มาลีเริงไฟ: รังสี(วิรัตต์ยา) ปลายปากกาสำนักพิมพ์
‘ญานีน’ ถึงกับช็อกเมื่อรู้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอ
เป็นฝีมือของ ‘อัคนี’ สามีสุดที่รัก ที่ร่วมมือกับ ‘วิรัลยา’ แฟนเก่าของเขา
เพียงเพราะทั้งคู่อยากกลับไปใช้ชีวิตด้วยกัน
โชคร้ายของพวกเขาที่เธอไม่ตาย
เพราะนับจากนี้จะไม่มีญานีนผู้อ่อนแอ โง่เง่า และขี้ขลาดอีกต่อไป!
เธอวางความรักที่มีต่ออัคนีลง แล้วหยิบความแค้นมาเป็นเข็มทิศนำทาง
ญานีนจะตามล่า และตามฆ่าพวกเขาด้วยมือของเธอเอง
โดยยอมรับความช่วยเหลือจาก ‘เจิมจันทร์’ ผู้เป็นยาย
...ยายซึ่งเป็นพวกเล่นของ!...
นาทีนี้ ญานีนไม่สนถูกผิด ไม่สนว่าใครจะเจ็บ ใครจะตาย
สนเพียงว่าแค้นของเธอต้องได้รับการชำระ
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยไสยดำ!
*******************
ใครชอบนิยายรักโรแมนติก ดราม่านำ เน้นความรักและการแก้แค้น และ 'สลับหน้ากัน' ระหว่างนางเอกกับนางร้าย ย้ำ! สลับหน้าของจริงค่ะ 55555 จะมาในรูปแบบใด ติดตามได้ในเรื่องเลยนะคะ นางเอกนางร้ายเชือดเฉือนกัน #รับประกันความเผ็ด! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อมาลีเริงไฟ ราคา 340฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 380฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 400฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (มาลีเริงไฟ ราคีสีเพลิง เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (มาลีเริงไฟ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนเล็กสุดในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
เป็นฝีมือของ ‘อัคนี’ สามีสุดที่รัก ที่ร่วมมือกับ ‘วิรัลยา’ แฟนเก่าของเขา
เพียงเพราะทั้งคู่อยากกลับไปใช้ชีวิตด้วยกัน
โชคร้ายของพวกเขาที่เธอไม่ตาย
เพราะนับจากนี้จะไม่มีญานีนผู้อ่อนแอ โง่เง่า และขี้ขลาดอีกต่อไป!
เธอวางความรักที่มีต่ออัคนีลง แล้วหยิบความแค้นมาเป็นเข็มทิศนำทาง
ญานีนจะตามล่า และตามฆ่าพวกเขาด้วยมือของเธอเอง
โดยยอมรับความช่วยเหลือจาก ‘เจิมจันทร์’ ผู้เป็นยาย
...ยายซึ่งเป็นพวกเล่นของ!...
นาทีนี้ ญานีนไม่สนถูกผิด ไม่สนว่าใครจะเจ็บ ใครจะตาย
สนเพียงว่าแค้นของเธอต้องได้รับการชำระ
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยไสยดำ!
*******************
ใครชอบนิยายรักโรแมนติก ดราม่านำ เน้นความรักและการแก้แค้น และ 'สลับหน้ากัน' ระหว่างนางเอกกับนางร้าย ย้ำ! สลับหน้าของจริงค่ะ 55555 จะมาในรูปแบบใด ติดตามได้ในเรื่องเลยนะคะ นางเอกนางร้ายเชือดเฉือนกัน #รับประกันความเผ็ด! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อมาลีเริงไฟ ราคา 340฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 380฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 400฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (มาลีเริงไฟ ราคีสีเพลิง เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (มาลีเริงไฟ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนเล็กสุดในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผี ดราม่า แก้แค้น แต่งงาน สลับตัว เล่นของ
ตอน: บทที่ 2 -60%
กลางดึกคืนนั้น พระจันทร์แขวนเสี้ยวซูบซีดบนกิ่งฟ้า ดวงดาวน้อยใหญ่ก็ดูจะน้อยแสงลงไปด้วย อากาศร้อนอบอ้าว ลมพัดเอื่อยอ่อน
นกกลางคืนตัวหนึ่งบินอยู่เหนือเงาตะคุ่มของเรือนไทยแบบหมู่ พร้อมส่งเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหู ก่อนจะถูกบางสิ่งคล้ายเงาดำภายใต้ความมืดมิดกระชากฉีกกินหายวับไปในพริบตา! แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เงียบ...เสียจนหากเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงบทสวดแปลกๆ ที่ดังมาจากภายในเรือนของเจิมจันทร์ เสียงบทสวดซึ่งคนในบ้านไม่มีใครได้ยินเพราะต่างหลับใหลจากการร่ายมนตร์ของนาง บทสวดนั้นไม่ใช่ภาษาไทย แต่ละคำที่เปล่งออกมาสั้นๆ และรัว แม้แต่จังหวะการสวดก็รัวเร็ว
ครู่ต่อมา เมฆก้อนใหญ่ก็เคลื่อนเข้าบดบังพระจันทร์ ลมที่พัดเอื่อยก่อนหน้านี้เริ่มพัดแรง ใบไม้สะบัดใบไปมา กลุ่มควันสีดำสายหนึ่งปรากฏตรงหน้าเจิมจันทร์ ก่อนรวมร่างกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยราวสิบห้าสิบหก รูป ร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง หน้าตาคมสัน แต่ดวงตาดูเศร้าหมอง
เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน หมอบกราบลงกับพื้นรอรับคำสั่งจากเจิมจันทร์...เจ้านายวัยชราของเขา
“รู้ใช่ไหมเจ้านพว่าต้องทำยังไง ไปบ้านอัคนี แล้วกลับมารายงานความเคลื่อนไหวของยายยิหวากับอัคนีให้รู้ด้วย!” เจิมจันทร์สั่ง
‘ขอรับคุณท่าน’ พรายนพเงยหน้าเศร้าๆ มองหญิงชราคล้ายตัดพ้ออยู่ในที หากไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากสลายตัวกลายเป็นควันดำเหมือนเดิมแล้วพุ่งออกนอกหน้าต่างไป
ควันดำนั้นมารวมร่างอีกครั้งที่นอกรั้วบ้านของอัคนี คราวนี้กลาย เป็นวิญญาณของหญิงวัยกลางคนร่างเล็ก หน้าตาสะสวยแต่อมทุกข์ ในดวง ตามีน้ำตาคลอๆ
‘ท่านเจ้าที่ ขอดิฉันเข้าไปหาลูกหน่อยเถอะค่ะ’ เอ่ยเสียงเครือ หันหน้าไปทางศาลพระภูมิ ‘ดิฉันคิดถึงลูกสาวเหลือเกิน’
‘เจ้าไม่ใช่จิรัญญา กลับออกไปซะ!’ มีเสียงตอบโต้ดังจากในนั้น โดยที่ไม่มีการปรากฏตัว ‘ไปให้พ้นที่ของข้า!’
วิญญาณหญิงวัยกลางคนส่งเสียงขัดใจ ก่อนกลับสู่สภาพควันดำเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ขยายร่างให้ใหญ่ขึ้น สูงขึ้นจนสูงเท่าหลังคาบ้าน แล้วเขาก็ก้มหน้าลง เอาดวงตาสีแดงดั่งเลือดของเขาแปะเข้าไปที่หน้าต่างห้องนอนของอัคนีและญานีน
บนเตียง อัคนีและญานีนกำลังโรมรันพันตูกันด้วยเพลงรักเร่าร้อน เพลงรักที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ความโหยหา ห้าเดือนเต็มๆ ที่พวกเขาต้องห่างหายกันไป ห้าเดือนเต็มๆ ที่ทำได้แค่เพียงกอดจูบยามอัคนีไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ครู่ต่อมา เสียงกรีดร้องบ่งบอกความเสียวซ่านและหฤหรรษ์ของหญิงสาวดังสอดประสานเสียงคำรามแห่งความสุขสมของชายหนุ่มก็ดังกระหึ่มห้อง
อัคนีซบหน้าลงกับซอกคอขาวผ่องของภรรยา ญานีนเองก็กอดเขาไว้แน่น หัวใจสองดวงแนบชิดกันและเวลานี้ก็เต้นด้วยจังหวะแห่งความสุขสมเหมือนกัน
ชายผู้เป็นสามีขยับตัวเพื่อถอนร่างตัวเองออกจากร่างภรรยาสาว จากนั้นจึงช้อนร่างหล่อนขึ้นอุ้มเดินไปทางห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่ มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกลอดออกมา พักเดียวอัคนีก็อุ้มหญิงสาวกลับออกมา จัดการวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม
“ยิหวายังไม่ง่วงเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ
“เราออกไปดูดาวกันที่ระเบียงดีไหมคะ”
อัคนีตามใจภรรยา เขาใช้ผ้าห่มห่มตัวเธอและเขา จากนั้นจึงพากันก้าวไปที่ระเบียง และนั่นก็ทำให้ใกล้ชิดกับดวงตาของพรายนพเข้าไปอีก ตาเขาจับจ้องเฉพาะญานีนเท่านั้น
“นึกยังไงอยากดูดาวจ๊ะ ปกติยิหวากลัวฟ้าตอนกลางคืนนี่”
“ยิหวาแค่ยังไม่อยากนอนน่ะค่ะ อยากอยู่กับพี่เดี่ยวต่ออีกนิด ยิหวากลัวว่าถ้าหลับแล้วพอตื่นมา จะไม่ได้เจอพี่” หญิงสาวตอบพลางเอนศีรษะลงซบไหล่กว้างของเขาอย่างประจบ
“เราจะแก่เฒ่าไปด้วยกันและจะยังมีกันจนวันสุดท้ายของชีวิต” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่น
“จริงนะคะ จะไม่มีอะไรพรากเราไปจากกันได้ใช่ไหมคะ แม้แต่นัง เอ่อ แม้แต่หนึ่งเหรอคะ”
“พี่ต้องทำยังไง ยิหวาถึงจะเชื่อว่าหนึ่งไม่มีความหมายอะไรกับหัว ใจพี่แล้ว”
“ยิหวาเชื่อค่ะ” หญิงสาวขยับศีรษะตั้งตรง แล้วหันไปยิ้มอ้อนๆ ให้เขา
“อย่าหาว่ายิหวาบ้าเลยนะคะพี่เดี่ยว แต่ยิหวาชอบให้พี่พูดประโยคเมื่อกี้บ่อยๆ อยากให้พูดให้ยายหนึ่งได้ยินด้วยซ้ำไป”
“ยิหวา...”
“ขอโทษค่ะ แต่ถ้าพี่เดี่ยวเป็นยิหวา พี่จะเข้าใจ” ญานีนหน้าสลดไปเล็กน้อยและก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
“พี่เข้าใจ แต่ตอนนี้หนึ่งเขาเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ยิหวาก็ปล่อยวางและขออโหสิกรรมให้เขาไม่ดีกว่าเหรอ พี่อยากมีความสุขกับยิหวาโดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นหรือเพราะคนอื่น อยากให้เป็นความสุขที่สร้างจากเราสองคน...ได้ไหมจ๊ะ” ตอนท้ายเขาถามเสียงอ่อนโยน
ญานีนเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ค่ะ ยิหวาจะพยายาม”
อัคนียิ้มออก เขายื่นหน้าไปจุมพิตหน้าผากหล่อนครั้งหนึ่ง
“พี่ว่าเราไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าออฟฟิศ คนที่นั่นรอยิหวาอยู่นะ” ออฟฟิศที่อัคนีว่า คือสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่องวายอีเอสทีวีของวิญญูนั่นเอง
“อย่ามาพูดให้ยิหวารู้สึกดีหน่อยเลยค่ะ คนที่นั่นนะเหรอคะจะรอคนไร้สมองอย่างยิหวา ถ้าเป็นยายหนึ่งก็ว่าไปอย่าง” ญานีนทำเสียงเซ็งๆ
“ถึงจะเกลียดยายนั่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหล่อนเก่งจริงๆ ใครๆ ก็รักเจ้าหล่อน”
อัคนีเงียบไป แม้จะไม่อยากยอมรับให้คนในอ้อมกอดต้องเจ็บปวด แต่มันคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถือหุ้นเท่าๆ กัน แต่วิรัลยากลับได้ตำแหน่งผู้บริหารร่วมกับวิญญูและเขา พ่วงด้วยผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ขณะที่ญานีนมีหน้าที่เพียงหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณาละครเท่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารก่อนอยู่ดี ที่เป็นอย่างนี้เพราะญานีนไม่มีศักยภาพพอที่จะร่วมบริหารนั่นเอง นั่นทำให้พนักงานหลายคนหลายฝ่ายไม่ใคร่ศรัทธาและเคารพหล่อนนัก
“แต่หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ยิหวาสัญญาค่ะว่าจะทำตัวให้เก่งเหมือนยายหนึ่ง อ้อ ไม่สิ ต้องเก่งให้มากกว่า” ญานีนเอ่ยขึ้นอีก
“พี่รู้ว่าคงห้ามยิหวาไม่ให้เปรียบเทียบตัวเองกับหนึ่งไม่ได้ แต่พี่อยากบอกให้ยิหวารู้ไว้ว่า ที่พี่รักยิหวาก็เพราะสิ่งที่ยิหวาเป็น แต่ถ้ายิหวาอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น พี่ก็เอาใจช่วย”
“ไม่ใช่แค่เอาใจช่วยค่ะ แต่พี่เดี่ยวต้องช่วยสอนยิหวาด้วย”
“สัญญาว่าครูคนนี้จะทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสอนนักเรียนเลยจ้ะ แต่ตอนนี้เข้าห้องก่อนนะจ๊ะ” อัคนีกระซิบเสียงสั่นพร่าอยู่ริมหู
“ดีเหมือนกันค่ะ...แต่อากาศเย็นมากเลยพี่เดี่ยว ยิหวาขาชา เดินไม่ไหวอ่ะค่ะ” หล่อนเอ่ยเสียงอ้อนแต่มีท่าทียั่วยวน เห็นอย่างนั้นอัคนีก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนช้อนร่างหล่อนขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่พรายนพหายตัววับไปเพื่อรายงานสิ่งที่เห็นให้เจิมจันทร์ได้รับรู้ด้วยอีกคน
**********************
รุ่งเช้า อัคนีกับญานีนเดินทางไปทำงาน วันนี้ญานีนอยู่ในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสีฟ้าสดใส มีเข็มขัดเส้นใหญ่คาดตรงเอว ผมยาวสลวยทำเป็นลอนใหญ่ แต่งหน้าสวยฉ่ำ นั่นทำให้หล่อนดูกระฉับกระเฉง สดใส และมั่นอกมั่นใจ ซึ่งก็เรียกสายตาทึ่งและชื่นชมจากผู้เป็นสามีได้
หากแต่เมื่อมาถึงหน้าสถานี จู่ๆ คนมั่นใจก็ถอนหายใจยาว ตัวงอลงเล็กน้อย
“ไม่มั่นใจเลยค่ะ พี่เดี่ยว” หล่อนเอ่ยเสียงอ่อนๆ นิ่วหน้าเล็กน้อย
“อ้าว แล้วกัน” อัคนีหัวเราะ มองหล่อนอย่างเอ็นดู “เห็นทำท่ามั่นอกมั่นใจเสียดิบดี”
“แหะๆ”
อัคนีแบมือแล้วยื่นมาตรงหน้า ญานีนมองแล้ววางมือตัวเองลงไป อัคนีก็รีบกุมกระชับเอาไว้ จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วจูงมือหล่อนลงไป
พนักงานจำนวนหนึ่งมาตั้งแถวรอรับ เห็นจากสีหน้าก็เดาได้ไม่ยากว่าโดนต้อนมา เว้นก็แต่สาวใหญ่วัยประมาณสามสิบปลายๆ ที่อยู่แถวหน้าสุดพร้อมช่อดอกไม้ หล่อนมีสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ
“ยินดีต้อนรับการกลับมานะคะคุณยิหวา พวกเราดีใจกันมากเลยค่ะ ที่คุณยิหวากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วก็สวยเหมือนเดิม”
ญานีนยิ้ม เอื้อมมือไปรับดอกไม้ “ขอบคุณมากค่ะพี่ณัฐ ขอโทษนะคะที่ให้ทำงานคนเดียวตั้งนาน”
จากนั้นญานีนก็ส่งยิ้มไปให้พนักงานทุกคนอย่างจริงใจ แต่ทว่าคนเหล่านั้นกลับยิ้มรับพอเป็นพิธี แถมบางคนยังหาญกล้าทำหน้าเฉยใส่ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าญานีนเป็นถึงลูกสาวเจ้าของช่อง อัคนีที่เดินตามหลังภรรยาเห็นแล้วก็ให้สงสาร อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาญานีนนั้นอ่อนปวกเปียก ไม่มีความเป็นผู้นำ ตัดสินใจอะไรไม่เฉียบคม ผิดพลาดก็บ่อย แม้ตอนหลังจะได้ ณัฐหรือณัฐยา ผู้ช่วยคนหนึ่งของวิญญูมาคอยช่วยคิดช่วยตัดสินใจ แต่ความไม่ชอบก็ฝังรากลึกลงในใจพนักงานเสียแล้ว ยิ่งเห็นว่าญานีนไม่ใช่ลูกรักของวิญญูด้วย พวกเขาก็ยิ่งไม่ให้ราคา
ทางด้านญานีน เมื่อเดินมาถึงพนักงานคนสุดท้ายของแถว หล่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าคมสัน เขาใส่แว่นสายตาทรงกลมสีดำ สายตาภายใต้กรอบแว่นนั้นมองหล่อนแน่วด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งรู้
“สวัสดีค่ะ คุณไอศูรย์” ญานีนทักเขาก่อน
“คุณคงกำลังคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ น่าจะเป็นวิรัลยา เจ้านายคนเก่งของคุณมากกว่าที่จะเป็นฉัน...”
ไอศูรย์ขบกรามแน่น “ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราทั้งนั้น แม้แต่คุณเอง”
ญานีนยกยิ้มที่มุมปากครั้งหนึ่ง ก็เอ่ยต่อว่า
“เป็นคำตอบที่น่าฟังดี อ้อ ฉันมีเรื่องรบกวนคุณหน่อย ให้แม่บ้านไปทำความสะอาดโต๊ะของหนึ่ง...ฉันจะไปนั่งทำงานที่นั่น แล้วก็ย้ายโต๊ะของคุณออกมาข้างนอกด้วย ฉันไม่นั่งทำงานร่วมห้องกับคนอื่น”
“ยิหวา!”
อัคนีตกใจกับคำสั่งนั้นของภรรยา ขณะที่พนักงานคนอื่นต่างก็มองญานีนเหมือนตัวประหลาดจากโลกอันไกลโพ้น
อัคนีดึงมือภรรยาให้ออกเดินเร็วๆ ตั้งใจจะพาหล่อนไปที่ห้องทำงานของเขาเพื่อคุยกันเรื่องนี้ ณัฐยาก้าวตามทันที โดยมีสายตาพนักงานทั้งหมดมองตามญานีนไปด้วยแววตาสมเพช โดยเฉพาะไอศูรย์ เขาส่ายหน้าอย่างไม่ให้ราคาผู้หญิงคนนั้นสักนิด
นกกลางคืนตัวหนึ่งบินอยู่เหนือเงาตะคุ่มของเรือนไทยแบบหมู่ พร้อมส่งเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหู ก่อนจะถูกบางสิ่งคล้ายเงาดำภายใต้ความมืดมิดกระชากฉีกกินหายวับไปในพริบตา! แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เงียบ...เสียจนหากเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงบทสวดแปลกๆ ที่ดังมาจากภายในเรือนของเจิมจันทร์ เสียงบทสวดซึ่งคนในบ้านไม่มีใครได้ยินเพราะต่างหลับใหลจากการร่ายมนตร์ของนาง บทสวดนั้นไม่ใช่ภาษาไทย แต่ละคำที่เปล่งออกมาสั้นๆ และรัว แม้แต่จังหวะการสวดก็รัวเร็ว
ครู่ต่อมา เมฆก้อนใหญ่ก็เคลื่อนเข้าบดบังพระจันทร์ ลมที่พัดเอื่อยก่อนหน้านี้เริ่มพัดแรง ใบไม้สะบัดใบไปมา กลุ่มควันสีดำสายหนึ่งปรากฏตรงหน้าเจิมจันทร์ ก่อนรวมร่างกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยราวสิบห้าสิบหก รูป ร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง หน้าตาคมสัน แต่ดวงตาดูเศร้าหมอง
เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน หมอบกราบลงกับพื้นรอรับคำสั่งจากเจิมจันทร์...เจ้านายวัยชราของเขา
“รู้ใช่ไหมเจ้านพว่าต้องทำยังไง ไปบ้านอัคนี แล้วกลับมารายงานความเคลื่อนไหวของยายยิหวากับอัคนีให้รู้ด้วย!” เจิมจันทร์สั่ง
‘ขอรับคุณท่าน’ พรายนพเงยหน้าเศร้าๆ มองหญิงชราคล้ายตัดพ้ออยู่ในที หากไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก นอกจากสลายตัวกลายเป็นควันดำเหมือนเดิมแล้วพุ่งออกนอกหน้าต่างไป
ควันดำนั้นมารวมร่างอีกครั้งที่นอกรั้วบ้านของอัคนี คราวนี้กลาย เป็นวิญญาณของหญิงวัยกลางคนร่างเล็ก หน้าตาสะสวยแต่อมทุกข์ ในดวง ตามีน้ำตาคลอๆ
‘ท่านเจ้าที่ ขอดิฉันเข้าไปหาลูกหน่อยเถอะค่ะ’ เอ่ยเสียงเครือ หันหน้าไปทางศาลพระภูมิ ‘ดิฉันคิดถึงลูกสาวเหลือเกิน’
‘เจ้าไม่ใช่จิรัญญา กลับออกไปซะ!’ มีเสียงตอบโต้ดังจากในนั้น โดยที่ไม่มีการปรากฏตัว ‘ไปให้พ้นที่ของข้า!’
วิญญาณหญิงวัยกลางคนส่งเสียงขัดใจ ก่อนกลับสู่สภาพควันดำเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ขยายร่างให้ใหญ่ขึ้น สูงขึ้นจนสูงเท่าหลังคาบ้าน แล้วเขาก็ก้มหน้าลง เอาดวงตาสีแดงดั่งเลือดของเขาแปะเข้าไปที่หน้าต่างห้องนอนของอัคนีและญานีน
บนเตียง อัคนีและญานีนกำลังโรมรันพันตูกันด้วยเพลงรักเร่าร้อน เพลงรักที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ความโหยหา ห้าเดือนเต็มๆ ที่พวกเขาต้องห่างหายกันไป ห้าเดือนเต็มๆ ที่ทำได้แค่เพียงกอดจูบยามอัคนีไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ครู่ต่อมา เสียงกรีดร้องบ่งบอกความเสียวซ่านและหฤหรรษ์ของหญิงสาวดังสอดประสานเสียงคำรามแห่งความสุขสมของชายหนุ่มก็ดังกระหึ่มห้อง
อัคนีซบหน้าลงกับซอกคอขาวผ่องของภรรยา ญานีนเองก็กอดเขาไว้แน่น หัวใจสองดวงแนบชิดกันและเวลานี้ก็เต้นด้วยจังหวะแห่งความสุขสมเหมือนกัน
ชายผู้เป็นสามีขยับตัวเพื่อถอนร่างตัวเองออกจากร่างภรรยาสาว จากนั้นจึงช้อนร่างหล่อนขึ้นอุ้มเดินไปทางห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่ มีเสียงหัวร่อต่อกระซิกลอดออกมา พักเดียวอัคนีก็อุ้มหญิงสาวกลับออกมา จัดการวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม
“ยิหวายังไม่ง่วงเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ
“เราออกไปดูดาวกันที่ระเบียงดีไหมคะ”
อัคนีตามใจภรรยา เขาใช้ผ้าห่มห่มตัวเธอและเขา จากนั้นจึงพากันก้าวไปที่ระเบียง และนั่นก็ทำให้ใกล้ชิดกับดวงตาของพรายนพเข้าไปอีก ตาเขาจับจ้องเฉพาะญานีนเท่านั้น
“นึกยังไงอยากดูดาวจ๊ะ ปกติยิหวากลัวฟ้าตอนกลางคืนนี่”
“ยิหวาแค่ยังไม่อยากนอนน่ะค่ะ อยากอยู่กับพี่เดี่ยวต่ออีกนิด ยิหวากลัวว่าถ้าหลับแล้วพอตื่นมา จะไม่ได้เจอพี่” หญิงสาวตอบพลางเอนศีรษะลงซบไหล่กว้างของเขาอย่างประจบ
“เราจะแก่เฒ่าไปด้วยกันและจะยังมีกันจนวันสุดท้ายของชีวิต” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่น
“จริงนะคะ จะไม่มีอะไรพรากเราไปจากกันได้ใช่ไหมคะ แม้แต่นัง เอ่อ แม้แต่หนึ่งเหรอคะ”
“พี่ต้องทำยังไง ยิหวาถึงจะเชื่อว่าหนึ่งไม่มีความหมายอะไรกับหัว ใจพี่แล้ว”
“ยิหวาเชื่อค่ะ” หญิงสาวขยับศีรษะตั้งตรง แล้วหันไปยิ้มอ้อนๆ ให้เขา
“อย่าหาว่ายิหวาบ้าเลยนะคะพี่เดี่ยว แต่ยิหวาชอบให้พี่พูดประโยคเมื่อกี้บ่อยๆ อยากให้พูดให้ยายหนึ่งได้ยินด้วยซ้ำไป”
“ยิหวา...”
“ขอโทษค่ะ แต่ถ้าพี่เดี่ยวเป็นยิหวา พี่จะเข้าใจ” ญานีนหน้าสลดไปเล็กน้อยและก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
“พี่เข้าใจ แต่ตอนนี้หนึ่งเขาเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ยิหวาก็ปล่อยวางและขออโหสิกรรมให้เขาไม่ดีกว่าเหรอ พี่อยากมีความสุขกับยิหวาโดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นหรือเพราะคนอื่น อยากให้เป็นความสุขที่สร้างจากเราสองคน...ได้ไหมจ๊ะ” ตอนท้ายเขาถามเสียงอ่อนโยน
ญานีนเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ค่ะ ยิหวาจะพยายาม”
อัคนียิ้มออก เขายื่นหน้าไปจุมพิตหน้าผากหล่อนครั้งหนึ่ง
“พี่ว่าเราไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าออฟฟิศ คนที่นั่นรอยิหวาอยู่นะ” ออฟฟิศที่อัคนีว่า คือสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่องวายอีเอสทีวีของวิญญูนั่นเอง
“อย่ามาพูดให้ยิหวารู้สึกดีหน่อยเลยค่ะ คนที่นั่นนะเหรอคะจะรอคนไร้สมองอย่างยิหวา ถ้าเป็นยายหนึ่งก็ว่าไปอย่าง” ญานีนทำเสียงเซ็งๆ
“ถึงจะเกลียดยายนั่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหล่อนเก่งจริงๆ ใครๆ ก็รักเจ้าหล่อน”
อัคนีเงียบไป แม้จะไม่อยากยอมรับให้คนในอ้อมกอดต้องเจ็บปวด แต่มันคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถือหุ้นเท่าๆ กัน แต่วิรัลยากลับได้ตำแหน่งผู้บริหารร่วมกับวิญญูและเขา พ่วงด้วยผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ขณะที่ญานีนมีหน้าที่เพียงหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณาละครเท่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บริหารก่อนอยู่ดี ที่เป็นอย่างนี้เพราะญานีนไม่มีศักยภาพพอที่จะร่วมบริหารนั่นเอง นั่นทำให้พนักงานหลายคนหลายฝ่ายไม่ใคร่ศรัทธาและเคารพหล่อนนัก
“แต่หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ยิหวาสัญญาค่ะว่าจะทำตัวให้เก่งเหมือนยายหนึ่ง อ้อ ไม่สิ ต้องเก่งให้มากกว่า” ญานีนเอ่ยขึ้นอีก
“พี่รู้ว่าคงห้ามยิหวาไม่ให้เปรียบเทียบตัวเองกับหนึ่งไม่ได้ แต่พี่อยากบอกให้ยิหวารู้ไว้ว่า ที่พี่รักยิหวาก็เพราะสิ่งที่ยิหวาเป็น แต่ถ้ายิหวาอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น พี่ก็เอาใจช่วย”
“ไม่ใช่แค่เอาใจช่วยค่ะ แต่พี่เดี่ยวต้องช่วยสอนยิหวาด้วย”
“สัญญาว่าครูคนนี้จะทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสอนนักเรียนเลยจ้ะ แต่ตอนนี้เข้าห้องก่อนนะจ๊ะ” อัคนีกระซิบเสียงสั่นพร่าอยู่ริมหู
“ดีเหมือนกันค่ะ...แต่อากาศเย็นมากเลยพี่เดี่ยว ยิหวาขาชา เดินไม่ไหวอ่ะค่ะ” หล่อนเอ่ยเสียงอ้อนแต่มีท่าทียั่วยวน เห็นอย่างนั้นอัคนีก็หัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนช้อนร่างหล่อนขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่พรายนพหายตัววับไปเพื่อรายงานสิ่งที่เห็นให้เจิมจันทร์ได้รับรู้ด้วยอีกคน
**********************
รุ่งเช้า อัคนีกับญานีนเดินทางไปทำงาน วันนี้ญานีนอยู่ในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสีฟ้าสดใส มีเข็มขัดเส้นใหญ่คาดตรงเอว ผมยาวสลวยทำเป็นลอนใหญ่ แต่งหน้าสวยฉ่ำ นั่นทำให้หล่อนดูกระฉับกระเฉง สดใส และมั่นอกมั่นใจ ซึ่งก็เรียกสายตาทึ่งและชื่นชมจากผู้เป็นสามีได้
หากแต่เมื่อมาถึงหน้าสถานี จู่ๆ คนมั่นใจก็ถอนหายใจยาว ตัวงอลงเล็กน้อย
“ไม่มั่นใจเลยค่ะ พี่เดี่ยว” หล่อนเอ่ยเสียงอ่อนๆ นิ่วหน้าเล็กน้อย
“อ้าว แล้วกัน” อัคนีหัวเราะ มองหล่อนอย่างเอ็นดู “เห็นทำท่ามั่นอกมั่นใจเสียดิบดี”
“แหะๆ”
อัคนีแบมือแล้วยื่นมาตรงหน้า ญานีนมองแล้ววางมือตัวเองลงไป อัคนีก็รีบกุมกระชับเอาไว้ จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วจูงมือหล่อนลงไป
พนักงานจำนวนหนึ่งมาตั้งแถวรอรับ เห็นจากสีหน้าก็เดาได้ไม่ยากว่าโดนต้อนมา เว้นก็แต่สาวใหญ่วัยประมาณสามสิบปลายๆ ที่อยู่แถวหน้าสุดพร้อมช่อดอกไม้ หล่อนมีสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ
“ยินดีต้อนรับการกลับมานะคะคุณยิหวา พวกเราดีใจกันมากเลยค่ะ ที่คุณยิหวากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วก็สวยเหมือนเดิม”
ญานีนยิ้ม เอื้อมมือไปรับดอกไม้ “ขอบคุณมากค่ะพี่ณัฐ ขอโทษนะคะที่ให้ทำงานคนเดียวตั้งนาน”
จากนั้นญานีนก็ส่งยิ้มไปให้พนักงานทุกคนอย่างจริงใจ แต่ทว่าคนเหล่านั้นกลับยิ้มรับพอเป็นพิธี แถมบางคนยังหาญกล้าทำหน้าเฉยใส่ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าญานีนเป็นถึงลูกสาวเจ้าของช่อง อัคนีที่เดินตามหลังภรรยาเห็นแล้วก็ให้สงสาร อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาญานีนนั้นอ่อนปวกเปียก ไม่มีความเป็นผู้นำ ตัดสินใจอะไรไม่เฉียบคม ผิดพลาดก็บ่อย แม้ตอนหลังจะได้ ณัฐหรือณัฐยา ผู้ช่วยคนหนึ่งของวิญญูมาคอยช่วยคิดช่วยตัดสินใจ แต่ความไม่ชอบก็ฝังรากลึกลงในใจพนักงานเสียแล้ว ยิ่งเห็นว่าญานีนไม่ใช่ลูกรักของวิญญูด้วย พวกเขาก็ยิ่งไม่ให้ราคา
ทางด้านญานีน เมื่อเดินมาถึงพนักงานคนสุดท้ายของแถว หล่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าคมสัน เขาใส่แว่นสายตาทรงกลมสีดำ สายตาภายใต้กรอบแว่นนั้นมองหล่อนแน่วด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งรู้
“สวัสดีค่ะ คุณไอศูรย์” ญานีนทักเขาก่อน
“คุณคงกำลังคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ น่าจะเป็นวิรัลยา เจ้านายคนเก่งของคุณมากกว่าที่จะเป็นฉัน...”
ไอศูรย์ขบกรามแน่น “ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราทั้งนั้น แม้แต่คุณเอง”
ญานีนยกยิ้มที่มุมปากครั้งหนึ่ง ก็เอ่ยต่อว่า
“เป็นคำตอบที่น่าฟังดี อ้อ ฉันมีเรื่องรบกวนคุณหน่อย ให้แม่บ้านไปทำความสะอาดโต๊ะของหนึ่ง...ฉันจะไปนั่งทำงานที่นั่น แล้วก็ย้ายโต๊ะของคุณออกมาข้างนอกด้วย ฉันไม่นั่งทำงานร่วมห้องกับคนอื่น”
“ยิหวา!”
อัคนีตกใจกับคำสั่งนั้นของภรรยา ขณะที่พนักงานคนอื่นต่างก็มองญานีนเหมือนตัวประหลาดจากโลกอันไกลโพ้น
อัคนีดึงมือภรรยาให้ออกเดินเร็วๆ ตั้งใจจะพาหล่อนไปที่ห้องทำงานของเขาเพื่อคุยกันเรื่องนี้ ณัฐยาก้าวตามทันที โดยมีสายตาพนักงานทั้งหมดมองตามญานีนไปด้วยแววตาสมเพช โดยเฉพาะไอศูรย์ เขาส่ายหน้าอย่างไม่ให้ราคาผู้หญิงคนนั้นสักนิด
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2561, 09:48:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2561, 09:48:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 670
<< บทที่ 1 -100% | บทที่ 2 -100% >> |