เปลวไฟกามเทพ
เธอ...คือผู้ก่อสุมความแค้น
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
Tags: รักปนเศร้า

ตอน: ตอนที่ 2 หัวใจ...อีกดวง

ตอนที่ 2

“โธ่เว้ย ทำไมวันนี้มันถึงได้ซวยซ้ำ ซวยซ้อนแบบนี้ด้วยวะ”

หญิงกลางคนเดินเกาหัวตัวเองอย่างหนักใจและหงุดหงิดใจ ลำพังเงินที่จะหามาเล่นการพนันในแต่ละวันมันก็ยากแสนยากแล้ว แล้วหล่อนจะไปเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้เสี่ยกำจรได้ วันๆ หล่อนก็ได้แต่ขอเงินลูกมาเล่นการพนันกว่าจะได้ก็ต้องทำหลายอย่างเพื่อจะแลกกับมันมา เพราะการพนันแท้ๆ ที่ทำให้กูต้องเป็นแบบนี้ ทำไมนะ ทำไมกูถึงไม่คิดถึงข้อนี้บ้าง นังกระเพราทำไมเอ็งถึงไม่คิดบ้างว่ะ

ใบหน้าที่เคยสวยกลับงองุ้ม กลัดกลุ้มในหัวใจไปกับเรื่องที่จะหาเงินมาได้ยังไงเพื่อจะไปใช้ให้กับเสี่ยกำจรได้ ยิ่งเขาให้เวลาแค่พรุ่งนี้แล้ว จำนวนมันก็มากโขทีเดียวแล้วจะให้หล่อนไปหาเงินที่ไหนมาได้ทันเวลาที่เสี่ยกำจรกำหนด

เมื่อไม่สามารถที่จะหาทางออกได้นางกระเพราจึงได้แต่ทำหน้าบูดบึ้งกลับบ้าน และยิ่งกลับมาเห็นใบหน้าของนังลูกสุดประเสริฐของเธอแล้ว อารมณ์หงุดหงิดก็ยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก เมื่อนางคิดว่าตัวซวยของบ้านและทำให้หล่อนต้องคิดหนักแบบนี้ก็คือแม่ลูกสาวตัวดีคนนี้คนเดียว

“นังกันเกรา!!!” ว่าแล้วนางก็โผทะยานเข้าไปหาเด็กสาวในทันที

“อะไรอีกนะแม่ หงุดหงิดอะไรมาอีก”

เด็กสาวรีบกระโดดหนีโดยพลัน ก่อนจะทำหน้าบ้องแบ้วถามหาสาเหตุจากมารดา

“เพราะมึง เพราะมึงคนเดียวนังกันเกรา”

“นี่แม่เป็นอะไรอีกเนี้ย ผีวัดไหนเข้าอีกล่ะถึงได้มาอาละวาดใส่ฉันแบบนี้”

กันเกราเท้าเอวถามอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ผู้เป็นแม่ยืนเข่นเขี้ยวมองบุตรสาวอย่างเคืองแค้น

“เพราะมึงคนเดียวที่เป็นต้นเหตุให้กูเป็นแบบนี้ แถมยังเสียเงินไอ้พวกนั้นอีก”

นางกระเพราตวาดเสียงห้วน อารมณ์เดือดในกายประทุขึ้นอย่างรวดเร็ว และยิ่งมาเห็นนังลูกสาวตัวดีหัวเราะเยาะใส่อีกนางก็ยิ่งโกรธจนเนื้อตัวสั่น

“ฮ่ะ ฮ่า ฉันเคยเตือนแม่ไปแล้วสักกี่ครั้ง เล่นไพ่เล่นการพนันน่ะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย รั้งจะเสียเงินไปเปล่าๆ แม่รู้ไหมข้อเสียของการเล่นไพ่อีกข้อนึงคือมันจะทำให้แม่แก่เร็วขึ้นเพราะต้องนั่งจ้องไอ้โพธิ์ดำโพธิ์แดงอยู่ตลอดเวลานะสิ”

“นังกันเกรา!!! มึงกำลังแช่งกู นังลูกเลว นังลูกชั่ว”

“แม่ ฉันไปแช่งแม่ตรงไหน ที่ฉันบอกก็เพราะว่าฉันหวังดีกับแม่นะ แม่ ฉันขอร้องเถอะนะหยุดเถอะ ฉันกลัวว่าสักวันตำรวจผ่านมาจับแม่ไปนอนคุก ฉันขอบอกก่อนนะว่าฉันไม่มีเงินไปประกันแม่หรอก”

เด็กสาวเอ่ยเตือนมารดาด้วยความหวังดี หากแต่ผู้เป็นแม่กลับคิดไปอีกแบบ

“นังกันเกรา นี่ไง นี่มึงกำลังแช่งกูอยู่ นังลูกสารเลว ออกไปเลยนะโว้ย ออกไปจากบ้านของกูเดี๋ยวนี้”

หญิงกลางคนสั้นเทิ้มไปทั้งตัว เมื่อเส้นเชือกที่คอยพันธนาการเอาความอดทนเส้นสุดท้ายขาดผึง

เด็กสาวยืนเนื้อตัวสั่นอยู่กับที่เหมือนกัน ความน้อยเนื้อต่ำใจพุ่งทะลุสู่กลางหัวใจ ใช่ ตอนนี้เธอกำลังเสียใจ เสียใจตรงที่แม่ไม่เคยเห็นความดีของเธอเลย ตลอดเวลาเธอเคยเตือนแม่เรื่องการเล่นพนันด้วยความหวังดี หากแต่แม่กลับไม่เคยฟังเธอ บางครั้งโกรธมากก็เข้ามาทุบตีเธออยู่เป็นประจำทั้งๆ ที่แม่ก็ขอเงินเธออยู่ตลอดเวลา ถึงเธอจะรู้สึกผิดที่การเตือนแม่นั้น ผู้เป็นแม่กลับอ้างว่าเธอสาปแช่ง แต่เด็กสาวก็ยอมอดทนเพราะยังไงนางกระเพราก็คือแม่ของเธอ

“แม่ ถ้าแม่ไล่ฉันออกจากบ้านแล้วจะให้ฉันไม่อยู่ที่ไหน”

เธอทำใจแข็งถามมารดาอีกครั้ง เสมือนเด็กเล็กที่ต้องการความรักจากมารดาตลอดเวลา ถึงแม้ที่ผ่านมามันจะน้อยนิดก็ตาม

“เรื่องของมึง มึงจะไปซุกหัวนอนที่ไหนมันก็เรื่องของมึง ไป้ ไปได้แล้ว กูเบื่อหน้าของมึงเต็มทีแล้ว”

กระเพราออกปากไล่บุตรสาวอย่างไม่ใยดี ขณะที่เด็กสาวได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ พยายามจะตะเกียกตะกายหาความอบอุ่นที่ควรจะเป็นหากแต่มันกลับถูกปฏิเสธจากผู้ที่ได้ชื่อว่าแม่เสียเอง

“แม่ไล่ฉัน แล้วใครจะยอมให้แม่ขูดรีดไถเงินอีกล่ะจ๊ะ”

ประโยคนี้ทำให้นางกระเพราฉุดคิด จริงสิ ถ้าไม่มีมัน แล้วฉันจะไปเอาเงินที่ไหนมาเล่นไพ่ แล้วหนี้ที่จะเอาไปใช้ให้กับเสี่ยกำจรอีกล่ะ ความคิดที่จะไล่บุตรสาวออกจากบ้านด้วยความขัดหูขัดตาค่อยๆ ลอยห่างออกไปเมื่อนางเริ่มจะคิดได้ว่าเงินที่หล่อนใช้อยู่ทุกวันมาจากนังลูกคนนี้ แต่ด้วยแรงทิฐินางกระเพราก็ยังปากแข็งอยู่เหมือนเดิม

“ลูกแก้วไง กูยังมีลูกแก้วอีกทั้งคน”

เด็กสาวยิ้มที่มุมปาก เธอรู้พี่สาวของเธอมักจะให้เงินแม่เป็นเดือน หากจะเอาไปเล่นการพนันคงไม่พอแน่

"แม่ก็รู้ว่าพี่แก้วเอาเงินให้แม่เป็นเดือน แล้วแม่จะไปเอาเงินที่ไหนมาเล่นไพ่ ฮึ"

เด็กสาวทำเสียงสูงในตอนท้ายคล้ายเย้ยหยันมารดา ดูซิ ถ้าไม่มีเธอแล้ว แม่จะไปเอาเงินที่ไหนไปเล่นไพ่เช่นทุกวันที่ผ่านมา

"เอ่อ กู"

"ว่าไงจ๊ะแม่"

เธอไล่บี้มารดาไม่ยอมหยุด นึกสนุกที่ตนได้เป็นต่อแบบนี้ และยิ่งมาเห็นแม่นิ่งอึ้งเธอก็ยิ่งยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ

"กู เอ่อกูไม่ไล่มึงก็ได้นังกันเกรา ไปไป้ ไปหาอะไรมาให้กูกินที กูหิวรู้ไหม"

ว่าแล้วผู้เป็นแม่ก็เดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านอย่างยอมแพ้ ทางด้านของเด็กสาวได้แต่ยืนยิ้มมองตามร่างมารดาที่หายเข้าไปในบ้าน แม่คงหิว ถึงได้อาละวาดออกมาแบบนี้ เธอนึกไปในทางที่ดีก่อนจะรีบเข้าห้องครัวไปเตรียมอาหารให้แม่ในทันที บางทีถ้าเธอทำดีกับแม่แบบนี้ไม่นานแม่ก็คงเห็นใจเธอและทำดีต่อเธอก็ได้ เธอได้แต่หวังเช่นนั้นอยู่ในใจ

####
รถเก๋งสีดำสนิทเคลื่อนเข้ามาจอดภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในเนื้อที่กว่า 10 ไร่ มีเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกให้ร่มเงาอยู่รายรอบอย่างเป็นระเบียบ ด้านซ้ายของตัวอาคารเป็นสระว่ายน้ำขนาดกลางที่เป็นพื้นที่สำหรับเพื่อที่จะเจ้าของบ้านได้มาพักผ่อนหย่อนใจในยามว่างและกลุ้มใจ ด้านหน้าของตัวบ้านเป็นทั้งสวนหย่อมและสนามหญ้าที่ดูสวยงามประดับไปด้วยหมู่ไม้ดัดที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆ หลากหลายชนิด และตรงด้านหน้าอาคารเป็นบ่อน้ำพุขนาดย่อมที่มีน้ำพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดเป็นลำแสงสีรุ้งเมื่อยามที่ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงสาดส่องลงมา

ภายในรถแก้วกาญจน์นั่งนิ่งมองอาณาบริเวณโดยรอบด้วยความตื่นตาตื่นใจ อาการเกร็งเข้าจู่โจมเธอในทันทีจนทำให้เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากมน เธอก็เพิ่งเคยมาและเห็นบ้านของเขาเพียงครั้งแรก ถึงจะคิดมาก่อนว่าบ้านของภาวสุทธิ์จะใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนแต่เธอก็ไม่เคยคิดว่าเมื่อมาเห็นจริงๆ แล้วความใหญ่โตที่เธอคิดมาก่อนหน้านั้นเมื่อเทียบกันแล้วมันเล็กกว่าของจริงมากเลยทีเดียว

เห็นหญิงสาวนั่งนิ่งชายหนุ่มจึงสะกิดเบาๆ และเรียกเธอ

"แก้วครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"

หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์เมื่อมือหนาสัมผัสที่หัวไหล่จนเธอสะดุ้ง หญิงสาวหันมามองหน้าของเขาช้าๆ ด้วยอาการเกร็งสุดขีด

"เอ่อ ค่ะ คุณว่าอะไรนะคะ"

เขานึกขำเมื่อเห็นท่าทีของเธอที่แปลกไป แก้วกาญจน์คงจะตกใจและตื่นใจที่ได้เห็นบ้านของเขาแบบนี้ เขาส่งยิ้มละมุนให้กับเธอก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

"คุณเป็นอะไรครับ ทำไมถึงได้เงียบไป"

"ปะ เปล่านี่ค่ะ แก้วไม่ได้เป็นอะไร"

ถึงจะโกหกหากแต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับไม่เป็นเช่นนั้น ภาวสุทธิ์ดูออกว่าในบัดนี้เธอกำลังเป็นอะไรจึงทำเป็นเฉยเสีย

"ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในบ้านกันเถอะครับ คุณพ่อคุณแม่ผมคงจะรออยู่แล้ว"

เขาเอ่ยชวน หากแต่เธอก็ยังลังเล จะไม่ให้ลังเลได้ยังไง บ้านเขาใหญ่ออกขนาดนี้ คนต่ำต้อยอย่างเธอคงไม่กล้าที่จะเข้าไปเหยียบให้ราคีแปดเปื้อนคนชั้นสูงอย่างเขาได้หรอก

"เอ่อแก้ว แก้วขอไม่เข้าไปได้ไหมคะ แก้วกลัวว่า"

เธอกลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะรังเกียจที่เห็นชนชั้นติดดินอย่างเธอเข้าไปในบ้าน หากแต่ชายหนุ่มกลับเปิดเสียงหัวเราะและบอกให้เธอสบายใจ

"ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องเกร็งหรอกครับแก้ว ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณพ่อคุณแม่ของผมไม่เคยคิดรังเกียจคุณเลย โดยเฉพาะคุณแม่ด้วยแล้วคุณไม่ต้องกลัว เธออยากจะเห็นหน้าและพูดคุยกับคุณด้วยซ้ำ ถึงท่านจะรู้ว่าคุณเป็นคนอย่างไรแต่ท่านก็เข้าใจในความรักของเรานะครับ"

ในยามที่จ้องมองเธอแววตาของเขาช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเสียยิ่งนัก และนั่นก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในตัวเธอที่จะทำให้เธอกล้าก้าวเข้าเผชิญกับเรื่องที่รออยู่ตรงหน้า หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อจะเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง

"ก็ได้ค่ะ แก้วจะพยายามไม่กลัว"

"อย่าพยายามอย่างเดียวนะครับ คุณต้องสู้ด้วย ผมเชื่อว่าคุณจะต้องเอาชนะใจคุณพ่อและคุณแม่ของผมไปได้อย่างแน่นอน คุณอย่าลืมสิครับยังมีผมจะอยู่เคียงข้างคุณอย่างนี้ตลอดไป"

"แก้วดีใจค่ะที่คุณพูดเช่นนี้ ภาวสุทธิ์ค่ะ ขอบคุณนะคะที่คุณเมตตาและรักแก้ว"

หญิงสาวช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างซึ้งในน้ำใจที่เขาอุตส่าห์หยิบยื่นให้ทั้งๆ ที่เขาก็มีตัวเลือกให้เลือกอยู่ร่ำไป เช่นเดียวกับเขาที่เปิดยิ้มออกมาได้และรวบร่างของเธอเข้ามากอดอีกครั้งส่งมอบความอบอุ่นและความห่วงใยให้กับเธอก่อนจะชวนเธอให้ลงจากรถ

"ไปกันเถอะครับ ท่านคงจะรอนานแล้ว"

เขาลงจากรถ แก้วกาญจน์เปิดประตูตามลงมา แต่ก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลังเลและไม่กล้า เขาจึงรีบเดินตรงไปหาเธอแล้วจูงแขนให้เธอเดินตามเขาเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องโถงอันโอ่อ่า ตระการตา ถูกจัดเรียงไปด้วยวัตถุราคาแพงหลากหลายชนิดวางเรียงกันและตกแต่งไปรอบๆ ห้องอย่างเป็นระเบียบ ที่มุมหนึ่งของห้องมีชายหญิงวัยกลางคนนั่งรออยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทั้งสองกำลังรอการก้าวเข้ามาของบุตรชายและว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความใจจดใจจ่อ

"มากันแล้วค่ะคุณ"

คุณหญิงสุธิดากระซิบบอกสามีพร้อมกับสายตาที่สำรวจมองไปที่หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับบุตรชายด้วยท่าทีที่สง่างามและมีมารยาท

ภาวสุทธิ์กับแก้วกาญจน์ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าของบุคคลทั้งสอง ทางชายหนุ่มนั้นมีใบหน้าที่สดใสและยิ้มระรื่น หากแต่ทางหญิงสาวกลับใบหน้าเผือดด้วยความกลัวไปหมดทุกอย่าง เมื่อเธอนึกเกร็งอยู่ในใจกลัวว่าคุณหญิงแม่ของเขาจะไม่ยอมรับเธอ

เธอก็พอจะรู้มาบ้างว่าคุณหญิงสุธิดาเป็นคนเจ้าระเบียบ และเนี้ยบเหมือนคุณหญิงคุณนายทั่วไป เธอกลัวว่ากิริยาที่เธอแสดงออกมานั้นจะไม่ถูกใจคุณหญิงท่าน แต่มันกลับตรงกันข้ามกับที่เธอคิด เมื่อเสียงที่ดังขึ้นของคุณหญิงสุธิดานั้นแจ่มใสและมีเมตตามากจนเธอก็คาดไม่ถึง

"เข้ามาหาแม่สิจ๊ะหนู"

หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งอยู่กับที่ เมื่อความรู้สึกต่างๆ นานาต่างพากันเข้าจู่โจมให้เธอได้คิดอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกคุ้นเคยแผ่กระจายเข้ามาให้กับเธอได้สัมผัสอย่างอบอุ่น นี่เธอคิดมากไปหรือว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตาที่เธอกำลังฝันอยู่กันแน่ เห็นหญิงสาวยังนั่งนิ่งภาวสุทธิ์ที่นิ่งอยู่ข้างๆ จึงกระซิบบอก

"เข้าไปสิครับ คุณแม่ท่านเรียกแล้ว"

"เอ่อ ค่ะ"

เธอฝืนยิ้ม ถึงจะรู้สึกดีมากขึ้นกว่าเดิมแต่ด้วยอาการเกร็งกลัวว่าคุณหญิงจะตำหนิก็ยังมีอยู่ เธอสูดลมหายใจเพื่อเพิ่มความกล้าก่อนจะตัดสินใจคลานเข้าไปใกล้ๆ กับคุณหญิงและก้มลงกราบแทบเท้าอย่างมีมารยาท

คุณหญิงเปิดยิ้ม จากที่ได้ยินภาวสุทธิ์เล่ามา แก้วกาญจน์เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและยิ่งมาเห็นตัวจริงเช่นนี้เธอก็ยิ่งเห็นสมควรไปกับคำบอกเล่าของบุตรชาย นางรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวคนนี้เข้าเสียแล้ว

"หนูชื่อแก้วกาญจน์ใช่ไหมจ๊ะ"

คุณหญิงลองเชิงถามเสียงอ่อนโยน แก้วกาญจน์ที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงด้วยแววตาที่ไร้เดียงสาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ประหม่า

"เอ่อ คะ ค่ะคุณหญิง"

"เรียกแม่สิจ๊ะลูก อย่าเรียกคุณหญิงให้มันดูห่างเหินเลย"

ลองถึงขนาดให้เรียกแบบนี้แล้วทางของคุณคงไม่ยากแล้วล่ะแก้ว ภาวสุทธิ์นึกกระหยิ่มอยู่ในใจก่อนจะรีบคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างๆ กับบิดา

"เอ่อ หนู หนูไม่อาจเอื้อมที่จะ เอ่อ เรียก"

แก้วกาญจน์ยิ่งอึดอัดใจเพราะเธอคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาสำหรับเธอ หากแต่คุณหญิงสุธิดากลับมีจิตใจที่อ่อนโยนเปิดรับหญิงสาวตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอก้าวเข้ามาในห้องนี้แล้ว จากแววตาที่นางสังเกต แก้วกาญจน์ไม่ใช่เป็นคนที่มีมารยาเที่ยวหลอกใคร และความมักมากที่เธอแทบจะไม่เห็นจากนัยน์ตาคู่นั้น ตรงกันข้ามนางกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและไร้เดียงสาจากหญิงสาว นางสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เธอคนนี้แหละที่เหมาะสมกับลูกชายของเธอมากที่สุด

"อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะลูก อีกหน่อยหนูก็จะได้พูดแล้ว เริ่มพูดวันนี้มันจะเป็นไรไป เรียกแม่เดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นแม่โกรธจริงๆ ด้วย"

คุณหญิงแอบยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งทำใจ เด็กคนนี้ช่างรู้จักกาลเทศะดีเสียจริงๆ ถ้าหากเป็นคนอื่นคงจะเรียกเธอว่าแม่ตั้งแต่เธออนุญาตแล้ว คนอย่างนี้สิที่นางต้องการมาเป็นสะใภ้ของตระกูลรุจยาวัฒนา

"เอ่อ คะ คุณแม่"

เมื่อไม่มีทางเลือกแถมคุณหญิงท่านยังบังคับอีกแก้วกาญจน์จึงตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด และนั่นก็ได้เป็นการสร้างรอยยิ้มให้กับบุคคลในที่นั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคุณหญิงสุธิดาที่ดูเหมือนจะพึงพอใจกับว่าที่สะใภ้คนนี้เป็นอย่างมาก แก้วกาญจน์สอบผ่านกับบททดสอบของนางแล้ว

"ดีมากลูก ดีมาก เย็นนี้อยู่ทานข้าวกับแม่หน่อยนะ บอกตรงๆ แม่ไม่เคยเห็นใครถูกชะตาเหมือนอย่างกับหนูมานานแล้ว"
#####

ภายในบ้านหลังเล็กๆ ของนางกระเพราบัดนี้เธอกำลังนั่งหน้าหงอยอยู่บนเก้าอี้ตัวเก่า ตรงหน้ามีจานใส่อาหารอยู่เพียงสองสามจาน ข้างๆ ถัดไปคือเด็กสาวกันเกราที่นั่งอยู่ด้วยลักษณะที่ไม่ต่างจากมารดามากนัก

ทั้งสองกำลังนั่งรอการกลับมาของแก้วกาญจน์ที่ทุกครั้งเธอจะกลับมาทานอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัว แต่วันนี้กลับไร้เงาของหญิงสาวที่จะก้าวผ่านประตูเข้ามาในบ้าน หลายครั้งที่ทั้งสองแม่ลูกชะเง้อมองไปที่ทางเข้าบ้านหวังเพื่อจะได้เห็นร่างของผู้ที่ตนรอคอยยื่นอยู่และก้าวเข้ามา หากแต่ในเวลานี้กลับไม่เป็นอย่างที่ทั้งสองหวังเอาไว้

"วันนี้ทำไมถึงได้กลับช้าจังนะลูกคนนี้"

ผู้เป็นแม่ได้แต่นั่งหน้างอ ชะเง้อชะแง้มองหาบุตรสาวอีกคน ภายในใจนึกเป็นห่วง และกังวนอยู่ในทีกับการหายเงียบไปของแก้วกาญจน์เช่นนี้

"แม่ ฉันว่าพี่แก้วคงจะไปทานข้าวกับคุณภาวสุทธิ์ที่ไหนสักที่แล้ว คงยังไม่กลับมาหรอก เรากินกันก่อนก็ได้นี่แม่"

เห็นมารดานั่งนิ่ง จะด้วยเหตุผลใดไม่รู้ได้เด็กสาวจึงเอ่ยบอกมารดาด้วยความเป็นห่วง

"เอ็งจะกินก็กินไปก่อนไป้ ข้ายังไม่หิว ข้าจะรอกินพร้อมกับลูกแก้ว"

เมื่อได้ยินคำตอบกลับมาของผู้เป็นมารดาที่มีความรู้สึกกับเธอแตกต่างจากพี่สาวอย่างลิบลับ หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้านั่งนิ่งเงียบ ถึงแม้เธอจะหิวจนไส้กิ่วเพียงไรเธอก็ต้องอดทน เมื่อแม่ยังไม่กินเธอก็จะไม่กินเหมือนกัน

"ชักจะเหลวไหลใหญ่แล้วนะแก้วกาญจน์ ไม่รู้หรือไงว่าแม่กำลังรออยู่"

นางกระเพราได้แต่นั่งบ่นอยู่กับที่ไปตามประสา หวังเพื่อจะให้ใครอีกคนได้ยินประโยคนี้เป็นยิ่งนัก

"แม่น่าจะดีใจมากกว่านะที่พี่แก้วไปกับคุณภาวสุทธิ์ ไม่ใช่ไปกับคนอื่น"

ในยามที่เอ่ยชื่อของเขาแววตาของเด็กสาวก็มักจะเต็มไปด้วยความชื่นชม ใครจะไปรู้ว่าบัดนี้เด็กสาวกำลังแอบปลื้มชายหนุ่มอยู่ในใจตั้งแต่แรกเห็นมาจนถึงบัดนี้ หากแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่ถูกให้แสดงออกมาเพราะเขาคนนั้นมีคนรักแล้ว และคนรักของเขาไม่ใช่ใครอื่นไกล “แก้วกาญจน์” พี่สาวของเธอนั่นเอง เด็กสาวจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจไม่อยากจะคิดอะไรให้เลยเถิด กลัวว่าเธอจะเป็นต้นเหตุให้ความรักของทั้งสองแตกแยกกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่อยากจะได้ชื่อว่าคนที่ “แย่ง” ของรักของพี่สาวตัวเอง

"ดีใจน่ะ ข้าดีใจอยู่แล้ว แต่มันน่าจะบอกกันก่อน หรือว่าเอ็งอิจฉาพี่เขาฮึ ที่ได้คบกับคนรวยๆ อย่างคุณภาวสุทธิ์ ข้าขอเตือนเอ็งเลยนะนังกันเกราว่าเอ็งอย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาดไม่อย่างนั้นข้าไม่ไว้หน้าเอ็งอีกต่อไปแน่!!!"

ผู้เป็นแม่หันมาตะคอกใส่หน้าของบุตรสาวคนเล็กอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เมื่อนางคิดได้ว่ากันเกรากำลังคิดไม่ดีกับพี่สาวของตัวเอง

"ไม่ ฉันไม่เคยอิจฉาพี่แก้วสักน้อยนิด มีแต่จะยินดีด้วยต่างหาก"

เธอยอมโกหกหัวใจของตัวเองอีกครั้ง เพื่อจะให้มารดาได้สบายใจและมองเธอในทางที่ดีบ้าง ใครจะไปรู้ว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยๆ ดวงนี้มันเตลิดไปไกลเกินจะกู่กลับมาแล้ว

"เออ เออ เอ็งไม่คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว และก็พยายามหาให้ได้อย่างพี่เขาด้วยล่ะ อนาคตของข้าจะได้ไม่ลำบากเหมือนเวลานี้อีก"

"ฉันทำไม่ได้หรอกจ๊ะแม่ พวกคนรวยเป็นพวกที่ชอบสวมหน้ากากเข้าหากัน มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ยิ่งกว่าคนจนๆ อย่างพวกเราเสียอีก และฉันจะขอตอบแทนพี่แก้วด้วยนะแม่ ที่พี่แก้วกับคุณภาวสุทธิ์เขาคบกันนั้นมันไม่ใช่เพราะพี่สาวของกันเกราจะจับเขาอย่างที่ใครๆ เขาคิดหรอกนะ แต่ที่ทั้งสองเขาคบกันก็เพราะความรักต่างหาก แล้วแม่ก็เลิกคิดที่จะดูถูกลูกของตัวเองเหมือนคนอื่นด้วย พี่แก้วไม่ใช่คนแบบนั้น"

เด็กสาวแก้ต่างแทนพี่สาว ขณะที่นางกระเพราได้แต่บิดยิ้มอย่างพึงพอใจเห็นควรกับคำที่บุตรสาวบอก

"เออ ข้ารู้แล้ว เอาล่ะ ข้าไม่ห่วงลูกแก้วก็ได้เพราะคุณภาวสุทธิ์คงจะดูแลเธออย่างดีแล้วล่ะ นังกันเกราเอ็งหิวใช่ไหม ข้าก็หิวเหมือนกันถ้าอย่างนั้นเรามากินข้าวกันก่อนก็ได้ พี่สาวเอ็งคงจะกินมาแล้วล่ะ"

เมื่อเข้าใจดีแล้วนางกระเพราจึงลงมือกับอาหารตรงหน้า เช่นเดียวกับกันเกราที่เปิดยิ้มออกมาในที่สุดนึกขำกับท่าทางของมารดา แม่ของเธอก็เป็นแบบนี้เองแหละกันเกรา พอพูดเข้าข้างพี่สาวเธอเข้าสักนิดก็ทำเป็นใจดีและยอมความในที่สุด ถึงแม้ครั้งแรกนั้นจะตั้งท่าไม่ชอบเธอสักเท่าไรก็ตาม
#####

รถของภาวสุทธิ์ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาจอดตรงปากซอยทางเข้าหมู่บ้านของหญิงสาว แก้วกาญจน์เปิดประตูลงจากรถ ขณะที่ชายหนุ่มตามลงมาจากอีกฟากหนึ่งก่อนจะคว้าข้อมือเรียวเอาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะเดินจากไป

"เดี๋ยวก่อนครับแก้ว"

หญิงสาวหยุดชะงักและหันกลับมาด้วยดวงตาที่หวานซึ้งในยามจ้องมองหน้าของเขา แล้วเสียงหวานก็ดังขึ้น

"มีอะไรหรือเปล่าคะ"

"ผมจะเดินไปส่งคุณเองครับ ค่ำมืดแบบนี้ทางมันเปลี่ยวและอันตราย" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

"ซอยนี้แก้วเดินมาตั้งแต่เด็กๆ คงไม่มีอะไรมั้งคะ คุณกลับไปเถอะค่ะ ค่ำแบบนี้ทางมันไกลอันตรายมากกว่านะคะ"

"ใช่อยู่ที่คุณเดินมาตั้งแต่เกิด แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอันตรายมันจะเกิดขึ้นตอนไหน อย่าดื้อเลยนะครับให้ผมเดินไปส่งคุณเถอะ"

ภาวสุทธิ์กุมมือทั้งสองของหญิงสาวเอาไว้จนแน่น เพื่อจะย้ำเตือนถึงความห่วงใยจากหัวใจของเขาไปให้กับเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้า

"ก็ได้ค่ะ"

แก้วกาญจน์ยอมความในที่สุด เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวของเธอ หญิงสาวสามารถรับรู้ได้ว่ามีเพียงภาวสุทธิ์ที่ดูแลเอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิดเสมอมา เขาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย จนในบางครั้งหญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีมากที่สุด ในชีวิตนี้จะหาคู่ชีวิตที่ดีพร้อมอย่างเช่นเขาได้อีกแล้ว

หญิงสาวตัดสินใจหันหลังแล้วเดินนำไปโดยมีชายหนุ่มเดินตามไปตลอดทาง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม สองมือของทั้งสองกอบกุมเอาไว้จนแน่นตลอดเวลา สายตาของเขาเมื่อยามมองมาที่เธอช่างอ่อนโยนจนหญิงสาวสัมผัสได้ ขณะที่เธอได้แต่คลี่ยิ้มอย่างดีใจที่มีเขาอยู่เคียงข้างและคอยพยุงเธออยู่ตลอดเวลาในยามที่เธอสิ้นหวัง ความรักที่มีอยู่ยิ่งเบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เธอและเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของแก้วกาญจน์ ชายหนุ่มชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้านเห็นยังเปิดไฟอยู่ก็นึกเกรงใจ

"คุณกลับดึกขนาดนี้ แม่คุณไม่ว่าจริงๆ นะครับ"

"ค่ะ เรื่องนี้แก้วอธิบายให้แม่ทราบได้ คุณอย่ากังวลไปเลยค่ะ"

หญิงสาวคลี่ยิ้มเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ถ้าอย่างนั้นให้ผมเข้าไปบอกท่านไหมครับ คุณจะได้สบายใจมากขึ้นเวลาอธิบายเรื่องทุกอย่างให้แม่คุณเข้าใจ"

"อย่าเลยนะคะคุณกลับไปเถอะค่ะ แค่นี้แก้วก็รบกวนคุณมากแล้ว ขับรถกลางคืนมันอันตรายนะคะ อีกอย่างปานนี้แม่ของแก้วคงจะหลับไปแล้ว ถ้าคุณอยากจะพบท่านจริงๆ เอาไว้โอกาสหน้าจะดีกว่า เดี๋ยวแก้วจะบอกท่านให้"

"ก็ได้ครับ มาคราวหน้าผมจะมาพูดถึงเรื่องแต่งงานของเรากับท่านเองครับ"

ภาวสุทธิ์คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาจ้องนิ่งที่วงหน้าสวยอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอดและกระชับร่างบางเอาไว้แน่นอย่างแสนรักและกระซิบบอกหญิงสาวผ่านซอกหูเสียงแผ่ว

"แก้วครับ"

"ค่ะ"

แก้วกาญจน์ขานรับคำเรียกของเขาเสียงแผ่วเบาเช่นกัน ภายในหัวใจรู้สึกชุ่มชื่นจนไม่อาจที่จะหาคำไหนมาระบายเป็นความรู้สึกภายในหัวใจของเธอในเวลานี้ได้

"ผมรักคุณนะครับ และจะรักคุณแบบนี้ตลอดไป ผมขอสัญญาว่าจะไม่ขอมีใครอยู่ในหัวใจของผมอีกนอกจากคุณคนเดียวเท่านั้น"

"ค่ะ แก้วก็รักคุณจนสุดหัวใจเช่นกันค่ะ"
######

ห่างออกมาไม่มากนักตรงหน้าต่างห้องของกันเกรา บัดนี้เด็กสาวกำลังแอบมองบุคคลทั้งสองที่กอดกันด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ ดวงตาคู่สวยฉายชัดซึ่งความอิจฉาริษยา หากแต่เธอก็สามารถที่จะข่มมันลงได้ในที่สุดด้วยคำว่า “เธอ” กับผู้หญิงตรงหน้าคือ “พี่น้อง” กัน

ภาวสุทธิ์คือผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่อยู่ในหัวใจของเธอ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสามารถดึงเขาออกไปจากหัวใจของเธอได้ หากแต่ทำไมฟ้าถึงได้เล่นตลกให้เธอรักคนที่มีเจ้าของแบบนี้ได้ โดยเฉพาะคนๆ นั้นคือแก้วกาญจน์ พี่สาวแท้ๆ ของเธอ

หยาดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินอาบสองแก้ม หญิงสาวรับรู้ได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลผ่านแก้มนวลไปอย่างช้าๆ คล้ายดั่งมีดเล่มใหญ่ที่กรีดตัดหัวใจของเธอให้ออกจากกันอย่างทารุณ หญิงสาวข่มความเจ็บปวดด้วยการหลับตาลงอย่างยากเย็น ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้กับภาพนั้น กันเกราทรุดตัวลงกับพื้นผ้าห่มที่กองสุมอยู่ข้างๆ ถูกดึงมาห่มกาย เธอปล่อยให้เสียงสะอื้นที่ดังออกมาเพียงน้อยนิดเป็นเครื่องที่คอยระบายความเจ็บช้ำในหัวใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม

หญิงสาวนอนนิ่งจมอยู่กับกองทุกข์ระทมกองใหญ่ที่มันถาโถมซัดกระหน่ำเข้ามาหาอย่างไม่ปราณี เป็นเวลาเนิ่นนาน มันนานจนไม่รู้เลยว่าเวลาที่สูญเสียไปนั้นมันผ่านไปนานเท่าใด จนเธอเพิ่งจะรู้สึกตัวเมื่อเสียงเปิดประตูห้องของเธอดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวานใสของผู้เป็นพี่สาว

"กันเกรา ทำอะไรอยู่ฮึ ทำไมยังไม่หลับไม่นอนอีก"

เมื่อรู้สึกตัวว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ เด็กสาวจึงรีบเช็ดน้ำตาที่มันอาบอยู่บนกรอบหน้าสวย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะทำเสียงงัวเงียเพื่อกลบเกลื่อนกิริยาทั้งหมด

"อาไรนะพี่แก้ว กลับมาแล้วหรือ"

ได้ยินเสียงงัวเงียของน้องสาว แก้วกาญจน์จึงได้แต่เปิดยิ้มอย่างอ่อนโยน งานนี้แม่คุณคงจะง่วงจนลืมปิดไฟอีกแล้วล่ะสิ

"พี่เห็นว่ากันเกรายังไม่ปิดไฟก็เลยเข้ามาดู ว่าแต่คงจะลืมอีกแล้วล่ะสิ"

ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง ขณะที่เสียงตอบรับกลับมาจากน้องสาวที่ซุกนิ่งอยู่ภายใต้ผ้าห่มตัวโคร่งดังมาอย่างอู้อี้และเงียบหายไป แก้วกาญจน์จึงคลี่ยิ้มอีกรอบก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบๆ

เสียงประตูที่ปิดลงอย่างเบามือจึงทำให้ให้ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นฟูกค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ภายในเงามืดใครจะไปรู้ว่าบัดนี้ใบหน้าของหญิงสาวได้มีน้ำตาอาบคลอรื้นอีกครั้ง ร่างบางระหงค่อยๆ ทอดตัวลงกับพื้นที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรงและปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและเศร้าเสียใจเอ่อนองออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2554, 19:18:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2554, 19:21:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1543





<< ตอนที่ 1 หนึ่งชีวิตกับการดิ้นรน   ตอนที่ 3 ขอแต่งงาน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account