขาเองก็ใช่จะไม่ดีใจ อยู่กับคนทำอาหารอร่อย ย่อมดีกว่าคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลย บางทีหล่อนอาจจะไม่ใช่ตัวภาระอย่างที่เขาคิดก็ได้

“ไปเอาฟักมาจากไหน”

“ที่หลังบ้านนั่นค่ะ ได้มาสองลูก แต่เครือมันตายเสียแล้ว ฉันเก็บเมล็ดมันไว้ค่ะ คิดว่าจะทำสวนครัวเล็กๆ ปลูกผักไว้กินเอง ดีไหมคะ ฉันเก็บพริก หอม กระเทียมไว้ด้วย” หล่อนเล่าเรื่อยๆ เสียงใสเจื้อยแจ้วน่าฟัง กิริยาเอียงคอถามก็น่าดู พนสณฑ์เงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาใสแจ๋วคู่นั้น เท่าที่ฟังมาหล่อนผ่านมรสุมชีวิตมาไม่น้อย ตั้งแต่แม่เสีย บิดาติดพนัน หล่อนเพิ่งเรียนจบการบัญชีและตกงานมานานหลายเดือน ในขณะที่บิดาก็พอกพูนหนี้สินล้นพ้นตัว

“ตามใจคุณสิ ถ้าทำไหว ที่นี่อยู่ไกลจากถนนใหญ่มาก ความคิดที่จะมีไฟฟ้าใช้คงตกไป อาจจะต้องใช้โซลาร์เซลล์ กับเครื่องปั่นไฟ นั่นหมายความว่าพวกเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ คงมีไม่ครบ” เขาพอใจรสชาติแกงในปากและข้าวจานที่สองกำลังพร่องลงไปเรื่อยๆ

“เหรอคะ น่าสนใจจริง”

“มันไม่ง่าย ไม่สะดวกและคงลำบากน่าดู ถ้าคุณไม่ไหว ผมก็ไม่ว่า จะไปเมื่อไหร่ก็บอก รับรองว่าผมจะไม่บอกเจ้าสัวประภาส เจ้าหนี้ของพ่อคุณ”

“คุณพนสณฑ์คิดว่าชีวิตที่ผ่านมาของฉันสะดวกสบายนักหรือคะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเป็นตัวถ่วงของคุณหรอกค่ะ ฉันจะพยายามทำงานให้คุ้มกับหนี้ที่พ่อติดไว้ ฉันไม่คิดหนีหนี้หรอกค่ะ ฉันจะอยู่ให้ครบปีตามที่ตกลงกันไว้” ดวงตากลมโตคู่นั้นลุกวาวราวดวงตาแมวยามกำลังโกรธ ใบหน้าหล่อนแดง ปากอิ่มเม้มแน่นหลังจากพูดจบ

“งั้นก็ดี” เขาว่า วางช้อนส้อมหลังจากกวาดข้าวเม็ดสุดท้ายเข้าปาก

“ขอบคุณสำหรับมื้อเช้า แน่ะ คนงานมาโน่นแล้ว คงต้องไปเริ่มงานสักที เดี๋ยวผมจะไปในอำเภอ คุณจะเอาอะไรไหม”

“ไม่ละค่ะ ฉันเตรียมมาครบแล้ว ขอบคุณ” ความจริงแล้วคือหล่อนไม่มีเงินติดตัวมากนักนั่นเอง นับๆ ดูแล้วมีแค่พันกว่าบาทและหล่อนคิดจะเก็บไว้เผื่อฉุกเฉิน

“อืม ที่ท้ายไร่ด้านที่ติดเขามีลำธาร ไว้ค่ำๆ ผมจะพาไปดู” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินลงเรือนไปที่กลุ่มคนงานที่มีทั้งคนหนุ่ม คนแก่คราวลุงอีก สองคน และหญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง เริ่มงานด้วยการสั่งคนงานรื้อพื้นกระดานและสังกะสีเก่าๆ ของกระท่อมออก

ระหว่างที่พนสณฑ์พาลุงคนหนึ่งชื่อลุงพร้อมไปในตัวอำเภอเพื่อจะซื้อไม้ สังกะสี และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นนั้น...

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลูกแก้วค่ะ”

“จ้า ป้าชื่อป้านวล ลุงพร้อมเป็นผัวป้า โน่นสมบัติลูกชาย คุณกับผัวนี่ใจเด็ดนะจ๊ะ มาอยู่ไร่ได้ ท่าทางไม่น่าจะเคยงานไร่ ไกลเสียด้วยสิ ไร่นี้เขาว่าเศรษฐีมาซื้อต่อไปเมื่อปีก่อนนี้เอง เป็นปู่ของผัวคุณเหรอคะ ชื่ออะไรนะ อ๋อคุณสณฑ์”

“เอ่อค่ะ” หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือชื่อเล่นของสามี ช่างน่าขัน

“แต่ก็ดีนะ คุณสณฑ์บอกว่ายี่สิบไร่ จริงๆแล้วเกือบสามสิบไร่แน่ะค่ะ ตรงโน้นเป็นไม้กฤษณาเสียด้วย เจ้าของคนก่อนลงไว้ แต่คงรอขายไม่ไหว”

“ค่ะ” หล่อนมองตามมือป้านวลไปที่ท้ายสวน รุจิรัตน์ชวนป้านวลไปทางหลังบ้าน เก็บกวาดขยะที่คนงานชุดเก่าทิ้งไว้ เพื่อรอเผาและถือโอกาสเก็บข้อมูลจากแก

“บ้านของป้าอยู่ไกลจากที่นี่มากไหมคะ”

“ก็ร่วมสิบกิโลแน่ะจ้ะ ป้าถึงว่าคุณกับผัวเก่งมาก”

“ทำไมหรือจ๊ะ ที่นี่มีอันตรายหรือ”

“แหม ก็มันไกลนี่จ๊ะ ไฟฟ้า ประปาก็ไม่มี พวกคุณมาจากในเมือง คงลำบากแย่ เห็นผัวคุณว่าคุณเป็นคนกรุงเทพฯ ผิวพรรณสวยๆ แบบนี้เสียหมด”

“ฉันไม่ห่วงสวยหรอกจ้ะ ห่วงปากท้องมากกว่า”

“ดีค่ะ ผัวคุณก็เก่งสารพัดนะคะ หล่อด้วย” นางว่า รุจิรัตน์ไม่แน่ใจว่าเห็นด้วยหรือเปล่า ‘ผัว’ หล่อนชอบทำหน้าบึ้ง หรือไม่ก็ขรึมเสียจนหล่อนแทบมองไม่เห็นความหล่อที่ป้านวลว่า

“ป้านวลจ๊ะ ฉันอยากทำสวนครัวตรงนี้”

“เอ...จะดีหรือคะ มันไกลจากน้ำโยกมาก ขยับไปสักหน่อยสิคะ แถวๆ น้ำโยกคุณจะได้ไม่ต้องหิ้วน้ำมารดไกล”

“นั่นสินะคะ ฉันก็มัวแต่คิดว่าอยากได้สวนผักใกล้ๆ ครัว”

“ค่ะ คุณจะให้ป้าทำแปลงผักให้ไหมล่ะ ป้าว่าง ผัวคุณจ้างแต่พวกผู้ชาย ไม่ได้จ้างป้าหรอก แต่ป้าก็ทำงานไหวนะ ขุดแปลงผักนี่ถนัดเลยล่ะ ว่าแต่คุณมีเมล็ดผักหรือยังล่ะ พรุ่งนี้ป้าแบ่งจากที่บ้านมาให้ก็ได้ มีเยอะแยะ”

“เหรอคะดีจริง งั้นลูกแก้วขออาศัยแรงป้านะจ๊ะ” ป้านวลยิ้มกว้างที่ได้งานทำไปด้วยอีกคน รุจิรัตน์คิดว่าหล่อนจะให้ค่าแรงป้านวลเองโดยไม่รบกวนพนสณฑ์ ถือเสียว่าเป็นการผูกมิตรกับคนในท้องถิ่นก็แล้วกัน

ค่าแรงคงไม่กี่ร้อยบาทหรอกน่ะ หล่อนนึก



****************



วันนั้นทั้งวันผ่านไปโดยที่พนสณฑ์กับรุจิรัตน์ไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำ ทั้งคู่พยายามใช้แรงงานคนงานให้คุ้มค่าเงินค่าจ้างให้มากที่สุด พนสณฑ์ซ่อมกระท่อมสำเร็จ ทั้งหลังคา ฝากระดาน พื้นบ้าน และบันได ต่อจากนั้นก็เป็นห้องน้ำ เขาทุบผนังด้านหนึ่งออก ขยายให้กว้างขึ้น ทำห้องอาบน้ำแยกจากโถส้วม เปลี่ยนโถส้วมใหม่ ใส่ประตูให้เรียบร้อย เขาสั่งให้สมบัติขัดล้างตุ่มน้ำ ตากแดดคว่ำถังน้ำไว้ครึ่งวัน แล้วก็ใช้เครื่องปั่นไฟสูบน้ำขึ้นมาใส่ไว้จนเต็มปรี่

รุจิรัตน์ได้แปลงผักทั้งยาวทั้งกว้างดินดำร่วนซุยสามแปลง หล่อนปลื้มเสียจนหุบยิ้มไม่ลง

“การมีที่ดินมากๆ นี่มันดีจังเลยนะคะป้า อยากปลูกอะไรก็ได้”

“โหย เหนื่อยออกคุณ ป้ามีสิบกว่าไร่ เหนื่อยแทบตาย”

“โอ้โห ที่บ้านลูกแก้วเล็กนิดเดียวจะปลูกผักก็ต้องเบียดๆ ปลูกในกระถาง ผักไม่งาม แคระแกร็นน่าสงสาร”

“โถ แม่คุณ งั้นก็ปลูกเข้าไปเถอะค่ะ สามสิบไร่แน่ะ” ป้านวลยิ้มขันสาวน้อยชาวกรุง

พอตกเย็นก็ได้เวลาที่คนงานจะกลับบ้าน พนสณฑ์ให้อาหารกระป๋องทั้งครอบครัวไปครึ่งโหล ทำให้ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก และสัญญาว่าจะกลับมาทำงานอีกในวันรุ่งขึ้น รุจิรัตน์มองครอบครัวนั้นเดินไปจนลับสายตาก็เดินขึ้นบ้าน หล่อนสำรวจกระท่อมที่สามีของหล่อนเพิ่งชุบชีวิตขึ้นมาใหม่

“เป็นยังไง ดีขึ้นไหม”

“ค่ะ หลังคาเปลี่ยนใหม่หมดเลยเหรอคะ ไม่มีรูโหว่ พื้นก็ด้วย สวย น่าอยู่ค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง ดวงตาวาววับน่ามอง

“...เอ่อ...ดี แล้วสวนผักคุณเป็นยังไงบ้าง”

“ดีค่ะ คราวหน้าถ้าคุณเข้าอำเภอ ฉันฝากซื้อเมล็ดผักได้ไหมคะ อยากปลูกไวๆ จัง”

“ไปด้วยกันสิ”

“ดีค่ะ แต่เดี๋ยวไม่มีใครเฝ้าบ้าน”

“พูดอย่างกับว่าถ้าคุณอยู่โจรมันจะกลัว”

“ก็ยังดีนี่คะ ดีกว่าทิ้งบ้านไปหมด” หล่อนเถียงหน้าแดงก่ำ

“เอาล่ะ ถ้าห่วงบ้านก็หาหมาดุๆ มาเลี้ยงไว้สักฝูง”

“จริงเหรอคะ เราจะเลี้ยงหมาเหรอคะ ดีใจจังเลยค่ะ ฉันอยากเลี้ยงหมามาตลอดเลย แต่ไม่เคยได้เลี้ยง” หล่อนแทบจะกระโดด พนสณฑ์มองด้วยความฉงน หัวอกหัวใจมันชุ่มชื่นยังไงชอบกล

ไม่ได้การละ สงสัยกับดักสวาทของปู่เจ้าสัวจะทำงานได้ดีเกินเหตุ

“ผมจะไปที่ลำธารท้ายไร่จะลองจับปลาดู คุณจะไปด้วยไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกตาลายไปหมดกับยิ้มพราวๆ ของหล่อน

“ไปสิคะ” รุจิรัตน์ตอบ เดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ตากไว้ ไม่ลืมคว้าของเขามาด้วย ก่อนจะคว้าขันสบู่แชมพู เดินแกมวิ่งตามคนขายาวที่สาวเท้าเดินนำออกไปก่อนแล้ว

เสียงน้ำไหลผ่านซอกหิน โตรกธารเลี้ยวลดดังมาแว่วๆ เมื่อทั้งสองเดินผ่านดงไม้หลังไร่ ผิวกายสัมผัสความเย็นสดชื่น ทางเดินที่เป็นดินเริ่มมีก้อนหินเกะกะจนกลายเป็นลานหินและแอ่งน้ำขนาดย่อม น้ำจากลำธารไหลซัดซ่าตกลงมาเป็นสายแม้ไม่มากนักแต่ก็น่าลงไปแช่เท้าเล่น

“หน้าฝนน้ำคงหลากนะคะ” หล่อนสังเกตเห็นลายน้ำที่โขดหินสูงท่วมหัว

“ผมจะไปดักปลาบนโน้น เชิญคุณอาบน้ำที่แอ่งนี้ตามสบาย”

“ค่ะ” หล่อนตอบรับ เขาเดินลับหายไปแล้ว หล่อนเดินลงไปในแอ่งที่ดูเหมือนตื้นแต่ความจริงลึกถึงเอว น้ำเย็นสบายเหลือเกิน รุจิรัตน์ห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออก ตามด้วยกางเกงที่เปียกน้ำไปแล้ว แต่ก็ช่างเถิด หล่อนต้องซักเสื้อผ้าชุดนี้อยู่แล้วนี่

ใช่สิ พรุ่งนี้ต้องหาเวลาซักผ้าเสียหน่อย ต้องซื้อตะกร้าใส่ผ้ากับกะละมังซักผ้า ไม่เคยซักมือเสียด้วยสิ คงต้องลองดู หล่อนนึกไป วักน้ำรดตัวไป สบู่ของเขาหอมน่าใช้ คงไม่ใช่ของถูกๆ ก็แน่ล่ะสิเขาเป็นหลานชายเศรษฐีนี่นา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบเจ้าสัวประภาสนัก มีอะไรเบื้องหลังกันแน่ หล่อนก็ไม่กล้าถาม

เดาใจเขาไม่ออก เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ขรึม บทจะชวนคุยก็คุยได้ยาวๆ บทจะเงียบก็เงียบไปเฉยๆ

รุจิรัตน์หย่อนกายในผ้าขนหนูนั่งลงพิงก้อนหินลับตา ค่อยๆ แกะชายผ้าขนหนูออก จับพาดไว้ใกล้ตัวเผื่อไว้ก่อน ใจก็นึกว่าจะต้องหาผ้าถุงมาสักผืนสองผืน ลืมไม่ได้เด็ดขาด น้ำเย็นทำให้ความเมื่อยล้าค่อยๆ มลายหายไป หล่อนอยากจะอ้อยอิ่งอยู่ในน้ำใสเย็นให้นานสักหน่อย แต่ก็ไม่กล้า จึงได้รีบถูสบู่ไวๆ ทั้งสระผมที่ยุ่งเหยิงเสียด้วยกัน ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จสิ้น หล่อนคว้าผ้าขนหนูมาห่อตัวก่อนจะค่อยๆ ชันกายลุกขึ้น ผมยาวสีดำสนิทเปียกลู่แนบศีรษะ หล่อนค่อยๆ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วจึงใช้ผ้าขนหนูห่อผมไว้ เสร็จเรียบร้อยก็ชะเง้อชะแง้มองหาคนพามาที่หายเงียบไปในป่าเป็นนาน

ชักใจหาย เขาไปไหนเสีย

“เสร็จแล้วหรือ” เสียงทุ้มถามมาจากด้านหลัง มองขึ้นไปเป็นผาสูง เขาลงมาได้ยังไงกัน

“ค่ะ นี่ผ้าขนหนูของคุณ”

“ผมอาบมาเรียบร้อยแล้ว” เขาสะบัดผมเปียกๆ ในมือหิ้วพวงปลาสดๆ ยังดิ้นกระแด่วๆ กับปูหน้าตาประหลาดสีม่วงๆ อมแดงมีขนอุยๆ อย่างกับแมงมุม

“ปูภูเขา อร่อยจะเผาให้กิน เสร็จแล้วก็กลับกันได้” เขาว่าแล้วออกเดินนำหล่อนออกไป แผ่นหลังกว้าง หนาหนักแน่นราวหินแผ่นที่หน้าผา ใครจะไปรู้ว่ามันสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว

กรรมของพนสณฑ์ที่ดันโผล่ออกมาจากแนวป่าด้านนั้น มายืนอยู่ตรงหน้าผาพอดี พอมองลงมาหาทำเลแทงปลาลำธารเขากลับเห็นนางกินรีน้อย กำลังแหวกว่ายสายน้ำใสแจ๋วเห็นแม้กระทั่งเม็ดทรายและโขดหินใต้น้ำ

แล้วมีหรือที่เขาจะไม่เห็นหล่อนทั้งตัว!

“คุณสณฑ์อยากทานอะไรคะเย็นนี้”

“ไม่รู้สิ”

“แกงส้มดีไหมคะ ลูกแก้วเห็นต้นมะขามแตกใบอ่อนๆ อยู่ริมรั้ว ปลาสดๆ แกงส้มร้อนๆ น่าจะอร่อยนะคะ”

“ก็ตามใจ”

“ค่ะ งั้นแกงส้ม เอ แล้วปูนี่จะเผาใช่ไหมคะ แกะเนื้อมาทำข้าวผัดปูลองดูไหมคะ ข้าวผัดปูภูเขา เมนูใหม่น่าจะอร่อยนะ”

“ก็ได้” เขาชักจะหมดความอดทน สิ่งที่หล่อนคุยน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่เสียงใสๆ แบบนี้มันกวนใจให้วุ่น

“ดีค่ะ คุณสณฑ์ทานง่ายดีนะคะ”

“อืม” เขาว่า แล้วรีบสาวเท้าไวๆ หล่อนขมวดคิ้ว มองตามแล้วรีบจ้ำให้ทัน

“รีบไปไหนของเขานะ” หล่อนบ่น

เมื่อกลับมาถึงกระท่อม พนสณฑ์ก็เอาพวงปูและปลาไปวางไว้ในครัวให้หล่อน คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูหน้าจอ เห็นสายเรียกเข้ากว่าสิบสายจากอู่ก็รีบลงเรือนเดินหาคลื่นเพื่อโทร.กลับ รุจิรัตน์รีบลงมือทำอาหารเย็นมื้อนั้นด้วยอารมณ์ผ่องแผ้ว แว่วเสียงคุยโทรศัพท์สลับกับเสียงตะคอกดังมาจากหน้าบ้าน

“ไม่ได้ยินโว้ย!”

“โอ๊ย...นายไปอยู่หลังเขาที่ไหน ทำไมไม่มีคลื่น ลูกชายโรงสีจะสั่งรถสปอร์ต ได้ยินไหม”

“อะไรนะ ไอ้ชัยพูดใหม่ซิ ใคร”

“ลูก-ชาย-เสี่ยเจ้าของโรงสี” ลูกน้องเน้นทีละคำ

“ฉิบหาย ไม่ได้ยินเลย”

“เออๆ งั้นเลิกกัน พรุ่งนี้ผมไปหาที่ไร่ ไปอี๋อ๋อกับนายหญิงเหอะ ข้าวใหม่ปลามัน แหะๆ”

“ไอ้เวร สอดรู้”

“แน่ะทีอย่างนี้ได้ยิน ด่าชัดนัก พรุ่งนี้เจอกันนาย เอาอะไรเปล่า ยาโด๊ปสักแผง”

“ไอ้ชัย!” เขาร้องลั่น แล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายไป

งานที่อู่คงยุ่งมาก พนสณฑ์รู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง ดีที่ยังมีชัยที่เป็นช่างใหญ่ที่เอาการเอางาน ถึงแม้จะกวนอวัยวะเบื้องล่างมากก็ตาม

พรุ่งนี้ชัยมา คุณนายพจนีย์มารดาของเขาก็คงฝากข้าวของมากมายมาให้อีก เมื่อกลางวันตอนเข้าอำเภอเขาได้โทร.หาป๋ากับนายแม่หนหนึ่ง  คำของแม่ยังแว่วหู

‘เมียของลูกเป็นอย่างไรบ้าง ชื่ออะไรจ๊ะ’

‘ลูกแก้วครับแม่ ชื่อจริงไม่รู้ ลืมดูตอนเซ็นใบทะเบียนสมรส’

‘ลูกคนนี้นี่ รีบไปดูไว้เลยนะ ไม่รู้ชื่อจริงเมียได้ไง เขางอนตาย ชื่อน่ารักนะลูกแก้ว หน้าตาคงน่าเอ็นดู’

‘ก็พอดูได้’

‘แสดงว่าสวย’

‘นายแม่’ ลูกชายขึ้นเสียงสูง ผู้เป็นมารดาหัวเราะคิกๆ อย่างรู้ทัน

‘ดูแลกันดีๆ นะลูก ชีวิตครอบครัวต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ค่อยๆ เรียนรู้กันไป สณฑ์อย่าเอาแต่ใจ ต้องให้เกียรติเมียรู้ไหม เหมือนที่ป๋าให้เกียรติแม่’

‘ครับแม่’

‘ขอให้มีความสุขความเจริญนะลูก ฝากความรักจากพ่อแม่ไปหาลูกสะใภ้ด้วย เมื่อโอกาสอำนวยเราจะไปรับขวัญเขาที่ไร่ดงไม้หอมของลูก’

‘ครับ’

พนสณฑ์รู้สึกมีพลังขึ้นมาเป็นกอง มารดามองโลกในแง่ดี เป็นยาเย็นแบบนี้เสมอ ทำให้เขาและป๋ามีแต่ความสุขกายสุขใจยามอยู่ใกล้

...ลูกแก้วจะเป็นอย่างมารดาได้ไหมนะ...

“คุณสณฑ์คะ อาหารพร้อมแล้วค่ะ” เสียงหวานใสร้องเรียก เวลานั้นก็มืดแล้ว หล่อนจุดเทียนบนบ้าน ทำให้บ้านสว่างไสวชวนมองไปอีกแบบ เขาเองก็รำคาญเจ้าเครื่องปั่นไฟเสียงดังนัก ก็เลยเลยตามเลย ทำให้ทั้งคู่ ได้นั่งประจันหน้ากันในมื้ออาหารง่ายๆ ที่กระท่อมตีนเขา ใต้แสงเทียนนวลตา

“เป็นยังไงบ้างคะ”

“อร่อยดี” เขาชม ตักแกงส้มร้อนๆ ราดบนข้าวผัดปู กินเอาๆ ไม่พูดไม่จาอีก แม่ครัวเลยนั่งยิ้ม หน้าบาน ปลื้มใจกับฝีมือทำอาหารของตนเอง บิดาของหล่อนชมเสมอว่าหล่อนมีพรสวรรค์เมื่อมีเงินมีทอง บิดาจะเปิดร้านอาหารให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวันนั้น

“พ่อกับแม่ของผมฝากคำอวยพรมาให้คุณ บอกว่าเมื่อไหร่มาได้จะมารับขวัญสะใภ้”

“ท่านกรุณามาก ถ้าคุณสณฑ์ได้คุยกับท่านอีก ลูกแก้วฝากขอบพระคุณท่านด้วยค่ะ” หล่อนประนมมือไหว้เขา เป็นครั้งที่สองแล้วตั้งแต่มานี่

“ชื่อจริงคุณว่าไงนะ เอ่อ แม่ให้ถาม”

“รุจิรัตน์ค่ะ”

“ผมชื่อพนสณฑ์ พ่อแม่ทำกิจการอู่ซ่อมรถ”

“ค่ะ ลูกแก้วขอเรียกว่าคุณสณฑ์นะคะ”

“ตามใจ” เขารวบช้อนเมื่อข้าวหมดเกลี้ยง รู้สึกอิ่ม สบายใจอย่างบอกไม่ถูก รุจิรัตน์อมยิ้มในหน้า จัดการเก็บจานช้อน ไปเช็ดคว่ำไว้ในครัวเพื่อรอล้างในตอนเช้า พอเรียบร้อยหล่อนก็เช็ดไม้เช็ดมือออกมานั่งที่ระเบียงกับเขา พนสณฑ์จุดบุหรี่สูบไปได้ครึ่งตัว พอมีสมาชิกมาเพิ่มที่ระเบียงก็เบี่ยงหน้าไปอีกทาง พ่นควันบุหรี่ลอยลมออกไป

“เหม็นไหม ผมชิน หลังอาหารเป็นต้องสูบ”

“ไม่ค่ะ พ่อก็สูบ วันละเป็นซอง ลูกแก้วยังห่วง แต่ห้ามแล้วพ่อไม่ฟัง” หล่อนบอกเสียงแห้งๆ คำเรียกขานพ่ออ่อนหวาน ไร้แววโกรธขึ้ง

“ผมไม่สูบมากหรอก แค่หลังอาหารเย็น กลางวันปกติยุ่งๆ ไม่มีเวลาสูบ เหล้าก็มีดื่มบ้างกับเพื่อนฝูง แต่อยู่นี่ไม่มีใครก็คงงดได้” เขาเล่าเรื่อยๆ

“พวกลุงพร้อม สมบัติกับคนงานนั่นไงคะ คงพอตั้งวงได้”

หล่อนกลัวเขาเหงา

“ผมไม่ดื่มกับคนที่ทำงานให้ มันทำให้ปกครองลำบาก ยกเว้นคนที่สนิทกันจริงๆ”

“อ้อ ค่ะ” หล่อนพยักหน้า

“ปีนึงที่นี่ ผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้นมา เพื่อกู้หน้าพ่อจากปู่บ้าอำนาจของผมได้ ผมว่าเกมอะไรนี่มันงี่เง่าสิ้นดี เลยพลอยทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วย”

“ไม่หรอกค่ะ ลูกแก้วต่างหากที่มาเป็นภาระของคุณ คิดเสียว่าเราทั้งสองต่างทำเพื่อพ่อแม่ แม้จะคนละเหตุผลกันก็ตามนะคะ”

“อืม ก็ดี แต่ผมทำการเกษตรอะไรไม่เป็นเลย ถ้าเป็นงานช่างละพอไหว คุณล่ะ”

“ไม่เป็นเลยเหมือนกันค่ะ ลูกแก้วโตมาในสลัมคับแคบ ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก” หล่อนกล่าวราวกับเป็นเรื่องธรรมดา หล่อนอยากให้เขารู้จักฐานะ พื้นเพที่แท้จริงของหล่อน เพราะหากทั้งสองมีความสัมพันธ์ใดๆ เกินเลยกันขึ้นมาทางกาย หล่อนคงอดเผลอปล่อยใจไปกับเขาไม่ได้ และวันนั้นหล่อนก็ไม่อยากให้เขาไปพบเข้าว่าหล่อนไม่ดีพอ

สู้ให้เขารู้ และรังเกียจหล่อนจนไม่ยอมแตะต้อง จะยังเจ็บน้อยกว่า

พนสณฑ์กลับไม่คิดเช่นนั้น เขาอยากให้หล่อนได้รู้จักเขาอย่างเจ้าเงาะป่าจนกรอบคนหนึ่ง หากหล่อนไม่ใช่กับดักของปู่จริง และชอบพอในความเป็นเขา เงินทองของนอกกายนั้นก็ย่อมตกเป็นของหล่อนในที่สุด เขาไม่อยากได้ภรรยาที่อยู่กับเขาเพราะเงิน หรือชาติตระกูลเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงแบบนั้นเขาเอือมระอาเสียแล้ว

“ข้างนอกนี่ยุงชุมเหมือนกันนะคะ” หล่อนลูบแขนที่ถูกกัดเป็นจ้ำ 

“ก็มีบ้างในป่าเขาแบบนี้ ผมว่าจะสุมไฟรอบกระท่อม ก็กลัวจะรมควันคุณเข้า”

“คุณสณฑ์ไปนอนในห้องสิคะ ห้องกว้างขวางพอสำหรับสองคน” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่วพลิ้ว ถึงเขาจะว่าหล่อนให้ท่าก็ยอมล่ะ ดูเถอะแค่มานั่งไม่กี่นาทีหล่อนก็ตบยุงได้ตั้งหลายตัวแล้ว ประสาอะไรกับเขาที่ต้องนอนตากยุงทั้งคืน 

“เอาไว้ถ้ามันชุมหนักเข้าผมจะเข้าไปขอนอนด้วย” เขาพูดหน้าตาเฉย หล่อนกลับหน้าแดงจัด ดีนะที่แสงเทียนสลัวๆ จับดวงหน้านวลเรื่อไม่ถนัดนัก

“ค่ะ งั้นราตรีสวัสดิ์นะคะ ขอบคุณมากที่พาฉันไปอาบน้ำที่ลำธาร” หล่อนเอ่ยแล้วก็ดันกายลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินจรดปลายเท้าเข้าห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ภาพเหตุการณ์เมื่อเย็นที่ลำธารรุมเร้าเจ้าเงาะป่าที่นอนบริจาคเลือดให้ยุงอยู่ด้านนอกนอนกระสับกระส่ายตามลำพังตลอดทั้งคืน



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2561, 12:47:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2561, 13:09:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 927





<< บทที่ 1 -50%   บทที่ 2 -50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account