พนาพร่ำรัก: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อ 'พนสณฑ์' ทายาทเจ้าสัวพันล้าน ถูกกลั่นแกล้งให้รับมรดกเป็นที่ดินรกร้าง พร้อมเงื่อนไขต้องสร้างเงินล้านให้ได้ภายในปีเดียว แถมยังพ่วงเมียขัดดอก ลูกสาวนักพนันมาด้วย จะไหวไหมงานนี้...
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
***************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนวโรแมนติก น่ารักละมุน หวานซึ้ง มิควรพลาดจ้า เพราะพ่อสณฑ์ของเราถึงแม้จะเป็นพระเอกสายโหด แต่ขยัน ‘รัก’ เมียสุดหัวใจ พ่วงด้วยความฮาแบบชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา บทเลิฟซีนสวย #รับประกันความสนุก!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 369฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: แบดบอย ทายาทเศรษฐี ลูกสาวนักพนัน เมียขัดดอก น่ารัก ละมุน คู่ชีวิต ท้องไร่ท้องนา
ตอน: บทที่ 7 - 70%
บ่ายวันนั้นทั้งสองแยกย้ายกันไปทำภารกิจในไร่กันอย่างขยันขันแข็งแข่งกับเวลาที่งวดเข้ามาทุกที อีกไม่ถึงสิบเดือนก็จะครบหนึ่งปีแล้ว เจ้าสัว
กับป๋าประพจน์จะได้กลับมาคืนดีกันอีกหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเขาทั้งคู่แล้วล่ะ
รุจิรัตน์ไปจัดการบัญชีเอกสารการรับซื้อและส่งมันสำปะหลังออกไปขาย หล่อนพูดคุยกับคนงานที่กำลังเกลี่ยมันในลานมัน และสังเกตว่าไม่มีใครระแคะระคายเรื่องการลอบทำร้าย ทุกคนเข้าใจว่ารถพลิกคว่ำลงไหล่ทางธรรมดาเท่านั้น
เพื่อผลทางธุรกิจพนสณฑ์คงสั่งให้ปิดข่าว รถชาวบ้านจึงยังทยอยเอามันเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง หล่อนเห็นคนงานใหม่จากอู่ประพจน์มาสมทบอีกสองสามคน เมื่อรถสิบล้อคันใหม่บ่ายหน้าออกไปจากไร่ก็มีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของไร่วิ่งประกบลงไปด้วย
“คุณลูกแก้ว ไม่รับซื้อพวกถั่วลิสง หรือข้าวโพดบ้างรึ ฉันลงไว้สองสามไร่ เผื่อราคามันตกต่ำ อยากเอามาขายให้”
“งั้นหรือจ๊ะ พี่ปองรู้ไหมว่ามีใครอยากมาขายอีกไหม ถ้ามีหลายๆ เจ้า เราก็อยากรับซื้อให้จ้ะ แต่ฉันขอปรึกษาคุณสณฑ์ก่อนนะจ๊ะ”
“เท่าที่รู้ก็มีพี่สาวฉันเอง ยายอาง แล้วก็พวกบ้านดอนอีกสองสามคน แต่น่าจะมีอีก เดี๋ยวฉันจะลองถามดูนะคุณ”
“จ้ะ ขอบใจพี่ปองมากนะจ๊ะ ปลูกพืชหลายๆ อย่างนี่ก็ดีนะจ๊ะ เผื่อไว้อย่างที่พี่ปองว่า”
สมปองเพียงยิ้มรับคำชม ดวงตาบนใบหน้ากร้านแดดเปี่ยมด้วยความหวัง
“นายหญิงมาทำงานตากแดดไม่กลัวผิวเสียเหรอจ๊ะ” น้าสาวคนที่ มากับสมปองเอ่ยถาม ระหว่างที่รอผัวของนางเอามันไปขึ้นตาชั่ง
“แหม ถ้าตากแดดแล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำอย่างพวกพี่ๆ ฉันก็เอานะจ๊ะ”
“โธ่ นายสณฑ์น่ะรวยจะตาย เขาว่าเป็นหลานชายผู้จะได้รับมรดกของเจ้าสัวเสียด้วย คุณน่ะคงสบายไปทั้งชาติ”
“คุณสณฑ์รวย แต่ฉันยังไม่รวยนี่จ๊ะ ฉันชอบทำงาน หาเงินเลี้ยงครอบครัวอย่างพวกพี่ๆ”
“แหม เมียดีแบบนี้นายรักตายเลย มีลูกกันไวๆ นะนายหญิง จะได้มาช่วยกันดูแลกิจการ” น้าคนนั้นบอก ดวงตาซื่อบอกเจตนาดี รุจิรัตน์ฝืนยิ้มให้ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
“แม่เจ้าเว้ย รถอะไรวะนั่น เท่ชะมัด”
เสียงคนงานหนุ่มร้องกันลั่น ทั้งชี้ไม้ชี้มือไปทางประตูไร่
“เขาเรียกชอปเปอร์เว้ย ของเล่นคนรวย มอเตอร์ไซค์คันละเป็นล้าน”
“บ้าหรือเปล่า เงินล้านซื้อไร่ได้ไม่รู้เท่าไหร่ ใครขับมากันละนั่น”
รุจิรัตน์มองตามเห็นรถมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์คันใหญ่วิ่งฉิวเข้ามาสามคัน เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเข้ามาจอดที่ลานมัน ตรงที่พนสณฑ์กับช่างกำลังสาละวนอยู่กับซากเจ้าแก่
เมื่อเครื่องรถดับลงและคนขับทั้งสามถอดหมวกกันน็อก คนทั้งไร่ก็ยิ่งทำตาโต อ้าปากหวอ สองในสามนั้นเป็นชายหนุ่มมาดเท่ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ แต่ที่น่ามองไปกว่าก็คือคนที่สามที่รูปร่างสมส่วน สูงโปร่ง องค์เอวอวบอิ่มในชุดหนังแนบเนื้อ เมื่อถอดหมวกกันน็อกออก เรือนผมสีแปลกตาของเจ้าหล่อนก็ร่วงลงมาเข้าทรงสวยเป็นลอนยาวเกลี่ยแผ่นหลัง มันดูยุ่งๆ แบบทรงเสน่ห์ ราวกับหล่อนเพิ่งโดดออกมาจากปกนิตยสารรถแข่งยังไงยังงั้น
“สณฑ์คะ”
หล่อนถลาเข้าไปหาคนที่ถูกเรียกชื่อทั้งตัว แรงโถมทำให้พนสณฑ์ที่ยังไม่หายดีเซไปหน่อย ช่างสมชัยนึกอยากจะช่วยพยุง แต่กลัวโดนเตะ
ก็นี่มันคุณศรุตา หวานใจเจ้าเก่าที่เทียวรักเทียวเลิกของนายนี่นา ไหนว่าย้ายไปอยู่อังกฤษพร้อมแฟนฝรั่ง ทำไมโผล่มาดงไม้หอมได้นะ
“คิดถึง มาทำอะไรที่หลังเขากันดารแบบนี้คะ”
“สวัสดีครับตา ว่าไงรชต อรรณพ”
“จะว่าไงล่ะ คุณเธอลงเครื่องมาก็ถามถึงเพื่อนเก่า ไอ้เราโทร.หาป๋า ป๋าบอกนายเข้าโรงพยาบาล คุณเธอก็พาเราบึ่งมาดูใจนี่ล่ะ” คนตอบคือรชต หนุ่มตี๋ท่าทางสำอางไม่น่าจะบังคับรถใหญ่ๆ ได้ แต่หากได้รู้จักเขาจริงๆ จะรู้ว่าเขาไม่เป็นรองใครบนท้องถนน หรือสนามแข่งระดับประเทศ
“ใครจะกล้าขัดคุณเธอ” ชายที่ชื่ออรรณพเอ่ย เขาไม่ได้ขาวตี๋อย่างรชตแต่ก็มีใบหน้าคมคายไม่แพ้พนสณฑ์
“เออดี ว่าง่าย”
“คนนะเว้ย ว่าไงไอ้เสือ เข้าโรงพยาบาลเป็นอะไรวะ หัวแตก ชะๆ ไปลักลูกเขาเมียใครมาเลยโดนเขาตีหัวแบะหรือไง” อรรณพเย้า
“บ้า รถตกไหล่ทางนิดหน่อย” พูดถึง ‘เมีย’ พนสณฑ์ก็ค่อยๆ เบี่ยงกายออกห่างศรุตาอย่างสุภาพ สอดส่ายสายตามองหานายหญิงของไร่
“อย่างเอ็งนี่นะขับรถตกไหล่ทาง” พรรคพวกร้องลั่น พนสณฑ์ไม่ตอบคำถามนั้น อีกสองหนุ่มก็เป็นอันรู้กันว่าอุบัติเหตุนั้นน่าจะมีสาเหตุที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ใบหน้าของสหายหนุ่มทั้งสองขรึมขึ้น ศรุตามองไปรอบๆ ไร่ ก่อนจะปาดเหงื่อที่ไรผมด้วยท่าทีเก๋ไก๋
“สณฑ์ยังไม่ได้บอกเลยนะคะ ว่ามาทำอะไรที่นี่”
“มารับมรดกเจ้าคุณปู่น่ะสิครับ สองสิงห์นี่ไม่ได้เล่าหรอกรึ”
“เล่าค่ะ แต่ใครจะไปเชื่อล่ะคะว่ายุคสมัยนี้แล้วจะยังมีเรื่องซิลลี่ๆ แบบนี้อยู่อีก” หล่อนร้อง เบิกตาโตราวกับว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่า ที่เคยได้ยินมา
“นั่นล่ะเจ้าสัวประภาสปู่ของผม ตลกฝืดดีไหมล่ะ”
พนสณฑ์เดินนำทั้งสามคนกลับไปที่กระท่อม เขาเห็นร่างอรชรของภรรยาเดินกลับไปก่อนแล้ว เดาว่าหล่อนคงไปเตรียมรับรองแขกและเขาก็เดาไม่ผิด
“โฮ่งๆ”
“แม่แดง แม่แดงจุ๊ๆ มาทางนี้ ไวๆ ลูกอม ลูกกวาด มานี่เร็วๆ” เสียงหวานใสร้องห้ามและเรียกให้เจ้าสุนัขแม่ลูกอ่อนและลูกๆ ของมันหลบออกไปจากบันไดบ้าน
“จะกัดหรือเปล่าคะ”
ศรุตาเกาะไหล่กว้างของเจ้าของบ้านไว้มั่น อรรณพและรชตกลอกตาไปมา
“ไม่หรอกฮะ ลูกแก้วจ๋ามีอะไรเลี้ยงแขกบ้าง หรือว่าไม่ต้องเลี้ยงดี มาไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้”
“เอ๊ะ สณฑ์นี่ ก็ตัวเองทำให้ใครๆ เขาเป็นห่วงนี่คะ” เสียงทุบอั้กนั้นไม่เบาเลย สองหนุ่มแปร่งหูกับเสียงกังวานหวานในยามที่เสือหนุ่มเพื่อนยากขานชื่อ ‘ลูกแก้ว’
“มีค่ะ เชิญที่ระเบียงสิคะ ลมเย็นดี รับผ้าเย็นหน่อยนะคะ เครื่องดื่มมีน้ำเปล่า น้ำผลไม้กระป๋อง เบียร์ในถังน้ำแข็ง ไม่ทราบจะรับอะไรดีคะ”
น้ำเสียงหวานใส สดชื่นเชิญชวนนั้นดังมาจากร่างเล็กๆ ที่ยกของรับแขกใส่ถาดเดินออกมาจากในครัว หล่อนแจกรอยยิ้มสดใส แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้มองสบกับใครตรงๆ ก็ตาม
“ขอน้ำเปล่าก็แล้วกันจ้ะ เธอมีมะนาวไหม ช่วยฝานบางๆ ใส่มานิดนึง”
“ได้ค่ะ”
“ผมไปช่วยไหมครับ เฮ้ย ใครจะรับเบียร์บ้างบอกมา” สองหนุ่มยกมือขึ้น มองท่าทีระรื่นของเพื่อนหนุ่มด้วยความสงสัยหนักเข้าไปอีก
“สงสารสณฑ์จัง ต้องมาลำบากแบบนี้ มีปู่ประสาทๆ แบบนี้ ตาไม่เอาด้วย”
“อ้าว ไม่เอาแล้วจะมาเป็นหลานสะใภ้เขาได้ยังไงคุ๊ณ” รชตเย้า
“แต่งกับสณฑ์นี่คะ ไม่ได้แต่งกับคนอื่น”
“เหอะ” สองหนุ่มทำเสียงในลำคอ ถ้าหากเพื่อนทั้งสองจริงจังกันป่านนี้ลูกคงเข้าเรียนประถมไปแล้วกระมัง ในครัว พนสณฑ์ยืนทอดสายตามองร่างเล็กที่หยิบจับนั่นนี่ใส่ถาดด้วยความคล่องแคล่ว ใบหน้ารับแขกบัดนี้เรียบเฉย
“เดี๋ยวผมยกออกไปทั้งลังน้ำแข็งเลยดีกว่า ลูกแก้วจะได้ไม่ต้องลำบากเทียวมาเอาหลายรอบ”
“ตามใจคุณสิคะ”
“พวกนี้ดื่มทีหนักๆ ทั้งนั้นประเดี๋ยวเจ้าชัยก็คงมาสมทบอีก เดี๋ยวรบกวนลูกแก้วทำกับแกล้มให้สักอย่างสองอย่างได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ” หล่อนฝานมะนาวบางๆ หย่อนใส่แก้วน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบในแก้วใส โชคดีที่มีแก้วดีๆ พอรับแขกได้อยู่หลายใบ ไม่งั้นคงขายหน้าเขาตาย
“เดี๋ยว ทำไมทำท่าเหมือนจะหนีผมตลอดเวลา แถมไม่สบตาอีกด้วย” มือแกร่งคว้าหมับที่ต้นแขน คนสวยตาดุขวางขึ้นมาทันที
“ปล่อยค่ะ”
“ทำไม กลัวเขารู้ว่าเราเป็นผัวเมียกันเหรอ” น้ำเสียงนั้นชักเอาเรื่อง
“แล้วคุณไม่กลัวเหรอคะ เรื่องของเรามันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ อย่าไปพูดถึงมันเลย ใครรู้มากไปก็ยิ่งลำบากทีหลัง”
“ทำไมใครๆ จะรู้ไม่ได้ล่ะ” เขาคาดคั้น มือแกร่งบีบต้นแขนนิ่มจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า
ดูเถอะ เขาก็ดีแต่แอบมาออกฤทธิ์กับหล่อน ตอนอยู่ข้างนอกนั่นไม่เห็นกล้า เอาเถอะจะช่วยปิดแฟนให้ก็แล้วกัน พ่อพระสังข์หลายใจ
“เดี๋ยวลูกแก้วเอาน้ำออกไปให้คุณคนนั้นก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวออกไปด้วยกัน เฮ้ย ไอ้เจ้านายที่อยู่ด้านนอกน่ะ ใจคอจะให้คนป่วยยกลังน้ำแข็งคนเดียวหรือไงวะ จะกินก็เข้ามาช่วยทีเว้ย”
“เจ้าของบ้านประสาอะไรวะนี่ ใช้แขก” อรรณพบ่น
“ขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันไปเรียกช่างมาช่วยยกนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณลูกแก้ว สองคนนี้มันกัดกันเล่นเป็นงานอดิเรกอยู่แล้วฮะ” รชตว่าแล้วก็เบียดร่างหนาบึกของเพื่อนออกก่อนจะช่วยอรรณพยกถังน้ำแข็งใบย่อมที่อัดแน่นด้วยเบียร์ออกมาที่ระเบียง รุจิรัตน์ถือแก้วน้ำเย็นตามออกมาวางไว้ที่โต๊ะที่ระเบียงตรงหน้าศรุตา ผู้ที่ได้มีโอกาสสังเกตดูผู้ที่ตนนึกว่าเป็นสาวใช้ในตอนแรก
ใบหน้าที่ก้มน้อยๆ นั้นคมขำด้วยปลายจมูกเล็กๆ น่ารัก ดวงตาโตล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแพงอนเช้ง หล่อนเป็นหญิงสาวหน้าตาน่าเอ็นดูมากคนหนึ่ง รูปร่างหล่อนก็ไม่เลวนักหรอก แต่ดันสวมเสื้อลายหมากรุกสี หม่นอมฟ้าคลุมสะโพกมิดชิด กางเกงยีนพอดีตัวสีดำเรียบๆ ผมยาวรวบเป็นมวยแน่นๆ ไว้เหนือศีรษะ รุ่ยร่ายอย่างคนที่เพิ่งเลิกจากงานกลางแจ้ง มือไม้ของหล่อนสะอาดสะอ้านดีอยู่หรอก ศรุตานึก แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“นี่สณฑ์กินอยู่หลับนอนยังไงคะนี่”
ศรุตากวาดสายตาไปรอบๆ ความที่หล่อนเป็นทายาทเศรษฐีร้อยล้านคนหนึ่งทำให้นึกไม่ออก
“ก็บนกระท่อมปลายไร่นี่น่ะสิครับ จริงไหมลูกแก้ว”
“คะ ค่ะ เอ่อ เดี๋ยวฉันขอตัวไปทำอะไรมาให้ทานเล่นก่อนนะคะ”
เจ้าหล่อนกอดถาดใส่เครื่องดื่มกับอก ผลุบหายเข้าไปในครัว สายตาคมวาววับของพนสณฑ์ที่มองตามไปนั่นสิที่ชวนให้สงสัย อรรณพกับรชตสบตากันอีกรอบ แต่ต่างก็คิดว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศรุตาใน การล้วงความจริงจะสนุกกว่า
“ถ้างั้นเราก็ค้างกันที่กระท่อมนี่ล่ะนะคะ ต๊ะ ณพ”
“หา” สามหนุ่มส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน คนที่ดูเหมือนจะเสียงดังที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าของกระท่อม
“ไม่เหมาะกระมังตา มันคับแคบ บอกเสียก่อนนะว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแอร์ มีแต่ตะเกียงกับแสงเทียน”
“โรแมนติกดีออกค่ะ ก็เหมือนสมัยที่เราเรียนที่อังกฤษกัน เราก็ไปแคมป์ปิ้งกันที่พาร์คแบบนี้นี่คะ สนุกดีออก” หล่อนมีนัยน์ตาเจิดจ้าอย่างคนตัดสินใจแล้ว สามหนุ่มได้แต่ลอบถอนหายใจหนักหน่วง
“จะหลับจะนอนที่ไหนกันล่ะนี่ รบกวนเจ้าของกระท่อมเขาเปล่าๆ น่าตา” อรรณพปราม
“สณฑ์นอนที่ไหนล่ะคะ” ศรุตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด พนสณฑ์วางแก้วลง มองดวงตางามซึ้งของเพื่อนเก่านิ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ชัดๆ ว่า
“ตาครับ ผมแต่งงานแล้ว”
“หา!”
“อะไรนะคะ”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ผมแต่งงานแล้ว รุจิรัตน์ หรือลูกแก้วคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”
************
สุขสันต์วันสงกรานต์ย้อนหลังจ้านักอ่านทุกท่าน ^O^ ทีมงานเพิ่งกลับมาจากหยุดสงกรานต์เช่นกันค่ะ
ใครสนใจคุณสณฑ์กับหนูลูกแก้วสามารถสั่งซื้อได้แล้วนะคะ ทั้งแบบรูปเล่มและแบบ eBook
>>>แบบรูปเล่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน "อ่านเรื่องย่อ" ซึ่งอยู่ด้านบนของนิยายเรื่องนี้นะคะ
>>>แบบ eBook ค้นหาชื่อเรื่อง "พนาพร่ำรัก" ในเว็บ Mebmarket ได้เลย!
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
กับป๋าประพจน์จะได้กลับมาคืนดีกันอีกหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเขาทั้งคู่แล้วล่ะ
รุจิรัตน์ไปจัดการบัญชีเอกสารการรับซื้อและส่งมันสำปะหลังออกไปขาย หล่อนพูดคุยกับคนงานที่กำลังเกลี่ยมันในลานมัน และสังเกตว่าไม่มีใครระแคะระคายเรื่องการลอบทำร้าย ทุกคนเข้าใจว่ารถพลิกคว่ำลงไหล่ทางธรรมดาเท่านั้น
เพื่อผลทางธุรกิจพนสณฑ์คงสั่งให้ปิดข่าว รถชาวบ้านจึงยังทยอยเอามันเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง หล่อนเห็นคนงานใหม่จากอู่ประพจน์มาสมทบอีกสองสามคน เมื่อรถสิบล้อคันใหม่บ่ายหน้าออกไปจากไร่ก็มีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ของไร่วิ่งประกบลงไปด้วย
“คุณลูกแก้ว ไม่รับซื้อพวกถั่วลิสง หรือข้าวโพดบ้างรึ ฉันลงไว้สองสามไร่ เผื่อราคามันตกต่ำ อยากเอามาขายให้”
“งั้นหรือจ๊ะ พี่ปองรู้ไหมว่ามีใครอยากมาขายอีกไหม ถ้ามีหลายๆ เจ้า เราก็อยากรับซื้อให้จ้ะ แต่ฉันขอปรึกษาคุณสณฑ์ก่อนนะจ๊ะ”
“เท่าที่รู้ก็มีพี่สาวฉันเอง ยายอาง แล้วก็พวกบ้านดอนอีกสองสามคน แต่น่าจะมีอีก เดี๋ยวฉันจะลองถามดูนะคุณ”
“จ้ะ ขอบใจพี่ปองมากนะจ๊ะ ปลูกพืชหลายๆ อย่างนี่ก็ดีนะจ๊ะ เผื่อไว้อย่างที่พี่ปองว่า”
สมปองเพียงยิ้มรับคำชม ดวงตาบนใบหน้ากร้านแดดเปี่ยมด้วยความหวัง
“นายหญิงมาทำงานตากแดดไม่กลัวผิวเสียเหรอจ๊ะ” น้าสาวคนที่ มากับสมปองเอ่ยถาม ระหว่างที่รอผัวของนางเอามันไปขึ้นตาชั่ง
“แหม ถ้าตากแดดแล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำอย่างพวกพี่ๆ ฉันก็เอานะจ๊ะ”
“โธ่ นายสณฑ์น่ะรวยจะตาย เขาว่าเป็นหลานชายผู้จะได้รับมรดกของเจ้าสัวเสียด้วย คุณน่ะคงสบายไปทั้งชาติ”
“คุณสณฑ์รวย แต่ฉันยังไม่รวยนี่จ๊ะ ฉันชอบทำงาน หาเงินเลี้ยงครอบครัวอย่างพวกพี่ๆ”
“แหม เมียดีแบบนี้นายรักตายเลย มีลูกกันไวๆ นะนายหญิง จะได้มาช่วยกันดูแลกิจการ” น้าคนนั้นบอก ดวงตาซื่อบอกเจตนาดี รุจิรัตน์ฝืนยิ้มให้ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
“แม่เจ้าเว้ย รถอะไรวะนั่น เท่ชะมัด”
เสียงคนงานหนุ่มร้องกันลั่น ทั้งชี้ไม้ชี้มือไปทางประตูไร่
“เขาเรียกชอปเปอร์เว้ย ของเล่นคนรวย มอเตอร์ไซค์คันละเป็นล้าน”
“บ้าหรือเปล่า เงินล้านซื้อไร่ได้ไม่รู้เท่าไหร่ ใครขับมากันละนั่น”
รุจิรัตน์มองตามเห็นรถมอเตอร์ไซค์แบบบิ๊กไบค์คันใหญ่วิ่งฉิวเข้ามาสามคัน เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเข้ามาจอดที่ลานมัน ตรงที่พนสณฑ์กับช่างกำลังสาละวนอยู่กับซากเจ้าแก่
เมื่อเครื่องรถดับลงและคนขับทั้งสามถอดหมวกกันน็อก คนทั้งไร่ก็ยิ่งทำตาโต อ้าปากหวอ สองในสามนั้นเป็นชายหนุ่มมาดเท่ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ แต่ที่น่ามองไปกว่าก็คือคนที่สามที่รูปร่างสมส่วน สูงโปร่ง องค์เอวอวบอิ่มในชุดหนังแนบเนื้อ เมื่อถอดหมวกกันน็อกออก เรือนผมสีแปลกตาของเจ้าหล่อนก็ร่วงลงมาเข้าทรงสวยเป็นลอนยาวเกลี่ยแผ่นหลัง มันดูยุ่งๆ แบบทรงเสน่ห์ ราวกับหล่อนเพิ่งโดดออกมาจากปกนิตยสารรถแข่งยังไงยังงั้น
“สณฑ์คะ”
หล่อนถลาเข้าไปหาคนที่ถูกเรียกชื่อทั้งตัว แรงโถมทำให้พนสณฑ์ที่ยังไม่หายดีเซไปหน่อย ช่างสมชัยนึกอยากจะช่วยพยุง แต่กลัวโดนเตะ
ก็นี่มันคุณศรุตา หวานใจเจ้าเก่าที่เทียวรักเทียวเลิกของนายนี่นา ไหนว่าย้ายไปอยู่อังกฤษพร้อมแฟนฝรั่ง ทำไมโผล่มาดงไม้หอมได้นะ
“คิดถึง มาทำอะไรที่หลังเขากันดารแบบนี้คะ”
“สวัสดีครับตา ว่าไงรชต อรรณพ”
“จะว่าไงล่ะ คุณเธอลงเครื่องมาก็ถามถึงเพื่อนเก่า ไอ้เราโทร.หาป๋า ป๋าบอกนายเข้าโรงพยาบาล คุณเธอก็พาเราบึ่งมาดูใจนี่ล่ะ” คนตอบคือรชต หนุ่มตี๋ท่าทางสำอางไม่น่าจะบังคับรถใหญ่ๆ ได้ แต่หากได้รู้จักเขาจริงๆ จะรู้ว่าเขาไม่เป็นรองใครบนท้องถนน หรือสนามแข่งระดับประเทศ
“ใครจะกล้าขัดคุณเธอ” ชายที่ชื่ออรรณพเอ่ย เขาไม่ได้ขาวตี๋อย่างรชตแต่ก็มีใบหน้าคมคายไม่แพ้พนสณฑ์
“เออดี ว่าง่าย”
“คนนะเว้ย ว่าไงไอ้เสือ เข้าโรงพยาบาลเป็นอะไรวะ หัวแตก ชะๆ ไปลักลูกเขาเมียใครมาเลยโดนเขาตีหัวแบะหรือไง” อรรณพเย้า
“บ้า รถตกไหล่ทางนิดหน่อย” พูดถึง ‘เมีย’ พนสณฑ์ก็ค่อยๆ เบี่ยงกายออกห่างศรุตาอย่างสุภาพ สอดส่ายสายตามองหานายหญิงของไร่
“อย่างเอ็งนี่นะขับรถตกไหล่ทาง” พรรคพวกร้องลั่น พนสณฑ์ไม่ตอบคำถามนั้น อีกสองหนุ่มก็เป็นอันรู้กันว่าอุบัติเหตุนั้นน่าจะมีสาเหตุที่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ใบหน้าของสหายหนุ่มทั้งสองขรึมขึ้น ศรุตามองไปรอบๆ ไร่ ก่อนจะปาดเหงื่อที่ไรผมด้วยท่าทีเก๋ไก๋
“สณฑ์ยังไม่ได้บอกเลยนะคะ ว่ามาทำอะไรที่นี่”
“มารับมรดกเจ้าคุณปู่น่ะสิครับ สองสิงห์นี่ไม่ได้เล่าหรอกรึ”
“เล่าค่ะ แต่ใครจะไปเชื่อล่ะคะว่ายุคสมัยนี้แล้วจะยังมีเรื่องซิลลี่ๆ แบบนี้อยู่อีก” หล่อนร้อง เบิกตาโตราวกับว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่า ที่เคยได้ยินมา
“นั่นล่ะเจ้าสัวประภาสปู่ของผม ตลกฝืดดีไหมล่ะ”
พนสณฑ์เดินนำทั้งสามคนกลับไปที่กระท่อม เขาเห็นร่างอรชรของภรรยาเดินกลับไปก่อนแล้ว เดาว่าหล่อนคงไปเตรียมรับรองแขกและเขาก็เดาไม่ผิด
“โฮ่งๆ”
“แม่แดง แม่แดงจุ๊ๆ มาทางนี้ ไวๆ ลูกอม ลูกกวาด มานี่เร็วๆ” เสียงหวานใสร้องห้ามและเรียกให้เจ้าสุนัขแม่ลูกอ่อนและลูกๆ ของมันหลบออกไปจากบันไดบ้าน
“จะกัดหรือเปล่าคะ”
ศรุตาเกาะไหล่กว้างของเจ้าของบ้านไว้มั่น อรรณพและรชตกลอกตาไปมา
“ไม่หรอกฮะ ลูกแก้วจ๋ามีอะไรเลี้ยงแขกบ้าง หรือว่าไม่ต้องเลี้ยงดี มาไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้”
“เอ๊ะ สณฑ์นี่ ก็ตัวเองทำให้ใครๆ เขาเป็นห่วงนี่คะ” เสียงทุบอั้กนั้นไม่เบาเลย สองหนุ่มแปร่งหูกับเสียงกังวานหวานในยามที่เสือหนุ่มเพื่อนยากขานชื่อ ‘ลูกแก้ว’
“มีค่ะ เชิญที่ระเบียงสิคะ ลมเย็นดี รับผ้าเย็นหน่อยนะคะ เครื่องดื่มมีน้ำเปล่า น้ำผลไม้กระป๋อง เบียร์ในถังน้ำแข็ง ไม่ทราบจะรับอะไรดีคะ”
น้ำเสียงหวานใส สดชื่นเชิญชวนนั้นดังมาจากร่างเล็กๆ ที่ยกของรับแขกใส่ถาดเดินออกมาจากในครัว หล่อนแจกรอยยิ้มสดใส แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้มองสบกับใครตรงๆ ก็ตาม
“ขอน้ำเปล่าก็แล้วกันจ้ะ เธอมีมะนาวไหม ช่วยฝานบางๆ ใส่มานิดนึง”
“ได้ค่ะ”
“ผมไปช่วยไหมครับ เฮ้ย ใครจะรับเบียร์บ้างบอกมา” สองหนุ่มยกมือขึ้น มองท่าทีระรื่นของเพื่อนหนุ่มด้วยความสงสัยหนักเข้าไปอีก
“สงสารสณฑ์จัง ต้องมาลำบากแบบนี้ มีปู่ประสาทๆ แบบนี้ ตาไม่เอาด้วย”
“อ้าว ไม่เอาแล้วจะมาเป็นหลานสะใภ้เขาได้ยังไงคุ๊ณ” รชตเย้า
“แต่งกับสณฑ์นี่คะ ไม่ได้แต่งกับคนอื่น”
“เหอะ” สองหนุ่มทำเสียงในลำคอ ถ้าหากเพื่อนทั้งสองจริงจังกันป่านนี้ลูกคงเข้าเรียนประถมไปแล้วกระมัง ในครัว พนสณฑ์ยืนทอดสายตามองร่างเล็กที่หยิบจับนั่นนี่ใส่ถาดด้วยความคล่องแคล่ว ใบหน้ารับแขกบัดนี้เรียบเฉย
“เดี๋ยวผมยกออกไปทั้งลังน้ำแข็งเลยดีกว่า ลูกแก้วจะได้ไม่ต้องลำบากเทียวมาเอาหลายรอบ”
“ตามใจคุณสิคะ”
“พวกนี้ดื่มทีหนักๆ ทั้งนั้นประเดี๋ยวเจ้าชัยก็คงมาสมทบอีก เดี๋ยวรบกวนลูกแก้วทำกับแกล้มให้สักอย่างสองอย่างได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ” หล่อนฝานมะนาวบางๆ หย่อนใส่แก้วน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบในแก้วใส โชคดีที่มีแก้วดีๆ พอรับแขกได้อยู่หลายใบ ไม่งั้นคงขายหน้าเขาตาย
“เดี๋ยว ทำไมทำท่าเหมือนจะหนีผมตลอดเวลา แถมไม่สบตาอีกด้วย” มือแกร่งคว้าหมับที่ต้นแขน คนสวยตาดุขวางขึ้นมาทันที
“ปล่อยค่ะ”
“ทำไม กลัวเขารู้ว่าเราเป็นผัวเมียกันเหรอ” น้ำเสียงนั้นชักเอาเรื่อง
“แล้วคุณไม่กลัวเหรอคะ เรื่องของเรามันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ อย่าไปพูดถึงมันเลย ใครรู้มากไปก็ยิ่งลำบากทีหลัง”
“ทำไมใครๆ จะรู้ไม่ได้ล่ะ” เขาคาดคั้น มือแกร่งบีบต้นแขนนิ่มจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า
ดูเถอะ เขาก็ดีแต่แอบมาออกฤทธิ์กับหล่อน ตอนอยู่ข้างนอกนั่นไม่เห็นกล้า เอาเถอะจะช่วยปิดแฟนให้ก็แล้วกัน พ่อพระสังข์หลายใจ
“เดี๋ยวลูกแก้วเอาน้ำออกไปให้คุณคนนั้นก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวออกไปด้วยกัน เฮ้ย ไอ้เจ้านายที่อยู่ด้านนอกน่ะ ใจคอจะให้คนป่วยยกลังน้ำแข็งคนเดียวหรือไงวะ จะกินก็เข้ามาช่วยทีเว้ย”
“เจ้าของบ้านประสาอะไรวะนี่ ใช้แขก” อรรณพบ่น
“ขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันไปเรียกช่างมาช่วยยกนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณลูกแก้ว สองคนนี้มันกัดกันเล่นเป็นงานอดิเรกอยู่แล้วฮะ” รชตว่าแล้วก็เบียดร่างหนาบึกของเพื่อนออกก่อนจะช่วยอรรณพยกถังน้ำแข็งใบย่อมที่อัดแน่นด้วยเบียร์ออกมาที่ระเบียง รุจิรัตน์ถือแก้วน้ำเย็นตามออกมาวางไว้ที่โต๊ะที่ระเบียงตรงหน้าศรุตา ผู้ที่ได้มีโอกาสสังเกตดูผู้ที่ตนนึกว่าเป็นสาวใช้ในตอนแรก
ใบหน้าที่ก้มน้อยๆ นั้นคมขำด้วยปลายจมูกเล็กๆ น่ารัก ดวงตาโตล้อมกรอบด้วยขนตาหนาเป็นแพงอนเช้ง หล่อนเป็นหญิงสาวหน้าตาน่าเอ็นดูมากคนหนึ่ง รูปร่างหล่อนก็ไม่เลวนักหรอก แต่ดันสวมเสื้อลายหมากรุกสี หม่นอมฟ้าคลุมสะโพกมิดชิด กางเกงยีนพอดีตัวสีดำเรียบๆ ผมยาวรวบเป็นมวยแน่นๆ ไว้เหนือศีรษะ รุ่ยร่ายอย่างคนที่เพิ่งเลิกจากงานกลางแจ้ง มือไม้ของหล่อนสะอาดสะอ้านดีอยู่หรอก ศรุตานึก แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“นี่สณฑ์กินอยู่หลับนอนยังไงคะนี่”
ศรุตากวาดสายตาไปรอบๆ ความที่หล่อนเป็นทายาทเศรษฐีร้อยล้านคนหนึ่งทำให้นึกไม่ออก
“ก็บนกระท่อมปลายไร่นี่น่ะสิครับ จริงไหมลูกแก้ว”
“คะ ค่ะ เอ่อ เดี๋ยวฉันขอตัวไปทำอะไรมาให้ทานเล่นก่อนนะคะ”
เจ้าหล่อนกอดถาดใส่เครื่องดื่มกับอก ผลุบหายเข้าไปในครัว สายตาคมวาววับของพนสณฑ์ที่มองตามไปนั่นสิที่ชวนให้สงสัย อรรณพกับรชตสบตากันอีกรอบ แต่ต่างก็คิดว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศรุตาใน การล้วงความจริงจะสนุกกว่า
“ถ้างั้นเราก็ค้างกันที่กระท่อมนี่ล่ะนะคะ ต๊ะ ณพ”
“หา” สามหนุ่มส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน คนที่ดูเหมือนจะเสียงดังที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าของกระท่อม
“ไม่เหมาะกระมังตา มันคับแคบ บอกเสียก่อนนะว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแอร์ มีแต่ตะเกียงกับแสงเทียน”
“โรแมนติกดีออกค่ะ ก็เหมือนสมัยที่เราเรียนที่อังกฤษกัน เราก็ไปแคมป์ปิ้งกันที่พาร์คแบบนี้นี่คะ สนุกดีออก” หล่อนมีนัยน์ตาเจิดจ้าอย่างคนตัดสินใจแล้ว สามหนุ่มได้แต่ลอบถอนหายใจหนักหน่วง
“จะหลับจะนอนที่ไหนกันล่ะนี่ รบกวนเจ้าของกระท่อมเขาเปล่าๆ น่าตา” อรรณพปราม
“สณฑ์นอนที่ไหนล่ะคะ” ศรุตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด พนสณฑ์วางแก้วลง มองดวงตางามซึ้งของเพื่อนเก่านิ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ชัดๆ ว่า
“ตาครับ ผมแต่งงานแล้ว”
“หา!”
“อะไรนะคะ”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ผมแต่งงานแล้ว รุจิรัตน์ หรือลูกแก้วคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”
************
สุขสันต์วันสงกรานต์ย้อนหลังจ้านักอ่านทุกท่าน ^O^ ทีมงานเพิ่งกลับมาจากหยุดสงกรานต์เช่นกันค่ะ
ใครสนใจคุณสณฑ์กับหนูลูกแก้วสามารถสั่งซื้อได้แล้วนะคะ ทั้งแบบรูปเล่มและแบบ eBook
>>>แบบรูปเล่ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน "อ่านเรื่องย่อ" ซึ่งอยู่ด้านบนของนิยายเรื่องนี้นะคะ
>>>แบบ eBook ค้นหาชื่อเรื่อง "พนาพร่ำรัก" ในเว็บ Mebmarket ได้เลย!
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2561, 10:27:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 เม.ย. 2561, 10:27:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 793
<< บทที่ 7 - 40% | บทที่ 7 - 100% >> |