กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๑ การพบเจอ (35%)




ท่ามกลางยามเช้าในเมืองกรุงที่แสนจะวุ่นวาย ทุกชีวิตต่างดิ้นรนขวนขวายเพื่อการอยู่รอด กิจวัตรประจำวันของแต่ละคนแทบจะไม่ต่างกัน ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว และคงเป็นเช่นนี้ไปตลอดชั่วชีวิต ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่อยู่นั้นไม่มีใครสนใจใคร ถึงแม้จะมีใครเป็นอะไรก็ตาม ตัวเองต้องมาก่อนเสมอ

แต่ในความสับสนนั้น ไม่ได้ทำให้ชายคนหนึ่งละสายตาไปจากหญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งที่เดินตรงมาขึ้นรถได้ จนเมื่อเธอก้าวขึ้นมาบนรถสองแถวและยังไม่ทันได้ตั้งหลัก คนขับรถที่ดูจะใจร้อนออกรถอย่างเร็ว แรงกระชากนั้นทำให้เธอหงายหลัง และอาจจะต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัวแน่นอนถ้าไม่มีมือใหญ่ล่ำสัน ที่คว้าหมับเข้าที่เอวคอดไว้ได้ทันท่วงที

ท่ามกลางความตื่นตกใจของคนที่อยู่บนรถ เนื่องด้วยว่าหากมือที่ยื่นออกไปนั้นช้าไปเพียงนิดเดียว ร่างบางคงจะหล่นตุบลงพื้นและถ้าโชคร้ายรถที่วิ่งตามมาเบรกไม่ทัน เช้านี้คงทำให้หลายคนไม่อยากทานอาหารไปอีกนาน ศศิพิมพ์หลับตาเกร็งตัวเพราะกลัวเจ็บ จึงไม่ทันรู้ตัวว่าถูกช่วยไว้โดยชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่ง เขาถอนหายใจก่อนจะกดไหล่ให้หล่อนนั่งลง

“คุณไม่เป็นไรแล้ว” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นอย่างอ่อนโยน ศศิพิมพ์ลืมตาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้เอ่ยเบาๆ

“ขอบคุณมากค่ะที่ช่วย ไม่งั้น...”

หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อนึกว่าตอนนี้ตัวเองจะไม่ต้องกลายเป็นกองผ้าขี้ริ้วอยู่ที่พื้นถนน

“ไม่เป็นไรครับ”

“เอ่อ ถือของให้ไหมคะ ฉันแย่งที่นั่งของคุณคงจะหนักแย่” ร่างเล็กเอ่ยอย่างเกรงใจเมื่อนึกขึ้นได้ และเห็นของที่ชายหนุ่มนำมาด้วยอยู่ในมือข้างหนึ่งค่อนข้างเยอะ

“ขอบคุณครับ”

เขายิ้มกว้างก่อนจะยื่นส่งให้ ศศิพิมพ์เอื้อมมือไปรับ และอดเขินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ ตามวิสัยของคนทั่วไป พอเห็นคนหน้าตาดีก็อดจะมองซ้ำไม่ได้ เธอแอบมองคนตรงหน้าที่ยืนโหนอย่างพิจารณา เขาหน้าตาดีมาก ผิวที่โพล่ให้เห็นค่อนข้างคล้ำ ร่างสูงๆ นี้ก็เหมาะเหลือเกินกับเชิ้ตแขนยาวสีดำสนิทพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอก เผยให้เห็นแขนล่ำสันแข็งแรง กางเกงแสล็คสีดำรีดเรียบ

คิดถึงตรงนี้เธอขมวดคิ้ว เขาดูเนี้ยบมาก และส่วนใหญ่ความเนี้ยบที่ว่าก็มักจะมาพร้อมกับรสนิยม แต่ดูหน้าตาเขาก็ออกจะแมน ผิวเข้ม คิ้วเข้มรับกับจมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่สบตาด้วยสองสามครั้งหัวใจก็แทบละลาย แต่... จะว่าไปหล่อนเองชักนึกสงสัย หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน

คนจ้องเพลินถอนใจละสายตา เมื่อรู้สึกว่าจากที่แอบมองกลายเป็นมองจนชายหนุ่มชักรู้สึกตัวส่งยิ้มให้ หญิงสาวบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจได้แล้ว หลังเตลิดเพราะเห็นคนหล่อและก่อนที่จะคิดอะไรแผลงๆ ไปมากกว่านี้

มองให้ตายก็ได้แค่มอง คนหน้าตาบ้านๆ อย่างหล่อนหมดสิทธิ์!

“เอ่อ... ขอโทษนะคะช่วยกดออดให้ที”

เสียงหวานที่เกินหน้าตาดังขึ้น ชายหนุ่มก้มลงมองก่อนจะทำตามที่หญิงสาวร้องขอ หล่อนยิ้มให้เป็นการขอบคุณ พอลงจากรถได้จ่ายค่าโดยสารก็ก้าวสวบๆ จากไปไม่มองหน้าใคร

ในทางเดินของห้างที่ใช้เป็นทางลัดไปยังถนนอีกฝั่งนั่น ศศิพิมพ์มุ่งไปข้างหน้าราวกับจรวด เพราะดูเวลาแล้วเธอกำลังทำให้คนมารอเสียเวลา ก่อนชะงักเพราะเสียงเรียกกระชั้นดังมาจากข้างหลัง

“คุณ คุณครับ คุณ” ศศิพิมพ์หันไปมองก็เห็นคนหน้าตาดีหิ้วของพะรุงพะรังหน้าตาเลิ่กลั่กเดินตามมา

“คะ”

“ขอโทษที ถุงมันจะขาดแล้ว ช่วยผมถือไปจนถึงป้ายรถเมล์นั้นได้ไหม ผมคนเดียวถือไม่ไหว” เขาบอกชี้ไปที่ป้ายรถเมล์อีกด้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ได้ค่ะ”

ศศิพิมพ์รับคำก่อนจะยื่นไปรับถุงมาถือไว้ เขายิ้มให้หล่อนอีกคำรบแล้วเราก็ออกเดินไปพร้อมกัน สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ทางห้างสรรพสินค้าปลูกไว้เป็นร่มเงา มีทั้งเฟื่องฟ้าสีขาวชมพูที่ปลูกสลับกัน ก่อนจะเว้นด้วยไม้ใหญ่จำพวกปาล์มเป็นระยะ ลมเย็นๆ ตอนเช้าโชยมาเบาๆ เพราะเริ่มเข้าสู่หน้าหนาว

“พักอยู่แถวนี้หรือครับ อากาศดีนะร่มรื่นดี” และคำตอบที่ชายแปลกหน้าได้รับจากหญิงสาวก็คือ... ยิ้ม

“จะว่าไปผมก็เคยมาที่นี่นะครับ แต่ก็นานแล้ว เลยแปลกตา”

ถ้อยสนทนาของเขาเป็นปลายเปิด และศศิพิมพ์ก็รู้ เธอจึงแค่ยิ้ม เขาเป็นใครเธอก็ไม่รู้จัก อยู่ดีๆ ก็มาชวนคุยแบบนี้ จะไม่ให้หล่อนระวังตัวก็เกินไปหน่อย

“จริงสิ เมื่อวานนี้ผมก็มานะ เหมือนจะเจอคุณแถวๆ ห้างนี้ด้วยใช่หรือเปล่า” คราวนี้คนฟังส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธแทน

“อ้าว! ไม่ใช่หรือสงสัยจะจำคนผิดแต่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณเหลือเกิน”

ศศิพิมพ์เอียงคอมองอย่างสงสัย และ ‘ยิ้ม’ เหมือนเดิม ใจภาวนาอยากให้ถึงป้ายรถเมล์ที่เป็นจุดหมายเร็วๆ แต่คนช่างพูดกลับเดินช้าจนน่าหงุดหงิด เธอจึงเร่งฝีเท้าขึ้นบ้างเผื่ออีกฝ่ายจะได้เดินเร็วขึ้น
“ดูคุณรีบ” ศศิพิมพ์สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามใจเย็นแต่ก็อดมองเขาไม่ได้ ซึ่งพอเห็นสายตาเธอเขาก็ยิ้มแป้น “จริงสิขอโทษที ผมก็มัวแต่คุย ลืมไปว่าคุณต้องไปทำงาน” คนพูดหัวเราะเบาๆ อย่างขันตนเอง ศศิพิมพ์ไม่ตอบมองหน้าชายหนุ่มแวบหนึ่ง ยื่นเจ้าตัวต้นเหตุส่งคืนให้เจ้าของเมื่อถึงจุดหมาย

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะคะ”

พูดจบปุ๊บ หล่อนก็ก้าวสวบๆ จากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอฟังว่าอีกคนตอบว่าอะไร ชายหนุ่มได้แต่มองตามหลังของคนผมยาวที่เดินห่างออกไป หน้าตายิ้มแย้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นขบขัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่า หล่อนคงจะรำคาญเขาน่าดู ถึงได้รีบจ้ำอ้าวจนแทบวิ่งเสียอย่างนั้น

ซึ่งมันจริง ในความคิดของศศิพิมพ์ คนสมัยนี้ไว้ใจได้เสียเมื่อไหร่ ใครจะรู้เขาอาจเป็นมิจฉาชีพก็ได้ ตีสนิทหวังให้เธอเชื่อใจ จากนั้นก็... โป๊ะเชะ เกลี้ยงกระเป๋า

“ไงแก หน้าตาบอกบุญไม่รับแต่เช้าเชียว”

จิรสุตา หรือ ตา เพื่อนสนิทของศศิพิมพ์ที่จอดรถรอรับเพื่อไปทำงานด้วยกันเพราะเป็นทางผ่าน ลดกระจกลงและยื่นหน้าออกมาถามคนหน้าบูดที่เดินจ้ำตรงมา

“หวัดดี”

ศศิพิมพ์ยิ้มจืด ก่อนเปิดประตูและก้าวเข้าไปในรถ

“รอนานไหม”

“ไม่หรอก”จิรสุตามองเพื่อนสาวที่วางกระเป๋าคอมพิวเตอร์ไว้ที่เบาะหลัง ก่อนเจ้าตัวจะปิดประตูรถเพื่อรอคำตอบ แต่พอเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่ตอบแน่จึงได้แต่ถอนหายใจ และขับรถออกไป

“แกกินอะไรมายัง”

คนขับรถพยักหน้ารับ

“ฉันสิยังไม่ได้กิน แล้วก็เกือบตกรถแน่ะ ถ้าไม่ถูกช่วยป่านนี้แกคงได้ไปแซะฉันขึ้นจากถนนละ”

“จริงง่ะ! โอ๊ยแกเนี้ยดวงสมพงศ์กับพวกรถจริงๆ”





ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2561, 22:28:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2561, 22:28:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 937





   ๑ การพบเจอ (70%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account