+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน
ตอน: ตอนที่ 22
เช้าวันถัดมา เพียงประตูรั้วของคฤหาสน์เทียมสุบรรณเลื่อนเปิด ใครบางคนที่นั่งรออยู่ตรงศาลาไม้สักริมสนามก็คว้าแอร์เมสกะเผลกถลามายืนคอยที่ริมทางปูน
รอจนสาวัชจอดรถเทียบใกล้ ๆ อิงอรุณก็เปิดประตูเข้ามานั่งพลางอธิบาย “พ่อยังไม่ลงมาค่ะ ส่วนแม่เดินทางไปบริจาคผ้าห่มทางเหนือตั้งแต่ตีห้า อิงกินข้าวแล้วเลยมารอตรงนี้ คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงจากรถ”
ไม่มีคำตอบรับหรือหืออืออะไรสักคำ
“เมื่อวานขอโทษด้วยนะคะที่บอกกะทันหัน แถมยังไม่ได้โทร.บอกเองด้วย”
อีกฝ่ายยังคงนิ่งและเงียบ ขณะเขาขับรถวนรอบน้ำพุหน้ามุขกลับทางเดิม
“ลืมหรือคะ” อิงอรุณเผลอเอียงคอ กลั้นยิ้มจนแก้มพอง
“ลืมอะไร” ในที่สุดเขาก็ยอมพูด
“ก็ไม่ได้ลืมนี่นา”
“พูดถึงอะไร ใครลืมอะไร” เขาใช้โหมดอาจารย์ดุ ๆ ซักดุจเธอเป็นนักเรียน
“พูดถึงปากคุณไงคะ ทีแรกอิงนึกว่าคุณลืมไว้ที่บ้านซะอีก” เธอหัวเราะคิก
สาวัชทำอาการคล้าย ๆ ค้อน แต่มุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย คนตั้งใจมองอยู่เห็นชัดเต็มตาจึงยิ้มกว้าง...
“โกรธเหรอคะ” ที่จริงอยากถามเต็ม ๆ ประโยคว่า โกรธ ‘ที่ไม่ได้กลับด้วยกัน’ เหรอคะ ด้วยซ้ำ!
“ทำไมต้องโกรธ”
อิงอรุณเพิ่งนึกได้ นั่นสิ! ไม่มีคนกวนใจ น่าจะดีใจมากกว่า เปลี่ยนเรื่อง ๆ
“ความจริงอิงโทร.เข้ามือถือคุณด้วยนะ ไม่เห็นมิสส์ด์คอลล์หรือคะ”
“เห็น”
“อ้าว! แล้วทำไมไม่โทร.กลับล่ะคะ” เธอรอโทรศัพท์เขาทั้งคืน ไม่กล้าเป็นฝ่ายโทร.หาเพราะเกรงจะรบกวน ที่สำคัญก็คือกลัวเขาเบื่อรำคาญจริง ๆ ไม่ใช่ปากแข็งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“ก็คุณฝากข้อความไว้แล้วนี่”
“อ้อ...” คำตอบนั้นไร้เยื่อใยจนอิงอรุณชักน้อยใจรำไร เธอหน้าสลด ตัวฟีบเหมือนลูกโป่งลมอ่อน มองออกไปนอกหน้าต่างแทน ไม่ชวนคุยอะไรอีก
สาวัชปรายตามองคนข้าง ๆ ชักอึดอัดขึ้นมาที่คนพูดเก่งกลับเงียบเสียดื้อ ๆ
เขาพยายามคิดหาเรื่องชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ในหัวกลับว่างเปล่า ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียง ถอนหายใจ...
“ผมขอโทษ” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร รู้แต่ว่าต้องขอโทษ
อิงอรุณเหลียวมานิดเดียว แล้วกลับไปทำท่าปั้นปึ่งตามเดิม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า ร้อนใจอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเลี้ยวรถเข้าสถานีน้ำมันแห่งแรกที่พบ แล้วจอดรถหน้าร้านมินิมาร์ท สาวัชเอื้อมตัวไปเปิดลิ้นชักหน้ารถ หยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมาหย่อนลงบนตักคนกำลัง ‘งอน’
อิงอรุณก้มลงมองของบนตักอย่างงง ๆ “นี่อะไรคะ”
“จำเรื่องพาเนรายแพมโฟร์ตี้ไนน์ของคุณได้ไหม” เขารอจนเธอพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อ “ผมเอาเรื่องที่เราคุยกันไปพัฒนาไอเดีย แล้วนำเสนอในที่ประชุม ทำให้ได้รับคำชม ก็เลยอยากตอบแทนคุณบ้าง”
อิงอรุณมีสีหน้าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก “งงค่ะ”
ชายหนุ่มชั่งใจ แล้วผู้ชายที่พูดน้อยแทบนับคำได้มาตลอด กลับเปิดปากเล่าปัญหาที่บริษัทให้เธอฟังโดยไม่ปิดบัง ทั้งซูเปอร์โคลาเตรียมทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ รวมถึงข้อเสนอของเขาที่ทำให้ครอบครัวปรเมศวร์ซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาต่ำแสนต่ำ
“ที่คุณบอกว่าของที่ไม่มีใครต้องการ ต่อให้ราคาถูกแค่ไหนก็ไม่มีคนซื้อ ผมถึงคิดได้ว่าต้องทำให้คนไม่อยากได้หุ้นของพีอาร์เอ็ม ก็เลยเสนอไอเดียกับผู้บริหาร”
“คุณเก่งต่างหากที่คิดต่อยอดไปได้ขนาดนั้น ว่าแต่คุณทำยังไงเหรอคะ” แค่คิดว่าเขาไว้ใจ อิงอรุณก็ลืมโกรธลืมงอนไปหมด ชวนคุยต่ออย่างกระตือรือร้น
“นี่คุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้เหรอ ผมแค่เล่าข่าวให้คุณฟังเท่านั้นเอง” พูดดีได้ไม่กี่คำ เขาก็สะบัดเสียงดุจมะนาวไม่มีน้ำดังเคย แถมยังเบือนหน้าไปทางอื่นคล้ายรำคาญความไม่เอาไหนของเธอ
“อ่านหนังสือพิมพ์กับที่คุณเล่า ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันหรอกค่ะ” เธอไม่ใช่นักธุรกิจ หนังสือพิมพ์ที่เขาพูดถึง เธอไม่อ่านหรอก ถ้าเป็นพ่อเธอสิว่าไปอย่าง!
อิงอรุณไม่สนใจท่าทางเย็นชานั้น กลับซักถามแทบจะให้เขาเล่ารายละเอียดในห้องประชุมประโยคต่อประโยค แม้สาวัชมีท่าทางไม่เต็มใจ แต่ก็ตอบทุกคำถาม
หญิงสาวถึงกับตบเข่าฉาด หัวเราะคิกคัก “นึกภาพตามแล้วสะใจเป็นบ้า สมน้ำหน้าตาแก่พวกนั้นที่ต้องวิ่งหางชี้ไปขายหุ้นกันจ้าละหวั่น”
“พูดเกินไป เขาก็แค่วิ่งหน้าตาตื่นออกจากห้องประชุมเอง”
“แล้วพอเหลือแต่คุณกับผู้บริหารแล้วเป็นยังไงต่อคะ”
“คุณริ เอ่อ...รองซีอีโอบอกว่าผมทำได้ดีมาก” มุมปากที่ยกขึ้นนิด ๆ จนคล้ายรอยยิ้มของเขา ทำให้อิงอรุณตื้อในอก ดีใจไปด้วยราวกับเป็นเรื่องตัวเอง
ผู้ชายที่เย็นชาจนเกือบเข้าขั้นหยาบกระด้าง วางตัวเป็นก้อนหินไม่รู้เห็นความรู้สึกตัวเอง บัดนี้กำลังสดใสมีชีวิตชีวาอย่างเหลือเชื่อ น่าทึ่งที่อานุภาพคำพูดเดียวทำได้ขนาดนั้น สิ่งที่เขาโหยหาที่แท้คือการยอมรับจากพี่สาวนั่นเอง!
“ผู้บริหารคุณปากหนักจัง บอกว่าเก่งตรง ๆ ก็ไม่ได้ ต้องมาทำเป็นอ้อมค้อม”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ใครว่าละคะ คุณทำตั้งเยอะนะ ทั้งวิเคราะห์ วางแผน แล้วยังต้องออกโรงอีก งานทั้งยากทั้งเยอะกว่าใครเลย” ตัว ‘ลำเอียง’ คงหน้าตาเหมือนเธอแหง ๆ
สาวัชทำเสียงขลุกขลักในคอ ริมฝีปากเม้มแน่นบอกให้รู้ว่ากำลังกลั้นหัวเราะ!
อิงอรุณยกมือปิดปากแทบไม่ทัน เกือบเผลอกรี๊ดด้วยความดีใจกระดี๊กระด๊า
สถิติโลก! ฤๅษียิ้มยากหัวเราะแล้ว ซื้อหุ้นวันนี้เธอต้องขาดทุนยับแน่ เพราะใช้โชคดีหมดไปกับการได้เห็นสาวัชหัวเราะแล้ว
สาวัชโคลงศีรษะแสนเบา คนมองไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร มั่นใจอย่างเดียวว่านั่นไม่ใช่ความระอาแน่ ๆ !
สาวัชเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าสำนักงานบริษัทคิวปิดแอสซิสแทนซ์ ลานจอดรถซึ่งปกติเคยโล่งไร้รถในช่วงเช้า วันนี้กลับแน่นขนัดด้วยรถติดโลโก้สำนักข่าว
“บริษัทคุณมีงานแถลงข่าวเหรอ” ชายหนุ่มสงสัย
“ไม่มีนะคะ สงสัยอาคารโภไคยทาวเวอร์มาขอเช่าพื้นที่จอดรถช่วงเช้ามากกว่า หรือว่าปรเมศวร์เทรดดิ้งจะแถลงข่าวเรื่องเมื่อเช้าที่คุณเล่า”
“ยุ่ง! ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย” ถ้าเสียงเขาเข้มกว่านี้ เธอคงเชื่อว่าเขากำลังเอ็ด แต่นี่ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย
“อยากรู้ ถามไม่ได้เหรอคะ”
“ถามได้ แต่จะตอบหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึง”
“ไม่ต้องตอบก็รู้แล้วค่ะว่าใช่แน่” อิงอรุณหยิบกล่องบนตักมาเขย่า สีหน้าตื่นเต้นอยากรู้ “นี่อะไรคะ อิงขอเปิดดูเลยได้ไหม”
“ตามใจสิ”
อิงอรุณไม่สนใจเสียงเรียบไร้อารมณ์ของเขา
หญิงสาวเปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินออกจึงเห็นสร้อยข้อมือประดับตุ้งติ้งวางอยู่ในนั้น เธอหยิบสายสร้อยออกมาพิจารณา ทว่าความคุ้นตาชอบกลทำให้เผลอขมวดคิ้ว
“เอ๊ะ! นี่มัน...” เธอมองชายหนุ่ม “คุณสาวัชซื้อสร้อยนี้มาจากไหนหรือคะ”
สาวัชนิ่วหน้า “คำถามแบบนี้ จัดเป็นมารยาทที่สมควรทำเหรอ?”
“คือ...” อิงอรุณอึ้ง เธอมัวแต่แปลกใจจนลืมคิดไปว่ามันหยาบคายพอดู คนฟังอาจเข้าใจผิดว่าเธอดูถูกมูลค่าของมันหากไม่ได้มาจากร้านจิวเวลรีหรูตามมาตรฐานของอิงอรุณแสตนดาร์ด!
“ที่อิงถามเหมือนเสียมารยาท ก็เพราะสร้อยเส้นนี้เหมือนที่อิงเคยทำหายไปน่ะค่ะ” หญิงสาวช้อนจี้ที่ห้อยอยู่แต่ละชิ้นขึ้นมา “ตุ้งติ้งก็เรียงเหมือนกันเปี๊ยบเลย แหวน ซองจดหมาย หัวใจ เลขแปด ประตู แล้วก็โลโก้แฮร์รี่วินสตัน”
เธอพลิกตะขอด้านในให้ชายหนุ่มดูตัวอักษรภาษาอังกฤษสลัก “เหมือนกระทั่งตัวอักษรย่อตรงตาขอ ทั้งฟอนต์ตัวหนังสือก็ตัวเดียวกันเป๊ะ คุณสาวัชสั่งทางร้านสลักชื่อย่อของอิงไว้ด้วยหรือคะ”
สาวัชจำต้องยอมรับนี่เป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ
“ผมเก็บสร้อยเส้นนี้ได้ตรงบันไดหนีไฟ ก็เลยให้ทางอาคารประกาศหาเจ้าของ คอยอยู่หลายสัปดาห์แต่ไม่มีใครมาขอรับคืน ผมเห็นว่ามันสวยดีก็เลยเอาไปร้านเพชรซ่อมห่วงที่ขาดอ้า ทางร้านขอซื้อต่อด้วยราคาที่สูงมากจนน่าแปลกใจ ผมพอเดาได้ว่านั่นต้องเป็นราคาที่โดนกดแน่ ๆ มูลค่าจริงมันคงสูงกว่านั้นมาก ก็เลยไม่ขาย แล้วเอาเงินจำนวนเดียวกันนั้นไปบริจาคมูลนิธิเพื่อการศึกษาเด็ก ถือเป็นการ ‘ซื้อต่อ’ จากคนที่ทำหล่นไว้ จะได้ไม่รู้สึกไม่ดีน่ะ”
ภาพความทรงจำของชายหนุ่มทวนย้อนไปยังวันที่เก็บสร้อยเส้นนี้ได้ หลังการเข้าประชุมครั้งแรก ริสาตามเขาออกมาที่บันไดหนีไฟ จากนั้น...
รอยผาสุกบนใบหน้าชายหนุ่มแปรไปช้า ๆ เขาเหลือบมองสร้อยในมือหญิงสาวสลับกับใบหน้าเธออย่างงุนงง
อิงอรุณชะงัก เงยขึ้นสบตาเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างตื่นตระหนกดุจปะติดปะต่อเรื่องราวได้เช่นกัน “หรือว่า...นี่เป็นสร้อยของอิง”
สาวัชรู้ทันทีว่าสร้อยเส้นนี้ไปอยู่ตรงบันไดหนีไฟได้อย่างไร เธออยู่ที่นั่นและได้ยินทุกอย่าง!
“คุณสาวัช...” อิงอรุณตะกุกตะกัก “คือ...อย่าเพิ่งโกรธนะคะ อิงอธิบายได้”
สาวัชเบือนหน้าหลบตาอีกฝ่าย เขาไม่ได้โกรธ แต่อายต่างหาก อับอายที่ถูกบริภาษเช่นนั้นต่อหน้าอิงอรุณ!
ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่น เสี้ยววินาทีถัดมาเขาก็ปลดล็อกประตูรถ “จะแปดโมงครึ่งแล้ว ลงไปเถอะ ผมต้องรีบไปตอกบัตร”
อิงอรุณไม่ขยับสักนิด “อิงไม่ขอโทษหรอกนะคะ เพราะอิงไม่ได้ตั้งใจไปแอบฟัง อิงแค่บังเอิญอยู่ตรงนั้นในเวลานั้นพอดี”
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม คุณถึงดีกับผมนัก” เขาเปรยแผ่วเบา รู้สึกเหมือนมีอะไรคม ๆ กรีดลากลงบนหัวใจ ชายหนุ่มหยิบหน้ากากเยาะหยันมาครอบดวงหน้าโดยไม่รู้ตัว ขณะหัวเราะหึ ๆ สมเพชตนเอง “ที่แท้คุณก็ทำไปเพราะสงสารผมนี่เอง”
“คุณสาวัชคิดไปใหญ่โตแบบนั้นได้ยังไง” อิงอรุณพ้อ
สาวัชก้มหน้าซ่อนความรวดร้าวในดวงตา เขาเคยรับมือกับความเกลียดชัง รำคาญ เบื่อหน่าย คาดหวัง ชื่นชม และอีกมากมายหลายความรู้สึกจากคนรอบข้าง
อะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ความสงสาร!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสงสารจากอิงอรุณ เขาไม่อยากให้เธอเวทนาเขา มันทั้งน่าอายแล้วก็น่าทุเรศ ที่ต้องขอรับความเห็นใจจากผู้หญิงคนนี้
ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ มือทั้งคู่กำแน่น น่าขัน...ในยามนี้กระทั่งอุ้งมือเขายังร้อนผ่าวดุจความเจ็บปวดในหัวใจสามารถแผดเผาไปทั่วร่าง จู่ ๆ สาวัชก็ปรารถนาอยากมีคาถาวิเศษสามารถเสกให้ตัวเองหายวับไปจากตรงนี้ ก่อนความอ่อนแอจะฉีกทึ้งเขาจนกลายเป็นเศษเล็กน้อยและแตกรานลงต่อหน้าอิงอรุณ แค่นี้เขาก็สมเพชตัวเองมากพอแล้ว!
“คุณสาวัช...” น้ำเสียงนุ่มนวลขานชื่อเขาอ่อนหวาน ชายหนุ่มบังคับตัวเองอย่างหนักมิให้หันไปสบตาเธอ แต่...ไม่สำเร็จ
อิงอรุณกำลังมองมานิ่ง ๆ สีหน้าร้อนใจ กระวนกระวายอย่างยิ่ง
สาวัชเบือนหน้าไปทางอื่น และประหลาดใจเมื่ออิงอรุณกุมมือเขาบีบเบา ๆ
“มันไม่ใช่เรื่องน่าอายนะคะ คุณเป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่ควรอับอายคือคนที่แสดงกิริยานั้นกับคุณต่างหาก”
ถ้อยปลอบประโลมนั้นดุจดังสายน้ำเย็นฉ่ำที่รดรินลงมาในใจอันร้อนรุ่มให้คลายความเจ็บปวดลงทีละน้อย สายตาคู่นั้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ เห็นอกเห็นใจ แต่ไม่ใช่สงสารหรือเวทนา อิงอรุณรู้ทุกอย่าง รู้มาระยะหนึ่งแล้วด้วย เธอเคยพยายามใช้เรื่องนี้มาแบล็กเมล์เขาตอนที่จะบังคับให้ไปเป็นวิทยากร เขาจำได้...
ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธหรือพยายามอธิบาย สิ่งที่ทำได้เพื่อให้เกลียดตัวเองน้อยที่สุดก็คือ...ยอมรับ
“แม่ผมเป็นมือที่สามของครอบครัวนั้น” น้ำเสียงสาวัชขมขื่น
“นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ ในเมื่อเราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วเราจะทุกข์กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ทำไม เสียเวลา เสียสุขภาพจิต แถมยังเสียใจฟรีอีกต่างหาก อย่าเป็นทุกข์ในสิ่งที่คุณไม่ได้ก่อเลยนะคะ”
สาวัชมองมือเล็กที่กำลังตบหลังมือเขาแผ่วเบา พลันรู้สึกถึงความอบอุ่นแปลก ๆ ที่รินลงในหัวใจ ตลอดชีวิตสาวัชมีกำแพงสูงกางกั้นเขาไว้จากโลกภายนอก ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครก้าวเข้ามาใกล้วงกลมชีวิตแม้แต่คนเดียว ไม่ต้องหวังถึงเพื่อนสนิท ขนาดเพื่อนระดับธรรมดา เขายังมีนับคนได้
เขาไม่เคยภูมิใจกับนามสกุลปรเมศวร์ เพราะมันนำมาซึ่งคำถามมากมายที่ไม่อยากตอบ แม้ครอบครัวปรเมศวร์จะเก็บตัวจากวงสังคม แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าดารณีมีลูกสองคน การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธนา ไม่ต่างอะไรกับการปาดป้ายสีดำลงในหัวใจเด็กชายสาวัชในวันวาน เหตุผลของการสอบชิงทุนไปต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อให้พ่อกับแม่ภูมิใจ มิใช่เพื่อหวังความก้าวหน้าหรือความสำเร็จ เขาแค่อยากหนีจากบ้านที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ริษยา และชิงชังก็เท่านั้นเอง
สาวัชเกลียดมารดา เกลียดธนา เกลียดดารณีและลูกทั้งสองคน เขาเกลียดทุกอย่างในบ้านและครอบครัวตัวเอง แม่ใช้เขาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความรักความเห็นใจจากพ่อ ธนาเห็นเขาเป็นเพียงวัตถุที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจ ดารณีและริสาแสดงออกทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าเกลียดเขายิ่งกว่าสิ่งใด แม้แต่มิตรภาพจากวัชระ เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคู่ควรได้รับ ในเมื่อไม่เคยมีใคร ‘ให้’ หัวใจกับเขา ไม่แปลกที่เขาไม่รู้กระทั่งวิธีรักตัวเอง!
ยิ่งแม่อ้างว่าเสียสละเกียรติตนเองเพื่อความรัก สาวัชจึงยิ่งหมดศรัทธากับความรู้สึกไร้สาระพวกนี้ ความรักของแม่ทำให้เขาเติบโตท่ามกลางหนามแหลมจากคนรอบข้างที่คอยทิ่มตำหัวใจ ถ้อยคำประชดประชันของริสาและดารณี ยิ่งฉีกบาดแผลเขาให้เลือดไหลโซมอยู่เสมอ นั่นละ...เหตุผลที่เขาเกลียดความรัก!
จวบวันนี้...วันที่มีใครคนหนึ่งพยายามเข้าใจและให้กำลังใจเขา ใครคนนั้นที่สละเวลาทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขา ทั้งยังเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีค่า เป็นที่ต้องการ และไม่ว่าปูมหลังของเขาจะเป็นอย่างไร เธอก็มิได้รังเกียจหรือดูแคลน ตรงข้ามเธอกลับแสดงความเห็นอกเห็นใจ ยืนกรานอยู่เคียงข้างเสมอมา
เป็นเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ที่เขารู้สึกหัวใจโล่งเบา ไร้ซึ่งความกังวล คล้ายปลดรั้งทุกเส้นเชือกที่ขึงเขาไว้กับความเกลียดตัวเองได้โดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณ การที่คุณไม่รังเกียจมันมีความหมายกับผมมาก”
ริมฝีปากบางราวกระจับของอิงอรุณแย้มออก รอยยิ้มนุ่มนวลคลี่ขจายบนใบหน้างาม ดวงตากลมโตทั้งคู่ฉายแววอ่อนโยน “อิงไม่รู้หรอกนะคะ ว่าทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองสมควรถูกรังเกียจ อิงคิดว่าคนทุกคนมีมุมที่เป็นความลับทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าใครเก็บซ่อนแง่มุมเหล่านั้นได้แนบเนียนกว่ากันก็เท่านั้นเอง”
“แล้วคุณล่ะ มีมุมที่เป็นความลับไหม” เขาโพล่งถามไปโดยไม่ทันห้ามตัวเอง
“มีสิคะ อิงก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาคนนึงเองนี่นา”
“ถ้าผมถาม คุณจะบอกไหม”
อิงอรุณหัวเราะร่วน ส่ายศีรษะยิก “ใครถามก็บอกไม่ได้เด็ดขาดค่ะ”
“แม้แต่พ่อแม่งั้นเหรอ” เขามีสีหน้าหลากใจ
“ค่ะ แม้แต่พ่อแม่ก็บอกไม่ได้”
“หวังว่าสักวันคุณจะไว้ใจใครสักคนมากพอ จนกล้าเล่าความลับให้เขาฟัง”
หญิงสาวชะงักงัน ดวงตากลมโตเหลียวขึ้นมาสานสบกับเขานิ่ง ๆ สุดท้ายเธอจึงเป่าลมพรูจากปาก “คุณสาวัชนี่เก่งนะคะ ไม่ต้องจบจิตวิทยาก็อ่านและตีความจิตใจมนุษย์ได้ คุณพูดถูกที่สุดเลยค่ะ อิงไม่ไว้ใจใครแบบนั้น อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ อิงก็ยังไม่เจอใครคนนั้น”
“ผมคงโชคดีกว่า” สาวัชยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “ผมเจอคนคนนั้นแล้ว! ”
....................................................................
ลงท้ายแบบนี้ พี่ดอกเตอร์เอาไรเตอร์ไปกดหมอนเลยเถอะค่ะ
ใครกรี๊ดดอกเตอร์ มากองรวมกันตรงนี้ค่ะ
เขียนไปยิ้มไปอะ ฉากนี้ ฮิฮิ
ประกาศ
เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ
หลังลงครบทุกตอน
จะลบ 5/6 ของเล่มนะคะ
หนังสือ และที่คั่นมาแล้วนะคะ ของจริงงามตระการตามว้ากกกกก
ใครยังไม่สั่ง รีบออเดอร์ด่วนค่ะ https://bit.ly/2I2RQFn
รอจนสาวัชจอดรถเทียบใกล้ ๆ อิงอรุณก็เปิดประตูเข้ามานั่งพลางอธิบาย “พ่อยังไม่ลงมาค่ะ ส่วนแม่เดินทางไปบริจาคผ้าห่มทางเหนือตั้งแต่ตีห้า อิงกินข้าวแล้วเลยมารอตรงนี้ คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงจากรถ”
ไม่มีคำตอบรับหรือหืออืออะไรสักคำ
“เมื่อวานขอโทษด้วยนะคะที่บอกกะทันหัน แถมยังไม่ได้โทร.บอกเองด้วย”
อีกฝ่ายยังคงนิ่งและเงียบ ขณะเขาขับรถวนรอบน้ำพุหน้ามุขกลับทางเดิม
“ลืมหรือคะ” อิงอรุณเผลอเอียงคอ กลั้นยิ้มจนแก้มพอง
“ลืมอะไร” ในที่สุดเขาก็ยอมพูด
“ก็ไม่ได้ลืมนี่นา”
“พูดถึงอะไร ใครลืมอะไร” เขาใช้โหมดอาจารย์ดุ ๆ ซักดุจเธอเป็นนักเรียน
“พูดถึงปากคุณไงคะ ทีแรกอิงนึกว่าคุณลืมไว้ที่บ้านซะอีก” เธอหัวเราะคิก
สาวัชทำอาการคล้าย ๆ ค้อน แต่มุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย คนตั้งใจมองอยู่เห็นชัดเต็มตาจึงยิ้มกว้าง...
“โกรธเหรอคะ” ที่จริงอยากถามเต็ม ๆ ประโยคว่า โกรธ ‘ที่ไม่ได้กลับด้วยกัน’ เหรอคะ ด้วยซ้ำ!
“ทำไมต้องโกรธ”
อิงอรุณเพิ่งนึกได้ นั่นสิ! ไม่มีคนกวนใจ น่าจะดีใจมากกว่า เปลี่ยนเรื่อง ๆ
“ความจริงอิงโทร.เข้ามือถือคุณด้วยนะ ไม่เห็นมิสส์ด์คอลล์หรือคะ”
“เห็น”
“อ้าว! แล้วทำไมไม่โทร.กลับล่ะคะ” เธอรอโทรศัพท์เขาทั้งคืน ไม่กล้าเป็นฝ่ายโทร.หาเพราะเกรงจะรบกวน ที่สำคัญก็คือกลัวเขาเบื่อรำคาญจริง ๆ ไม่ใช่ปากแข็งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“ก็คุณฝากข้อความไว้แล้วนี่”
“อ้อ...” คำตอบนั้นไร้เยื่อใยจนอิงอรุณชักน้อยใจรำไร เธอหน้าสลด ตัวฟีบเหมือนลูกโป่งลมอ่อน มองออกไปนอกหน้าต่างแทน ไม่ชวนคุยอะไรอีก
สาวัชปรายตามองคนข้าง ๆ ชักอึดอัดขึ้นมาที่คนพูดเก่งกลับเงียบเสียดื้อ ๆ
เขาพยายามคิดหาเรื่องชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ในหัวกลับว่างเปล่า ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียง ถอนหายใจ...
“ผมขอโทษ” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร รู้แต่ว่าต้องขอโทษ
อิงอรุณเหลียวมานิดเดียว แล้วกลับไปทำท่าปั้นปึ่งตามเดิม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า ร้อนใจอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเลี้ยวรถเข้าสถานีน้ำมันแห่งแรกที่พบ แล้วจอดรถหน้าร้านมินิมาร์ท สาวัชเอื้อมตัวไปเปิดลิ้นชักหน้ารถ หยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมาหย่อนลงบนตักคนกำลัง ‘งอน’
อิงอรุณก้มลงมองของบนตักอย่างงง ๆ “นี่อะไรคะ”
“จำเรื่องพาเนรายแพมโฟร์ตี้ไนน์ของคุณได้ไหม” เขารอจนเธอพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อ “ผมเอาเรื่องที่เราคุยกันไปพัฒนาไอเดีย แล้วนำเสนอในที่ประชุม ทำให้ได้รับคำชม ก็เลยอยากตอบแทนคุณบ้าง”
อิงอรุณมีสีหน้าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก “งงค่ะ”
ชายหนุ่มชั่งใจ แล้วผู้ชายที่พูดน้อยแทบนับคำได้มาตลอด กลับเปิดปากเล่าปัญหาที่บริษัทให้เธอฟังโดยไม่ปิดบัง ทั้งซูเปอร์โคลาเตรียมทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ รวมถึงข้อเสนอของเขาที่ทำให้ครอบครัวปรเมศวร์ซื้อหุ้นเพิ่มได้ในราคาต่ำแสนต่ำ
“ที่คุณบอกว่าของที่ไม่มีใครต้องการ ต่อให้ราคาถูกแค่ไหนก็ไม่มีคนซื้อ ผมถึงคิดได้ว่าต้องทำให้คนไม่อยากได้หุ้นของพีอาร์เอ็ม ก็เลยเสนอไอเดียกับผู้บริหาร”
“คุณเก่งต่างหากที่คิดต่อยอดไปได้ขนาดนั้น ว่าแต่คุณทำยังไงเหรอคะ” แค่คิดว่าเขาไว้ใจ อิงอรุณก็ลืมโกรธลืมงอนไปหมด ชวนคุยต่ออย่างกระตือรือร้น
“นี่คุณไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้เหรอ ผมแค่เล่าข่าวให้คุณฟังเท่านั้นเอง” พูดดีได้ไม่กี่คำ เขาก็สะบัดเสียงดุจมะนาวไม่มีน้ำดังเคย แถมยังเบือนหน้าไปทางอื่นคล้ายรำคาญความไม่เอาไหนของเธอ
“อ่านหนังสือพิมพ์กับที่คุณเล่า ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันหรอกค่ะ” เธอไม่ใช่นักธุรกิจ หนังสือพิมพ์ที่เขาพูดถึง เธอไม่อ่านหรอก ถ้าเป็นพ่อเธอสิว่าไปอย่าง!
อิงอรุณไม่สนใจท่าทางเย็นชานั้น กลับซักถามแทบจะให้เขาเล่ารายละเอียดในห้องประชุมประโยคต่อประโยค แม้สาวัชมีท่าทางไม่เต็มใจ แต่ก็ตอบทุกคำถาม
หญิงสาวถึงกับตบเข่าฉาด หัวเราะคิกคัก “นึกภาพตามแล้วสะใจเป็นบ้า สมน้ำหน้าตาแก่พวกนั้นที่ต้องวิ่งหางชี้ไปขายหุ้นกันจ้าละหวั่น”
“พูดเกินไป เขาก็แค่วิ่งหน้าตาตื่นออกจากห้องประชุมเอง”
“แล้วพอเหลือแต่คุณกับผู้บริหารแล้วเป็นยังไงต่อคะ”
“คุณริ เอ่อ...รองซีอีโอบอกว่าผมทำได้ดีมาก” มุมปากที่ยกขึ้นนิด ๆ จนคล้ายรอยยิ้มของเขา ทำให้อิงอรุณตื้อในอก ดีใจไปด้วยราวกับเป็นเรื่องตัวเอง
ผู้ชายที่เย็นชาจนเกือบเข้าขั้นหยาบกระด้าง วางตัวเป็นก้อนหินไม่รู้เห็นความรู้สึกตัวเอง บัดนี้กำลังสดใสมีชีวิตชีวาอย่างเหลือเชื่อ น่าทึ่งที่อานุภาพคำพูดเดียวทำได้ขนาดนั้น สิ่งที่เขาโหยหาที่แท้คือการยอมรับจากพี่สาวนั่นเอง!
“ผู้บริหารคุณปากหนักจัง บอกว่าเก่งตรง ๆ ก็ไม่ได้ ต้องมาทำเป็นอ้อมค้อม”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ใครว่าละคะ คุณทำตั้งเยอะนะ ทั้งวิเคราะห์ วางแผน แล้วยังต้องออกโรงอีก งานทั้งยากทั้งเยอะกว่าใครเลย” ตัว ‘ลำเอียง’ คงหน้าตาเหมือนเธอแหง ๆ
สาวัชทำเสียงขลุกขลักในคอ ริมฝีปากเม้มแน่นบอกให้รู้ว่ากำลังกลั้นหัวเราะ!
อิงอรุณยกมือปิดปากแทบไม่ทัน เกือบเผลอกรี๊ดด้วยความดีใจกระดี๊กระด๊า
สถิติโลก! ฤๅษียิ้มยากหัวเราะแล้ว ซื้อหุ้นวันนี้เธอต้องขาดทุนยับแน่ เพราะใช้โชคดีหมดไปกับการได้เห็นสาวัชหัวเราะแล้ว
สาวัชโคลงศีรษะแสนเบา คนมองไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร มั่นใจอย่างเดียวว่านั่นไม่ใช่ความระอาแน่ ๆ !
สาวัชเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าสำนักงานบริษัทคิวปิดแอสซิสแทนซ์ ลานจอดรถซึ่งปกติเคยโล่งไร้รถในช่วงเช้า วันนี้กลับแน่นขนัดด้วยรถติดโลโก้สำนักข่าว
“บริษัทคุณมีงานแถลงข่าวเหรอ” ชายหนุ่มสงสัย
“ไม่มีนะคะ สงสัยอาคารโภไคยทาวเวอร์มาขอเช่าพื้นที่จอดรถช่วงเช้ามากกว่า หรือว่าปรเมศวร์เทรดดิ้งจะแถลงข่าวเรื่องเมื่อเช้าที่คุณเล่า”
“ยุ่ง! ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย” ถ้าเสียงเขาเข้มกว่านี้ เธอคงเชื่อว่าเขากำลังเอ็ด แต่นี่ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย
“อยากรู้ ถามไม่ได้เหรอคะ”
“ถามได้ แต่จะตอบหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึง”
“ไม่ต้องตอบก็รู้แล้วค่ะว่าใช่แน่” อิงอรุณหยิบกล่องบนตักมาเขย่า สีหน้าตื่นเต้นอยากรู้ “นี่อะไรคะ อิงขอเปิดดูเลยได้ไหม”
“ตามใจสิ”
อิงอรุณไม่สนใจเสียงเรียบไร้อารมณ์ของเขา
หญิงสาวเปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินออกจึงเห็นสร้อยข้อมือประดับตุ้งติ้งวางอยู่ในนั้น เธอหยิบสายสร้อยออกมาพิจารณา ทว่าความคุ้นตาชอบกลทำให้เผลอขมวดคิ้ว
“เอ๊ะ! นี่มัน...” เธอมองชายหนุ่ม “คุณสาวัชซื้อสร้อยนี้มาจากไหนหรือคะ”
สาวัชนิ่วหน้า “คำถามแบบนี้ จัดเป็นมารยาทที่สมควรทำเหรอ?”
“คือ...” อิงอรุณอึ้ง เธอมัวแต่แปลกใจจนลืมคิดไปว่ามันหยาบคายพอดู คนฟังอาจเข้าใจผิดว่าเธอดูถูกมูลค่าของมันหากไม่ได้มาจากร้านจิวเวลรีหรูตามมาตรฐานของอิงอรุณแสตนดาร์ด!
“ที่อิงถามเหมือนเสียมารยาท ก็เพราะสร้อยเส้นนี้เหมือนที่อิงเคยทำหายไปน่ะค่ะ” หญิงสาวช้อนจี้ที่ห้อยอยู่แต่ละชิ้นขึ้นมา “ตุ้งติ้งก็เรียงเหมือนกันเปี๊ยบเลย แหวน ซองจดหมาย หัวใจ เลขแปด ประตู แล้วก็โลโก้แฮร์รี่วินสตัน”
เธอพลิกตะขอด้านในให้ชายหนุ่มดูตัวอักษรภาษาอังกฤษสลัก “เหมือนกระทั่งตัวอักษรย่อตรงตาขอ ทั้งฟอนต์ตัวหนังสือก็ตัวเดียวกันเป๊ะ คุณสาวัชสั่งทางร้านสลักชื่อย่อของอิงไว้ด้วยหรือคะ”
สาวัชจำต้องยอมรับนี่เป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ
“ผมเก็บสร้อยเส้นนี้ได้ตรงบันไดหนีไฟ ก็เลยให้ทางอาคารประกาศหาเจ้าของ คอยอยู่หลายสัปดาห์แต่ไม่มีใครมาขอรับคืน ผมเห็นว่ามันสวยดีก็เลยเอาไปร้านเพชรซ่อมห่วงที่ขาดอ้า ทางร้านขอซื้อต่อด้วยราคาที่สูงมากจนน่าแปลกใจ ผมพอเดาได้ว่านั่นต้องเป็นราคาที่โดนกดแน่ ๆ มูลค่าจริงมันคงสูงกว่านั้นมาก ก็เลยไม่ขาย แล้วเอาเงินจำนวนเดียวกันนั้นไปบริจาคมูลนิธิเพื่อการศึกษาเด็ก ถือเป็นการ ‘ซื้อต่อ’ จากคนที่ทำหล่นไว้ จะได้ไม่รู้สึกไม่ดีน่ะ”
ภาพความทรงจำของชายหนุ่มทวนย้อนไปยังวันที่เก็บสร้อยเส้นนี้ได้ หลังการเข้าประชุมครั้งแรก ริสาตามเขาออกมาที่บันไดหนีไฟ จากนั้น...
รอยผาสุกบนใบหน้าชายหนุ่มแปรไปช้า ๆ เขาเหลือบมองสร้อยในมือหญิงสาวสลับกับใบหน้าเธออย่างงุนงง
อิงอรุณชะงัก เงยขึ้นสบตาเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้างตื่นตระหนกดุจปะติดปะต่อเรื่องราวได้เช่นกัน “หรือว่า...นี่เป็นสร้อยของอิง”
สาวัชรู้ทันทีว่าสร้อยเส้นนี้ไปอยู่ตรงบันไดหนีไฟได้อย่างไร เธออยู่ที่นั่นและได้ยินทุกอย่าง!
“คุณสาวัช...” อิงอรุณตะกุกตะกัก “คือ...อย่าเพิ่งโกรธนะคะ อิงอธิบายได้”
สาวัชเบือนหน้าหลบตาอีกฝ่าย เขาไม่ได้โกรธ แต่อายต่างหาก อับอายที่ถูกบริภาษเช่นนั้นต่อหน้าอิงอรุณ!
ชายหนุ่มเสมองไปทางอื่น เสี้ยววินาทีถัดมาเขาก็ปลดล็อกประตูรถ “จะแปดโมงครึ่งแล้ว ลงไปเถอะ ผมต้องรีบไปตอกบัตร”
อิงอรุณไม่ขยับสักนิด “อิงไม่ขอโทษหรอกนะคะ เพราะอิงไม่ได้ตั้งใจไปแอบฟัง อิงแค่บังเอิญอยู่ตรงนั้นในเวลานั้นพอดี”
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม คุณถึงดีกับผมนัก” เขาเปรยแผ่วเบา รู้สึกเหมือนมีอะไรคม ๆ กรีดลากลงบนหัวใจ ชายหนุ่มหยิบหน้ากากเยาะหยันมาครอบดวงหน้าโดยไม่รู้ตัว ขณะหัวเราะหึ ๆ สมเพชตนเอง “ที่แท้คุณก็ทำไปเพราะสงสารผมนี่เอง”
“คุณสาวัชคิดไปใหญ่โตแบบนั้นได้ยังไง” อิงอรุณพ้อ
สาวัชก้มหน้าซ่อนความรวดร้าวในดวงตา เขาเคยรับมือกับความเกลียดชัง รำคาญ เบื่อหน่าย คาดหวัง ชื่นชม และอีกมากมายหลายความรู้สึกจากคนรอบข้าง
อะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ความสงสาร!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสงสารจากอิงอรุณ เขาไม่อยากให้เธอเวทนาเขา มันทั้งน่าอายแล้วก็น่าทุเรศ ที่ต้องขอรับความเห็นใจจากผู้หญิงคนนี้
ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ มือทั้งคู่กำแน่น น่าขัน...ในยามนี้กระทั่งอุ้งมือเขายังร้อนผ่าวดุจความเจ็บปวดในหัวใจสามารถแผดเผาไปทั่วร่าง จู่ ๆ สาวัชก็ปรารถนาอยากมีคาถาวิเศษสามารถเสกให้ตัวเองหายวับไปจากตรงนี้ ก่อนความอ่อนแอจะฉีกทึ้งเขาจนกลายเป็นเศษเล็กน้อยและแตกรานลงต่อหน้าอิงอรุณ แค่นี้เขาก็สมเพชตัวเองมากพอแล้ว!
“คุณสาวัช...” น้ำเสียงนุ่มนวลขานชื่อเขาอ่อนหวาน ชายหนุ่มบังคับตัวเองอย่างหนักมิให้หันไปสบตาเธอ แต่...ไม่สำเร็จ
อิงอรุณกำลังมองมานิ่ง ๆ สีหน้าร้อนใจ กระวนกระวายอย่างยิ่ง
สาวัชเบือนหน้าไปทางอื่น และประหลาดใจเมื่ออิงอรุณกุมมือเขาบีบเบา ๆ
“มันไม่ใช่เรื่องน่าอายนะคะ คุณเป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่ควรอับอายคือคนที่แสดงกิริยานั้นกับคุณต่างหาก”
ถ้อยปลอบประโลมนั้นดุจดังสายน้ำเย็นฉ่ำที่รดรินลงมาในใจอันร้อนรุ่มให้คลายความเจ็บปวดลงทีละน้อย สายตาคู่นั้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ เห็นอกเห็นใจ แต่ไม่ใช่สงสารหรือเวทนา อิงอรุณรู้ทุกอย่าง รู้มาระยะหนึ่งแล้วด้วย เธอเคยพยายามใช้เรื่องนี้มาแบล็กเมล์เขาตอนที่จะบังคับให้ไปเป็นวิทยากร เขาจำได้...
ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธหรือพยายามอธิบาย สิ่งที่ทำได้เพื่อให้เกลียดตัวเองน้อยที่สุดก็คือ...ยอมรับ
“แม่ผมเป็นมือที่สามของครอบครัวนั้น” น้ำเสียงสาวัชขมขื่น
“นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ ในเมื่อเราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วเราจะทุกข์กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ทำไม เสียเวลา เสียสุขภาพจิต แถมยังเสียใจฟรีอีกต่างหาก อย่าเป็นทุกข์ในสิ่งที่คุณไม่ได้ก่อเลยนะคะ”
สาวัชมองมือเล็กที่กำลังตบหลังมือเขาแผ่วเบา พลันรู้สึกถึงความอบอุ่นแปลก ๆ ที่รินลงในหัวใจ ตลอดชีวิตสาวัชมีกำแพงสูงกางกั้นเขาไว้จากโลกภายนอก ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครก้าวเข้ามาใกล้วงกลมชีวิตแม้แต่คนเดียว ไม่ต้องหวังถึงเพื่อนสนิท ขนาดเพื่อนระดับธรรมดา เขายังมีนับคนได้
เขาไม่เคยภูมิใจกับนามสกุลปรเมศวร์ เพราะมันนำมาซึ่งคำถามมากมายที่ไม่อยากตอบ แม้ครอบครัวปรเมศวร์จะเก็บตัวจากวงสังคม แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าดารณีมีลูกสองคน การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธนา ไม่ต่างอะไรกับการปาดป้ายสีดำลงในหัวใจเด็กชายสาวัชในวันวาน เหตุผลของการสอบชิงทุนไปต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อให้พ่อกับแม่ภูมิใจ มิใช่เพื่อหวังความก้าวหน้าหรือความสำเร็จ เขาแค่อยากหนีจากบ้านที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ริษยา และชิงชังก็เท่านั้นเอง
สาวัชเกลียดมารดา เกลียดธนา เกลียดดารณีและลูกทั้งสองคน เขาเกลียดทุกอย่างในบ้านและครอบครัวตัวเอง แม่ใช้เขาเป็นเครื่องมือเรียกร้องความรักความเห็นใจจากพ่อ ธนาเห็นเขาเป็นเพียงวัตถุที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจ ดารณีและริสาแสดงออกทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าเกลียดเขายิ่งกว่าสิ่งใด แม้แต่มิตรภาพจากวัชระ เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคู่ควรได้รับ ในเมื่อไม่เคยมีใคร ‘ให้’ หัวใจกับเขา ไม่แปลกที่เขาไม่รู้กระทั่งวิธีรักตัวเอง!
ยิ่งแม่อ้างว่าเสียสละเกียรติตนเองเพื่อความรัก สาวัชจึงยิ่งหมดศรัทธากับความรู้สึกไร้สาระพวกนี้ ความรักของแม่ทำให้เขาเติบโตท่ามกลางหนามแหลมจากคนรอบข้างที่คอยทิ่มตำหัวใจ ถ้อยคำประชดประชันของริสาและดารณี ยิ่งฉีกบาดแผลเขาให้เลือดไหลโซมอยู่เสมอ นั่นละ...เหตุผลที่เขาเกลียดความรัก!
จวบวันนี้...วันที่มีใครคนหนึ่งพยายามเข้าใจและให้กำลังใจเขา ใครคนนั้นที่สละเวลาทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขา ทั้งยังเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีค่า เป็นที่ต้องการ และไม่ว่าปูมหลังของเขาจะเป็นอย่างไร เธอก็มิได้รังเกียจหรือดูแคลน ตรงข้ามเธอกลับแสดงความเห็นอกเห็นใจ ยืนกรานอยู่เคียงข้างเสมอมา
เป็นเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ที่เขารู้สึกหัวใจโล่งเบา ไร้ซึ่งความกังวล คล้ายปลดรั้งทุกเส้นเชือกที่ขึงเขาไว้กับความเกลียดตัวเองได้โดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณ การที่คุณไม่รังเกียจมันมีความหมายกับผมมาก”
ริมฝีปากบางราวกระจับของอิงอรุณแย้มออก รอยยิ้มนุ่มนวลคลี่ขจายบนใบหน้างาม ดวงตากลมโตทั้งคู่ฉายแววอ่อนโยน “อิงไม่รู้หรอกนะคะ ว่าทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองสมควรถูกรังเกียจ อิงคิดว่าคนทุกคนมีมุมที่เป็นความลับทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าใครเก็บซ่อนแง่มุมเหล่านั้นได้แนบเนียนกว่ากันก็เท่านั้นเอง”
“แล้วคุณล่ะ มีมุมที่เป็นความลับไหม” เขาโพล่งถามไปโดยไม่ทันห้ามตัวเอง
“มีสิคะ อิงก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาคนนึงเองนี่นา”
“ถ้าผมถาม คุณจะบอกไหม”
อิงอรุณหัวเราะร่วน ส่ายศีรษะยิก “ใครถามก็บอกไม่ได้เด็ดขาดค่ะ”
“แม้แต่พ่อแม่งั้นเหรอ” เขามีสีหน้าหลากใจ
“ค่ะ แม้แต่พ่อแม่ก็บอกไม่ได้”
“หวังว่าสักวันคุณจะไว้ใจใครสักคนมากพอ จนกล้าเล่าความลับให้เขาฟัง”
หญิงสาวชะงักงัน ดวงตากลมโตเหลียวขึ้นมาสานสบกับเขานิ่ง ๆ สุดท้ายเธอจึงเป่าลมพรูจากปาก “คุณสาวัชนี่เก่งนะคะ ไม่ต้องจบจิตวิทยาก็อ่านและตีความจิตใจมนุษย์ได้ คุณพูดถูกที่สุดเลยค่ะ อิงไม่ไว้ใจใครแบบนั้น อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ อิงก็ยังไม่เจอใครคนนั้น”
“ผมคงโชคดีกว่า” สาวัชยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “ผมเจอคนคนนั้นแล้ว! ”
....................................................................
ลงท้ายแบบนี้ พี่ดอกเตอร์เอาไรเตอร์ไปกดหมอนเลยเถอะค่ะ
ใครกรี๊ดดอกเตอร์ มากองรวมกันตรงนี้ค่ะ
เขียนไปยิ้มไปอะ ฉากนี้ ฮิฮิ
ประกาศ
เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ
หลังลงครบทุกตอน
จะลบ 5/6 ของเล่มนะคะ
หนังสือ และที่คั่นมาแล้วนะคะ ของจริงงามตระการตามว้ากกกกก
ใครยังไม่สั่ง รีบออเดอร์ด่วนค่ะ https://bit.ly/2I2RQFn
สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2561, 22:49:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2561, 22:49:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 624
<< ตอนที่ 21 | ตอนที่ 23 >> |