สิเน่หาปักษานาคา
จะทำเช่นไร หากหัวใจเพียงดวงเดียวที่มีอยู่ มอบให้ผู้ที่มีเผ่าพันธุ์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรู
Tags: นาค ครุฑ อดีต รัก สัญญา รอคอย

ตอน: สิเน่หาปางบรรพ์



ฤาษีหนุ่มผู้ทรงอิทธิฤทธิ์นามว่าพระกัศยปมุนีก้าวเดินเข้ามาในบริเวณวิมานแก้วซึ่งสร้างขึ้นจากพระเวทย์ด้วยท่วงท่าทรงอำนาจและงามสง่า ข้าราชบริวารต่างพากันหมอบราบลงกับพื้นด้วยความเคารพยำเกรง ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับบุรุษร่างกำยำเดินเข้าไปภายในห้อง น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามผู้เป็นชายาอย่างอ่อนโยน

“เป็นอย่างไรบ้าง วินตายอดรัก”

“น้องสบายดีเจ้าค่ะ ท่านพี่”

นางวินตาตอบเสียงหวาน พร้อมกับแย้มยิ้มระบายด้วยความชื่นใจในความเป็นห่วงเป็นใยที่พระสวามีมอบให้

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ พี่จะไปเยี่ยมกัทรุเสียหน่อย”

นางวินตายิ้มน้อยๆ แม้ว่าผู้เป็นสวามีจะเอื้อนเอ่ยถึงหญิงอื่นต่อหน้าต่อตา แต่ก็จำต้องเก็บกลั้นฝืนทนความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ไม่แสดงออกมา เพราะพระกัศยปมุนีผู้เป็นสวามีนั้นมีชายาอีกมากมายจนนับไม่ถ้วนและจะต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานในหัวใจอยู่ทุกครั้งร่ำไป แต่ที่ทำให้รู้สึกขุ่นแค้นเคืองใจมากที่สุดก็คือหญิงอีกคนที่ได้เคียงข้างกายของชายผู้เป็นที่รักที่พระกัศยปมุนีกำลังพูดถึงนั่นเป็นน้องสาวของนางเอง

นางวินตาเป็นธิดาของพระทักษประชาบดี ซึ่งมีธิดารวมทั้งหมดห้าสิบองค์และได้ยกให้เป็นชายาของพระกัศยปมุนีถึงสิบสามองค์ด้วยกัน

“ท่านพี่เจ้าคะ”

วินตาเรียกขาน เมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“หืมม ว่าอย่างไร”

พระกัศยปมุนีขานรับในลำคอ และหันกลับมามองชายาอย่างตั้งใจรอฟัง

“น้องอยากจะขอพรกับเจ้าพี่ เกี่ยวกับลูกของเราเจ้าค่ะ”

วินตาร้องขอพร้อมทั้งยกมือลูบท้องของตัวเองอย่างอ่อนโยนด้วยความรักใคร่ ฤาษีหนุ่มยิ้มน้อยๆ และเดินมานั่งลงเคียงข้างร่างอรชรอีกครั้งบนเตียงนอน

“เจ้าอยากได้สิ่งใดรึ”

“น้องอยากจะขอให้ท่านพี่ประทานพรให้ลูกของเราเป็นผู้มีบารมี มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ไม่แพ้ผู้ใดเจ้าค่ะ”

พระกัศยปมุนียกมือลูบศีรษะของชายาอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู

“พี่จะทำให้เจ้าสมหวัง”




พระกัศยปมุนีก้าวเดินออกมาหยุดยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องจากนั้นก็ร่ายมนต์วิเศษ เพียงชั่วอึดใจร่างสูงโปร่งก็มาปรากฎกายขึ้นภายในห้องที่อยู่ทางด้านปีกซ้ายของวิมานแก้ว น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามพร้อมทั้งเข้าไปสวมกอดร่างบางเอาไว้จากทางด้านหลัง

“กัทรุยอดรัก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

กัทรุสะดุ้งตัวน้อยๆ เพราะกำลังยืนเอนกายเหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและชื่นชมเงาจันทราที่ลอยงามเด่นอยู่บนฟากฟ้าในค่ำคืนนี้อย่างเพลิดเพลิน ทำให้ไม่ทันได้รับรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการมาถึงของผู้ทรงอิทธิฤทธิ์อย่างเฉกเช่นพระกัศยปมุนีผู้เป็นสวามีเลยสักนิด

“ท่านพี่ ตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ”

องค์กัศยปมุนีลูบศีรษะร่างอรชรในอ้อมกอดเบาๆ อย่างปลอบขวัญ

“คิดอะไรอยู่รึ”

“น้องรู้สึกกังวลเกี่ยวกับลูกเจ้าค่ะ”

นางกัทรุเอ่ยตอบและลูบหน้าท้องที่โป่งนูนด้วยความรู้สึกห่วงใย

“เจ้ากังวลสิ่งใด ไหนลองบอกพี่มาซิ”

ฤาษีหนุ่มจับตัวกัทรุให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน

ดวงตาสีดำสุกสกาวเงยขึ้นมองผู้เป็นสวามีและเอ่ยบอกน้ำเสียงจริงจัง

“น้องอยากมีบุตรกับเจ้าพี่จำนวนมาก เพื่อให้สืบเชื้อสายของน้องและเจ้าพี่เอาไว้ไม่ให้สูญสิ้น”

กัทรุสวมกอดเรือนร่างกำยำเอาไว้จนแน่นและเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ต้องการ สาเหตุที่ร้องขอแบบนี้นั่นเป็นเพราะพระกัศยปมุนีมีชายามากมายเหลือเกิน รวมทั้งเป็นผู้ให้กำเนิดเทพผู้ทรงฤทธิ์อีกหลายองค์ด้วยกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองอาจจะถูกทอดทิ้งหรือหลงลืมเลือนไปได้ในสักวันหนึ่ง จึงได้แต่เฝ้าหวังและภาวนาว่าหากมีบุตรด้วยกันมากมายย่อมจะทำให้องค์กัศยปมุนีมีเมตตาและรักใคร่เสน่หาตลอดไป

“เจ้าพี่จะประทานพรนี้ให้กับน้อง ได้หรือไม่เจ้าคะ”

พระกัศยปมุนีมองใบหน้าของหญิงสาว และเอ่ยตอบเสียงหวาน

“ได้สิ เจ้าจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา”




ต่อมาเมื่อถึงคราวครบกำหนดคลอด นางกัทรุได้ให้กำเนิดนาคผู้มีฤทธิ์เดชจำนวนถึงหนึ่งพันตัว และลงไปอาศัยอยู่ในแดนบาดาลกับลูกๆ อย่างมีความสุข ส่วนนางวินตานั้นได้คลอดออกมาเป็นไข่สองฟอง จึงเกิดความคิดอิจฉาริษยากัทรุที่มีพระบิดาเดียวกันและยังมามีสามีเดียวกันอีกด้วย

ความหมางเมินใจระหว่างพี่น้องก็เรียกได้ว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวันเพราะต้องคอยทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองเป็นที่รักต่อพระกัศยปมุนี จวบจนถึงคราวตั้งครรภ์พร้อมกันและคลอดพร้อมกันแบบนี้ แต่กัทรุกลับได้เชยชมใบหน้าของลูกน้อยรวมทั้งมีลูกมากมายนัก แต่วินตากลับต้องอดทนรอต่อไปด้วยความวิตกกังวล

“เมื่อไหร่ข้าจะได้เห็นหน้าลูกกันนะ”

วินตาบ่นกับนางข้ารับใช้อย่างหงุดหงิดใจ พร้อมกับจับจ้องอยู่ที่ไข่ทั้งสองที่วางตั้งอยู่บนพานทองคำ

“ข้าอยากเชยชมลูกข้าในเร็ววัน จะทำอย่างไรดี”

นางวินตาพึมพำกับตัวเอง และได้แต่ทอดถอนหายใจอย่างไม่มีทางออก

“อดใจรอหน่อยเถอะเจ้าค่ะ อีกไม่นานพระนางก็จะได้พบกับพระบุตรเจ้าค่ะ”

นางรับใช้เข้ามาบีบนวดและเอ่ยปลอบวินตาเพื่อให้สบายใจขึ้น วินตาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอนกายนอนพร้อมกับหลับตาพริ้มลง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องลอยเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด




หลังจากทนทรมานนับวันเฝ้ารอที่จะได้พบหน้าลูกน้อยมานานแรมเดือน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าไข่จะฟักและกลายออกมาเป็นตัวเป็นตนให้ได้พบเห็นและชื่นใจเสียที

“ข้าอยากพบหน้าลูก”

นางวินตาบ่นอย่างตัดพ้อ รู้สึกหงุดหงิดใจและกระสับกระส่ายจึงตัดสินใจกะเทาะเปลือกไข่ใบหนึ่งออกมาเมื่ออดใจรอต่อไปไม่ไหว ต้องการรู้ว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไรกันแน่

ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปงามราวกับเทวดาบนสรวงสวรรค์ แต่น่าอนาจใจนักที่บุรษหนุ่มมีกายาอยู่แค่เพียงครึ่งท่อนบนเท่านั้นจากความใจร้อนของผู้เป็นมารดาเอง

“ท่านแม่ทำให้ข้าต้องเป็นแบบนี้ ข้าขอสาปให้ท่านต้องตกเป็นทาสของนาคา”

อรุณเทพบุตรเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธแค้นมารดาของตนที่ทำให้ออกจากไข่ก่อนครบกำหนด จึงกล่าวถ้อยคำที่เป็นดุจดั่งคำสาปออกมา

นางวินตาได้แต่ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้ลูกต้องกลายมาเป็นแบบนี้ และยังรู้สึกตกใจที่สุดกับคำสาปแช่งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้คิดเคืองใจใดๆ ทั้งสิ้น

“ทางแก้ของคำสาปแห่งข้าก็คือให้บุตรที่สองเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากความเป็นทาสได้“
จากนั้นอรุณเทพบุตรจึงเหาะเหิรหนีผู้เป็นมารดาขึ้นไปอยู่บนวิมานชั้นฟ้าเพื่อเป็นสารถีให้กับสุริยเทพ โดยไม่กลับมาอีกเลย

นางวินตาไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดูเหมือนคราวแรก เฝ้าแต่คอยฟูมฟักทะนุถนอมและรอให้ถึงกำหนดวันที่บุตรจะคลอดจากไข่เอง

เมื่อถึงคราวบุตรของนางวินตาแรกเกิด ปรากฎว่ามีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดเต็มผืนฟ้า ดวงตายามกะพริบดุจดั่งฟ้าแลบแปลบปลาบ ปีกขยายใหญ่โตได้ข้างหนึ่งถึงหนึ่งร้อยห้าสิบโยชน์ เมื่อเวลาขยับปีกโบกสะบัดคราใดสามารถทำให้เกิดพายุรุนแรงไปจนทั่วราวกับขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมสายลม รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายามีลักษณะดั่งไฟไหม้ไปจนทั่วทุกสารทิศ มีอำนาจพลานุภาพสำหรับทำลายล้างอย่างร้ายกาจ

“ครุฑาเทพ”

วินตาร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มใจ ทุกอย่างเป็นไปตามพรที่เคยร้องขอไว้กับพระกัศยปมุนีอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด บุตรของนางผู้นี้เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการ บารมี และอำนาจวาสนา อย่างยากจะหาผู้ใดมาเทียบเทียมได้

ซึ่งนั่นก็คือจุดกำเนิดของพญาครุฑ




ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้แข่งขันท้าพนันกันเกี่ยวกับสีของม้าอุไฉศรพซึ่งเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าหากใครแพ้จะต้องตกเป็นทาสแก่อีกฝ่ายเป็นเวลานานถึงห้าร้อยปี สุดท้ายนางวินตาพ่ายแพ้ในอุบายเล่ห์กลของนางกัทรุเลยต้องยอมตกเป็นทาสของนางกัทรุตามเงื่อนไข

ทุกอย่างดำเนินไปดุจดั่งคำสาปของอรุณเทพบุตรอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จวบจนเมื่อพญาครุฑล่วงรู้ถึงกลโกงของนางกัทรุ จึงหาวิถีทางที่จะช่วยมารดาของตนให้รอดพ้นจากการตกเป็นทาส

“ไปเอาน้ำอมฤตมาให้ข้า”

กัทรุบอกกับครุฑาเทพให้ได้รับรู้ถึงหนทางแห่งการหลุดพ้น จากนั้นบุรุษหนุ่มผู้มีกายาสีทองงามสง่าจึงกางปีกใหญ่โตออกมาจากแผ่นหลังกว้าง ดวงตาเรียวรีแดงฉานราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนโชติช่วง มีจงอยปากที่แข็งแรงและคมกริบ มีพละกำลังและพลานุภาพที่แสนร้ายกาจสมกับชาติกำเนิดและเผ่าพันธุ์ของพญาปักษาผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนจะบินทยานขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อไปนำน้ำอมฤตมาให้กับนางกัทรุ

เกิดการแย่งชิงกันระหว่างพญาครุฑกับเหล่าทวยเทพทั้งหลายที่เป็นผู้ปกปักรักษา พระวิษณุก็ออกมาช่วยขัดขวางครุฑไว้และเข้าสู้รบกับพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ

ส่วนการต่อสู้กันระหว่างครุฑและฝ่ายเทวดานั้น เทวดาก็ไม่อาจเอาชนะได้ เมื่อพระอินทร์ติดตามมาถึงจึงใช้วัชระซึ่งเป็นอาวุธที่มีอาณุภาพร้ายแรงโจมตีครุฑ แต่ก็ไม่สามารถทำให้พญาครุฑได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ครุฑาเทพจำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปบนผืนดินเส้นหนึ่ง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าทวยเทพทั้งปวงเอาไว้ไม่ให้ใครดูหมิ่นหรือเหยียดหยามว่าไม่สามารถเอาชนะตนได้

“ท่านเป็นผู้มีฤทธามากถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีความต้องการในน้ำอมฤตด้วยเล่า”

องค์อินทร์เอ่ยถามพญาครุฑด้วยความแปลกใจและสงสัย ในเมื่อได้พบเห็นอิทธิฤทธิ์ของครุฑที่มีซึ่งเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับเหล่าทวยเทพ หรืออาจจะมีมากกว่าเทพบางองค์เสียด้วยซ้ำ

“ข้าต้องนำน้ำอมฤตนี้ไปให้แก่นาค เพื่อเป็นการรักษาสัตย์ และช่วยให้มารดาของข้าพ้นจากการเป็นทาสของเหล่านาค”

ครุฑาเทพบอกกล่าวแก่พระอินทร์ด้วยความสัตย์จริงถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด

“แต่นาคาไม่คู่ควรกับน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์นี้”

พระอินทร์รับรู้เข้าใจสาเหตุและความจำเป็นของพญาครุฑ แต่ก็ไม่อาจยินยอมให้นำน้ำอมฤตไปให้กับนาคได้อย่างเด็ดขาด

“ข้าเพียงแต่ให้สัจจะว่าจะนำน้ำอมฤตไปให้นาค แต่ไม่ได้รับปากว่านาคจะต้องได้ดื่มกิน”

จากนั้นพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ก็บินกลับมาพร้อมกับน้ำอมฤตนั้น นำมาให้กับพญานาคราชเพื่อเป็นการไถ่ตัวมารดาของตนตามข้อตกลง

เมื่อนาคาเห็นน้ำอมฤตก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงยินยอมปลดปล่อยนางวินตาให้เป็นอิสระ และพากันไปชำระล้างร่างกายเพื่อจะมาดื่มกินน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์ให้สมดังใจที่เฝ้ารอคอยมาแสนนาน

แต่ในที่สุดก็ต้องได้พบกับความผิดหวัง เมื่อพระอินทร์ติดตามมาและเกิดการต่อสู้กันขึ้น ซึ่งเหล่านาคาทั้งหลายไม่อาจต่อสู้กับพระอินทร์ซึ่งเป็นองค์เทพได้ พระอินท์จึงสามารถนำน้ำอมฤตกลับไปสู่สรวงสวรรค์

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความคับแค้นใจ และทำให้ครุฑกับนาคตั้งตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมา

ตั้งแต่ .. บรรพกาล



//ฝากติดตามเพจ .. ศศิธาราริน ไว้ด้วยนะคะ เข้ามาพูดคุยทักทายกันได้ค่า//





ศศิธาราริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ต.ค. 2561, 21:13:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ต.ค. 2561, 21:13:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 753





   สิเน่หาปฐมบท >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account