+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน
ตอน: ตอนที่ 14
เสียงเคาะประตูดังเบา ๆ ตามด้วยคำรายงานจากเลขาฯ “มีคนมาขอพบท่านครับ บอกว่ามีเรื่องคุณพันเทพต้องการเรียนให้ท่านทราบ”
“พาไปห้องรับรอง เดี๋ยวฉันออกไป” ศักดิ์สิทธิ์ผลักแฟ้มเอกสารตรงหน้าออกห่าง รอยยิ้มนิด ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เมื่อพอเดาเจตนาของผู้มาเยือนได้ไม่ยาก
เพียงเข้ามาในห้อง ผู้ที่คอยอยู่ก็ลุกขึ้นยืนอวดรูปร่างสูงโปร่งอ้อนแอ้น ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
เจ้าบ้านผงกศีรษะรับไหว้ แล้วผายมือไปทางโซฟาโดยไม่เอ่ยอะไร
“กราบขอบพระคุณท่านที่กรุณาให้เข้าพบ ที่มารบกวนวันนี้ก็เพราะอยากให้ท่านทบทวนเรื่องงานแต่งงานของพันเทพกับอิงอรุณ” คนพูดเลื่อนแท็บเล็ตมาตรงหน้าเจ้าถิ่น “หนูเป็นคนรักของเทพ เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อเมริกาแล้ว”
ชายสูงวัยดูรูปถ่ายผลัดกันแสดงบนหน้าจออย่างไม่ไยดี ทุกรูปล้วนเป็นภาพที่แสดงความสนิทชิดเชื้อของพันเทพและคนตรงหน้าชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเค้าความจริง “เรื่องเก่า ๆ ฉันไม่สนใจหรอก”
“เทพไม่ได้รักอิงอรุณ เขารักหนู ท่านยกเลิกการแต่งงาน แล้วคืนเทพให้หนูเถอะค่ะ” เสียงที่บีบจนเล็กทำให้รอยวิงวอนในประโยคนั้นเข้มข้นขึ้น
“คนสมัยนี้นี่หากินกันแปลก ๆ นะ” เขาโต้เย็นชา “กลับไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย เรื่องที่คุณมาบอก ฉันจะถือว่าไม่เคยได้ยินนะ ส่งแขกด้วย” เขาตัดบทเสียงเข้ม คนสนิทซึ่งคุมเชิงอยู่ด้านหลังเข้ามายืนคุกคามผู้เป็นแขกทันที
อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มากดข้อความส่งให้อิงอรุณ แล้วเลื่อนมาเย้ยผู้อาวุโส
ศักดิ์สิทธิ์ร้อนใจ จะให้อิงอรุณเห็นรูปกับข้อความนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
‘คนรักของพันเทพ’ โน้มตัวมาวางตัวเก็บข้อมูลบนโต๊ะ “นี่สำเนารูปที่ทั้งหมด
เอาไว้ดูเล่นนะคะ เผื่อมันอาจทำให้ท่านเปลี่ยนใจ”
ศักดิ์สิทธิ์วางท่าปกติ ทั้งที่ใจร้อนราวกับสุมเพลิง
“อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่งั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัยของคุณหรอกนะ” เขาหมุนตัวออกจากห้อง ขณะสมองหมุนจี๋ พิธีหมั้นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่จู่ ๆ ‘ของเล่นเก่าของลูกชาย’ กลับโผล่มาพร้อมรูปถ่ายพวกนั้น เขายอมให้งานหมั้นล้มเหลวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องเก็บรูปพวกนี้ให้พ้นตาอิงอรุณ จนกว่าพิธีหมั้นจะผ่านไป!
“ทำยังไงก็ได้ อย่าให้อิงอรุณเห็นข้อความนั้น แล้วก็อย่าให้รูปพวกนี้มารบกวนฉันอีก” เขาสั่งคนสนิท
ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งสั้นง่าย แต่ไว้ใจได้ว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ทุกสิ่งที่เขาประสงค์ต้องเป็นไปตามต้องการแน่นอน!
ธนาโทร.หาลูกชายคนเล็กตอนใกล้เลิกงาน “วัชกับฮกไปพบเตี่ยที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้ โรงแรมคีรีธาราตอนทุ่มนึงด้วยนะ เตี่ยมีเรื่องคุยด้วย”
ชายหนุ่มจึงโทร.นัดพี่ชาย แต่วัชระออกจากออฟฟิศไปตั้งแต่บ่ายสามเศษ ๆ แล้ว ทั้งคู่จึงตกลงว่าจะไปเจอกันที่โรงแรมเลย เขาเก็บของออกจากสำนักงานทันทีที่นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะบอกเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที โดยเผลอทิ้งสายตาอยู่ตรงนาฬิกานานกว่าปกติเล็กน้อย วันนี้...ไม่มีของขวัญจากอิงอรุณ และเชื่อแน่ว่าจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วอย่างแน่นอนเช่นกัน
ชายหนุ่มใจลอยแค่เสี้ยววินาทีก็สลัดศีรษะแรง ๆ ตั้งสติย้ำ ดีแล้ว! ไม่ต้องมายุ่งมาเกี่ยวข้องกันอีก
เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการจราจร สาวัชจึงเดินทางด้วยรถไฟฟ้าซึ่งสถานีอยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ขณะผ่านป้ายหยุดรถประจำทางไปเพียงสองก้าว ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาจากด้านหลัง เสียง...ที่เดาได้ทันว่าเป็นเสียงใคร
สาวัชถอนใจหันกลับมาด้วยความเบื่อหน่าย และก็เป็นดังคาด อิงอรุณกำลังเดินแกมวิ่งมาหา จักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นมาบนฟุตปาธทางด้านหลังหญิงสาว พลันเร่งความเร็วแล้วคนขับก็เอื้อมมือคว้ากระเป๋าซึ่งอิงอรุณคล้องตรงข้อมือพลางกระชากอย่างแรง จากนั้นขับพุ่งจากทางเท้าลงไปบนถนนเตรียมเร่งเครื่องหนี
อาจเพราะตกใจ อิงอรุณจึงงอแขนยึดกระเป๋าไว้แน่นด้วยความกลัวตก แทนที่คนร้ายจะได้ไปเฉพาะกระเป๋า มันจึงรั้งท่อนแขนหญิงสาวลากร่างเล็กกะทัดรัดติดไปด้วยหลายเมตร อิงอรุณกรีดร้องขวัญเสีย เช่นเดียวกับบรรดาฝูงชน
ที่รอรถประจำทางอยู่ต่างก็หวีดร้องด้วยความตกใจ
มอเตอร์ไซค์รับจ้างกรูออกจากวิน คนวิ่งนำกระโดดถีบคนขับทำให้รถส่ายและเสียหลักล้ม รถยนต์เหยียบห้ามล้อกันตัวโก่ง เสียงยางบดพื้นถนนดังแสบหู
พี่วินช่วยกันล้อมจับคนร้าย ส่วนสาวัชพุ่งผ่านฝูงชนเข้าไปหาอิงอรุณด้วยความเร็วที่เขาเองยังแปลกใจ กระนั้นเขาก็ยังช้ากว่าหญิงกลางคนร่างท้วมสวมผ้ากันเปื้อนซึ่งทิ้งรถเข็นขายผลไม้วิ่งตุ้บตั้บเข้าไปดูคนเจ็บ
นางปัดขากางเกงขาดรุ่งริ่งออกตรวจแผลทะมัดทะแมง “โดนลากมาตั้งหลายเมตร ขาสวย ๆ ถลอกปอกเปิกเยินหมดเลยลูก ตายแล้ว เลือดเต็มเลย โดนเศษอะไรบนถนนบาดเนี่ย ใครมีผ้าสะอาด ๆ ไหม เอามาห้ามเลือดหน่อยเร้ว”
บรรดาไทยมุงเปิดกระเป๋าค้นหาของที่แม่ค้าผลไม้สั่งเป็นพัลวัน
“ในกระเป๋าหนูมีผ้าเช็ดหน้าค่ะ” อิงอรุณใช้มือสั่นระริกปลดล็อกกระเป๋าควานหาผ้าสีขาวเนื้อนิ่มออกมาส่งให้พยาบาลจำเป็น
“ผ้าเช็ดหน้าหนูสวยจริง เสียดาย” ปากบ่นเช่นนั้น แต่มืออวบอูมหยาบกร้านกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรับผ้าเช็ดหน้ามากดบาดแผลแน่น ๆ ค้างไว้
“สงสัยมีแผลโดนบาดนะ เลือดออกเยอะเลย รีบไปโรงพยาบาลดีกว่านะหนู ป้าว่าอย่างนี้ต้องเย็บถึงจะเอาอยู่”
“หนูไม่เป็นไรค่ะป้า” อิงอรุณปฏิเสธเสียงสั่น ฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาเจียนจะหยด
“เลือดออกขนาดนี้ยังจะบอกไม่เป็นอะไรอีก” ป้าเอ็ดเสียงแข็ง
“หนูไม่เจ็บจริง ๆ นะคะ” อิงอรุณดื้อแพ่ง น้ำตาเริ่มรินลงมาเงียบ ๆ มือเล็กปาดเช็ดน้ำตา ปากก็ย้ำพร่ำบอก “มันแค่ดูน่ากลัวเอง แต่ไม่เจ็บเลย”
ชายหนุ่มแหวกกลุ่มคนเข้าไปยืนค้ำศีรษะหน้าคนเจ็บ อิงอรุณเงยขึ้นมาเบิกตากว้างมองเขาด้วยสีหน้าซีดเผือดสลับแดงก่ำบอกยากว่าอับอายหรือยินดี
“คุณสาวัช...” เสียงรำพึงนั้นแผ่วเบาเจือสะอื้น แต่เขาก็ได้ยินอยู่ดี
“ใครก็ได้เรียกแท็กซี่ให้ที พาหนูเขาไปโรงพยาบาลก่อน” ป้าสั่งลอย ๆ ซึ่งก็มีคนกุลีกุจอวิ่งไปเรียกรถให้ ทว่า...
“ไม่มีแท็กซี่ไปเลยป้า มันบอกว่าต้องไปส่งรถ” ไทยมุงประสานเสียงด่าขรม
“ผมพาไปเอง เดี๋ยวผมไปเอารถที่ตึกลงมา” สาวัชเสนอตัว
พยาบาลจำเป็นตวัดตามองเขาอย่างประเมิน ทั้งยังกางปีกปกป้องอิงอรุณเต็มที่ “ไม่เอาหรอก ผู้ชายพายเรือ ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดพาแม่หนูนี่ไปที่อื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลจะทำยังไง”
สาวัชชักสีหน้า ไม่เคยมีใคร ‘กล้า’ หมิ่นหยามเขาเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล!
“เขาเป็นเพื่อนหนูเองค่ะป้า” อิงอรุณรีบอธิบาย
“อ้าว รู้จักกันเหรอ ก็ได้ ๆ งั้นคุณไปเอารถมา เอ้า! หนูกดแผลไว้นะ เดี๋ยวป้า
ประคองไปนั่งสบาย ๆ ” นางจับมืออิงอรุณไปกดผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเข้าประชิดตัวคนเจ็บดึงมือเธอไปวางบนบ่าตัวเองช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณค่ะ ป้าปล่อยเลยก็ได้ หนูยืนไหวค่ะ” ทว่าเพียงคนเป็นหลักปล่อยมือ ผู้หญิงตัวเล็กก็ซวนเซ มองก็รู้ว่าขาข้างที่บาดเจ็บคงไม่มีแรงประคองตัวเอง
สาวัชผวาเข้าไปอีกข้างรับหญิงสาวไว้ทันควัน มือซ้ายอ้อมหลังไปยึดไหล่ซ้าย ส่วนมือขวาคว้าต้นแขนขวารั้งอิงอรุณไว้มิให้ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกหน
“ขอบคุณค่ะคุณสาวัช แต่อิงยืนเองได้” เธอขืนตัวออกห่างอย่างไว้ตัว
สาวัชไม่สนใจท่าทีแข็งขืน แต่ยังคงกึ่งลากกึ่งประคองบังคับอิงอรุณไปนั่งตรงเก้าอี้ในป้ายหยุดรถประจำทาง
“เอ่อ...คุณสาวัชมีธุระหรือเปล่าคะ อิงเกรงใจ ไม่อยากรบกวน”
ชายหนุ่มมองขาคนเจ็บ รอยกรีดข้างหน้าแข้งยาวเกือบสามนิ้วเลือดไหลโซมย้อมผ้าเช็ดหน้าจนแดงฉาน อาจเพราะเจ้าตัวออกแรง จึงทำให้เลือดยิ่งออกมาก
หากเป็นยามปกติ เขาคงฉวยโอกาสจากไป แต่นี่...ชายหนุ่มมั่นใจว่าต่อให้ทิ้งอิงอรุณไว้ตรงนี้ แต่ภาพบาดแผลของเธอคงติดตาค้างอยู่ในใจเขาอีกนาน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่อยากไปตามนัดที่บิดาสั่งอยู่แล้ว มันจึงสมเหตุสมผลที่สุดที่เขาควรยืนกราน... “รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมมา”
“อิงเกรงใจ เดี๋ยวจะทำรถคุณเปื้อน ขับรถอิงไปดีกว่าไหมคะ นี่ค่ะกุญแจ”
สาวัชสบตาคนเจ็บนิ่ง ๆ ไทยมุงรอบด้านจ้องมาคล้ายลุ้นรอคำตอบ สุดท้ายเขาจึงถอนใจ เอื้อมไปรับของจากมือหญิงสาว
ชายหนุ่มมองคนเจ็บด้วยสายตาบอกความรำคาญ ผู้หญิงคนนี้สติดีหรือเปล่าเนี่ย หิ้วกระเป๋า ‘ใบละล้าน’ มาเดินข้างถนน ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนละเกือบห้าพันห้าห้าม
เลือด และยัง ‘กล้า’ ไว้ใจเขาถึงขนาดนี้!
ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกประดักประเดิดเคอะเขินที่สุดในชีวิต เมื่อสายตาทุกคู่มองตามเขาจนเหลียวหลังขณะเดินผ่านอาคารโภไคยทาวเวอร์ไปยังลานจอดรถของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ซึ่งอยู่ถัดไป ในมือ...ไม่ใช่แค่กุญแจรถ แต่เป็นหูหิ้วกระเป๋าถือใบสีฟ้าของอิงอรุณ!
อิงอรุณกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดเมื่อพยาบาลคลายปมแกะผ้าเช็ดหน้าออกและเริ่มต้นขั้นตอนการล้างแผล หลังทำความสะอาดเบื้องต้น นางฟ้าชุดขาวก็หายไปพักใหญ่และกลับมาพร้อมแพทย์เพื่อดูอาการ คุณหมอท่าทางใจดีตรวจแผลและอาการโดยรวม จากนั้นสรุปคร่าว ๆ
“แผลลึกแล้วก็ยาว จริง ๆ ควรเย็บ แต่ปากแผลสกปรก ทำความสะอาดยังไงก็ไม่หมด หมอเลยไม่แนะนำให้เย็บเพราะอาจยิ่งติดเชื้อ เดี๋ยวทำแผลฉีดยากันบาดทะยักแล้วไปเอกซเรย์หน่อยละกัน ตรวจให้แน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร แต่คุณต้องมาล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันนะ มีประกันอยู่แล้วใช่ไหม”
อิงอรุณพยักหน้า มองไปทางท้ายเตียงซึ่งสาวัชยืนกอดอกหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้น แม้หน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่เขาไม่บ่นสักคำ กระนั้นก็ไม่มีท่าทีห่วงใยด้วยเช่นกัน เป็นความเย็นชาที่เธอชักคุ้นตา จึงไม่รู้สึกอึดอัดเช่นคราแรก ๆ
หลังทำแผล เวรเปลเข็นรถพาอิงอรุณไปเอกซเรย์กระดูกทั้งที่หัวไหล่ แขน และขา สาวัชบุ้ยปากพยักเพยิดบอกว่าจะนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน
หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลเกือบสองชั่วโมงกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จ เมื่อเวรเปลพาเธอไปชำระเงิน รับยา และกลับมาสมทบกับสาวัชยังจุดที่เขาคอยอยู่ ชายหนุ่มมีสีหน้าเบื่อหน่ายชัดเจน
“ขอโทษนะคะ” เธอเสียงอ่อย ซึ่งเขาไม่นำพาคำขอโทษของเธอสักนิด
“เดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้าน บอกทางมาละกัน” เขาไม่ได้บอกกล่าว แต่...สั่ง!
แม้ขาขวาจะยังระบมปวดหน่วง ๆ เหมือนถูกหินทุบจนน่วม แต่เจ็บแค่ไหนก็ต้องอดทน เพราะรถเข็นและพยาบาลตามเธอกลับบ้านไม่ได้ เธอต้องฝึกพึ่งพาตัวเองให้ได้ อิงอรุณจึงตัดใจทิ้งความสะดวกสบาย
“ดิฉันเดินไปเองได้ค่ะ” เธอให้สัญญาณ ซึ่งเวรเปลก็ย่อตัวลงไปพับที่วางเท้า แล้วยื่นมือจะช่วยประคองอิงอรุณให้ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยว!” เสียงนั้นเข้มจัด ทั้งเด็กหนุ่มและเธอชะงักกึก มองสาวัชเป็นตาเดียว
“นั่งรถเข็นซะ ล้มไปไม่มีใครประคองหรอกนะ” เขาเดินตึง ๆ นำไปที่ลิฟต์
อิงอรุณเม้มปาก ‘คำสั่ง’ ของเขาตรงใจเธอก็จริง แต่ต้องใช้คำพูดโหดร้ายและตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!
ตลอดทางขึ้นลิฟต์ไปลานจอดรถบรรยากาศอึดอัดอึมครึม สาวัชก้าวลิ่ว ๆ ไปยังฝั่งคนขับ ปลดล็อกแล้วยืนคอย
“ท่าทางคุณผู้ชายไม่ค่อยพอใจที่เมื่อกี้ผมช่วยประคอง งั้นเดี๋ยวผมเข็นรถไปใกล้ ๆ ประตูรถให้นะครับ คุณผู้หญิงจะได้มีหลักยึดลุกขึ้นง่าย ๆ ” เวรเปลเอ่ยเสียงเบาและเทียบรถเข็นกับประตูรถ
อิงอรุณยันที่เท้าแขนลุกขึ้นยืน ขอบคุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคอยจนเขาเข็นรถกลับไปแล้ว จึงเอียงศีรษะโผล่พ้นประตูมาทางกระจกหน้า แล้วถามสาวัช
“คุณสาวัชไม่พอใจเวรเปลหรือคะ”
สาวัชไม่ตอบ แต่เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับเงียบ ๆ
อิงอรุณยู่หน้าใส่อากาศ ความรู้สึกปนกันทั้งอยากขอบคุณ ทั้งหมั่นไส้
“จะยืนอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม” เสียงเข้มห้าวดังมาจากในรถ ทำให้อิงอรุณสะดุ้งโหยง รีบละล่ำละลัก
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้แล้วละค่ะ” แต่เพราะรถเป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อยกสูง ซึ่งวันนี้ขาเธอเพิ่งได้รับบาดเจ็บยังรับน้ำหนักมากไม่ไหว หญิงสาวจึงเก้ ๆ กัง ๆ ขยับซ้ายขวาหามุมปีนขึ้นรถ เธอลองใช้เท้าซ้ายเหยียบบันได ครั้นพยายามเกร็งขาขวาบิดตัว อาการเจ็บจี๊ดตรงแผลก็พุ่งเข้าจู่โจมจนต้องรีบปล่อยขาตามสบาย ทิ้งน้ำหนักบนขาซ้ายตามเดิม
อิงอรุณขมวดคิ้ว ลองหมุนตัวอีกมุมหมกมุ่นกับการหาวิธีใหม่ขึ้นรถ ขณะมัวสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า สาวัชอ้อมรถมาตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่...
“ขออนุญาต” เขาพึมพำสั้นแค่นั้น แล้ววินาทีถัดมาตัวเธอก็ลอยหวือจากพื้น อิงอรุณตกใจที่ถูกอุ้มขึ้น จึงกางมือโอบรอบคอชายหนุ่มทันควันเพราะกลัวตก
ลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดตรงริมขมับ และใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจด้วยความประหลาดใจระคนเขินอาย ทั้งยังกลัวอีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง!
สาวัชวางเธอบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็กระแทกเสียง “ตัวยุ่ง!”
อิงอรุณอ้าปากค้าง ยังไม่ทันแก้ข้อกล่าวหา ชายหนุ่มก็งับประตูปิด อ้อมหน้าหม้อไปนั่งประจำที่คนขับแล้ว
กระนั้นสัมผัสอบอุ่นที่แตะแต้มตามเนื้อตัวเมื่อครู่ กลับไปล่ปลิวอยู่ในใจเธออีกเนิ่นนาน...
หญิงสาวยกมือกดหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนราวกับแผ่นดินไหว ปลอบประโลมมิให้มันโลดกระโจนออกมานอกอก ขณะก้มหน้าอุบอิบ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ผมไม่เต็มใจ ดูไม่ออกเหรอ”
“งั้นก็ขอบคุณที่ไม่เต็มใจค่ะ” อิงอรุณอยู่ในอารมณ์ผาสุกเกินกว่าจะเก็บคำพูดเย็นชามาเป็นอารมณ์ จึงเพียงเม้มปากกลั้นยิ้ม เธอมองสารถีจากปลายหางตา เขายังคงหน้านิ่งขรึมดุจฤๅษีเคร่งศีลอย่างไรอย่างนั้น!
“เดินถนนก็ควรดูทาง สังเกตรอบ ๆ ไม่รู้เหรอว่าความประมาทเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเอาเปรียบน่ะ” จู่ ๆ สาวัชก็ ‘สั่งสอน’ โดยไม่เกริ่นล่วงหน้า เขาเท้าความถึงอุบัติเหตุนั่นเอง
“ปกติก็ดูแหละค่ะ แต่วันนี้มัวแต่ดีใจที่เห็นคุณ คิดแต่ว่าจะรีบไปทักทายนี่คะ อีกอย่างอิงก็เดินแถวนั้นออกบ่อย ใครจะไปคิดล่ะว่าวันนี้จะเจอแจ็คพ็อต”
“ขี้งก”
“คะ?” อิงอรุณอุทาน ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือจินตนาการคำนั้นขึ้นมาเอง
“ไม่เคยมีคนบอกเหรอว่าอย่ามัวแต่ห่วงทรัพย์สิน มันอยากได้อะไรก็ให้มันไปสิ มัวแต่ห่วงกระเป๋ายื้อเอาไว้ ถึงได้ถูกมันลากไปไกลจนต้องบาดเจ็บขนาดนี้”
หญิงสาวยิ้มแหย “คือ...อิงไม่ได้ห่วงกระเป๋านะคะ แต่อิงตกใจกลัวตก ก็เลยยิ่งยึดกระเป๋าไว้แน่นเข้าไปใหญ่”
“มันไม่ใช่ที่ที่ควรถือกระเป๋าราคาแพงไปเดินเตร็ดเตร่อย่างนั้น”
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง จากนี้อิงจะระวังตัวให้มาก ๆ ” เจตนาของเขาอาจแค่
ต้องการบอกกล่าว แต่อิงอรุณโมเมเข้าข้างตัวเองว่าเขาเตือนด้วยความห่วงใย!
“ปกติอิงขับรถตลอดนี่คะ เพียงแต่ว่าวันนี้มีเหตุให้ต้องขึ้นรถไฟฟ้า...” เธอชะงักเมื่อนึกได้ว่าลืมนัดเสียสนิท หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะเห็นว่าจะใช้บริการรถสาธารณะเธอจึงตั้งปิดเสียงไว้ เพิ่งเห็นว่ามีสายไม่ได้รับเกือบยี่สิบสาย ทั้งหมดมาจากคนคนเดียว...เปรมิกา!
“ขอโทรศัพท์หน่อยนะคะ” เธอรีบโทร.หามารดา โดยแก้ตัวว่าติดงานจนลืม
นัด จงใจปิดบังเรื่องอุบัติเหตุไว้ก่อน กะว่าถึงบ้านแล้วค่อยเล่าให้ฟัง ท่านจะได้ไม่กระวนกระวายหรือตกใจเกินไป
นอกจากถามพิกัดบ้านเธอแล้ว สาวัชไม่พูดคุยอะไรอีกเลย อิงอรุณเปิดวิทยุพอให้เสียงเพลงคลอเบา ๆ ทั้งยังหาเรื่องชวนคุยเพื่อมิให้บรรยากาศอึมครึมเกินไป
“เรื่องคอร์สพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ อิงหาวิทยากรได้แล้วนะคะ”
“มาบอกผมทำไม”
“อ้าว...เอ้อ...ก็...” นั่นสิ! เขาคงไม่อยากรับรู้ด้วย งั้นเปลี่ยนเรื่อง คุยเรื่องใหม่ “เห็นข่าวว่ายอดขายไตรมาสที่ผ่านมาซูเปอร์โคลากำไรเพิ่มขึ้น ดีใจด้วยนะคะ”
ความพยายามของเธอได้รับผลตอบแทนเป็นการปรายหางตามองมาแค่แวบเดียว แล้วเขาก็กลับไปให้ความสนใจกับท้องถนนเบื้องหน้าดังเดิม ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับ ไม่มีแม้แต่การพยักหน้ารับคำด้วยซ้ำ เย็นชาชะมัด!
ตลอดเส้นทางที่เหลือ นอกจากขับรถแล้ว สาวัชทำตัวเองราวกับเป็นอากาศ ครั้นรถแล่นมาจอดหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์เทียมสุบรรณ เขาจึงบอกแค่ “ให้คนรถมาขับเข้าไปเองละกัน ผมไปละ” ชายหนุ่มเปิดประตูก้าวพรวดจากไปดื้อ ๆ
อิงอรุณกดปุ่มดับเครื่องยนต์ แล้วกะเผลกตามลงมา ทว่ากลับเห็นเพียงแผ่นหลังของสาวัชที่เดินลิ่ว ๆ ไปไกลแล้ว หญิงสาวเป่าลมพรูจากปาก รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะวิ่งตามไปขอบคุณหรือเสนอให้คนรถที่บ้านไปส่ง เพราะผู้ชายยโส มีปัญหากับการเข้าสังคมอย่างนั้น คงไม่รับความช่วยเหลือจากเธอแน่ ๆ รับประกัน!
สาวิตรีล้างจอกดินเผาเขียนลวดลายงดงาม แล้วนำมารินน้ำชาเลื่อนไปให้สามีอย่างเอาใจ ด้วยเห็นว่าเขาพื้นอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“อ้าว! แล้วสาไม่ดื่มด้วยกันเหรอ” ธนาพยักพเยิดไปยังจอกน้ำชาว่างเปล่าอีกสี่ใบที่วางเรียงอยู่เคียงกัน
“ชุดน้ำชานี่คุณฮกเอามาฝากจากญี่ปุ่นค่ะ เขาคงอยากให้เสี่ยใช้คนเดียวมากกว่า” สาวิตรีเสียงอ่อย
“สาคิดมากไปได้ ใครใช้มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ธนาปลอบใจเธอเช่นเคย
“เครียดอะไรหรือคะ สาสังเกตตั้งแต่หัวค่ำแล้วว่าเสี่ยไม่ค่อยพูดเลย หรือว่า
ยังคิดเรื่องที่คุยกับคุณนายใหญ่เมื่อเช้า” นางสบโอกาสรีบตั้งคำถามที่อยากรู้
“เรื่องหุ้นนั่นจบไปแล้ว ที่เฮียหงุดหงิดตอนนี้เป็นเพราะลูกชายตัวดีของสาน่ะแหละ วันนี้เฮียตั้งใจนัดสาวัชกับฮกไปเจอผู้ใหญ่ สองพี่น้องมันดันผิดนัด เสียคำพูดหมด!” เพียงขาดคำ คนที่อยู่ในบทสนทนาก็เปิดประตูเลื่อนก้าวเข้ามาในบ้าน
“มาแล้วเรอะ!” ธนาลุกขึ้นยืนตั้งท่าโวยวาย ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของลูกชายและรอยเลือดที่กระเซ็นเปื้อนปลายแขนเสื้อก็ชะงัก “นี่ลื้อไปทำอะไรมา”
“ผมเจอคนโดนกระชากกระเป๋าหน้าตึก เขาได้รับบาดเจ็บก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาลน่ะครับ”
สาวิตรีหงุดหงิดใจที่ลูกชายทำให้บิดาไม่พอใจ ครั้นเห็นว่าสามีลดความโกรธเกรี้ยวลง เธอจึงรีบคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเสนอเสียงอ่อน “ลูกเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีไหมคะ วันนี้เสี่ยเองก็ออกไปข้างนอกมา กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวสาไปเป็นเพื่อนที่ตึกใหญ่เอง”
ธนาเห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดอ้อนวอน จึงพยักหน้า “สาว่าไงก็ตามนั้น!”
สาวิตรียิ้มสมใจ อะไรจะทำให้เธอมีความสุขไปกว่าการได้พาธนาขึ้นไปส่งถึงตึกใหญ่ เพื่อเย้ยหยันอวดให้ดารณีเจ็บปวดชอกช้ำเล่น ๆ ว่าใครคือที่หนึ่งในใจของธนาตลอดมาและตลอดไป
นั่นละ...ไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้เลยทีเดียว!
*******************************************************
นิยายเรื่องนี้มี 60 ตอนนะคะ
สิริณจะลงให้อ่าน "จนจบ"
ไม่เท ไม่ทิ้งกันแน่นอน
แต่ในฉบับหนังสือและอีบุ๊ก
จะมีตอนพิเศษจัดเต็มอีกเกือบ 100 หน้า
(ประมาณ 1/5 ของเล่ม)
วันนี้เปิดให้จองหนังสือแล้วจ้า
จะจัดพิมพ์ตามจำนวนจอง ไม่มีวางขายหน้าร้านนะค้า
หนังสือหนา 600 หน้า + ที่คั่น
ราคา 450 บาท ค่าจัดส่ง 30 บาท
สนใจสั่งจองที่ https://goo.gl/kHN2TN
** สำหรับ 100 คนแรกที่จองและโอนเงิน จัดส่งฟรี พร้อมรับของแถมพิเศษ **
ฉบับอีบุ๊ค รอประมาณกลางเดือนนะคะ
ตอนนี้กำลังรีบจัดหน้าและขอเลข ISBN อยู่ค่ะ
“พาไปห้องรับรอง เดี๋ยวฉันออกไป” ศักดิ์สิทธิ์ผลักแฟ้มเอกสารตรงหน้าออกห่าง รอยยิ้มนิด ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า เมื่อพอเดาเจตนาของผู้มาเยือนได้ไม่ยาก
เพียงเข้ามาในห้อง ผู้ที่คอยอยู่ก็ลุกขึ้นยืนอวดรูปร่างสูงโปร่งอ้อนแอ้น ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
เจ้าบ้านผงกศีรษะรับไหว้ แล้วผายมือไปทางโซฟาโดยไม่เอ่ยอะไร
“กราบขอบพระคุณท่านที่กรุณาให้เข้าพบ ที่มารบกวนวันนี้ก็เพราะอยากให้ท่านทบทวนเรื่องงานแต่งงานของพันเทพกับอิงอรุณ” คนพูดเลื่อนแท็บเล็ตมาตรงหน้าเจ้าถิ่น “หนูเป็นคนรักของเทพ เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อเมริกาแล้ว”
ชายสูงวัยดูรูปถ่ายผลัดกันแสดงบนหน้าจออย่างไม่ไยดี ทุกรูปล้วนเป็นภาพที่แสดงความสนิทชิดเชื้อของพันเทพและคนตรงหน้าชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเค้าความจริง “เรื่องเก่า ๆ ฉันไม่สนใจหรอก”
“เทพไม่ได้รักอิงอรุณ เขารักหนู ท่านยกเลิกการแต่งงาน แล้วคืนเทพให้หนูเถอะค่ะ” เสียงที่บีบจนเล็กทำให้รอยวิงวอนในประโยคนั้นเข้มข้นขึ้น
“คนสมัยนี้นี่หากินกันแปลก ๆ นะ” เขาโต้เย็นชา “กลับไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย เรื่องที่คุณมาบอก ฉันจะถือว่าไม่เคยได้ยินนะ ส่งแขกด้วย” เขาตัดบทเสียงเข้ม คนสนิทซึ่งคุมเชิงอยู่ด้านหลังเข้ามายืนคุกคามผู้เป็นแขกทันที
อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มากดข้อความส่งให้อิงอรุณ แล้วเลื่อนมาเย้ยผู้อาวุโส
ศักดิ์สิทธิ์ร้อนใจ จะให้อิงอรุณเห็นรูปกับข้อความนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
‘คนรักของพันเทพ’ โน้มตัวมาวางตัวเก็บข้อมูลบนโต๊ะ “นี่สำเนารูปที่ทั้งหมด
เอาไว้ดูเล่นนะคะ เผื่อมันอาจทำให้ท่านเปลี่ยนใจ”
ศักดิ์สิทธิ์วางท่าปกติ ทั้งที่ใจร้อนราวกับสุมเพลิง
“อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่งั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัยของคุณหรอกนะ” เขาหมุนตัวออกจากห้อง ขณะสมองหมุนจี๋ พิธีหมั้นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่จู่ ๆ ‘ของเล่นเก่าของลูกชาย’ กลับโผล่มาพร้อมรูปถ่ายพวกนั้น เขายอมให้งานหมั้นล้มเหลวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องเก็บรูปพวกนี้ให้พ้นตาอิงอรุณ จนกว่าพิธีหมั้นจะผ่านไป!
“ทำยังไงก็ได้ อย่าให้อิงอรุณเห็นข้อความนั้น แล้วก็อย่าให้รูปพวกนี้มารบกวนฉันอีก” เขาสั่งคนสนิท
ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งสั้นง่าย แต่ไว้ใจได้ว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ทุกสิ่งที่เขาประสงค์ต้องเป็นไปตามต้องการแน่นอน!
ธนาโทร.หาลูกชายคนเล็กตอนใกล้เลิกงาน “วัชกับฮกไปพบเตี่ยที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้ โรงแรมคีรีธาราตอนทุ่มนึงด้วยนะ เตี่ยมีเรื่องคุยด้วย”
ชายหนุ่มจึงโทร.นัดพี่ชาย แต่วัชระออกจากออฟฟิศไปตั้งแต่บ่ายสามเศษ ๆ แล้ว ทั้งคู่จึงตกลงว่าจะไปเจอกันที่โรงแรมเลย เขาเก็บของออกจากสำนักงานทันทีที่นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะบอกเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที โดยเผลอทิ้งสายตาอยู่ตรงนาฬิกานานกว่าปกติเล็กน้อย วันนี้...ไม่มีของขวัญจากอิงอรุณ และเชื่อแน่ว่าจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วอย่างแน่นอนเช่นกัน
ชายหนุ่มใจลอยแค่เสี้ยววินาทีก็สลัดศีรษะแรง ๆ ตั้งสติย้ำ ดีแล้ว! ไม่ต้องมายุ่งมาเกี่ยวข้องกันอีก
เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการจราจร สาวัชจึงเดินทางด้วยรถไฟฟ้าซึ่งสถานีอยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ขณะผ่านป้ายหยุดรถประจำทางไปเพียงสองก้าว ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาจากด้านหลัง เสียง...ที่เดาได้ทันว่าเป็นเสียงใคร
สาวัชถอนใจหันกลับมาด้วยความเบื่อหน่าย และก็เป็นดังคาด อิงอรุณกำลังเดินแกมวิ่งมาหา จักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นมาบนฟุตปาธทางด้านหลังหญิงสาว พลันเร่งความเร็วแล้วคนขับก็เอื้อมมือคว้ากระเป๋าซึ่งอิงอรุณคล้องตรงข้อมือพลางกระชากอย่างแรง จากนั้นขับพุ่งจากทางเท้าลงไปบนถนนเตรียมเร่งเครื่องหนี
อาจเพราะตกใจ อิงอรุณจึงงอแขนยึดกระเป๋าไว้แน่นด้วยความกลัวตก แทนที่คนร้ายจะได้ไปเฉพาะกระเป๋า มันจึงรั้งท่อนแขนหญิงสาวลากร่างเล็กกะทัดรัดติดไปด้วยหลายเมตร อิงอรุณกรีดร้องขวัญเสีย เช่นเดียวกับบรรดาฝูงชน
ที่รอรถประจำทางอยู่ต่างก็หวีดร้องด้วยความตกใจ
มอเตอร์ไซค์รับจ้างกรูออกจากวิน คนวิ่งนำกระโดดถีบคนขับทำให้รถส่ายและเสียหลักล้ม รถยนต์เหยียบห้ามล้อกันตัวโก่ง เสียงยางบดพื้นถนนดังแสบหู
พี่วินช่วยกันล้อมจับคนร้าย ส่วนสาวัชพุ่งผ่านฝูงชนเข้าไปหาอิงอรุณด้วยความเร็วที่เขาเองยังแปลกใจ กระนั้นเขาก็ยังช้ากว่าหญิงกลางคนร่างท้วมสวมผ้ากันเปื้อนซึ่งทิ้งรถเข็นขายผลไม้วิ่งตุ้บตั้บเข้าไปดูคนเจ็บ
นางปัดขากางเกงขาดรุ่งริ่งออกตรวจแผลทะมัดทะแมง “โดนลากมาตั้งหลายเมตร ขาสวย ๆ ถลอกปอกเปิกเยินหมดเลยลูก ตายแล้ว เลือดเต็มเลย โดนเศษอะไรบนถนนบาดเนี่ย ใครมีผ้าสะอาด ๆ ไหม เอามาห้ามเลือดหน่อยเร้ว”
บรรดาไทยมุงเปิดกระเป๋าค้นหาของที่แม่ค้าผลไม้สั่งเป็นพัลวัน
“ในกระเป๋าหนูมีผ้าเช็ดหน้าค่ะ” อิงอรุณใช้มือสั่นระริกปลดล็อกกระเป๋าควานหาผ้าสีขาวเนื้อนิ่มออกมาส่งให้พยาบาลจำเป็น
“ผ้าเช็ดหน้าหนูสวยจริง เสียดาย” ปากบ่นเช่นนั้น แต่มืออวบอูมหยาบกร้านกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรับผ้าเช็ดหน้ามากดบาดแผลแน่น ๆ ค้างไว้
“สงสัยมีแผลโดนบาดนะ เลือดออกเยอะเลย รีบไปโรงพยาบาลดีกว่านะหนู ป้าว่าอย่างนี้ต้องเย็บถึงจะเอาอยู่”
“หนูไม่เป็นไรค่ะป้า” อิงอรุณปฏิเสธเสียงสั่น ฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาเจียนจะหยด
“เลือดออกขนาดนี้ยังจะบอกไม่เป็นอะไรอีก” ป้าเอ็ดเสียงแข็ง
“หนูไม่เจ็บจริง ๆ นะคะ” อิงอรุณดื้อแพ่ง น้ำตาเริ่มรินลงมาเงียบ ๆ มือเล็กปาดเช็ดน้ำตา ปากก็ย้ำพร่ำบอก “มันแค่ดูน่ากลัวเอง แต่ไม่เจ็บเลย”
ชายหนุ่มแหวกกลุ่มคนเข้าไปยืนค้ำศีรษะหน้าคนเจ็บ อิงอรุณเงยขึ้นมาเบิกตากว้างมองเขาด้วยสีหน้าซีดเผือดสลับแดงก่ำบอกยากว่าอับอายหรือยินดี
“คุณสาวัช...” เสียงรำพึงนั้นแผ่วเบาเจือสะอื้น แต่เขาก็ได้ยินอยู่ดี
“ใครก็ได้เรียกแท็กซี่ให้ที พาหนูเขาไปโรงพยาบาลก่อน” ป้าสั่งลอย ๆ ซึ่งก็มีคนกุลีกุจอวิ่งไปเรียกรถให้ ทว่า...
“ไม่มีแท็กซี่ไปเลยป้า มันบอกว่าต้องไปส่งรถ” ไทยมุงประสานเสียงด่าขรม
“ผมพาไปเอง เดี๋ยวผมไปเอารถที่ตึกลงมา” สาวัชเสนอตัว
พยาบาลจำเป็นตวัดตามองเขาอย่างประเมิน ทั้งยังกางปีกปกป้องอิงอรุณเต็มที่ “ไม่เอาหรอก ผู้ชายพายเรือ ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดพาแม่หนูนี่ไปที่อื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลจะทำยังไง”
สาวัชชักสีหน้า ไม่เคยมีใคร ‘กล้า’ หมิ่นหยามเขาเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล!
“เขาเป็นเพื่อนหนูเองค่ะป้า” อิงอรุณรีบอธิบาย
“อ้าว รู้จักกันเหรอ ก็ได้ ๆ งั้นคุณไปเอารถมา เอ้า! หนูกดแผลไว้นะ เดี๋ยวป้า
ประคองไปนั่งสบาย ๆ ” นางจับมืออิงอรุณไปกดผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเข้าประชิดตัวคนเจ็บดึงมือเธอไปวางบนบ่าตัวเองช่วยประคองให้เธอลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณค่ะ ป้าปล่อยเลยก็ได้ หนูยืนไหวค่ะ” ทว่าเพียงคนเป็นหลักปล่อยมือ ผู้หญิงตัวเล็กก็ซวนเซ มองก็รู้ว่าขาข้างที่บาดเจ็บคงไม่มีแรงประคองตัวเอง
สาวัชผวาเข้าไปอีกข้างรับหญิงสาวไว้ทันควัน มือซ้ายอ้อมหลังไปยึดไหล่ซ้าย ส่วนมือขวาคว้าต้นแขนขวารั้งอิงอรุณไว้มิให้ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกหน
“ขอบคุณค่ะคุณสาวัช แต่อิงยืนเองได้” เธอขืนตัวออกห่างอย่างไว้ตัว
สาวัชไม่สนใจท่าทีแข็งขืน แต่ยังคงกึ่งลากกึ่งประคองบังคับอิงอรุณไปนั่งตรงเก้าอี้ในป้ายหยุดรถประจำทาง
“เอ่อ...คุณสาวัชมีธุระหรือเปล่าคะ อิงเกรงใจ ไม่อยากรบกวน”
ชายหนุ่มมองขาคนเจ็บ รอยกรีดข้างหน้าแข้งยาวเกือบสามนิ้วเลือดไหลโซมย้อมผ้าเช็ดหน้าจนแดงฉาน อาจเพราะเจ้าตัวออกแรง จึงทำให้เลือดยิ่งออกมาก
หากเป็นยามปกติ เขาคงฉวยโอกาสจากไป แต่นี่...ชายหนุ่มมั่นใจว่าต่อให้ทิ้งอิงอรุณไว้ตรงนี้ แต่ภาพบาดแผลของเธอคงติดตาค้างอยู่ในใจเขาอีกนาน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่อยากไปตามนัดที่บิดาสั่งอยู่แล้ว มันจึงสมเหตุสมผลที่สุดที่เขาควรยืนกราน... “รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมมา”
“อิงเกรงใจ เดี๋ยวจะทำรถคุณเปื้อน ขับรถอิงไปดีกว่าไหมคะ นี่ค่ะกุญแจ”
สาวัชสบตาคนเจ็บนิ่ง ๆ ไทยมุงรอบด้านจ้องมาคล้ายลุ้นรอคำตอบ สุดท้ายเขาจึงถอนใจ เอื้อมไปรับของจากมือหญิงสาว
ชายหนุ่มมองคนเจ็บด้วยสายตาบอกความรำคาญ ผู้หญิงคนนี้สติดีหรือเปล่าเนี่ย หิ้วกระเป๋า ‘ใบละล้าน’ มาเดินข้างถนน ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนละเกือบห้าพันห้าห้าม
เลือด และยัง ‘กล้า’ ไว้ใจเขาถึงขนาดนี้!
ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกประดักประเดิดเคอะเขินที่สุดในชีวิต เมื่อสายตาทุกคู่มองตามเขาจนเหลียวหลังขณะเดินผ่านอาคารโภไคยทาวเวอร์ไปยังลานจอดรถของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ซึ่งอยู่ถัดไป ในมือ...ไม่ใช่แค่กุญแจรถ แต่เป็นหูหิ้วกระเป๋าถือใบสีฟ้าของอิงอรุณ!
อิงอรุณกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดเมื่อพยาบาลคลายปมแกะผ้าเช็ดหน้าออกและเริ่มต้นขั้นตอนการล้างแผล หลังทำความสะอาดเบื้องต้น นางฟ้าชุดขาวก็หายไปพักใหญ่และกลับมาพร้อมแพทย์เพื่อดูอาการ คุณหมอท่าทางใจดีตรวจแผลและอาการโดยรวม จากนั้นสรุปคร่าว ๆ
“แผลลึกแล้วก็ยาว จริง ๆ ควรเย็บ แต่ปากแผลสกปรก ทำความสะอาดยังไงก็ไม่หมด หมอเลยไม่แนะนำให้เย็บเพราะอาจยิ่งติดเชื้อ เดี๋ยวทำแผลฉีดยากันบาดทะยักแล้วไปเอกซเรย์หน่อยละกัน ตรวจให้แน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร แต่คุณต้องมาล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันนะ มีประกันอยู่แล้วใช่ไหม”
อิงอรุณพยักหน้า มองไปทางท้ายเตียงซึ่งสาวัชยืนกอดอกหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้น แม้หน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่เขาไม่บ่นสักคำ กระนั้นก็ไม่มีท่าทีห่วงใยด้วยเช่นกัน เป็นความเย็นชาที่เธอชักคุ้นตา จึงไม่รู้สึกอึดอัดเช่นคราแรก ๆ
หลังทำแผล เวรเปลเข็นรถพาอิงอรุณไปเอกซเรย์กระดูกทั้งที่หัวไหล่ แขน และขา สาวัชบุ้ยปากพยักเพยิดบอกว่าจะนั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน
หญิงสาวใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลเกือบสองชั่วโมงกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จ เมื่อเวรเปลพาเธอไปชำระเงิน รับยา และกลับมาสมทบกับสาวัชยังจุดที่เขาคอยอยู่ ชายหนุ่มมีสีหน้าเบื่อหน่ายชัดเจน
“ขอโทษนะคะ” เธอเสียงอ่อย ซึ่งเขาไม่นำพาคำขอโทษของเธอสักนิด
“เดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้าน บอกทางมาละกัน” เขาไม่ได้บอกกล่าว แต่...สั่ง!
แม้ขาขวาจะยังระบมปวดหน่วง ๆ เหมือนถูกหินทุบจนน่วม แต่เจ็บแค่ไหนก็ต้องอดทน เพราะรถเข็นและพยาบาลตามเธอกลับบ้านไม่ได้ เธอต้องฝึกพึ่งพาตัวเองให้ได้ อิงอรุณจึงตัดใจทิ้งความสะดวกสบาย
“ดิฉันเดินไปเองได้ค่ะ” เธอให้สัญญาณ ซึ่งเวรเปลก็ย่อตัวลงไปพับที่วางเท้า แล้วยื่นมือจะช่วยประคองอิงอรุณให้ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยว!” เสียงนั้นเข้มจัด ทั้งเด็กหนุ่มและเธอชะงักกึก มองสาวัชเป็นตาเดียว
“นั่งรถเข็นซะ ล้มไปไม่มีใครประคองหรอกนะ” เขาเดินตึง ๆ นำไปที่ลิฟต์
อิงอรุณเม้มปาก ‘คำสั่ง’ ของเขาตรงใจเธอก็จริง แต่ต้องใช้คำพูดโหดร้ายและตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!
ตลอดทางขึ้นลิฟต์ไปลานจอดรถบรรยากาศอึดอัดอึมครึม สาวัชก้าวลิ่ว ๆ ไปยังฝั่งคนขับ ปลดล็อกแล้วยืนคอย
“ท่าทางคุณผู้ชายไม่ค่อยพอใจที่เมื่อกี้ผมช่วยประคอง งั้นเดี๋ยวผมเข็นรถไปใกล้ ๆ ประตูรถให้นะครับ คุณผู้หญิงจะได้มีหลักยึดลุกขึ้นง่าย ๆ ” เวรเปลเอ่ยเสียงเบาและเทียบรถเข็นกับประตูรถ
อิงอรุณยันที่เท้าแขนลุกขึ้นยืน ขอบคุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคอยจนเขาเข็นรถกลับไปแล้ว จึงเอียงศีรษะโผล่พ้นประตูมาทางกระจกหน้า แล้วถามสาวัช
“คุณสาวัชไม่พอใจเวรเปลหรือคะ”
สาวัชไม่ตอบ แต่เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับเงียบ ๆ
อิงอรุณยู่หน้าใส่อากาศ ความรู้สึกปนกันทั้งอยากขอบคุณ ทั้งหมั่นไส้
“จะยืนอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม” เสียงเข้มห้าวดังมาจากในรถ ทำให้อิงอรุณสะดุ้งโหยง รีบละล่ำละลัก
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้แล้วละค่ะ” แต่เพราะรถเป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อยกสูง ซึ่งวันนี้ขาเธอเพิ่งได้รับบาดเจ็บยังรับน้ำหนักมากไม่ไหว หญิงสาวจึงเก้ ๆ กัง ๆ ขยับซ้ายขวาหามุมปีนขึ้นรถ เธอลองใช้เท้าซ้ายเหยียบบันได ครั้นพยายามเกร็งขาขวาบิดตัว อาการเจ็บจี๊ดตรงแผลก็พุ่งเข้าจู่โจมจนต้องรีบปล่อยขาตามสบาย ทิ้งน้ำหนักบนขาซ้ายตามเดิม
อิงอรุณขมวดคิ้ว ลองหมุนตัวอีกมุมหมกมุ่นกับการหาวิธีใหม่ขึ้นรถ ขณะมัวสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า สาวัชอ้อมรถมาตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่...
“ขออนุญาต” เขาพึมพำสั้นแค่นั้น แล้ววินาทีถัดมาตัวเธอก็ลอยหวือจากพื้น อิงอรุณตกใจที่ถูกอุ้มขึ้น จึงกางมือโอบรอบคอชายหนุ่มทันควันเพราะกลัวตก
ลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดตรงริมขมับ และใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบทำให้เธอเผลอกลั้นหายใจด้วยความประหลาดใจระคนเขินอาย ทั้งยังกลัวอีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง!
สาวัชวางเธอบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็กระแทกเสียง “ตัวยุ่ง!”
อิงอรุณอ้าปากค้าง ยังไม่ทันแก้ข้อกล่าวหา ชายหนุ่มก็งับประตูปิด อ้อมหน้าหม้อไปนั่งประจำที่คนขับแล้ว
กระนั้นสัมผัสอบอุ่นที่แตะแต้มตามเนื้อตัวเมื่อครู่ กลับไปล่ปลิวอยู่ในใจเธออีกเนิ่นนาน...
หญิงสาวยกมือกดหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนราวกับแผ่นดินไหว ปลอบประโลมมิให้มันโลดกระโจนออกมานอกอก ขณะก้มหน้าอุบอิบ “ขอบคุณมากค่ะ”
“ผมไม่เต็มใจ ดูไม่ออกเหรอ”
“งั้นก็ขอบคุณที่ไม่เต็มใจค่ะ” อิงอรุณอยู่ในอารมณ์ผาสุกเกินกว่าจะเก็บคำพูดเย็นชามาเป็นอารมณ์ จึงเพียงเม้มปากกลั้นยิ้ม เธอมองสารถีจากปลายหางตา เขายังคงหน้านิ่งขรึมดุจฤๅษีเคร่งศีลอย่างไรอย่างนั้น!
“เดินถนนก็ควรดูทาง สังเกตรอบ ๆ ไม่รู้เหรอว่าความประมาทเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพเอาเปรียบน่ะ” จู่ ๆ สาวัชก็ ‘สั่งสอน’ โดยไม่เกริ่นล่วงหน้า เขาเท้าความถึงอุบัติเหตุนั่นเอง
“ปกติก็ดูแหละค่ะ แต่วันนี้มัวแต่ดีใจที่เห็นคุณ คิดแต่ว่าจะรีบไปทักทายนี่คะ อีกอย่างอิงก็เดินแถวนั้นออกบ่อย ใครจะไปคิดล่ะว่าวันนี้จะเจอแจ็คพ็อต”
“ขี้งก”
“คะ?” อิงอรุณอุทาน ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือจินตนาการคำนั้นขึ้นมาเอง
“ไม่เคยมีคนบอกเหรอว่าอย่ามัวแต่ห่วงทรัพย์สิน มันอยากได้อะไรก็ให้มันไปสิ มัวแต่ห่วงกระเป๋ายื้อเอาไว้ ถึงได้ถูกมันลากไปไกลจนต้องบาดเจ็บขนาดนี้”
หญิงสาวยิ้มแหย “คือ...อิงไม่ได้ห่วงกระเป๋านะคะ แต่อิงตกใจกลัวตก ก็เลยยิ่งยึดกระเป๋าไว้แน่นเข้าไปใหญ่”
“มันไม่ใช่ที่ที่ควรถือกระเป๋าราคาแพงไปเดินเตร็ดเตร่อย่างนั้น”
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง จากนี้อิงจะระวังตัวให้มาก ๆ ” เจตนาของเขาอาจแค่
ต้องการบอกกล่าว แต่อิงอรุณโมเมเข้าข้างตัวเองว่าเขาเตือนด้วยความห่วงใย!
“ปกติอิงขับรถตลอดนี่คะ เพียงแต่ว่าวันนี้มีเหตุให้ต้องขึ้นรถไฟฟ้า...” เธอชะงักเมื่อนึกได้ว่าลืมนัดเสียสนิท หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะเห็นว่าจะใช้บริการรถสาธารณะเธอจึงตั้งปิดเสียงไว้ เพิ่งเห็นว่ามีสายไม่ได้รับเกือบยี่สิบสาย ทั้งหมดมาจากคนคนเดียว...เปรมิกา!
“ขอโทรศัพท์หน่อยนะคะ” เธอรีบโทร.หามารดา โดยแก้ตัวว่าติดงานจนลืม
นัด จงใจปิดบังเรื่องอุบัติเหตุไว้ก่อน กะว่าถึงบ้านแล้วค่อยเล่าให้ฟัง ท่านจะได้ไม่กระวนกระวายหรือตกใจเกินไป
นอกจากถามพิกัดบ้านเธอแล้ว สาวัชไม่พูดคุยอะไรอีกเลย อิงอรุณเปิดวิทยุพอให้เสียงเพลงคลอเบา ๆ ทั้งยังหาเรื่องชวนคุยเพื่อมิให้บรรยากาศอึมครึมเกินไป
“เรื่องคอร์สพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ อิงหาวิทยากรได้แล้วนะคะ”
“มาบอกผมทำไม”
“อ้าว...เอ้อ...ก็...” นั่นสิ! เขาคงไม่อยากรับรู้ด้วย งั้นเปลี่ยนเรื่อง คุยเรื่องใหม่ “เห็นข่าวว่ายอดขายไตรมาสที่ผ่านมาซูเปอร์โคลากำไรเพิ่มขึ้น ดีใจด้วยนะคะ”
ความพยายามของเธอได้รับผลตอบแทนเป็นการปรายหางตามองมาแค่แวบเดียว แล้วเขาก็กลับไปให้ความสนใจกับท้องถนนเบื้องหน้าดังเดิม ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับ ไม่มีแม้แต่การพยักหน้ารับคำด้วยซ้ำ เย็นชาชะมัด!
ตลอดเส้นทางที่เหลือ นอกจากขับรถแล้ว สาวัชทำตัวเองราวกับเป็นอากาศ ครั้นรถแล่นมาจอดหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์เทียมสุบรรณ เขาจึงบอกแค่ “ให้คนรถมาขับเข้าไปเองละกัน ผมไปละ” ชายหนุ่มเปิดประตูก้าวพรวดจากไปดื้อ ๆ
อิงอรุณกดปุ่มดับเครื่องยนต์ แล้วกะเผลกตามลงมา ทว่ากลับเห็นเพียงแผ่นหลังของสาวัชที่เดินลิ่ว ๆ ไปไกลแล้ว หญิงสาวเป่าลมพรูจากปาก รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะวิ่งตามไปขอบคุณหรือเสนอให้คนรถที่บ้านไปส่ง เพราะผู้ชายยโส มีปัญหากับการเข้าสังคมอย่างนั้น คงไม่รับความช่วยเหลือจากเธอแน่ ๆ รับประกัน!
สาวิตรีล้างจอกดินเผาเขียนลวดลายงดงาม แล้วนำมารินน้ำชาเลื่อนไปให้สามีอย่างเอาใจ ด้วยเห็นว่าเขาพื้นอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“อ้าว! แล้วสาไม่ดื่มด้วยกันเหรอ” ธนาพยักพเยิดไปยังจอกน้ำชาว่างเปล่าอีกสี่ใบที่วางเรียงอยู่เคียงกัน
“ชุดน้ำชานี่คุณฮกเอามาฝากจากญี่ปุ่นค่ะ เขาคงอยากให้เสี่ยใช้คนเดียวมากกว่า” สาวิตรีเสียงอ่อย
“สาคิดมากไปได้ ใครใช้มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ธนาปลอบใจเธอเช่นเคย
“เครียดอะไรหรือคะ สาสังเกตตั้งแต่หัวค่ำแล้วว่าเสี่ยไม่ค่อยพูดเลย หรือว่า
ยังคิดเรื่องที่คุยกับคุณนายใหญ่เมื่อเช้า” นางสบโอกาสรีบตั้งคำถามที่อยากรู้
“เรื่องหุ้นนั่นจบไปแล้ว ที่เฮียหงุดหงิดตอนนี้เป็นเพราะลูกชายตัวดีของสาน่ะแหละ วันนี้เฮียตั้งใจนัดสาวัชกับฮกไปเจอผู้ใหญ่ สองพี่น้องมันดันผิดนัด เสียคำพูดหมด!” เพียงขาดคำ คนที่อยู่ในบทสนทนาก็เปิดประตูเลื่อนก้าวเข้ามาในบ้าน
“มาแล้วเรอะ!” ธนาลุกขึ้นยืนตั้งท่าโวยวาย ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของลูกชายและรอยเลือดที่กระเซ็นเปื้อนปลายแขนเสื้อก็ชะงัก “นี่ลื้อไปทำอะไรมา”
“ผมเจอคนโดนกระชากกระเป๋าหน้าตึก เขาได้รับบาดเจ็บก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาลน่ะครับ”
สาวิตรีหงุดหงิดใจที่ลูกชายทำให้บิดาไม่พอใจ ครั้นเห็นว่าสามีลดความโกรธเกรี้ยวลง เธอจึงรีบคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเสนอเสียงอ่อน “ลูกเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีไหมคะ วันนี้เสี่ยเองก็ออกไปข้างนอกมา กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวสาไปเป็นเพื่อนที่ตึกใหญ่เอง”
ธนาเห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดอ้อนวอน จึงพยักหน้า “สาว่าไงก็ตามนั้น!”
สาวิตรียิ้มสมใจ อะไรจะทำให้เธอมีความสุขไปกว่าการได้พาธนาขึ้นไปส่งถึงตึกใหญ่ เพื่อเย้ยหยันอวดให้ดารณีเจ็บปวดชอกช้ำเล่น ๆ ว่าใครคือที่หนึ่งในใจของธนาตลอดมาและตลอดไป
นั่นละ...ไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้เลยทีเดียว!
*******************************************************
นิยายเรื่องนี้มี 60 ตอนนะคะ
สิริณจะลงให้อ่าน "จนจบ"
ไม่เท ไม่ทิ้งกันแน่นอน
แต่ในฉบับหนังสือและอีบุ๊ก
จะมีตอนพิเศษจัดเต็มอีกเกือบ 100 หน้า
(ประมาณ 1/5 ของเล่ม)
วันนี้เปิดให้จองหนังสือแล้วจ้า
จะจัดพิมพ์ตามจำนวนจอง ไม่มีวางขายหน้าร้านนะค้า
หนังสือหนา 600 หน้า + ที่คั่น
ราคา 450 บาท ค่าจัดส่ง 30 บาท
สนใจสั่งจองที่ https://goo.gl/kHN2TN
** สำหรับ 100 คนแรกที่จองและโอนเงิน จัดส่งฟรี พร้อมรับของแถมพิเศษ **
ฉบับอีบุ๊ค รอประมาณกลางเดือนนะคะ
ตอนนี้กำลังรีบจัดหน้าและขอเลข ISBN อยู่ค่ะ
สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2561, 21:19:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2561, 21:19:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 647
<< ตอนที่ 13 | ตอนที่ 15 >> |