ทรายล้อมเพชร: สะมะเรีย (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เมื่อรจนาอย่างนางรำ ‘เพชรไพลิน’ เสี่ยงพวงมาลัยดอกรักออกไป คนรับหาใช่เจ้าเงาะป่าไม่ แต่กลับเป็นถึง ‘ชีคมุซตาฮ์ซาน บินรามาน อัลซาบาฮัท’ ผู้ปกครองรัฐรามาน
ทั้งสองตกอยู่ในบ่วงเสน่หาซึ่งกันและกันเพียงแค่พบสบตา ความรักได้ก่อตัวขึ้นหวานล้ำราวน้ำผึ้ง ทว่า...ที่ใดมีรัก ก็ย่อมมีทุกข์ เพชรไพลินจึงต้องพบกับอุปสรรคที่เต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม ทั้งจากมารดาเลี้ยงและบรรดาสาวๆ ที่อยู่ในฮาเร็มของชีคหนุ่ม
ซ้ำร้ายที่สุด...ชายคนรักยังลงมือกรีดหัวใจของเธอด้วยตัวเขาเอง
เช่นนี้แล้วเพชรที่ว่ากล้าแกร่งจะทนทานต่อการแผดเผาหัวใจจนปวดร้าวทรมานได้หรือไม่ หรือเธอ...จะลาลับจากเขาไปตลอดกาล
*************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "สะมะเรีย" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบนิยายแนวทะเลทราย โรมานซ์ ดราม่า มิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นอกจากความฟินชวนให้ยิ้มแก้มแตกในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านชีคแล้ว สะมะเรียถ่ายทอดความดราม่าในความรักของหนุ่มสาวได้ชนิดที่น้ำตาไหลพรากทีเดียว ที่สำคัญ ยังผสมผสานศิลปวัฒนธรรมไทยเข้าไปในแนวทะเลทรายได้อย่างน่าประทับใจ #พร้อมตอนพิเศษ #ฟินทวีคูณ! #ติดหนึบ #รับประกันความสนุก!
***********
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com ร้าน booksforfun ร้าน booktogothailand และร้าน booksyourlikeshop
-inbox สั่งซื้อโดยตรงกับแอดมินเพจ 'ปลายปากกา สำนักพิมพ์' หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือเหลือแต่เล่มมีตำหนิ)
ราคา 280฿ (จากปก 372฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 320฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 340฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
ทั้งสองตกอยู่ในบ่วงเสน่หาซึ่งกันและกันเพียงแค่พบสบตา ความรักได้ก่อตัวขึ้นหวานล้ำราวน้ำผึ้ง ทว่า...ที่ใดมีรัก ก็ย่อมมีทุกข์ เพชรไพลินจึงต้องพบกับอุปสรรคที่เต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม ทั้งจากมารดาเลี้ยงและบรรดาสาวๆ ที่อยู่ในฮาเร็มของชีคหนุ่ม
ซ้ำร้ายที่สุด...ชายคนรักยังลงมือกรีดหัวใจของเธอด้วยตัวเขาเอง
เช่นนี้แล้วเพชรที่ว่ากล้าแกร่งจะทนทานต่อการแผดเผาหัวใจจนปวดร้าวทรมานได้หรือไม่ หรือเธอ...จะลาลับจากเขาไปตลอดกาล
*************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "สะมะเรีย" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ซึ่งกำลังวางจำหน่ายอยู่ตอนนี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบนิยายแนวทะเลทราย โรมานซ์ ดราม่า มิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง นอกจากความฟินชวนให้ยิ้มแก้มแตกในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านชีคแล้ว สะมะเรียถ่ายทอดความดราม่าในความรักของหนุ่มสาวได้ชนิดที่น้ำตาไหลพรากทีเดียว ที่สำคัญ ยังผสมผสานศิลปวัฒนธรรมไทยเข้าไปในแนวทะเลทรายได้อย่างน่าประทับใจ #พร้อมตอนพิเศษ #ฟินทวีคูณ! #ติดหนึบ #รับประกันความสนุก!
***********
นักอ่านท่านใดสนใจ มีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
**สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 3 ช่องทาง***
-ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
-ร้านนิยายออนไลน์ ได้แก่ ร้านนิยายรัก.com ร้าน booksforfun ร้าน booktogothailand และร้าน booksyourlikeshop
-inbox สั่งซื้อโดยตรงกับแอดมินเพจ 'ปลายปากกา สำนักพิมพ์' หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
(หนังสือเหลือแต่เล่มมีตำหนิ)
ราคา 280฿ (จากปก 372฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 320฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 340฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรมานซ์ ชีค นางรำ พาฝัน ดราม่า ริษยา
ตอน: บทที่ 1 -100%
เพชรไพลินกลับมายังบ้านทรงไทยที่เธอแสนรัก บ้านที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นเป็นโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ ระยะหลังศิลปะแขนงนี้ค่อนข้างที่จะซบเซา เธอจึงต้องออกรับงานรำด้วยตนเองบ้าง ส่วนรุจินภาก็ดูแลบริหารโรงเรียนแห่งนี้เต็มตัว ทว่าส่วนใหญ่มีแต่เด็กเล็กๆ ที่ผู้ปกครองมักส่งมาเรียนร้องรำ จึงดูวุ่นวายคล้ายสถานรับเลี้ยงเด็กเสียมากกว่า
หญิงสาวเหลียวมองรอบบ้าน แม้กิจการจะซวนเซ แต่บ้านหลังนี้กลับมีมูลค่าไม่น้อย เพราะเป็นบ้านทรงไทยยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง เป็นบ้านที่ตกทอดมาจากคุณย่าทวด หากขายทอดตลาดย่อมมีราคากว่าหลายสิบล้านเพราะตั้งอยู่ในทำเลดี แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดจะขาย แม้นว่าจะอับจนสักเพียงไร เธอก็จะรักษามันเอาไว้อย่างดีที่สุด
“จะทานอะไรสักหน่อยไหม แม่จะให้ออยไปทำมาให้”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ แต่เพชรไม่หิว จะเข้านอนเลยค่ะ”
หญิงสาวถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นบันไดบ้าน โดยแยกไปยังเรือนด้านหลังซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย เมื่อจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอจึงล้มตัวลงบนเตียงกว้างด้วยความเหนื่อยล้า
“ชีคมุซตาฮ์ซาน ท่านอยากรู้จักฉันจริงๆ หรือคะ” หญิงสาวพลิกตัวนอนหงาย แล้วค่อยๆ พริ้มตาลงหลับ ทว่าภาพใบหน้าคมคร้ามกลับตามหลอกหลอนจนเธอมิอาจข่มตาให้หลับลงได้...
***************
ร่างสูงยืนอยู่บนชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่ผู้คนไม่เคยหลับใหล แสงไฟจากท้องถนนและบ้านเรือนเบื้องล่างฉายฉานแข่งกับดวงดาวดารดาษ ความเจริญทำให้หมู่ดาวบนท้องฟ้าอับแสง ในขณะที่ดาวประดิษฐ์บนผืนดินกลับสว่างไสวขึ้นมาแทนที่
ใบหน้าสวยหวานยังคงลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด เขาไม่เคยต้องตาต้องใจผู้หญิงคนไหน จนถึงขนาดที่เรียกว่า...คิดถึง
“ท่านชีคครับ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชีคหนุ่มตื่นจากภวังค์ เมื่อหันกลับไป เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ องครักษ์คนสนิทก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ เขาเปิดซองแล้วดึงรูปถ่ายออกมา ใบหน้าหวานปรากฏอยู่ในรูปทำให้ความคิดถึงที่เขาเพิ่งตัดไปเมื่อสักครู่ หวนกลับมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
“เธอชื่อเพชรไพลิน วารินวัฒนา เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายอนุชาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงมารดาเลี้ยงที่เป็นญาติเพียงคนเดียวชื่อรุจินภาครับ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านนาฏศิลป์ เปิดสอนรำไทยให้กับเด็กๆ นี่เป็นรายละเอียดเพียงคร่าวๆ ครับ หากท่านชีคอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเธอเพิ่มเติม พรุ่งนี้ผมจะตามสืบอย่างละเอียดอีกครั้ง”
ชีคมุซตาฮ์ซานยกมือขึ้นโบก “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจมากดาอี นายไปพักผ่อนเถอะ”
“ครับท่านชีค”
องครักษ์คนสนิทโค้งตัวแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบดังเช่นขามา
ชีคหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ แล้วคลี่ซองสีน้ำตาลเพื่อหยิบรูปถ่ายอื่นๆ ออกมาดู
“รู้จักเธอแค่นี้ก็พอเพชรไพลิน เพราะนับจากนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ฉันจะศึกษา...” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เมื่อคิดถึงดวงตาเนื้อทรายที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ฉันจะศึกษาเธอด้วยตัวของฉันเอง”
***************
หญิงสาวในชุดนักศึกษาสีขาวสวมกระโปรงอัดพลีทความยาวเสมอ เข่า หอบหนังสือไว้แนบอกแล้วออกวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูงหุ้มส้นสีขาว เพื่อขึ้นรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนที่จะปิดภาคเรียน นักศึกษาชั้นปีที่สองนั้นส่วนใหญ่จะเรียนวิชาทั่วไป และเริ่มเรียนวิชาที่ลงลึกเฉพาะเจาะจงลงไปทางใดทางหนึ่งบ้างแล้ว เพชรไพลินเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร ด้วยใจรักการร่ายรำมาตั้งแต่เด็กๆ จึงตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้โดยไม่ลังเล
“เสร็จสักที ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้ยากมาก เอาอะไรมาออกสอบเนี่ย ฉันไม่เห็นว่าจะมีในหนังสือเลย”
นักศึกษาร่างท้วมบ่นอุบ ขณะหยิบลิปกรอสสีส้มมาทาริมฝีปากอย่างบรรจง
“มันก็มีในหนังสือกับชีตคำบรรยายที่อาจารย์แจกนั่นล่ะ ถ้าอ่านก็ต้องทำได้อยู่แล้ว” เพชรไพลินยิ้มขำ ขณะเดินลงบันไดไปพร้อมกับเพื่อนๆ
“จ้ะแม่คนเก่ง ใครจะไปเรียนเก่งเหมือนเธอล่ะ เทอมแรกก็ฟาดเอเรียบ นี่ไม่คิดจะแบ่งให้เพื่อนสักตัวเลยหรือไง เทอมสองนี่ก็คงฟาดเอเรียบอีกตามเคย เห็นแล้วอิจฉา ทั้งสวยทั้งเก่ง จะเลิศเลอไปไหนยะยายเพชร” เพื่อนสาวมิได้อิจฉาจริงอย่างที่พูด ออกจะรักและหวงเพชรไพลินเสียด้วยซ้ำ หากมีหนุ่มๆ เข้ามาเมียงมอง เป็นต้องไล่กระเจิงไปเสียทุกราย
“เออนี่ วันนี้ไปกินไอศกรีมกันไหมฉลองสอบเสร็จ ฉันได้คูปองลดครึ่งราคามาตั้งหลายใบ” เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้น ไอศกรีมหวานเย็นทำให้สาวๆ ในกลุ่มยิ้มกว้างอย่างเห็นพ้อง มีแต่เพชรไพลินที่ส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันคงไปไม่ได้ ต้องรีบกลับไปช่วยงานคุณแม่” เพชรไพลินเอ่ยขอตัวเช่นเคย ในช่วงบ่ายเมื่อไม่มีเรียนแล้ว หญิงสาวจะตรงกลับบ้านทันที แทบไม่เคยไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
“เว้นสักวันไม่ได้เลยเหรอเพชร”
“ไม่ได้หรอกวันนี้มีนักเรียนหลายคน ฉันต้องกลับไปช่วยคุณแม่ กลัวท่านจะเหนื่อย สอนเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ การสอนเด็กรำนั้นไม่ใช่จะสอนไปเรื่อยคิดแต่จะเก็บค่าเล่าเรียนอย่างเดียว แต่ต้องเคี่ยวเข็ญให้เด็กสามารถรำได้ ผู้ปกครองจะได้พอใจบอกต่อกันไปปากต่อปาก
“เพชรนี่ตลอดเลย ไม่เคยไปไหนกับเพื่อนๆ สักที ตามใจๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“จ้า ทานให้อร่อยนะ ทานเผื่อด้วย” หญิงสาวโบกมือลาเพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ที่เดินพูดคุยส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง
เพชรไพลินรอรถเมล์สายเดิมใช้ชีวิตเดิมๆ เฉกเช่นทุกวัน เมื่อกลับไปถึงบ้านจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวนุ่งโจงกระเบนสีแดงสดเหมือนเด็กนักเรียนที่มาเรียนรำ คลาสนี้ไม่ยากนักเพราะเด็กที่มาเรียนนั้นอายุแปดเก้าขวบแล้ว เธอจึงให้มารดาเลี้ยงไปพักผ่อน แล้วจึงสอนแทนเสียเอง
“คราวที่แล้วครูสอนท่าออกของรำศรีวิชัยไปแล้ว วันนี้เรามาลองทบทวนกันดูซิว่ายังจำกันได้หรือเปล่า” หญิงสาวเดินไปเปิดเพลงแล้วสั่งให้นักเรียนทั้งสามคนตั้งแถว เมื่อเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเด็กก็พากันรำ ถูกบ้างผิดบ้างหญิงสาวยืนดูสักพักจึงปิดเพลง
“เอาละค่ะถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว คราวนี้มารำพร้อมกับครูนะคะ” หญิงสาวเปิดเพลงอีกครั้งแล้วยืนอยู่ข้างหน้านักเรียน โดยหันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ที่กินพื้นที่ผนังห้องด้านหนึ่ง
“เรามารำท่าออกกันนะคะ หันตัวไปทางซ้ายค่ะ มือทั้งสองจีบคว่ำระดับชายพกเอียงซ้ายนิดๆ แล้วประเท้าขวาวิ่งมาด้านหน้า” หญิงสาวสอนรำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย เป็นที่รู้กันในหมู่เด็กนักเรียนว่าครูเพชรนั้นใจดี เวลาสอนรำไม่เคยดุด่า แต่จะค่อยๆ อธิบายจนกว่านักเรียนจะเข้าใจ แตกต่างกับครูรุจินภาที่ค่อนข้างดุจนนักเรียนกลัว พานทำให้รำออกมาแล้วเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ
“ดีมากค่ะ ถ้าคราวนี้ทั้งสามคนรำพร้อมกันไม่ผิดเลย ครูจะให้พักทานขนมดีไหมคะ”
“ดีค่ะคุณครู”
นักเรียนตัวน้อยตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะชักจะเมื่อยมือเมื่อยเท้าเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นรำรอบนี้ต้องตั้งใจนะคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปเปิดเพลง
จังหวะนั้นแม่บ้านนำขนมและน้ำหวานใส่น้ำแข็งดูท่าจะเย็นชื่นใจเข้ามาพอดี เด็กนักเรียนจึงตั้งใจรำโดยไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเหตุให้คุณครูคนสวยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
“เอาละจ้ะพักได้ ทุกคนเก่งมาก” เพชรไพลินเดินแยกออกมาจากห้องสอนรำ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ที่ชายพกโจงกระเบนขึ้นมาซับเหงื่อที่ปลายจมูก
“คุณเพชรคะ มีคนส่งของมาให้คุณค่ะ”
แม่บ้านส่งกล่องของขวัญขนาดใหญ่ให้หญิงสาว
“ขอบคุณค่ะพี่ออย” เพชรไพลินรับกล่องของขวัญทรงสี่เหลี่ยมผืน ผ้าสีฟ้าผูกด้วยริบบิ้นสีเงินมาถือไว้ด้วยความแปลกใจ หยิบการ์ดใบเล็กออกเปิดอ่าน
‘เจอกันที่งานเลี้ยงคืนนี้นะรจนา คนขับรถจะไปรับเธอตอนหกโมงเย็น...ชีคมุซตาฮ์ซาน’
พลันแก้มนวลก็แดงระเรื่อขึ้น หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าเท้ายืนไม่ติดพื้น เธอคิดว่าเขาลืมเธอไปเสียแล้ว แต่เขายังจำได้ ทั้งยังส่งกล่องของขวัญมาให้ เธอเดินกลับเข้าไปในห้องพักส่วนตัวแล้วลงมือแกะกล่องของขวัญอย่างบรรจง ภายในกล่องคือชุดราตรียาวหรูหรา หญิงสาวไล้มือไปยังเนื้อผ้า ดูก็รู้ว่าราคาแพงเกินกว่าที่เธอจะหาซื้อมาสวมใส่เองได้
“ท่านชีครู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
หญิงสาวกอดชุดราตรีเอาไว้ เธอช่างฝัน ชอบอ่านนิยายพาฝันแล้วคิดเคลิ้มไปไกลว่าอยากมีคนรักเป็นหนุ่มต่างชาติผู้มาจากแดนไกล ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเสี้ยวหนึ่งของนิยายที่เคยอ่านจะบังเกิดขึ้นกับตัวเอง
หรือว่าความจริงแล้วเธอยังหลับฝันอยู่กันแน่...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
หญิงสาวเหลียวมองรอบบ้าน แม้กิจการจะซวนเซ แต่บ้านหลังนี้กลับมีมูลค่าไม่น้อย เพราะเป็นบ้านทรงไทยยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง เป็นบ้านที่ตกทอดมาจากคุณย่าทวด หากขายทอดตลาดย่อมมีราคากว่าหลายสิบล้านเพราะตั้งอยู่ในทำเลดี แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดจะขาย แม้นว่าจะอับจนสักเพียงไร เธอก็จะรักษามันเอาไว้อย่างดีที่สุด
“จะทานอะไรสักหน่อยไหม แม่จะให้ออยไปทำมาให้”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ แต่เพชรไม่หิว จะเข้านอนเลยค่ะ”
หญิงสาวถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นบันไดบ้าน โดยแยกไปยังเรือนด้านหลังซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย เมื่อจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอจึงล้มตัวลงบนเตียงกว้างด้วยความเหนื่อยล้า
“ชีคมุซตาฮ์ซาน ท่านอยากรู้จักฉันจริงๆ หรือคะ” หญิงสาวพลิกตัวนอนหงาย แล้วค่อยๆ พริ้มตาลงหลับ ทว่าภาพใบหน้าคมคร้ามกลับตามหลอกหลอนจนเธอมิอาจข่มตาให้หลับลงได้...
***************
ร่างสูงยืนอยู่บนชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรที่ผู้คนไม่เคยหลับใหล แสงไฟจากท้องถนนและบ้านเรือนเบื้องล่างฉายฉานแข่งกับดวงดาวดารดาษ ความเจริญทำให้หมู่ดาวบนท้องฟ้าอับแสง ในขณะที่ดาวประดิษฐ์บนผืนดินกลับสว่างไสวขึ้นมาแทนที่
ใบหน้าสวยหวานยังคงลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด เขาไม่เคยต้องตาต้องใจผู้หญิงคนไหน จนถึงขนาดที่เรียกว่า...คิดถึง
“ท่านชีคครับ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชีคหนุ่มตื่นจากภวังค์ เมื่อหันกลับไป เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ องครักษ์คนสนิทก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ เขาเปิดซองแล้วดึงรูปถ่ายออกมา ใบหน้าหวานปรากฏอยู่ในรูปทำให้ความคิดถึงที่เขาเพิ่งตัดไปเมื่อสักครู่ หวนกลับมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
“เธอชื่อเพชรไพลิน วารินวัฒนา เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายอนุชาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงมารดาเลี้ยงที่เป็นญาติเพียงคนเดียวชื่อรุจินภาครับ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านนาฏศิลป์ เปิดสอนรำไทยให้กับเด็กๆ นี่เป็นรายละเอียดเพียงคร่าวๆ ครับ หากท่านชีคอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเธอเพิ่มเติม พรุ่งนี้ผมจะตามสืบอย่างละเอียดอีกครั้ง”
ชีคมุซตาฮ์ซานยกมือขึ้นโบก “ไม่ต้องแล้ว ขอบใจมากดาอี นายไปพักผ่อนเถอะ”
“ครับท่านชีค”
องครักษ์คนสนิทโค้งตัวแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบดังเช่นขามา
ชีคหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ แล้วคลี่ซองสีน้ำตาลเพื่อหยิบรูปถ่ายอื่นๆ ออกมาดู
“รู้จักเธอแค่นี้ก็พอเพชรไพลิน เพราะนับจากนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ฉันจะศึกษา...” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เมื่อคิดถึงดวงตาเนื้อทรายที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ฉันจะศึกษาเธอด้วยตัวของฉันเอง”
***************
หญิงสาวในชุดนักศึกษาสีขาวสวมกระโปรงอัดพลีทความยาวเสมอ เข่า หอบหนังสือไว้แนบอกแล้วออกวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูงหุ้มส้นสีขาว เพื่อขึ้นรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายก่อนที่จะปิดภาคเรียน นักศึกษาชั้นปีที่สองนั้นส่วนใหญ่จะเรียนวิชาทั่วไป และเริ่มเรียนวิชาที่ลงลึกเฉพาะเจาะจงลงไปทางใดทางหนึ่งบ้างแล้ว เพชรไพลินเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร ด้วยใจรักการร่ายรำมาตั้งแต่เด็กๆ จึงตัดสินใจเลือกเรียนสาขานี้โดยไม่ลังเล
“เสร็จสักที ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้ยากมาก เอาอะไรมาออกสอบเนี่ย ฉันไม่เห็นว่าจะมีในหนังสือเลย”
นักศึกษาร่างท้วมบ่นอุบ ขณะหยิบลิปกรอสสีส้มมาทาริมฝีปากอย่างบรรจง
“มันก็มีในหนังสือกับชีตคำบรรยายที่อาจารย์แจกนั่นล่ะ ถ้าอ่านก็ต้องทำได้อยู่แล้ว” เพชรไพลินยิ้มขำ ขณะเดินลงบันไดไปพร้อมกับเพื่อนๆ
“จ้ะแม่คนเก่ง ใครจะไปเรียนเก่งเหมือนเธอล่ะ เทอมแรกก็ฟาดเอเรียบ นี่ไม่คิดจะแบ่งให้เพื่อนสักตัวเลยหรือไง เทอมสองนี่ก็คงฟาดเอเรียบอีกตามเคย เห็นแล้วอิจฉา ทั้งสวยทั้งเก่ง จะเลิศเลอไปไหนยะยายเพชร” เพื่อนสาวมิได้อิจฉาจริงอย่างที่พูด ออกจะรักและหวงเพชรไพลินเสียด้วยซ้ำ หากมีหนุ่มๆ เข้ามาเมียงมอง เป็นต้องไล่กระเจิงไปเสียทุกราย
“เออนี่ วันนี้ไปกินไอศกรีมกันไหมฉลองสอบเสร็จ ฉันได้คูปองลดครึ่งราคามาตั้งหลายใบ” เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้น ไอศกรีมหวานเย็นทำให้สาวๆ ในกลุ่มยิ้มกว้างอย่างเห็นพ้อง มีแต่เพชรไพลินที่ส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันคงไปไม่ได้ ต้องรีบกลับไปช่วยงานคุณแม่” เพชรไพลินเอ่ยขอตัวเช่นเคย ในช่วงบ่ายเมื่อไม่มีเรียนแล้ว หญิงสาวจะตรงกลับบ้านทันที แทบไม่เคยไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง
“เว้นสักวันไม่ได้เลยเหรอเพชร”
“ไม่ได้หรอกวันนี้มีนักเรียนหลายคน ฉันต้องกลับไปช่วยคุณแม่ กลัวท่านจะเหนื่อย สอนเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ การสอนเด็กรำนั้นไม่ใช่จะสอนไปเรื่อยคิดแต่จะเก็บค่าเล่าเรียนอย่างเดียว แต่ต้องเคี่ยวเข็ญให้เด็กสามารถรำได้ ผู้ปกครองจะได้พอใจบอกต่อกันไปปากต่อปาก
“เพชรนี่ตลอดเลย ไม่เคยไปไหนกับเพื่อนๆ สักที ตามใจๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“จ้า ทานให้อร่อยนะ ทานเผื่อด้วย” หญิงสาวโบกมือลาเพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ที่เดินพูดคุยส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง
เพชรไพลินรอรถเมล์สายเดิมใช้ชีวิตเดิมๆ เฉกเช่นทุกวัน เมื่อกลับไปถึงบ้านจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวนุ่งโจงกระเบนสีแดงสดเหมือนเด็กนักเรียนที่มาเรียนรำ คลาสนี้ไม่ยากนักเพราะเด็กที่มาเรียนนั้นอายุแปดเก้าขวบแล้ว เธอจึงให้มารดาเลี้ยงไปพักผ่อน แล้วจึงสอนแทนเสียเอง
“คราวที่แล้วครูสอนท่าออกของรำศรีวิชัยไปแล้ว วันนี้เรามาลองทบทวนกันดูซิว่ายังจำกันได้หรือเปล่า” หญิงสาวเดินไปเปิดเพลงแล้วสั่งให้นักเรียนทั้งสามคนตั้งแถว เมื่อเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเด็กก็พากันรำ ถูกบ้างผิดบ้างหญิงสาวยืนดูสักพักจึงปิดเพลง
“เอาละค่ะถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว คราวนี้มารำพร้อมกับครูนะคะ” หญิงสาวเปิดเพลงอีกครั้งแล้วยืนอยู่ข้างหน้านักเรียน โดยหันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ที่กินพื้นที่ผนังห้องด้านหนึ่ง
“เรามารำท่าออกกันนะคะ หันตัวไปทางซ้ายค่ะ มือทั้งสองจีบคว่ำระดับชายพกเอียงซ้ายนิดๆ แล้วประเท้าขวาวิ่งมาด้านหน้า” หญิงสาวสอนรำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย เป็นที่รู้กันในหมู่เด็กนักเรียนว่าครูเพชรนั้นใจดี เวลาสอนรำไม่เคยดุด่า แต่จะค่อยๆ อธิบายจนกว่านักเรียนจะเข้าใจ แตกต่างกับครูรุจินภาที่ค่อนข้างดุจนนักเรียนกลัว พานทำให้รำออกมาแล้วเกร็งไม่เป็นธรรมชาติ
“ดีมากค่ะ ถ้าคราวนี้ทั้งสามคนรำพร้อมกันไม่ผิดเลย ครูจะให้พักทานขนมดีไหมคะ”
“ดีค่ะคุณครู”
นักเรียนตัวน้อยตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะชักจะเมื่อยมือเมื่อยเท้าเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นรำรอบนี้ต้องตั้งใจนะคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วหันไปเปิดเพลง
จังหวะนั้นแม่บ้านนำขนมและน้ำหวานใส่น้ำแข็งดูท่าจะเย็นชื่นใจเข้ามาพอดี เด็กนักเรียนจึงตั้งใจรำโดยไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเหตุให้คุณครูคนสวยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
“เอาละจ้ะพักได้ ทุกคนเก่งมาก” เพชรไพลินเดินแยกออกมาจากห้องสอนรำ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ที่ชายพกโจงกระเบนขึ้นมาซับเหงื่อที่ปลายจมูก
“คุณเพชรคะ มีคนส่งของมาให้คุณค่ะ”
แม่บ้านส่งกล่องของขวัญขนาดใหญ่ให้หญิงสาว
“ขอบคุณค่ะพี่ออย” เพชรไพลินรับกล่องของขวัญทรงสี่เหลี่ยมผืน ผ้าสีฟ้าผูกด้วยริบบิ้นสีเงินมาถือไว้ด้วยความแปลกใจ หยิบการ์ดใบเล็กออกเปิดอ่าน
‘เจอกันที่งานเลี้ยงคืนนี้นะรจนา คนขับรถจะไปรับเธอตอนหกโมงเย็น...ชีคมุซตาฮ์ซาน’
พลันแก้มนวลก็แดงระเรื่อขึ้น หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าเท้ายืนไม่ติดพื้น เธอคิดว่าเขาลืมเธอไปเสียแล้ว แต่เขายังจำได้ ทั้งยังส่งกล่องของขวัญมาให้ เธอเดินกลับเข้าไปในห้องพักส่วนตัวแล้วลงมือแกะกล่องของขวัญอย่างบรรจง ภายในกล่องคือชุดราตรียาวหรูหรา หญิงสาวไล้มือไปยังเนื้อผ้า ดูก็รู้ว่าราคาแพงเกินกว่าที่เธอจะหาซื้อมาสวมใส่เองได้
“ท่านชีครู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
หญิงสาวกอดชุดราตรีเอาไว้ เธอช่างฝัน ชอบอ่านนิยายพาฝันแล้วคิดเคลิ้มไปไกลว่าอยากมีคนรักเป็นหนุ่มต่างชาติผู้มาจากแดนไกล ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเสี้ยวหนึ่งของนิยายที่เคยอ่านจะบังเกิดขึ้นกับตัวเอง
หรือว่าความจริงแล้วเธอยังหลับฝันอยู่กันแน่...
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บเลิฟ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2561, 09:13:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2561, 09:13:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 633
<< บทที่ 1 -60% | บทที่ 2 -45% >> |