นาฏกรรมลวง: ขวัญของใจ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
แม้จะชินชากับกลิ่นโรงพยาบาลสักเพียงใด...ทว่ากลิ่นคละคลุ้งคาวเลือดในเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ก็ได้ปลุกให้ ‘ขวัญ’ แพทย์หญิงชีวาภรณ์ ชิษณุพงศ์ ตื่นขึ้นมาพบกับวิญญาณของชายหนุ่มปริศนา ‘นิธิศ’

ขณะเดียวกันนาฏกรรมที่ใครสักคนอุปโลกน์ขึ้น กำลังนำไปสู่การไขปริศนาของความตายที่บังเอิญเกี่ยวพันกับความฝันแสนประหลาดของขวัญอย่างจงใจ และยิ่งขยับเข้าไปใกล้ทุกขมวดของปมมากเท่าไหร่ บ่วงที่ฆาตกรวางไว้ก็กำลังรอต้อนรับด้วยความตายมากเท่านั้น!

“ผมจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้เร็วที่สุด” นิธิศพูดด้วยความมุ่งมั่น และนั่นก็ทำให้ฉันสลัดเอาความหวาดกลัวทั้งหลายออกไปจากใจ
“เราจะช่วยกันค่ะ ฉันจะช่วยเป็นมือทั้งสองข้างให้คุณเอง”
“ถ้าคุณอยากช่วยเป็นมือให้ผมจริงๆ ช่วยตอนนี้เลยได้ไหม ทำอะไรให้ผมสักอย่างสิ”
“คะ?” ฉันมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ถ้ามือของคุณคือตัวแทนของมือผม คุณก็ช่วยกอดตัวเองหน่อยได้ไหม กอดตัวเองไว้ แล้วผมจะปลอบใจคุณเอง”


**************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ขวัญของใจ" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ในตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบแนว Romantic Suspense มิควรพลาดจ้า #รับประกันว่าแหกกฎนิยายรักทุกเรื่องที่เคยมีมา เพราะนอกจากมีปมสืบสวนฆาตกรรมให้ตามติดแล้ว พระเอกของเราสายทะเล้น ตื๊อนางเอก และ...เป็นวิญญาณ พระรองก็เป็นวิญญาณ ส่วนนางเอกเป็นหมอผ่าศพ!


**************

นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com และร้าน booksforfun
-สั่งซื้อกับสนพ.โดยตรงโดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks


(หนังสือพร้อมส่ง)


ราคา 329฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 30฿ (รวมเป็น 359฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 389฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

**แบบ eBook มีวางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket**

Tags: สืบสวน ฆาตกรรม วิญญาณ ทะเล้น หมอ พยาบาล น่ารัก สยอง

ตอน: บทที่ 9 กลับบ้าน (100%)

หลังจากส่งรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลนี้ลงสู่โรงพยาบาลเอกชนที่พี่ณาติดต่อเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอนิ่มอาสาขับรถพาพ่อกับแม่ของหมอกานต์ตามรถพยาบาลไปติดๆ ทางด้านฉันกับพี่ณาก็กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักในโรงพยาบาลปัวเพื่อเตรียมเสื้อผ้าและทำเรื่องลางานให้เรียบร้อยภายในเช้าวันพรุ่งนี้ โชคดีที่มีนักศึกษาแพทย์และแพทย์ใช้ทุนมาประจำการที่โรงพยาบาลปัวพอดี การลางานจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก

“พี่ณาคะ พรุ่งนี้ขวัญขอตามเข้ากรุงเทพฯ ด้วยคนได้ไหมคะ” ฉันเอ่ยขึ้นมาในขณะที่พี่ณาขับรถออกมาได้ไกลพอสมควร ใบหน้าแจ่มใสที่มักยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจของเธอบัดนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยความเคร่งเครียด เงียบขรึม เสียจนฉันต้องใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่าจะเอ่ยขออนุญาตออกมาได้

“ไม่ได้!” คนถูกถามตอบแทบจะในทันที น้ำเสียงนั้นดุดันเสียจนฉันงุนงง

“ทำไมล่ะคะ ขวัญแค่อยากไปดูอาการหมอกานต์จนแน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไรแล้ว”

“อาจารย์หมอที่พี่ติดต่อเอาไว้ท่านเก่งมาก เป็นมือหนึ่งในเรื่องศัลยกรรมประสาท กานต์จะต้องปลอดภัย เขาจะไม่เป็นอะไร ขวัญเชื่อพี่เถอะ”

“แต่ขวัญอยากไปนี่คะ ให้ขวัญนั่งรถไปเป็นเพื่อนพี่ณาก็ยังดี”

“อย่าเลยขวัญ อยู่ที่น่านนี่แหละ ยังไงๆ พี่ก็ไม่ให้ขวัญไปด้วยเด็ดขาด” น้ำเสียงเฉียบขาดของพี่ณายิ่งทำให้ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเรื่องแค่นี้จะต้องห้ามกันด้วย

“พี่ณาคะ...”

“เงียบเถอะขวัญ พี่ต้องการสมาธิ” และแล้วประโยคนี้ ก็ปิดทุกคำ พูดต่อๆ ไปของฉันได้อย่างชะงักงัน

แต่นั่นไม่ใช่กับนิธิศที่นั่งอยู่เบาะหลังเพราะเขายื่นใบหน้ามาตรงช่องว่างระหว่างเบาะคนขับกับเบาะข้าง และหันไปมองหน้าเคร่งเครียดของพี่ณาอย่างพินิจพิเคราะห์

“คุณหมอณาเธอคิดว่าเป็นตายยังไง คุณขวัญก็ห้ามไปกรุงเทพฯเด็ดขาด”

ฉันหันขวับไปทางเขาพลางส่งสายตาเชิงขอร้องให้เขาพูดอะไรที่มันมากกว่านั้น

“คุณหมอณามีเรื่องปิดบังคุณอยู่ เกี่ยวกับโรงพยาบาลชิษณุพงศ์ที่หมอกานต์จะต้องเข้ารับการรักษาตัว และคุณหมอณาก็จะสั่งให้สิตางค์คอยจับตาดูคุณขวัญอย่างใกล้ชิดในระหว่างที่เธอไม่อยู่ เพราะเธอกลัวคุณขวัญจะแอบไปกรุงเทพฯ เอง เธอไม่ต้องการให้คุณขวัญไปที่นั่น ไม่ต้องการให้คุณขวัญได้พบกับตัวอันตราย”

โรงพยาบาลชิษณุพงศ์...

ทำไมชื่อเหมือนนามสกุลของฉันเลยนะ แล้วอะไรคือตัวอันตราย?

ฉันยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ได้แต่ขมวดคิ้วใส่นิธิศที่หันกลับไปจ้องหน้าพี่ณาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คำตอบอะไรมาเลย

“คุณหมอณาเธอไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วครับ ตอนนี้จิตใจเธอห่วงแต่น้องชายของเธอ”

ฉันพยักหน้ารับพอไม่ให้เป็นที่สังเกต ก่อนจะขยับตัวนั่งพิงเบาะที่เพิ่งจะปรับเอนในท่าสบายและปิดเปลือกตาลง ภายในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไร้คำตอบ ไร้ทางออก แต่ดูเหมือนว่าถ้าหากฉันอยากได้คำตอบของคำถามทั้งหมด ฉันจะต้องเดินทางไปยัง...

โรงพยาบาลชิษณุพงศ์!



***************



วันถัดมา ทุกอย่างดำเนินไปตามที่พี่ณาพูดและคิดเอาไว้ เพราะตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พี่ณาจัดแจงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบย่อม ก่อนจะออกไปยื่นใบลา และขับรถมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครทันที

ซึ่งวันนี้ทั้งวัน สิตางค์ติดตามฉันราวกับเป็นเงาพอๆ กับนิธิศก็ว่าได้ แถมวันนี้โชคดีเพราะฉันแทบจะไม่มีงานหนักเข้ามาเลย นอกจากการผ่าชันสูตรศพที่ประสบอุบัติเหตุแค่สามรายเท่านั้น

“ดูเหมือนวันนี้เธอจะรักฉันเป็นพิเศษนะจ๊ะสิตางค์...” ตกเย็นเมื่อจัดการกับคนไข้ไร้ลมหายใจของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็อดจะพูดขึ้นมาไม่ได้ เพราะขนาดวันนี้เป็นคิวของฉันที่จะต้องเข้าเวรอยู่โรงพยาบาลจนถึงเช้า แต่ไม่ใช่คิวของสิตางค์ หล่อนก็ยังอุตส่าห์ไปหาแลกเวรกับพยาบาลคนอื่น เพื่อที่จะติดตามฉัน...ตามคำสั่งของพี่ณา

“ปะ...เปล่านี่คะ สิตางค์ก็แค่เป็นห่วงหมอขวัญ เมื่อวานเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา ก็อยากคอยดูแล” สิตางค์รีบหลบตา

“อ๋อ งั้นเหรอจ๊ะ ถ้างั้นเรามาหาอะไรคุยฆ่าเวลากันดีไหม ไหนๆ ตอนนี้ก็ต้องอยู่เวร แถมไม่มีคนไข้ด้วย ฉันว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้หน่อย”

“แต่นี่มันดึกแล้วนะคะ ร่างกายคุณหมอยังไม่แข็งแรงเลย สิตางค์ว่าคุณหมอพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวสิตางค์จะออกไปเดินตรวจดูคนไข้ที่ห้องผู้ป่วยรวมเสียหน่อย”

“ไปตรวจเหมือนวันนั้น วันที่เราเจอกันครั้งแรกหรือเปล่าจ๊ะ”

“ใช่ค่ะ ไปตรวจความเรียบร้อยแบบนั้นแหละ” หล่อนพยักหน้ารับรัวๆ และทำท่าจะเดินออกไปจากห้องพักแพทย์ที่ฉันประจำอยู่ แต่ฉันยื่นมือไปคว้าข้อมือของสิตางค์เอาไว้เสียก่อน

“สิตางค์รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงย้ายมาที่น่าน และวันแรกที่เราเจอกัน ฉันป่วยเป็นอะไรเหรอ ทำไมถึงไปโผล่ในห้องผู้ป่วยรวมได้ล่ะ”

“เรื่องนั้นสิตางค์ไม่รู้หรอกค่ะ รู้แค่ว่าคุณหมอน่ะมากับรถของโรงพยาบาลชิษณุพงศ์ ส่วนป่วยเป็นอะไร ไม่เห็นมีใครส่งประวัติการรักษาตัวของคุณหมอมาด้วยเลยนี่คะ” พยาบาลสาวทำท่าคิดก่อนจะตอบออกมา และหนึ่งในคำตอบนั้นก็ทำให้ฉันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“จริงสิ! แล้วพวกประวัติกับเอกสารการขอย้ายมาประจำการที่นี่ล่ะ สิตางค์ เธอรู้ไหมว่าของฉันอยู่ที่ไหน”

“อ้าว เอกสารพวกนั้นคุณหมอไม่ได้เก็บไว้เองหรอกเหรอคะ”

สิตางค์ทำหน้างงงวย

“ไม่มีเลย ฉันไม่มีของพวกนั้นอยู่กับตัวเลย”

“อ้าว...” หล่อนยิ่งงงหนัก แต่ฉันควรใช้โอกาสนี้แหละในการขอร้องหล่อนให้พาไปยังสถานที่ ที่ฉันคิดว่ามันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดให้ได้

“สิตางค์ช่วยพาฉันไปโรงพยาบาลชิษณุพงศ์หน่อยได้ไหม”

“ไม่ค่ะ ไม่ไป ไปไม่ได้เด็ดขาด” สิตางค์ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว

“พาฉันไปเถอะนะ ฉันอยากกลับไปที่นั่น อยากไปเยี่ยมหมอกานต์ แล้วก็อยาก...อยากกลับบ้าน”

“ไม่ค่ะ ไม่ๆๆๆ สิตางค์พาไปไม่ได้จริงๆ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอีกหน จนฉันจำต้องหันไปหานิธิศอย่างขอความช่วยเหลือ เนื่องจากงานนี้มีสิตางค์คนเดียวเท่านั้นที่จะพาฉันไปยังที่นั่นได้

“คุณไปเตรียมพวกยาดม ยาหอมไว้แล้วกัน เพราะผมคงต้องใช้วิธีของผมจัดการกับสิตางค์” นิธิศพูดจบปากกาที่เสียบเอาไว้ในกล่องบนโต๊ะทำงานของฉันก็เริ่มขยับไปมาต่อหน้าต่อตาของสิตางค์ ฉันเห็นว่านิธิศเพ่งไปที่ปากกานั้น แต่ว่าสิตางค์ไม่เห็น หล่อนจึงอ้าปากค้างกับโชว์เหนือธรรมชาตินี้

นิธิศจ้องไปที่ชั้นวางเอกสารก่อนที่แฟ้มบนชั้นนั้นจะร่วงระเนระนาด กระดาษหลุดออกมาปลิวว่อนไปทั่วห้อง สิตางค์ถลาเข้ามาหาฉันก่อนกรีดร้องกับภาพตรงหน้าดังลั่น

“นี่มันอะไรกันคะเนี่ย” คนถามสีหน้ากึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ ก่อนจะมองมายังฉันแล้วถามต่ออีก

“หมอขวัญเล่นมายากลเหรอคะ”

‘โธ่เอ๊ย สงสัยจะไม่ได้ผล’ ฉันหันไปนึกบอกนิธิศในใจ เพื่อหวังให้เขาทำอะไรที่มันมากกว่านี้

จู่ๆ กระดาษแผ่นหนึ่งบนพื้นก็ลอยขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน ก่อนที่ปากกาจะลอยคว้างในอากาศแล้วจรดปลายลงไปบนกระดาษ เขียนเป็นประโยคที่ทำให้สิตางค์อ่านจบก็แทบจะเป็นลม

‘พาหมอขวัญไปโรงพยาบาลชิษณุพงศ์เดี๋ยวนี้!!!’

พรึ่บ!

ในที่สุดสิตางค์ก็ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเพราะในกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้ปรากฏเพียงข้อความเป็นตัวอักษร แต่ยังมีใบหน้าของนิธิศแบบเลือนรางปรากฏอยู่ด้วย

“พาหมอขวัญไปเดี๋ยวนี้!!!” เสียงออกคำสั่งของนิธิศดังก้องไปทั่วห้อง

“ฮือ...อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยเจ้าค่ะ สิตางค์กลัวแล้ว”

เจ้าหล่อนนั่งยกมือไหว้ปลกๆ อย่างน่าเวทนา จนฉันต้องหันไปส่ายหน้ากับนิธิศพร้อมบอกเขาด้วยสายตาว่าให้หยุดได้แล้ว

จนกระทั่งวินาทีต่อมา ข้าวของที่ระเกะระกะภายในห้องก็กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนนิธิศเองทิ้งตัวนั่งหอบคล้ายคนที่เหนื่อยจากการวิ่งมาเป็นสิบกิโล สงสัยเมื่อครู่นี้เขาจะใช้พลังงานมากเกินไป

“สิตางค์! สิตางค์!” ฉันร้องเรียกคนที่เป็นลมไปแล้วด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปเทแอมโมเนียลงบนสำลีและนำมาจ่อที่ปลายจมูกของคนเป็นลม

“ผี! ผี! มีผีในห้องหมอขวัญ!” พอฟื้นขึ้นมาได้ สิตางค์ก็เริ่มโวยวายทันที

“ใจเย็นๆ ก่อนสิตางค์ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” ฉันกอดร่างบางพอกันเอาไว้พลางลูบหลังและปลอบใจไปด้วย

“คุณหมอเห็นเหมือนกันไหม เขาบอกว่าให้สิตางค์พาคุณหมอไปโรงพยาบาลชิษณุพงศ์” เมื่อคลายจากความกลัวในระดับหนึ่งแล้ว สิตางค์ก็ละล่ำละลักถามฉัน และแม้ฉันจะสงสารหล่อนแต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ฉันจำเป็นต้องสวมรอยข่มขู่หล่อนไปด้วยอีกคน

“ใช่ แล้วตอนสิตางค์เป็นลมไป เขาก็บอกกับฉันว่าถ้าเธอไม่พาไป เขาจะกลับมาเล่นงานเธออีก”

“ว่ายังไงนะคะ!”

“เธอไม่สงสัยบ้างเหรอสิตางค์ ว่าที่โรงพยาบาลชิษณุพงศ์มันมีอะไร ทำไมพี่ณาต้องมาสั่งให้เธอห้ามพาฉันไป และทำไมคุณผีที่เพิ่งมาเมื่อกี้ อยากให้เธอพาฉันไปนัก”

“เรื่องนั้น...สิตางค์ก็สงสัย” หล่อนพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะมองหน้าฉันอย่างไม่มั่นใจ หากทว่าสุดท้ายก็ยอมพูดประโยคถัดมา

“แต่หมอณาบอกว่าหมอขวัญไม่ควรกลับไปที่นั่นอีก มันอันตรายมาก”

“ถ้างั้นสิตางค์กลัวใครมากกว่า ระหว่างพี่ณากับคุณผี”

“ก็ต้องคุณผีสิคะ” สิตางค์รีบตอบแล้วมองไปรอบๆ ห้องอย่างคนหวาดกลัว

“เอาเป็นว่าสิตางค์ขอคิดก่อนแล้วกันว่าจะมีทางไหนที่จะพาหมอขวัญไปโรงพยาบาลชิษณุพงศ์ได้บ้างโดยที่ไม่ให้หมอณาสงสัยหรือจับได้ เพราะสายของหมอณาที่นี่ ไม่ได้มีแค่สิตางค์คนเดียวหรอกค่ะ”

“อ้อ ฉันลืมบอกไปเลยว่าคุณผียังฝากบอกสิตางค์อีกนะ”

“ฝากอะไรกันเยอะแยะคะ แค่นี้สิตางค์ก็ฉี่จะราดแล้ว”

“เขาบอกว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะต้องเดินทางถึงกรุงเทพฯ น่ะจ้ะ” ฉันจำเป็นต้องเร่งสิตางค์ออกไป เพราะตอนนี้ใจฉันน่ะมันโบยบินไปถึงโรงพยาบาลชิษณุพงศ์เรียบร้อยแล้ว

“โอ๊ย...สิตางค์ล่ะอยากจะเป็นลมอีกรอบชะมัดเลย”

“น่านะ ช่วยฉันกับคุณผีหน่อยนะจ๊ะ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยฉันสัญญาเลยว่าจะตอบแทนบุญคุณของสิตางค์ให้ดีที่สุด”

“เฮ้อ! ช่วยก็ช่วยค่ะ แต่ห้ามมาหลอกมาหลอนกันอีกนะคะ คราวนี้ สิตางค์ฉี่ราดแน่ๆ” คนพูดยกมือไหว้ไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ในขณะที่คุณผีนิธิศกำลังขำเอาเป็นเอาตาย

“ขอบใจมากนะจ๊ะสิตางค์ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย” ฉันเอ่ยออกไปอย่างซึ้งใจ และอยากเร่งวันและคืนให้มันผ่านพ้นไวๆ เพราะฉันจะได้ไปที่ที่อยากไปเสียที



***************



วิธีการของสิตางค์เป็นวิธีธรรมดาที่ได้ผลเสียยิ่งกว่าได้ผล เพราะเมื่อเช้าหล่อนโทร.ไปบอกเพื่อนสนิท ให้แกล้งโทรศัพท์มายังโรงพยาบาลปัว และบอกกับเจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์ว่าญาติของสิตางค์ป่วยหนัก ให้รีบกลับมาดูใจด่วน จากนั้นสิตางค์ก็ไปบอกสายสืบที่เหลือของหมอณาว่าจะพาฉันกลับไปเยี่ยมญาติด้วย เพราะต้องจับตามองฉันอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ฉันแอบหนีไปกรุงเทพฯ ซึ่งทุกคนก็เชื่อสนิท ทำให้บัดนี้ฉันกับสิตางค์และนิธิศได้เข้ามานั่งอยู่บนรถทัวร์ของจังหวัดน่านที่กำลังมุ่งสู่เมืองหลวงได้สำเร็จ โดยที่เรามีเวลาจากการลางานครั้งนี้เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น

“แล้วเราจะพักกันที่ไหนจ๊ะ” ฉันเอ่ยถามเมื่อรถทัวร์คันใหญ่ แล่นเข้ามาจอดในสถานีขนส่งหมอชิต ที่ๆ มีผู้คนพลุกพล่านจนฉันชักลายตา

“สิตางค์ให้เพื่อนจองห้องพักไว้ให้แล้วค่ะ หนึ่งอาทิตย์ เป็นห้องพักของโรงแรมที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลชิษณุพงศ์ด้วย”

“โอเคจ้ะ ขอบใจสิตางค์อีกทีนะที่ช่วยเหลือฉันทุกอย่างเลย”

“โธ่...หมอขวัญก็รู้ว่าที่สิตางค์ทำน่ะ เพื่อตัวเองล้วนๆ สิตางค์ไม่ถูกกับผีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ถึงอย่างนั้นฉันก็ขอบคุณจริงๆ” ฉันระบายยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ ไม่เสียใจเลยที่ได้รู้จักกับสิตางค์

เราทั้งหมดเดินออกมาเรียกแท็กซี่ที่หน้าสถานีขนส่งเพื่อให้ไปส่งยังโรงแรมที่สิตางค์จองเอาไว้ ความอ่อนเพลียจากการอดนอนติดต่อกันนานๆ ทำให้ฉันนั่งรถด้วยความสะลืมสะลือ

“นิธานตามเรามา” แต่แล้วประโยคนี้ของนิธิศก็ปลุกให้ฉันตาสว่างขึ้นมาทันทีทันใด

“เขาบอกอะไรคุณหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถามออกไป ลืมไปเลยว่ายังมีสิตางค์กับคนขับแท็กซี่นั่งอยู่บนรถด้วย

“ไม่บอกอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะของมัน เหมือนมันกำลังดีใจ”

“ดีใจอะไรคะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ขวัญจำได้ไหม ครั้งหนึ่งที่นิธานเคยสิงวิญญาณผม แล้วบอกให้คุณกลับไปที่โรงพยาบาลชิษณุอะไรสักอย่าง...จากนั้นหมอณาก็โผล่เข้ามาในบ้านพอดี”

ฉันนั่งนิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่นิธิศกล่าว ก่อนจะนึกออกว่าเคยถูกสั่งให้กลับไปที่โรงพยาบาลชิษณุอะไรสักอย่างจริงๆ ครั้งนั้นคนสั่งพูดไม่ทันจะจบพี่ณาก็เข้ามาเสียก่อน

“ค่ะ ฉันนึกออกแล้ว”

“นั่นแหละ ผมว่าบางทีอาจจะเป็นโรงพยาบาลชิษณุพงศ์”

“ถ้าอย่างนั้น เราก็มาถูกทางแล้ว”

“หมอขวัญคะ! หมอขวัญพูดอะไรกับใครคะ”

เสียงเรียกอย่างหวาดๆ ของสิตางค์ทำให้ฉันรู้สึกตัว ยกมือปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ

ให้ตายสิ! ทำไมถึงได้เผอเรอขนาดนี้นะ!

“เอ่อ...พูดกับ...พูดกับ” ฉันจะแก้ตัวว่าอะไรดีล่ะเนี่ย

“อย่าบอกนะคะว่าพูดกับ...คุณผี”

“อ่า...” ฉันอ้ำอึ้ง

“ฮือ...สิตางค์พาหมอขวัญมาถึงกรุงเทพฯ แล้วนะคะ เลิกหลอกหลอนกันได้แล้ว” สิตางค์ทำท่าจะร้องไห้ออกมา ฉันจึงต้องปลอบไปตลอดทาง โดยที่มีสายตาสงสัยของพี่คนขับแท็กซี่มองมาผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะ จนกระทั่งถึงโรงแรม

ฉันจ่ายเงินและก้าวลงจากรถพร้อมสิตางค์ ทางขวามือของโรงแรมคือป้ายโรงพยาบาลชิษณุพงศ์ขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าโรงแรมแห่งนี้ มันทำให้ใจฉันเต้นรัว

...ในที่สุดก็มาถึงแล้ว…

ในที่สุดคำตอบทุกอย่างก็กำลังจะเปิดเผยออกมา!

***********

วันนี้ลงให้จัดเต็มค่ะ อิอิ ใครอยากสั่งซื้อหนังสือ มีข่าวดีมาบอกด้วย ทีมงานเพิ่มรอบจัดส่งเป็นวันจันทร์นี้อีกรอบนึงนะคะ และรอบถัดไปคือ วันพฤหัสจ้า จะได้ถึงมือนักอ่านเร็วขึ้น

ปมความลับรอการคลี่คลายอยู่ในเล่มน้าาาาา

หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2561, 13:23:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2561, 13:23:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 604





<< บทที่ 9 กลับบ้าน (40%)   บทที่ 10 อำพรางความจริง (30%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account