ราคีสีเพลิง:รังสี ดุจดาริน รางนาก(ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ดีเลิศ’ และ ‘บัวบุษบา’ แต่งงานกันท่ามกลางความขัดแย้งของสองตระกูล
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผี ดราม่า ริษยา โรมานซ์ กลับชาติมาเกิด คุณไสย
ตอน: บทที่ 13 โกรธแล้วได้อะไร -60%
วัดป่าอิสราภรณ์กอปรด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ร่มรื่นสมกับเป็นวัดป่า และดมิสาก็พาบัวบุษบาไปสวดมนต์ปฏิบัติธรรมร่วมกับพระสงฆ์ แม่ชี และอุบาสกอุบาสิกาตอนบ่ายโมงตรง เสียงสวดมนต์และการได้หยุดจิตไว้กับการนั่งสมาธิ ไม่วอกแวกไปคิดอย่างอื่นทำให้บัวบุษบารู้สึกเย็นใจขึ้น แต่เมื่อหมดเวลาและเดินลงมาจากศาลา หญิงสาวก็ห้ามไม่ให้ตัวเองคิดเรื่องความฝันเมื่อคืนไม่ได้
บัวบุษบาพยายามคิดว่า เพราะฟังเรื่องของอุบลมาจากมารดา เธอจึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ...แต่อีกใจก็แย้งว่าเธอฝันถึงเหตุฆาตกรรมตั้งแต่ก่อนรู้เรื่องนี้เสียอีก
หรือว่าเธอจะเป็นอุบลที่กลับชาติมาเกิดจริงๆ
หากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเจิมจันทร์คือฆาตกรที่สังหารเธออย่างเลือดเย็น!
“กลับมาแล้วหรือ โยมบัว”
เสียงนุ่มเปี่ยมเมตตาดังขึ้นจากทางด้านหลัง
บัวบุษบาสะดุ้ง หันกลับไปเห็นพระอาจารย์ที่ดูไม่ชราลงเลยนับแต่สี่ปีก่อนกำลังยืนครองจีวรยิ้มอยู่ หญิงสาวก็รีบลงจากเก้าอี้ นั่งลงบนพื้นโรยกรวดและก้มกราบ
พระอาจารย์ดิน ขันติสุโภ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ ท่านชี้ไปทางโรงครัวเมื่อบัวบุษบาหันมองรอบกายอย่างงุนงงที่เธอนั่งอยู่เพียงลำพัง
“โยมมิ้งค์ไปช่วยที่ครัวเขาเตรียมน้ำปานะ อีกเดี๋ยวจะแจกจ่ายผู้มาปฏิบัติถือศีล โยมจะรับด้วยก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะหลวงลุง”
บัวบุษบาแอบคิดว่าดมิสาลุกไปเสียแต่เมื่อไรไม่เรียกกันเลย เมื่อครู่ยังนั่งคุยกันอยู่แท้ๆ แต่คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าหญิงสาวพูดอะไรกับเธอสักอย่าง แล้วเธอก็เอออออย่างเหม่อลอย สงสัยจะบอกเรื่องไปช่วยโรงครัว คิดแล้วบัวบุษบาก็ถอนหายใจเบาๆ
“มีเรื่องกลุ้มใจหรือ”
พระดินถาม ใบหน้านั้นยังไม่จางจากรอยยิ้ม
บัวบุษบาอึกอัก ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องความฝันและเรื่องราวของเจิมจันทร์กับอุบลที่ได้รับฟังมาจากมารดาให้ท่านฟังจนหมดสิ้น เมื่อได้ระบายออกมา ความเครียดก็ลดทอนและค่อยเบาใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็ดีกว่าเก็บกดไว้ในอกรอวันระเบิดเพียงลำพัง
หญิงสาวยกมือปาดน้ำตา ศิโรราบต่อหน้าผู้ทรงศีล
เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสเกินไป...เธอจะต้องฝันร้ายไปอีกนานแค่ไหนกัน!
“หลวงลุงคะ” บัวบุษบาเงยหน้ามองท่านทั้งน้ำตา
“หลวงลุงคิดว่า หนูคือคุณป้าอุบลกลับชาติมาเกิดใช่หรือไม่คะ”
พระดินยิ้มเยือกเย็น
“หากใช่ โยมจะทำอย่างไร และหากไม่ใช่ โยมจะทำอย่างไร”
บัวบุษบานิ่งคิด ก่อนตอบโดยยังประนมมืออย่างเคารพ
“หากใช่ หนูคงโกรธคุณยายที่หักหลังหนู วางแผนฆ่าหนูทั้งที่หนูทั้งรักทั้งไว้ใจ แต่หากไม่ใช่ หนูคงไม่รู้จะทำยังไงดีถึงจะหยุดฝันร้ายเรื่องพวกนี้เสียที หนูทรมานเหลือเกินค่ะหลวงลุง”
“โกรธแล้ว...โยมได้อะไรหรือ”
บัวบุษบาชะงักกับคำถาม ที่ราวกับเป็นคำตำหนิ แต่พระดินยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรและถามเสียงเรียบเรี่อยราวกับต้องการเพียงคำตอบเท่านั้น หญิงสาวจึงก้มหน้า ไม่อาจตอบคำถามของท่านได้
โกรธแล้วจะได้อะไร ก็คงได้ความทุกข์ ความไม่สบายใจราวกับมีไฟแผดเผาตัวเอง
“ดูนกยูงฝูงนั้นสิโยมบัว” พระดินชี้ไปยังนกยูงหกตัวที่เกาะอยู่บนหลังคาศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน
“พวกมันอาจเคยเกิดเป็นปลา ถูกแม่ค้าทุบหัวจนตายแล้วมาเกิดเป็นนกยูง หรือบางตัวอาจเคยเกิดเป็นมนุษย์ ถูกปล้นชิงทรัพย์ฆ่าปิดปากแล้วค่อยมาเกิดเป็นนกยูงก็ได้”
บัวบุษบามองตามอย่างสนใจ
“โยมบัวคิดว่าถ้าพวกมันระลึกชาติได้ นกยูงตัวหนึ่งต้องตามไปโกรธแค้นแม่ค้าปลา อีกตัวต้องตามไปโกรธแค้นโจรที่เคยฆ่าตนเมื่อชาติปางก่อน พวกมันจะมีความสุขอยู่แบบนี้ไหม”
บัวบุษบามองบรรดานกยูงที่ดูมีความสุขดีใต้ร่มเงาวัดป่าแล้วก็ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจ อดีตชาตินั้นไม่ว่าอย่างไรก็ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ถือโทษโกรธเกลียดแล้วก็เจ็บหนักอยู่ในหัวใจ และอาจตกตะกอนกลายเป็นความแค้นที่ร้อนรุ่มราวไฟ พร้อมจะแผดเผาทำลายแก้แค้นเสียให้หายแค้นหายเคือง
หญิงสาวก้มลงกราบแทบเท้าพระอาจารย์ด้วยความขอบคุณ รู้สึกเหมือนปลดบ่วงอะไรบางอย่างออกไปจากใจ และนึกขอบคุณดมิสาด้วยที่ชวนเธอมาทำบุญวันนี้
“ขอบคุณนะคะหลวงลุงที่เตือนสติหนู”
หญิงสาวยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบวัน แม้จะเป็นรอยยิ้มเศร้าหมองก็ตามที
“แต่หลวงลุงคะ หลวงลุงมีวิธีหยุดฝันร้ายของหนูไหมคะ หนูไม่อยากฝันเห็นอะไรแบบนั้นอีก”
พระดินนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบ
“ที่หัวเตียงของโยมมีตระกรุดดอกหนึ่งวางอยู่ ว่างเมื่อไรก็นำมาให้อาตมานะ”
“ตะกรุดสีทองน่ะเหรอคะ”
“ใช่ โยมเริ่มฝันครั้งแรกตอนเจอตะกรุดใช่ไหมล่ะ”
บัวบุษบาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มั่นใจทันทีว่าท่านเป็นพระสงฆ์ผู้มีอภิญญาหยั่งรู้
เช่นนี้แล้วการเลี่ยงไม่ตอบตามตรงว่าเธอคืออุบลใช่หรือไม่ แต่ไพล่ไปสอนไม่ให้โกรธแค้นนั้นคงชัดเจนแล้วว่า เธอคืออุบลกลับชาติมาเกิดจริงๆ
หญิงสาวคิดอย่างปลงตกว่าเจิมจันทร์เกลียดเธอมาตั้งแต่ชาติก่อนเสียจนฆ่ากันได้ลงคอ ก็คงไม่แปลกที่เธอเกิดใหม่แล้วก็ยิ่งถูกเกลียดเข้าไส้
หญิงสาวก้มลงกราบท่านอีกครั้งด้วยความเคารพและซาบซึ้งในความเมตตา
“หนูจะนำตะกรุดกลับมาให้หลวงลุงโดยเร็วที่สุดค่ะ”
ด้านหลังบัวบุษบานั้น พรายกมุทนั่งไม่เป็นสุข คิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เขาสงสารบัวบุษบาเหลือเกินที่เคยถูกเจิมจันทร์ฆ่าตาย เกิดชาติใหม่ก็ยังถูกรังแกไม่เลิกรา เขาตั้งใจว่าจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้เจิมจันทร์รู้เด็ดขาด
แต่...แต่เรื่องตะกรุด
หากบัวบุษบานำมาให้พระ แล้วพระทำลายทิ้ง กมุทจะไม่มีที่สถิต เขาจะกลายเป็นผีไม่มีศาล ดีไม่ดีหากเขาตกนรกหมกไหม้ หรือสลายหายไปเป็นอากาศธาตุเล่าจะทำอย่างไร
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
เขากลัวไม่ได้เจอบัวบุษบาอีก...
พรายกุมารคิดแล้วก็ตัดสินใจว่า จะรายงานเจิมจันทร์เรื่องที่พระดินบอกให้บัวบุษบานำตะกรุดไปมอบให้ท่านเท่านั้น กุมารน้อยขยับไปกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง พึมพำขอโทษ แล้วกลายเป็นควันสีชมพูอ่อนสลายไป
โดยไม่รู้เลยว่า ร่างทิพย์ของตนตกอยู่ในสายตาของพระสุปฏิปันโนตลอดเวลา
เพียงแต่ท่านไม่พูดออกมา...
หลังจากดมิสากลับจากช่วยงานโรงครัว บัวบุษบาก็ชวนน้องสาวสามีกลับบ้านทันทีอย่างรีบร้อน เธอเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อหาตะกรุดและหวังจะให้ดมิสาพากลับไปที่วัดป่าอิสราภรณ์อีกครั้ง หรือหากดมิสาเหนื่อย ไม่อยากขับรถ เธอจะกลับไปหาบารมีขอให้บิดาพาไป
แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเรือนนอน
บัวบุษบาก็กลับพบเพียงความว่างเปล่าที่หัวเตียง...
บัวบุษบาพยายามคิดว่า เพราะฟังเรื่องของอุบลมาจากมารดา เธอจึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ...แต่อีกใจก็แย้งว่าเธอฝันถึงเหตุฆาตกรรมตั้งแต่ก่อนรู้เรื่องนี้เสียอีก
หรือว่าเธอจะเป็นอุบลที่กลับชาติมาเกิดจริงๆ
หากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเจิมจันทร์คือฆาตกรที่สังหารเธออย่างเลือดเย็น!
“กลับมาแล้วหรือ โยมบัว”
เสียงนุ่มเปี่ยมเมตตาดังขึ้นจากทางด้านหลัง
บัวบุษบาสะดุ้ง หันกลับไปเห็นพระอาจารย์ที่ดูไม่ชราลงเลยนับแต่สี่ปีก่อนกำลังยืนครองจีวรยิ้มอยู่ หญิงสาวก็รีบลงจากเก้าอี้ นั่งลงบนพื้นโรยกรวดและก้มกราบ
พระอาจารย์ดิน ขันติสุโภ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ ท่านชี้ไปทางโรงครัวเมื่อบัวบุษบาหันมองรอบกายอย่างงุนงงที่เธอนั่งอยู่เพียงลำพัง
“โยมมิ้งค์ไปช่วยที่ครัวเขาเตรียมน้ำปานะ อีกเดี๋ยวจะแจกจ่ายผู้มาปฏิบัติถือศีล โยมจะรับด้วยก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะหลวงลุง”
บัวบุษบาแอบคิดว่าดมิสาลุกไปเสียแต่เมื่อไรไม่เรียกกันเลย เมื่อครู่ยังนั่งคุยกันอยู่แท้ๆ แต่คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าหญิงสาวพูดอะไรกับเธอสักอย่าง แล้วเธอก็เอออออย่างเหม่อลอย สงสัยจะบอกเรื่องไปช่วยโรงครัว คิดแล้วบัวบุษบาก็ถอนหายใจเบาๆ
“มีเรื่องกลุ้มใจหรือ”
พระดินถาม ใบหน้านั้นยังไม่จางจากรอยยิ้ม
บัวบุษบาอึกอัก ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องความฝันและเรื่องราวของเจิมจันทร์กับอุบลที่ได้รับฟังมาจากมารดาให้ท่านฟังจนหมดสิ้น เมื่อได้ระบายออกมา ความเครียดก็ลดทอนและค่อยเบาใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็ดีกว่าเก็บกดไว้ในอกรอวันระเบิดเพียงลำพัง
หญิงสาวยกมือปาดน้ำตา ศิโรราบต่อหน้าผู้ทรงศีล
เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสเกินไป...เธอจะต้องฝันร้ายไปอีกนานแค่ไหนกัน!
“หลวงลุงคะ” บัวบุษบาเงยหน้ามองท่านทั้งน้ำตา
“หลวงลุงคิดว่า หนูคือคุณป้าอุบลกลับชาติมาเกิดใช่หรือไม่คะ”
พระดินยิ้มเยือกเย็น
“หากใช่ โยมจะทำอย่างไร และหากไม่ใช่ โยมจะทำอย่างไร”
บัวบุษบานิ่งคิด ก่อนตอบโดยยังประนมมืออย่างเคารพ
“หากใช่ หนูคงโกรธคุณยายที่หักหลังหนู วางแผนฆ่าหนูทั้งที่หนูทั้งรักทั้งไว้ใจ แต่หากไม่ใช่ หนูคงไม่รู้จะทำยังไงดีถึงจะหยุดฝันร้ายเรื่องพวกนี้เสียที หนูทรมานเหลือเกินค่ะหลวงลุง”
“โกรธแล้ว...โยมได้อะไรหรือ”
บัวบุษบาชะงักกับคำถาม ที่ราวกับเป็นคำตำหนิ แต่พระดินยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรและถามเสียงเรียบเรี่อยราวกับต้องการเพียงคำตอบเท่านั้น หญิงสาวจึงก้มหน้า ไม่อาจตอบคำถามของท่านได้
โกรธแล้วจะได้อะไร ก็คงได้ความทุกข์ ความไม่สบายใจราวกับมีไฟแผดเผาตัวเอง
“ดูนกยูงฝูงนั้นสิโยมบัว” พระดินชี้ไปยังนกยูงหกตัวที่เกาะอยู่บนหลังคาศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน
“พวกมันอาจเคยเกิดเป็นปลา ถูกแม่ค้าทุบหัวจนตายแล้วมาเกิดเป็นนกยูง หรือบางตัวอาจเคยเกิดเป็นมนุษย์ ถูกปล้นชิงทรัพย์ฆ่าปิดปากแล้วค่อยมาเกิดเป็นนกยูงก็ได้”
บัวบุษบามองตามอย่างสนใจ
“โยมบัวคิดว่าถ้าพวกมันระลึกชาติได้ นกยูงตัวหนึ่งต้องตามไปโกรธแค้นแม่ค้าปลา อีกตัวต้องตามไปโกรธแค้นโจรที่เคยฆ่าตนเมื่อชาติปางก่อน พวกมันจะมีความสุขอยู่แบบนี้ไหม”
บัวบุษบามองบรรดานกยูงที่ดูมีความสุขดีใต้ร่มเงาวัดป่าแล้วก็ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจ อดีตชาตินั้นไม่ว่าอย่างไรก็ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ถือโทษโกรธเกลียดแล้วก็เจ็บหนักอยู่ในหัวใจ และอาจตกตะกอนกลายเป็นความแค้นที่ร้อนรุ่มราวไฟ พร้อมจะแผดเผาทำลายแก้แค้นเสียให้หายแค้นหายเคือง
หญิงสาวก้มลงกราบแทบเท้าพระอาจารย์ด้วยความขอบคุณ รู้สึกเหมือนปลดบ่วงอะไรบางอย่างออกไปจากใจ และนึกขอบคุณดมิสาด้วยที่ชวนเธอมาทำบุญวันนี้
“ขอบคุณนะคะหลวงลุงที่เตือนสติหนู”
หญิงสาวยิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบวัน แม้จะเป็นรอยยิ้มเศร้าหมองก็ตามที
“แต่หลวงลุงคะ หลวงลุงมีวิธีหยุดฝันร้ายของหนูไหมคะ หนูไม่อยากฝันเห็นอะไรแบบนั้นอีก”
พระดินนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบ
“ที่หัวเตียงของโยมมีตระกรุดดอกหนึ่งวางอยู่ ว่างเมื่อไรก็นำมาให้อาตมานะ”
“ตะกรุดสีทองน่ะเหรอคะ”
“ใช่ โยมเริ่มฝันครั้งแรกตอนเจอตะกรุดใช่ไหมล่ะ”
บัวบุษบาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มั่นใจทันทีว่าท่านเป็นพระสงฆ์ผู้มีอภิญญาหยั่งรู้
เช่นนี้แล้วการเลี่ยงไม่ตอบตามตรงว่าเธอคืออุบลใช่หรือไม่ แต่ไพล่ไปสอนไม่ให้โกรธแค้นนั้นคงชัดเจนแล้วว่า เธอคืออุบลกลับชาติมาเกิดจริงๆ
หญิงสาวคิดอย่างปลงตกว่าเจิมจันทร์เกลียดเธอมาตั้งแต่ชาติก่อนเสียจนฆ่ากันได้ลงคอ ก็คงไม่แปลกที่เธอเกิดใหม่แล้วก็ยิ่งถูกเกลียดเข้าไส้
หญิงสาวก้มลงกราบท่านอีกครั้งด้วยความเคารพและซาบซึ้งในความเมตตา
“หนูจะนำตะกรุดกลับมาให้หลวงลุงโดยเร็วที่สุดค่ะ”
ด้านหลังบัวบุษบานั้น พรายกมุทนั่งไม่เป็นสุข คิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เขาสงสารบัวบุษบาเหลือเกินที่เคยถูกเจิมจันทร์ฆ่าตาย เกิดชาติใหม่ก็ยังถูกรังแกไม่เลิกรา เขาตั้งใจว่าจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้เจิมจันทร์รู้เด็ดขาด
แต่...แต่เรื่องตะกรุด
หากบัวบุษบานำมาให้พระ แล้วพระทำลายทิ้ง กมุทจะไม่มีที่สถิต เขาจะกลายเป็นผีไม่มีศาล ดีไม่ดีหากเขาตกนรกหมกไหม้ หรือสลายหายไปเป็นอากาศธาตุเล่าจะทำอย่างไร
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
เขากลัวไม่ได้เจอบัวบุษบาอีก...
พรายกุมารคิดแล้วก็ตัดสินใจว่า จะรายงานเจิมจันทร์เรื่องที่พระดินบอกให้บัวบุษบานำตะกรุดไปมอบให้ท่านเท่านั้น กุมารน้อยขยับไปกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง พึมพำขอโทษ แล้วกลายเป็นควันสีชมพูอ่อนสลายไป
โดยไม่รู้เลยว่า ร่างทิพย์ของตนตกอยู่ในสายตาของพระสุปฏิปันโนตลอดเวลา
เพียงแต่ท่านไม่พูดออกมา...
หลังจากดมิสากลับจากช่วยงานโรงครัว บัวบุษบาก็ชวนน้องสาวสามีกลับบ้านทันทีอย่างรีบร้อน เธอเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อหาตะกรุดและหวังจะให้ดมิสาพากลับไปที่วัดป่าอิสราภรณ์อีกครั้ง หรือหากดมิสาเหนื่อย ไม่อยากขับรถ เธอจะกลับไปหาบารมีขอให้บิดาพาไป
แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเรือนนอน
บัวบุษบาก็กลับพบเพียงความว่างเปล่าที่หัวเตียง...
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2562, 17:09:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.พ. 2562, 17:09:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 637
<< บทที่ 13 โกรธแล้วได้อะไร -30% + eBook | บทที่ 13 โกรธแล้วได้อะไร -100% + วางศูนย์หนังสือจุฬาฯ >> |
ปลายปากกาสำนักพิมพ์ 4 ก.พ. 2562, 17:33:09 น.
ซินเจียยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้นะคะนักอ่านทุกท่าน มาเสิร์ฟความสุขด้วยนิยายกันต่อ หนังสือเริ่มทยอยส่งแล้วจ้า รอรับนะ จุ๊บๆ
ซินเจียยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้นะคะนักอ่านทุกท่าน มาเสิร์ฟความสุขด้วยนิยายกันต่อ หนังสือเริ่มทยอยส่งแล้วจ้า รอรับนะ จุ๊บๆ