นาฏกรรมลวง: ขวัญของใจ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
แม้จะชินชากับกลิ่นโรงพยาบาลสักเพียงใด...ทว่ากลิ่นคละคลุ้งคาวเลือดในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ก็ได้ปลุกให้ ‘ขวัญ’ แพทย์หญิงชีวาภรณ์ ชิษณุพงศ์ ตื่นขึ้นมาพบกับวิญญาณของชายหนุ่มปริศนา ‘นิธิศ’
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!
“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”
**************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!
**************
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือพร้อมส่ง)
ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**
Tags: สืบสวน ฆาตกรรม วิญญาณ ทะเล้น หมอ พยาบาล น่ารัก สยอง
ตอน: บทที่ 7 ภาพความฝัน (60%)
“สำเร็จ!”
แว่วเสียงของนิธิศที่กู่ร้องขึ้นยังผลให้ฉันหันไปมองพร้อมทำตาดุ เขาที่ดีใจออกนอกหน้าเกินไป แทนที่จะใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
“นมัสการค่ะหลวงปู่” ฉันเอ่ยก่อนสั่งนิธิศด้วยสายตาให้ทำตาม เขาจึงค่อยรู้สึกตัว
“นมัสการเหมือนกันครับหลวงปู่”
“เป็นยังไงกันบ้างล่ะโยม ช่วงนี้สบายดีกันใช่ไหม” หลวงปู่เรืองถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพอประมาณ กิริยาอันสงบของท่านทำให้ฉันรู้สึกเย็นใจ
“ก็ตามสภาพวิญญาณครับหลวงปู่ ผมดีใจมากที่ได้พบกับหลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้หลวงปู่จะมาบอกที่ซ่อนร่างผมใช่ไหมครับ” นิธิศถามรัวเร็ว ฉันทนไม่ไหวเอื้อมมือไปหยิกเอวเขาโดยไม่ทันคาดคิด หากแต่ผลที่ปรากฏออกมานั้นสร้างความไม่คาดคิดให้ยิ่งกว่า เพราะฉันสามารถแตะต้องตัวนิธิศได้จริง เขาหน้านิ่วเพราะแรงหยิกจากฉัน
“โอ๊ย เจ็บนะคุณขวัญ”
“ทำไม...” ฉันมองมือตัวเองสลับกับมองหน้านิธิศที่งุนงงไม่ต่างกัน และสุดท้ายคำตอบของหลวงปู่ก็เฉลยทุกอย่างออกมาให้กระจ่างชัด
“ดูนู่นสิโยม”
เราทั้งสองคนหันไปตามสายตาของหลวงปู่ จึงพบว่าร่างของฉันยังนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาพระประทานของวิหาร ในขณะที่ร่างโปร่งๆ ของฉันที่นั่งหันหลังให้พระประทานข้างกับนิธิศนี้ก็คงจะเป็นจิตที่ออกจากร่าง ทำให้สามารถสัมผัสนิธิศได้นั่นเอง
“ขวัญ” เสียงเรียกหนักแน่นของนิธิศทำให้ฉันหันไปมอง วินาทีถัดมาเขาก็ยื่นฝ่ามือใหญ่มาแบตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ...
“ขอมือหน่อยคุณ”
“คะ?” ฉันงง เขาจึงย้ำอีกที
“ขอจับมือหน่อย” พูดจบนิธิศก็คว้ามือฉันเข้าไปจับ
เพียงแวบแรกที่เขากระชับฝ่ามือประสานเข้ากับมือของฉันความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจทันที เราสองคนยิ้มให้กันโดยปราศจากคำพูดใด นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้สัมผัสเขา...เขาที่เป็นวิญญาณมาตั้งแต่ต้น
“จับมือกันไว้นะโยม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเคียงข้างกันผ่านมันไปให้ได้”
“หมายความว่ายังไงคะหลวงปู่”
“หลังจากวันนี้ไป มีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่รอโยมทั้งสองอยู่”
“เราจะผ่านมันไปได้ไหมครับ”
“ไม่มีใครรู้หรอกโยม กรรมใครก็ของคนนั้น ไม่มีใครหยั่งรู้ว่าจะรอดพ้นบ่วงแห่งกรรมได้หรือไม่ แต่ถ้ามีสติ ประคับประคองจิตใจให้มั่นคง เชื่อมั่นในความดีงาม ทุกอย่างก็จะสำเร็จผล กลับร้ายกลายเป็นดี” สิ้นเสียงของหลวงปู่เรือง ท่านส่งยิ้มให้เราทั้งสองคนก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานิธิศและพูดประโยคที่ฉันฟังไม่เข้าใจ
“อโหสิกรรมให้เขา ระวังความแค้นของเขา ดูแลคนใกล้ตัวให้ดี เพราะจากนี้คนใกล้กับคนไกลกำลังจะได้พบกัน”
“หลวงปู่หมายถึง...” นิธิศไม่ได้พูดต่อ เพราะหลวงปู่พยักหน้า ทำให้ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งสองกำลังพูดถึงใครกัน
“ขอให้โยมทั้งสองโชคดี” พระภิกษุชรากล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เสียงเรียกของหมอกานต์ก็รั้งให้จิตของฉันกลับเข้าร่าง
“คุณขวัญครับ คุณขวัญ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฉันเห็นหมอกานต์แตะไหล่ร่างของฉันที่กำลังนั่งสมาธิแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ไม่ตอบรับ
“ผมไม่อยากปล่อยมือจากคุณเลย” นิธิศพูดและไม่ยอมคลายมือออกจากฉันจริงๆ ด้านหมอกานต์ก็เริ่มเขย่าตัวฉันเบาๆ ด้วยความตกใจ
“ฉันต้องกลับเข้าไปแล้วนิธิศ”
“ผม...ผมจะต้องเข้าร่างให้ได้ แล้วผมจะจับมือคุณไว้ไม่ให้ใครมาพรากเรา” มือของเราหลุดออกจากกัน จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนถูกเครื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์ ดูดกลับเข้าร่างของตัวเองทันที
“คุณขวัญ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” หมอกานต์รีบถามทันทีที่ฉันเปิดเปลือกตา
“ไม่ค่ะ ขวัญไม่เป็นไร”
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็รีบไปกันเถอะค่ะ คนขับรถรอเราอยู่หน้าวิหารแล้ว” หมอนิ่มมองมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ฉันส่งสายตาเชิงขอโทษไปให้เธอก่อนจะค่อยๆ ลุกเดินโดยมีหมอกานต์หวังดีเข้ามาประคอง
“ขวัญไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันปฏิเสธความหวังดีนั้นอย่างนุ่มนวล และเดินออกจากวิหารโดยมีวิญญาณของนิธิศเดินตามออกมา
****************
การเดินทางไปยังภูพยัคฆ์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังอุปสรรคผ่านพ้นไป รถตู้คันเดิมพาพวกเราทั้งหมดเดินทางออกจากอำเภอปัว มุ่งหน้าเข้าอำเภอเชียงกลาง อำเภอทุ่งช้าง ตามทางหลวงหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดศูนย์ที่ฉันเห็นข้างทาง หมอนิ่มผูกขาดการสนทนากับหมอกานต์เช่นเคย ส่วนฉันนั่งหลับตาให้ทุกคนคิดเสียว่ากำลังหลับสลับกับลืมตามองข้างทางเป็นบางครั้ง จะได้ไม่ต้องถูกหมอกานต์ดึงเข้าไปเป็นก้างขวางคอของหมอนิ่มอีก
รถเดินทางออกจากตัวอำเภอทุ่งช้างได้ไม่นาน ถนนหนทางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นทางลาดชันขึ้นเขาเข้าสู่บ้านห้วยโก๋น และเส้นทางก็เป็นทางขึ้นเขามาตลอด ระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรที่รถตู้วิ่งผ่านมา จวบจนเวลาบ่ายคล้อยรถก็พาเราแวะที่บ้านห้วยโก๋น ซึ่งหมอกานต์บอกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวไทลื้อที่มีฝีมือในการทอผ้าลวดลายสีสันสวยงาม หมอนิ่มจึงขอร้องให้หมอกานต์พาไปชม
ส่วนฉันกับลุงคนขับรถไปเข้าห้องน้ำ และแวะรับประทานอาหารคนละร้านกับหมอนิ่ม หมอกานต์ ราวๆ หนึ่งชั่วโมงเราจึงออกเดินทางต่อ ผ่านที่ว่าการอำเภอเฉลิมพระเกียรติ และรถเลี้ยวเข้าบ้านห้วยทรายขาว บ้านกิ่วจันทร์ ในที่สุดเวลาประมาณบ่ายสามโมง เราทั้งหมดก็มาถึงบ้านน้ำรีทางขึ้นภูพยัคฆ์
“เมื่อยไหมครับทุกคน” หมอกานต์หันมาถามสมาชิกอีกสองคนบนรถ หมอนิ่มขยับตัวตื่นนอน ส่วนฉันที่ไม่ได้หลับ ส่งยิ้มบางๆ ไปให้คนถามก่อนเอ่ยตอบ
“นิดหน่อยค่ะ”
“ต่อไปเดี๋ยวหมอนิ่มจะพักกับหมอขวัญนะครับ ส่วนที่พักของผมจะแยกไปอีกทาง ผมจะให้คุณหมอทั้งสองพักผ่อน แล้วเราจะมาเจอกันตอนหกโมงเย็นเพื่อรับประทานอาหาร และนัดแนะเรื่องที่จะสัมมนาในวันพรุ่งนี้” หมอกานต์บอกโปรแกรมขณะที่รถแล่นไปส่งเรายังที่พัก
“ได้เลยค่ะ” หมอนิ่มพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้เราจะสัมมนากันตอนเก้าโมงเช้าถึงเที่ยงนะครับ เสร็จแล้วผมจะพาคุณหมอทั้งสองทัวร์อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ และเลยไปสำนัก 708 ชมโครงการหลวงกับพิพิธภัณฑ์ชนชาติลัวะและม้งด้วยครับ”
หมอกานต์บอกโปรแกรมคร่าวๆ
“น่าสนุกจังเลยค่ะ”
หมอนิ่มทำท่าทางตื่นเต้น ส่วนฉันทั้งเพลียและเวียนหัวจากการนั่งรถมาราธอนเกินกว่าจะจินตนาการถึงความสนุกใด
“ถึงที่พักแล้วครับ เชิญหมอนิ่มกับหมอขวัญก่อนเลย” หมอกานต์พูดจบ คนขับรถก็เดินอ้อมมาเลื่อนประตูเปิดให้พวกเราทันที
ฉันสะพายกระเป๋าเป้ใบโตขึ้นบนหลัง และเดินตามหมอนิ่มกับหมอกานต์เข้าที่พักไปลักษณะเป็นอาคารใหญ่แบ่งเป็นห้องๆ ให้เข้าพักเฉพาะผู้หญิง ฉันเห็นพยาบาลหลายคนเดินสวนกันไปมา ที่นี่น่าจะรวมพวกที่มาสัมมนาเข้าพักทั้งหมด
“ห้องนี้แหละครับ” หมอกานต์เดินมาส่งเราสองสาวถึงหน้าห้อง
“แล้วหมอกานต์พักที่ไหนคะ” แน่นอนว่าไม่ใช่คำถามของฉัน แต่เป็นของหมอนิ่มเจ้าประจำ
“พวกหมอผู้ชายกับบุรุษพยาบาลนอนเต็นท์กันครับ เพราะรอบๆ อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์จะเป็นสันภูย่อมๆ ให้กางเต็นท์นอนได้เป็นร้อยเต็นท์เลย แถมยังมีห้องน้ำให้ใช้สะดวกสบายอีกต่างหาก”
“บรรยากาศดีนะคะ” ฉันเสริม เพราะระหว่างทางมีโอกาสเห็นทะเลหมอกบนสันเขา และยอดเขาตัดกับแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ที่ย่างเข้าหน้าหนาวช่างเป็นภาพที่สบายตาเหลือเกิน
“ใช่ครับ พรุ่งนี้เช้า ถ้าหมอขวัญสนใจผมแนะนำให้ไปชมพระอาทิตย์ขึ้น สวยจริงๆ”
“แสดงว่าเย็นนี้ก็ต้องมีพระอาทิตย์ตกดินสินะคะ เดี๋ยวนิ่มเตรียมตัวไปชมพร้อมคุณหมอดีกว่า” และแล้วบทสนทนานี้ก็ถูกหมอนิ่มแทรกขึ้นมาอย่างเนียนๆ เช่นเคย
“เข้าไปพักผ่อนเหอะคุณขวัญ อย่ามัวแต่ชมจำอวดหน้าม่านอยู่เลย” เสียงถอนหายใจดังๆ ของนิธิศดังขึ้นหลังประโยค ซึ่งฉันก็เห็นด้วยจึงเปิดประตูและเดินเข้าไปวางของภายในห้องพัก
ไม่นานหมอนิ่มก็ตามมาแต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรเพราะเพลียและล้าอยากจะเอนหลังเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จจึงเปลี่ยนกางเกงขาสั้นแบบสบายๆ ขึ้นไปนั่งบนเตียงขนาดสามเมตร หนึ่งในสองเตียงที่วางข้างกันมีเพียงโต๊ะวางโทรศัพท์ภายในกั้นกลาง
“คุณขวัญจะนอนพักเหรอคะ” หมอนิ่มถามเมื่อฉันสังเกตเห็นว่าเธอก็เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จเช่นกัน
“ใช่ค่ะ”
“งั้นนิ่มไม่กวนแล้วค่ะ ว่าจะไปเดินเที่ยวกับหมอกานต์เสียหน่อย”
“ตามสบายค่ะ ขอให้สนุกนะคะ ขวัญฝากล็อกประตูด้วยเลยแล้วกันค่ะหมอนิ่ม” ฉันยิ้มบางๆ อวยพรก่อนจะเอนตัวลงนอนหันหลังให้หมอนิ่มเป็นการตัดบทสนทนา จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องพร้อมล็อกประตู และเพียงไม่นานฉันก็เกือบจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
“จะหลับแล้วเหรอขวัญ”
“โอ๊ย ฉันจะไม่หลับก็เพราะเสียงคุณนี่แหละนิธิศ”
ฉันหันไปโวยวายเจ้าวิญญาณชายหนุ่มที่โผล่มานั่งอยู่เตียงข้างๆ
“ผมว่าคุณควรบอกหมอกานต์ไปตรงๆ” เขาชวนคุยหน้าตาเฉยหาได้สนใจอารมณ์หงุดหงิดของฉันไม่
“เรื่องอะไร” ในเมื่อเขามองข้ามความหงุดหงิดของฉันไป ฉันก็เลยเอ่ยเข้าเรื่องแบบตรงๆ คงไม่เสียเวลานั่งทะเลาะเรื่องไร้สาระกับเขาแน่
“เรื่องคุณไง บอกไปตรงๆ สิว่าไม่มีโอกาสที่จะเป็นอย่างอื่นกับหมอกานต์ได้นอกจากเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ประกาศไปเลยว่าคุณมีแฟนแล้ว หมอนิ่มจะได้เลิกทำตัวเป็นหมอโรคจิต” นิธิศเบ้ปาก ก่อนจะยกขาซ้ายขึ้น มาพาดบนขาขวาแบบท่าไขว้ห้างของผู้ชายและกล่าวต่อ
“หมอนิ่มน่ะหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่เพราะความหึงหวงบังตาแท้ๆ จากนางฟ้าเลยกลายเป็นนางมารได้ในพริบตา ผมว่าคุณควรทำให้เธอสบายใจแบบถาวร”
“มันจะไม่ดูประเจิดประเจ้อไปหรือคะ ที่จู่ๆ จะเดินไปบอกหมอกานต์ว่าช่วยเลิกคิดกับฉันเกินกว่าเพื่อนร่วมงาน ทั้งที่หมอกานต์ไม่เคยพูดว่ารักฉัน หรือขอฉันคบในเชิงชู้สาวเลยสักครั้ง และ...” ฉันยังไม่ทันจะพูดจบอีตานิธิศก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ก็คืนนี้แหละเขาจะขอคุณ”
“คุณอ่านใจเขามาเหรอ”
“ใช่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะ แต่บอกไว้ก่อนนะขวัญ คุณน่ะมีผมอยู่ทนโท่แล้ว ห้ามเลยนะ อย่าให้รู้เชียว”
นิธิศหรี่ตาทำท่าเหมือนคุณครูกำลังดุนักเรียน
“เดี๋ยวนะ ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่ขวัญๆๆ แล้วคำว่าคุณนำหน้ามันหายไปไหนคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก แฟนกัน สนิทกัน เรียกที่รักยังได้”
“นิธิศ!” ฉันแกล้งถลึงตาทำเสียงดุ ทั้งที่แท้จริงน่ะโคตรเขิน
“เสียดาย ถ้าผมยังอ่านใจคุณออกก็คงจะรู้ว่าที่หน้าแดงเนี่ยเป็นเพราะโกรธหรืออายกันแน่”
“บ้า! อยากจะไปไหนก็เชิญเลย ฉันง่วง เหนื่อย เพลีย อยากนอนเต็มทีแล้ว” ฉันรีบปิดประเด็นสนทนา ล้มตัวลงนอนหันหลังให้นิธิศ โดยไม่ลืมดึงผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงคอ
“แน่ใจรึว่าจะนอนคนเดียวได้น่ะ” คนถามชะโงกหน้ามาหาจนปลายจมูกเกือบจะชิดกัน
“อ๊าย...ถอยไปเลยนะ บอกว่าจะนอนๆๆๆ” แต่เพราะเราไม่สามารถสัมผัสกันได้ แรงผลักจากฉันจึงทะลุร่างโปร่งใสของนิธิศตามเคย
“โอเคๆๆ ผมไม่แกล้งแล้วครับ คุณหลับเถอะ เดี๋ยวผมจะ...นั่งเฝ้าเหมือนเดิม” เขาส่งยิ้มบางๆ มาให้ฉัน และพาตัวเองกลับไปนั่งที่เตียงข้างๆ เหมือนเดิม
ฉันพลิกตัวหันมานอนมองนิธิศ ไม่มีคำพูดใดที่เราเอื้อนเอ่ยออกมาหากทว่าในหัวใจมีแต่ความอบอุ่น สบายใจ และไว้วางใจเหมือนกับทุกครั้งที่เขาจะนั่งอยู่ไม่ห่างฉันในยามหลับ
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ‘แฟนฉันน่ะ’ น่ารักแบบนี้เสมอเลย
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
แว่วเสียงของนิธิศที่กู่ร้องขึ้นยังผลให้ฉันหันไปมองพร้อมทำตาดุ เขาที่ดีใจออกนอกหน้าเกินไป แทนที่จะใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
“นมัสการค่ะหลวงปู่” ฉันเอ่ยก่อนสั่งนิธิศด้วยสายตาให้ทำตาม เขาจึงค่อยรู้สึกตัว
“นมัสการเหมือนกันครับหลวงปู่”
“เป็นยังไงกันบ้างล่ะโยม ช่วงนี้สบายดีกันใช่ไหม” หลวงปู่เรืองถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพอประมาณ กิริยาอันสงบของท่านทำให้ฉันรู้สึกเย็นใจ
“ก็ตามสภาพวิญญาณครับหลวงปู่ ผมดีใจมากที่ได้พบกับหลวงปู่อีกครั้ง คราวนี้หลวงปู่จะมาบอกที่ซ่อนร่างผมใช่ไหมครับ” นิธิศถามรัวเร็ว ฉันทนไม่ไหวเอื้อมมือไปหยิกเอวเขาโดยไม่ทันคาดคิด หากแต่ผลที่ปรากฏออกมานั้นสร้างความไม่คาดคิดให้ยิ่งกว่า เพราะฉันสามารถแตะต้องตัวนิธิศได้จริง เขาหน้านิ่วเพราะแรงหยิกจากฉัน
“โอ๊ย เจ็บนะคุณขวัญ”
“ทำไม...” ฉันมองมือตัวเองสลับกับมองหน้านิธิศที่งุนงงไม่ต่างกัน และสุดท้ายคำตอบของหลวงปู่ก็เฉลยทุกอย่างออกมาให้กระจ่างชัด
“ดูนู่นสิโยม”
เราทั้งสองคนหันไปตามสายตาของหลวงปู่ จึงพบว่าร่างของฉันยังนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาพระประทานของวิหาร ในขณะที่ร่างโปร่งๆ ของฉันที่นั่งหันหลังให้พระประทานข้างกับนิธิศนี้ก็คงจะเป็นจิตที่ออกจากร่าง ทำให้สามารถสัมผัสนิธิศได้นั่นเอง
“ขวัญ” เสียงเรียกหนักแน่นของนิธิศทำให้ฉันหันไปมอง วินาทีถัดมาเขาก็ยื่นฝ่ามือใหญ่มาแบตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ...
“ขอมือหน่อยคุณ”
“คะ?” ฉันงง เขาจึงย้ำอีกที
“ขอจับมือหน่อย” พูดจบนิธิศก็คว้ามือฉันเข้าไปจับ
เพียงแวบแรกที่เขากระชับฝ่ามือประสานเข้ากับมือของฉันความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจทันที เราสองคนยิ้มให้กันโดยปราศจากคำพูดใด นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้สัมผัสเขา...เขาที่เป็นวิญญาณมาตั้งแต่ต้น
“จับมือกันไว้นะโยม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเคียงข้างกันผ่านมันไปให้ได้”
“หมายความว่ายังไงคะหลวงปู่”
“หลังจากวันนี้ไป มีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่รอโยมทั้งสองอยู่”
“เราจะผ่านมันไปได้ไหมครับ”
“ไม่มีใครรู้หรอกโยม กรรมใครก็ของคนนั้น ไม่มีใครหยั่งรู้ว่าจะรอดพ้นบ่วงแห่งกรรมได้หรือไม่ แต่ถ้ามีสติ ประคับประคองจิตใจให้มั่นคง เชื่อมั่นในความดีงาม ทุกอย่างก็จะสำเร็จผล กลับร้ายกลายเป็นดี” สิ้นเสียงของหลวงปู่เรือง ท่านส่งยิ้มให้เราทั้งสองคนก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานิธิศและพูดประโยคที่ฉันฟังไม่เข้าใจ
“อโหสิกรรมให้เขา ระวังความแค้นของเขา ดูแลคนใกล้ตัวให้ดี เพราะจากนี้คนใกล้กับคนไกลกำลังจะได้พบกัน”
“หลวงปู่หมายถึง...” นิธิศไม่ได้พูดต่อ เพราะหลวงปู่พยักหน้า ทำให้ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งสองกำลังพูดถึงใครกัน
“ขอให้โยมทั้งสองโชคดี” พระภิกษุชรากล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เสียงเรียกของหมอกานต์ก็รั้งให้จิตของฉันกลับเข้าร่าง
“คุณขวัญครับ คุณขวัญ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฉันเห็นหมอกานต์แตะไหล่ร่างของฉันที่กำลังนั่งสมาธิแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ไม่ตอบรับ
“ผมไม่อยากปล่อยมือจากคุณเลย” นิธิศพูดและไม่ยอมคลายมือออกจากฉันจริงๆ ด้านหมอกานต์ก็เริ่มเขย่าตัวฉันเบาๆ ด้วยความตกใจ
“ฉันต้องกลับเข้าไปแล้วนิธิศ”
“ผม...ผมจะต้องเข้าร่างให้ได้ แล้วผมจะจับมือคุณไว้ไม่ให้ใครมาพรากเรา” มือของเราหลุดออกจากกัน จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนถูกเครื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์ ดูดกลับเข้าร่างของตัวเองทันที
“คุณขวัญ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” หมอกานต์รีบถามทันทีที่ฉันเปิดเปลือกตา
“ไม่ค่ะ ขวัญไม่เป็นไร”
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็รีบไปกันเถอะค่ะ คนขับรถรอเราอยู่หน้าวิหารแล้ว” หมอนิ่มมองมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ฉันส่งสายตาเชิงขอโทษไปให้เธอก่อนจะค่อยๆ ลุกเดินโดยมีหมอกานต์หวังดีเข้ามาประคอง
“ขวัญไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันปฏิเสธความหวังดีนั้นอย่างนุ่มนวล และเดินออกจากวิหารโดยมีวิญญาณของนิธิศเดินตามออกมา
****************
การเดินทางไปยังภูพยัคฆ์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังอุปสรรคผ่านพ้นไป รถตู้คันเดิมพาพวกเราทั้งหมดเดินทางออกจากอำเภอปัว มุ่งหน้าเข้าอำเภอเชียงกลาง อำเภอทุ่งช้าง ตามทางหลวงหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดศูนย์ที่ฉันเห็นข้างทาง หมอนิ่มผูกขาดการสนทนากับหมอกานต์เช่นเคย ส่วนฉันนั่งหลับตาให้ทุกคนคิดเสียว่ากำลังหลับสลับกับลืมตามองข้างทางเป็นบางครั้ง จะได้ไม่ต้องถูกหมอกานต์ดึงเข้าไปเป็นก้างขวางคอของหมอนิ่มอีก
รถเดินทางออกจากตัวอำเภอทุ่งช้างได้ไม่นาน ถนนหนทางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นทางลาดชันขึ้นเขาเข้าสู่บ้านห้วยโก๋น และเส้นทางก็เป็นทางขึ้นเขามาตลอด ระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรที่รถตู้วิ่งผ่านมา จวบจนเวลาบ่ายคล้อยรถก็พาเราแวะที่บ้านห้วยโก๋น ซึ่งหมอกานต์บอกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวไทลื้อที่มีฝีมือในการทอผ้าลวดลายสีสันสวยงาม หมอนิ่มจึงขอร้องให้หมอกานต์พาไปชม
ส่วนฉันกับลุงคนขับรถไปเข้าห้องน้ำ และแวะรับประทานอาหารคนละร้านกับหมอนิ่ม หมอกานต์ ราวๆ หนึ่งชั่วโมงเราจึงออกเดินทางต่อ ผ่านที่ว่าการอำเภอเฉลิมพระเกียรติ และรถเลี้ยวเข้าบ้านห้วยทรายขาว บ้านกิ่วจันทร์ ในที่สุดเวลาประมาณบ่ายสามโมง เราทั้งหมดก็มาถึงบ้านน้ำรีทางขึ้นภูพยัคฆ์
“เมื่อยไหมครับทุกคน” หมอกานต์หันมาถามสมาชิกอีกสองคนบนรถ หมอนิ่มขยับตัวตื่นนอน ส่วนฉันที่ไม่ได้หลับ ส่งยิ้มบางๆ ไปให้คนถามก่อนเอ่ยตอบ
“นิดหน่อยค่ะ”
“ต่อไปเดี๋ยวหมอนิ่มจะพักกับหมอขวัญนะครับ ส่วนที่พักของผมจะแยกไปอีกทาง ผมจะให้คุณหมอทั้งสองพักผ่อน แล้วเราจะมาเจอกันตอนหกโมงเย็นเพื่อรับประทานอาหาร และนัดแนะเรื่องที่จะสัมมนาในวันพรุ่งนี้” หมอกานต์บอกโปรแกรมขณะที่รถแล่นไปส่งเรายังที่พัก
“ได้เลยค่ะ” หมอนิ่มพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้เราจะสัมมนากันตอนเก้าโมงเช้าถึงเที่ยงนะครับ เสร็จแล้วผมจะพาคุณหมอทั้งสองทัวร์อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ และเลยไปสำนัก 708 ชมโครงการหลวงกับพิพิธภัณฑ์ชนชาติลัวะและม้งด้วยครับ”
หมอกานต์บอกโปรแกรมคร่าวๆ
“น่าสนุกจังเลยค่ะ”
หมอนิ่มทำท่าทางตื่นเต้น ส่วนฉันทั้งเพลียและเวียนหัวจากการนั่งรถมาราธอนเกินกว่าจะจินตนาการถึงความสนุกใด
“ถึงที่พักแล้วครับ เชิญหมอนิ่มกับหมอขวัญก่อนเลย” หมอกานต์พูดจบ คนขับรถก็เดินอ้อมมาเลื่อนประตูเปิดให้พวกเราทันที
ฉันสะพายกระเป๋าเป้ใบโตขึ้นบนหลัง และเดินตามหมอนิ่มกับหมอกานต์เข้าที่พักไปลักษณะเป็นอาคารใหญ่แบ่งเป็นห้องๆ ให้เข้าพักเฉพาะผู้หญิง ฉันเห็นพยาบาลหลายคนเดินสวนกันไปมา ที่นี่น่าจะรวมพวกที่มาสัมมนาเข้าพักทั้งหมด
“ห้องนี้แหละครับ” หมอกานต์เดินมาส่งเราสองสาวถึงหน้าห้อง
“แล้วหมอกานต์พักที่ไหนคะ” แน่นอนว่าไม่ใช่คำถามของฉัน แต่เป็นของหมอนิ่มเจ้าประจำ
“พวกหมอผู้ชายกับบุรุษพยาบาลนอนเต็นท์กันครับ เพราะรอบๆ อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์จะเป็นสันภูย่อมๆ ให้กางเต็นท์นอนได้เป็นร้อยเต็นท์เลย แถมยังมีห้องน้ำให้ใช้สะดวกสบายอีกต่างหาก”
“บรรยากาศดีนะคะ” ฉันเสริม เพราะระหว่างทางมีโอกาสเห็นทะเลหมอกบนสันเขา และยอดเขาตัดกับแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ที่ย่างเข้าหน้าหนาวช่างเป็นภาพที่สบายตาเหลือเกิน
“ใช่ครับ พรุ่งนี้เช้า ถ้าหมอขวัญสนใจผมแนะนำให้ไปชมพระอาทิตย์ขึ้น สวยจริงๆ”
“แสดงว่าเย็นนี้ก็ต้องมีพระอาทิตย์ตกดินสินะคะ เดี๋ยวนิ่มเตรียมตัวไปชมพร้อมคุณหมอดีกว่า” และแล้วบทสนทนานี้ก็ถูกหมอนิ่มแทรกขึ้นมาอย่างเนียนๆ เช่นเคย
“เข้าไปพักผ่อนเหอะคุณขวัญ อย่ามัวแต่ชมจำอวดหน้าม่านอยู่เลย” เสียงถอนหายใจดังๆ ของนิธิศดังขึ้นหลังประโยค ซึ่งฉันก็เห็นด้วยจึงเปิดประตูและเดินเข้าไปวางของภายในห้องพัก
ไม่นานหมอนิ่มก็ตามมาแต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรเพราะเพลียและล้าอยากจะเอนหลังเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จจึงเปลี่ยนกางเกงขาสั้นแบบสบายๆ ขึ้นไปนั่งบนเตียงขนาดสามเมตร หนึ่งในสองเตียงที่วางข้างกันมีเพียงโต๊ะวางโทรศัพท์ภายในกั้นกลาง
“คุณขวัญจะนอนพักเหรอคะ” หมอนิ่มถามเมื่อฉันสังเกตเห็นว่าเธอก็เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จเช่นกัน
“ใช่ค่ะ”
“งั้นนิ่มไม่กวนแล้วค่ะ ว่าจะไปเดินเที่ยวกับหมอกานต์เสียหน่อย”
“ตามสบายค่ะ ขอให้สนุกนะคะ ขวัญฝากล็อกประตูด้วยเลยแล้วกันค่ะหมอนิ่ม” ฉันยิ้มบางๆ อวยพรก่อนจะเอนตัวลงนอนหันหลังให้หมอนิ่มเป็นการตัดบทสนทนา จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องพร้อมล็อกประตู และเพียงไม่นานฉันก็เกือบจะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
“จะหลับแล้วเหรอขวัญ”
“โอ๊ย ฉันจะไม่หลับก็เพราะเสียงคุณนี่แหละนิธิศ”
ฉันหันไปโวยวายเจ้าวิญญาณชายหนุ่มที่โผล่มานั่งอยู่เตียงข้างๆ
“ผมว่าคุณควรบอกหมอกานต์ไปตรงๆ” เขาชวนคุยหน้าตาเฉยหาได้สนใจอารมณ์หงุดหงิดของฉันไม่
“เรื่องอะไร” ในเมื่อเขามองข้ามความหงุดหงิดของฉันไป ฉันก็เลยเอ่ยเข้าเรื่องแบบตรงๆ คงไม่เสียเวลานั่งทะเลาะเรื่องไร้สาระกับเขาแน่
“เรื่องคุณไง บอกไปตรงๆ สิว่าไม่มีโอกาสที่จะเป็นอย่างอื่นกับหมอกานต์ได้นอกจากเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ประกาศไปเลยว่าคุณมีแฟนแล้ว หมอนิ่มจะได้เลิกทำตัวเป็นหมอโรคจิต” นิธิศเบ้ปาก ก่อนจะยกขาซ้ายขึ้น มาพาดบนขาขวาแบบท่าไขว้ห้างของผู้ชายและกล่าวต่อ
“หมอนิ่มน่ะหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่เพราะความหึงหวงบังตาแท้ๆ จากนางฟ้าเลยกลายเป็นนางมารได้ในพริบตา ผมว่าคุณควรทำให้เธอสบายใจแบบถาวร”
“มันจะไม่ดูประเจิดประเจ้อไปหรือคะ ที่จู่ๆ จะเดินไปบอกหมอกานต์ว่าช่วยเลิกคิดกับฉันเกินกว่าเพื่อนร่วมงาน ทั้งที่หมอกานต์ไม่เคยพูดว่ารักฉัน หรือขอฉันคบในเชิงชู้สาวเลยสักครั้ง และ...” ฉันยังไม่ทันจะพูดจบอีตานิธิศก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ก็คืนนี้แหละเขาจะขอคุณ”
“คุณอ่านใจเขามาเหรอ”
“ใช่ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะ แต่บอกไว้ก่อนนะขวัญ คุณน่ะมีผมอยู่ทนโท่แล้ว ห้ามเลยนะ อย่าให้รู้เชียว”
นิธิศหรี่ตาทำท่าเหมือนคุณครูกำลังดุนักเรียน
“เดี๋ยวนะ ทำไมเดี๋ยวนี้มีแต่ขวัญๆๆ แล้วคำว่าคุณนำหน้ามันหายไปไหนคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก แฟนกัน สนิทกัน เรียกที่รักยังได้”
“นิธิศ!” ฉันแกล้งถลึงตาทำเสียงดุ ทั้งที่แท้จริงน่ะโคตรเขิน
“เสียดาย ถ้าผมยังอ่านใจคุณออกก็คงจะรู้ว่าที่หน้าแดงเนี่ยเป็นเพราะโกรธหรืออายกันแน่”
“บ้า! อยากจะไปไหนก็เชิญเลย ฉันง่วง เหนื่อย เพลีย อยากนอนเต็มทีแล้ว” ฉันรีบปิดประเด็นสนทนา ล้มตัวลงนอนหันหลังให้นิธิศ โดยไม่ลืมดึงผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงคอ
“แน่ใจรึว่าจะนอนคนเดียวได้น่ะ” คนถามชะโงกหน้ามาหาจนปลายจมูกเกือบจะชิดกัน
“อ๊าย...ถอยไปเลยนะ บอกว่าจะนอนๆๆๆ” แต่เพราะเราไม่สามารถสัมผัสกันได้ แรงผลักจากฉันจึงทะลุร่างโปร่งใสของนิธิศตามเคย
“โอเคๆๆ ผมไม่แกล้งแล้วครับ คุณหลับเถอะ เดี๋ยวผมจะ...นั่งเฝ้าเหมือนเดิม” เขาส่งยิ้มบางๆ มาให้ฉัน และพาตัวเองกลับไปนั่งที่เตียงข้างๆ เหมือนเดิม
ฉันพลิกตัวหันมานอนมองนิธิศ ไม่มีคำพูดใดที่เราเอื้อนเอ่ยออกมาหากทว่าในหัวใจมีแต่ความอบอุ่น สบายใจ และไว้วางใจเหมือนกับทุกครั้งที่เขาจะนั่งอยู่ไม่ห่างฉันในยามหลับ
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ‘แฟนฉันน่ะ’ น่ารักแบบนี้เสมอเลย
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ค. 2561, 09:54:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 พ.ค. 2561, 09:54:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 780
<< บทที่ 6 เป็นของผมไปก่อน (100%) | บทที่ 7 ภาพความฝัน (100%) >> |