โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ตอน: บทนำ
ลานหน้าตึกเรียนหลังใหญ่ที่ถูกขนานนามว่า ‘ลานพรหมจรรย์’ วันนี้อึกทึกครึกโครมเป็นพิเศษ เพราะมีกลุ่มนักศึกษาน้องใหม่ทั้งหญิงและชายมาออกันเต็มลาน
นี่คือวันสุดท้ายที่น้องใหม่ทุกคนจะต้องมาพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสถาบันแห่งนี้หรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ แต่ละคณะได้มีการแยกย้ายไปรับน้องกันเป็นการภายในของตัวเองแล้ว สองวันที่รุ่นน้องต้องสะบักสะบอม เปียกปอน และถูกกลั่นแกล้งสารพัด หลายคนรู้สึกอับอายจนต้องร้องไห้เหมือนเด็กๆ แม้รุ่นพี่จะบอกว่าเป็นการฝึกความอดทนและความกล้าเพื่อให้อยู่ในสังคมที่เติบโตขึ้น แต่สำหรับน้องบางคนก็ยังมีใจขัดแย้งกับประเพณีนี้อยู่ดี
วันนี้น้องใหม่ทุกคณะถูกเรียกมารวมตัวกันเป็นการส่งท้ายงาน ประ เพณีที่ใช้ชื่อ ‘รับขวัญผู้มาใหม่ จากใจผู้อยู่ก่อน’ จากนั้นก็แล้วแต่ว่ารุ่นพี่จะสั่งให้ทำอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักให้เล่นเกมพิลึกพิลั่นอย่างเช่นปิดตาคลานหาเพื่อน จับคู่กระโดดสามขามาหอมแก้มพี่ หรือโชว์ลีลาการเต้นสะเด็ดสะเด่าสารพัด ซึ่งรุ่นพี่ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่รวมไปถึงรุ่นพี่ปริญญาโท ต่างก็พร้อมใจกันมารับน้องแน่นขนัด เพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว
น้องๆ ถูกละเลงหน้าด้วยสีเป็นวันที่สาม ใครผมยาวก็ถูกมัดรวบจุกให้ดูเป็นเด็กน่ารักสุดติงต๊อง เมื่อเสียงกลองและฉิ่งฉาบบรรเลงขึ้น น้องคนไหนมีความมั่นใจ สามารถเต้นหรือเล่นเกมต่างๆ ไปได้โดยไม่งอแงหรือโยเย ก็แปลว่า ผ่านลานพรหมจรรย์ไปได้
แต่ใครที่แข็งข้อไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง หรือใครที่แสดงออกแบบขอไปที มีสีหน้าเบื่อหน่ายกับกิจกรรมอันเป็นประเพณีดีงามเก่าแก่ของสถา บัน รุ่นพี่ปีหนึ่งกับปีสองที่ควบคุมอยู่ลานนี้ก็จะส่งต่อ ‘น้องใหม่ผู้ขัดขืน’ ไปยัง ‘ลานบูชายัญ’ เพื่อให้รุ่นพี่ปีสูงๆ จัดการ ‘ซ่อม’ อีกที
และไม่น่าเชื่อ วันนี้มีเพียงเด็กสาวผิวขาวร่างโปร่งบางคนเดียวเท่า นั้น ที่ถูกรุ่นพี่ส่งตัวไปยืนก้มหน้างุดต่อหน้ารุ่นพี่ระดับบิ๊กกลุ่มใหญ่ที่ลานบู ชายัญ
ป้ายชื่อที่ห้อยคอเธอเขียนว่า ‘พิมริสา’
พี่ปีสองพาตัวเธอมาส่งกับรุ่นพี่ปีสี่ร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยืนกอดอกกางขา วางมาดมาเฟียใหญ่เต็มที่
“ขัดขืนทุกอย่างครับพี่ไผ่” พี่ปีสองรายงาน “ขนาดใช้ให้เต้นเพลงง่ายๆ อย่างเพลงไก่ย่างถูกเผาก็ยังไม่ยอมเต้น ยังยืนทื่อเป็นตอไม้”
“เหตุผล?” รุ่นพี่ที่ชื่อไผ่ถามเสียงเข้ม
“เขาบอก เต้นไม่เป็นครับ”
“ฉันไม่ได้ถามนาย!”
เขาหันมาตวาดใส่ ทำเอาคนตอบหน้าจ๋อย เพราะประเพณีที่นี่รุ่นน้องต้องให้ความเคารพยำเกรงต่อรุ่นพี่ ห้ามขึ้นเสียง ห้ามโต้แย้งเด็ดขาด
ไผ่ หรือ ภาณุรุจ หันกลับมาที่น้องใหม่ผู้เป็นจำเลย ตาคมกริบจับจ้องใบหน้าที่เลอะด้วยแป้งน้ำหลากสี ผมของเธอแม้จะสั้นอยู่แล้ว แต่ก็ถูกมัดเป็นจุกประมาณห้าจุก ทุกจุกมีเชือกฟางผูกไว้ และแม้สภาพของเธอจะถูกทำให้ยับเยินเพียงใด เจ้าสิ่งนั้นก็หาได้สร้างหายนะให้กับใบหน้าที่ดูงามผุดผาดนั้นไม่
เขาเริ่มไต่สวน “เอ้า ว่าไง เธอเต้นไม่เป็น หรือไม่อยากเต้นกันแน่”
“เอ่อ...เต้น ไม่เป็นค่ะ” พิมริสาเงยหน้าขึ้นตอบเสียงสั่นพร่า แล้วรีบก้มหน้าหลบตาทุกคน “หนู...อาย”
“อาย...แค่นี้อาย แล้วทำไมคนอื่นไม่อาย?”
“หนูปวดขาด้วย”
“ปวดขา...มุกตื้นไปไหม!?”
ภาณุรุจเสียงดังจนคนอื่นสะดุ้งโหยงไปตามๆ กันแม้จะรู้ว่าเขาแกล้งดุไปอย่างนั้นเองตามแบบฉบับรุ่นพี่อาวุโสก็ตาม แต่เพราะความเนียนทำให้ดูเหมือนเขาเถื่อนด้วยใจจริง
“ของแค่นี้ทำไม่ได้ แล้วต่อไปจะทำอะไรกิน”
เงียบ
“ว่าไง หูแตกหรือไง ถึงไม่ได้ยินที่พี่ถาม”
“ได้ยินค่ะ”
“อ้าว งั้นก็ตอบมาซิว่าจะไปทำมาหารับประทานอะไร ถ้าของเล็ก น้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้”
“จะไปทำอะไรล่ะคะ หนูก็กลับไปทำสวน” ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นคำ ตอบกวนๆ หรือคำตอบซื่อๆ แต่ก็ทำให้มีเสียงหัวเราะครืนจากรุ่นพี่ทั้งหลายที่อยู่รายรอบจนคนตอบต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธ
“สวยๆ ขาวๆ อย่างน้องนี่นะจะไปทำสวน”
รุ่นพี่ปีสอง คนที่พามาย้อนถามกลั้วหัวเราะ ส่วนพี่ปีสามอีกคนก็เสริมว่า
“ตอบว่าไปเป็นนางแบบหรือดารา พี่ยังจะเชื่อกว่านะ จริงไหมครับพี่ไผ่”
คนถูกถามไม่สนใจจะตอบคำนั้น หากยังคงจ้องเขม็งมาที่เด็กสาวที่ตอนนี้เขามองไม่เห็นความเขินอายอะไรอีกแล้ว ไหนล่ะ คนที่บอกเสียงสั่นๆว่าอาย เต้นไม่เป็น เขามองไม่เห็นเด็กคนนั้น นอกจากเห็นอีกคนที่มีท่าทีที่หยิ่งผยอง ยืนสบตารุ่นพี่อย่างเขาไม่ลดละ
“ในเมื่อคนอื่นเขาก็ทำได้ทุกคน พี่ถามหน่อย ทำไมพี่ต้องให้สิทธิ์น้องไม่ทำคนเดียว”
ภาณุรุจยังอดทนต่อปากต่อคำกับเธอ เขาอยากเห็นฤทธิ์เดชน้องคนนี้จนถึงที่สุด!
“แล้วพี่...” เธอเงยหน้าขึ้นถาม คราวนี้เสียงที่สั่นพร่าอยู่เมื่อครู่กลับแข็งกร้าวขึ้นพอๆ กับแววตา “...พี่เอาสิทธิ์อะไรมาบังคับให้หนูทำคะ”
คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็...สิทธิ์ของความเป็นรุ่นพี่ไง สิทธิ์ตามประเพณีที่เราทำสืบต่อกันมา”
“ถ้าหนูไม่เต้น หนูจะโดนไล่ออกจากมหา’ลัยไหมคะ”
ภาณุรุจอึ้ง คำถามนี้ไม่เคยมีรุ่นน้องคนไหนถามมาก่อน อย่าว่าแต่คำถามยากๆ นี้เลย ต่อให้เป็นคำพูดธรรมดาพวกดินฟ้าอากาศ รุ่นน้องทุกคนที่เพิ่งมาก็ล้วนเจี๋ยมเจี้ยม ไม่มีใครกล้าจะอ้าปากพูดกับรุ่นพี่เด็ดขาด
แต่น้องคนนี้มายืนตีฝีปากกับรุ่นพี่ปีสุดท้าย ซึ่งเป็นถึงประธานคณะด้วย...ทำไมช่างกล้า...!
เธอพูดต่อ “ถ้ามันไม่ใช่กฎหมายหรือข้อบังคับของมหา’ลัย หนูก็ขอใช้สิทธิ์ไม่เต้น หนูเต้นท่านี้มาสองวันแล้ว และวันนี้ก็...หมดความอดทนแล้ว”
รุ่นพี่ต่างหันมามองกันตาปริบๆ แล้วรุ่นพี่ผู้หญิงหุ่นนางแบบที่ยืนเงียบๆ อยู่นานแล้วก็พูดกับภาณุรุจ
“พูดไปก็เสียเวลาน้องคนอื่นเปล่าๆ น่ะไผ่ ถ้าไม่ซ่อม ก็ปล่อยนางไปเลยดีกว่า นางไม่เคารพรุ่นพี่ เราก็ไม่มีใจให้รุ่นน้อง ก็แค่นั้น”
ภาณุรุจไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเพื่อนสาว เขาอ่านชื่อที่ป้ายห้อยคอน้องปีหนึ่งที่ปากกล้าเกินคาด แล้วพยายามพูดอย่างระงับอารมณ์
“พิมริสา เธอพูดถึงกฎหมายเลยหรือ ใช่ ไม่มีกฎข้อห้ามหรอก แต่ทุกที่ต้องมีกฎเกณฑ์หรือธรรมเนียมปฏิบัติ ถ้าเราไม่เคารพตรงนี้ เราก็อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้”
“แต่ระบบแบบนี้หนูว่าไม่ถูกต้อง มันลิดรอนสิทธิเสรีภาพเกินไป”
“โห! เป็นน้องใหม่ที่หัวรุนแรงมาก นี่เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอยู่กับใคร”
เป็นเสียงของรุ่นพี่สาวสวยคนเดิม
พิมริสาส่ายหน้าแรงจนเกือบเป็นสะบัด เธอคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพใครอีกแล้ว ณ ที่ตรงนี้ เธอไม่อยากจาระไนหรอกว่า ตอนรับน้องคณะเมื่อวาน พี่ๆ สั่งให้กระโดดลอดห่วง เธอล้มลงจนเข่าถลอกเป็นแผล มีเลือดไหลซึมจนต้องไปซื้อน้ำยามาล้างแผลและใช้ปลาสเตอร์ปิดแผลจนวันนี้ ซึ่งก็ไม่มีพี่คนไหนสังเกตเห็นสักคน มีคนหนึ่งคิดว่าเป็นฝีมือการตกแต่งจากพี่ๆ ด้วยซ้ำ เพราะทั้งตัวเธอก็เปรอะเปื้อนไปหมด
“พี่เขาเป็นประธานคณะเลยนะยะ ใหญ่ที่สุดในคณะเราทุกชั้นปี เธอไม่รู้เหรอ”
“ใหญ่แค่ไหน หนูไม่สนใจหรอกค่ะ ถ้าทำตัวก้าวร้าว เห็นคนไม่เป็นคนแบบนี้ หนูไม่นับถือ”
ทั้งลานต่างตะลึงงันพูดไม่ออก รุ่นพี่ปีสองที่พาตัวพิมริสามาถึงกับรีบสะกิดแขนเธอ
“นี่ น้อง รีบคุกเข่าขอโทษพี่ไผ่เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ”
“เอาน่า...อย่าทำให้เขาโกรธไปกว่านี้เลย ขอโทษคำเดียวแล้วจบ โอเค้?”
“ไม่”
“ถึงไงน้องก็เป็นน้อง ขอโทษพี่เขาซะ เดี๋ยวพี่เขาก็ไม่เอาเรื่องแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องมาก้มหัวกราบคนอื่น บอกเลยนะ ถ้ามีรุ่นพี่ที่บังคับใจกันแบบนี้ ฉันไม่เป็นน้องด้วยหรอก ฉันไม่นับญาติ”
ทุกคนในลานบูชายัญเงียบกริบ เสียงกลองโป๊งๆ ชึ่งอีกด้านก็ดูจะพลอยเงียบฉี่ไปด้วย บรรยากาศที่สดใสวันรับน้องเหมือนมีเมฆเทาเคลื่อนมาปกคลุมทำให้ฟ้ากลายเป็นสีหม่นทันใด ภาณุรุจขบกรามแน่น รับน้องมาก็หลายปี น้องทุกคนให้ความยำเกรง แต่นี่...นี่เขากำลังถูกท้าทายสินะ จากยายเด็กเมื่อวานซืนหัวห้าจุกคนนี้!
“เอาไงดีไผ่” ดาเรศ...รุ่นพี่สาวหุ่นนางแบบซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นคู่ควงของประธานคณะพูดขึ้น เสียงของเธอเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธ “ปล่อยไม่ ได้แล้วนะ สั่งลงโทษเลย”
ภาณุรุจมองสบตาคนท้าทายไม่ลดละ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับรุ่นน้องปีสองและสามที่ยืนหน้าตาเหลอหลาเพราะไม่รู้ว่างานนี้จะออกมาอีแบบไหน
แล้วภาณุรุจก็สั่งเสียงเฉียบ “จับยายนี่แก้ผ้า!”
ทุกคนสะดุ้ง มองกันเลิ่กลั่ก ภาณุรุจหัวเราะฮ่าๆ อย่างสะใจ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกเพราะไม่ทันที่ใครจะคาดคิด นักโทษหน้าละอ่อนคนนั้นก็ได้วิ่งหนีออกไปจากลานบูชายัญเสียแล้ว รวดเร็วดุจพายุหมุน จนใครๆ ก็มองตามไม่ทัน
“ตามไหมครับพี่ไผ่” คนหนึ่งถาม
“ตามทำไม”
“อ้าว ก็จับมาแก้ผ้าตามที่พี่สั่งไงครับ”
“ไอ้บ้า! ใครจะไปกล้าทำงั้นวะ หรือนายกล้า”
“แหม แต่ท่าทางพี่เหมือนจริงขนาดนั้น ผมนึกว่าพี่เอาจริงนะครับ”
“ขืนเอาจริงก็ตะรางสิ ดูท่าทางหล่อนยอมใครง่ายๆ นักหรือวะ”
“แล้วพี่จะเอาไงต่อ รุ่นน้อง ฉีก เอ๊ย ขัดขืนท่านประธานขนาดนี้”
คนพูดละคำว่า ‘ฉีกหน้า’ เอาไว้
“จะทำไง ใครจะทำอะไรกับยายหัวหมอที่อ้างกฎหมายมาขู่คนนี้ได้ก็ในเมื่อหล่อนไม่นับญาติเรา เราก็ไม่นับหล่อนเป็นน้อง ต่อไปใครอย่าเอ่ยชื่อยายนี่ให้ได้ยินนะ ใครเอ่ย กูเตะ!”
**************
เรื่องใหม่มาอีกแล้วววว 555555 แค่ช่วงมหา’ลัยก็โหดแล้วนะพี่ไผ่ แกล้งน้องนุ่ง><
ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ แอบกระซิบว่าโรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคยค่ะ และมีความคู่กัดแห่งปี 555 พี่ไผ่กับน้องพิมเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง แย่งที่ดินทำธุรกิจกัน หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***เปิดจองราวๆ กลางเดือนพฤศจิกายนนะคะ
กดปุ่มอ่านเรื่องย่อด้านบนกันได้เลยจ้า ส่วนปกแพลมให้ดูในเพจสนพ.เมื่อวานนี้เอง ไปส่องกันได้นะคะ สวยมาก ตื่นเต้น ><
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
นี่คือวันสุดท้ายที่น้องใหม่ทุกคนจะต้องมาพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสถาบันแห่งนี้หรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ แต่ละคณะได้มีการแยกย้ายไปรับน้องกันเป็นการภายในของตัวเองแล้ว สองวันที่รุ่นน้องต้องสะบักสะบอม เปียกปอน และถูกกลั่นแกล้งสารพัด หลายคนรู้สึกอับอายจนต้องร้องไห้เหมือนเด็กๆ แม้รุ่นพี่จะบอกว่าเป็นการฝึกความอดทนและความกล้าเพื่อให้อยู่ในสังคมที่เติบโตขึ้น แต่สำหรับน้องบางคนก็ยังมีใจขัดแย้งกับประเพณีนี้อยู่ดี
วันนี้น้องใหม่ทุกคณะถูกเรียกมารวมตัวกันเป็นการส่งท้ายงาน ประ เพณีที่ใช้ชื่อ ‘รับขวัญผู้มาใหม่ จากใจผู้อยู่ก่อน’ จากนั้นก็แล้วแต่ว่ารุ่นพี่จะสั่งให้ทำอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักให้เล่นเกมพิลึกพิลั่นอย่างเช่นปิดตาคลานหาเพื่อน จับคู่กระโดดสามขามาหอมแก้มพี่ หรือโชว์ลีลาการเต้นสะเด็ดสะเด่าสารพัด ซึ่งรุ่นพี่ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่รวมไปถึงรุ่นพี่ปริญญาโท ต่างก็พร้อมใจกันมารับน้องแน่นขนัด เพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว
น้องๆ ถูกละเลงหน้าด้วยสีเป็นวันที่สาม ใครผมยาวก็ถูกมัดรวบจุกให้ดูเป็นเด็กน่ารักสุดติงต๊อง เมื่อเสียงกลองและฉิ่งฉาบบรรเลงขึ้น น้องคนไหนมีความมั่นใจ สามารถเต้นหรือเล่นเกมต่างๆ ไปได้โดยไม่งอแงหรือโยเย ก็แปลว่า ผ่านลานพรหมจรรย์ไปได้
แต่ใครที่แข็งข้อไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง หรือใครที่แสดงออกแบบขอไปที มีสีหน้าเบื่อหน่ายกับกิจกรรมอันเป็นประเพณีดีงามเก่าแก่ของสถา บัน รุ่นพี่ปีหนึ่งกับปีสองที่ควบคุมอยู่ลานนี้ก็จะส่งต่อ ‘น้องใหม่ผู้ขัดขืน’ ไปยัง ‘ลานบูชายัญ’ เพื่อให้รุ่นพี่ปีสูงๆ จัดการ ‘ซ่อม’ อีกที
และไม่น่าเชื่อ วันนี้มีเพียงเด็กสาวผิวขาวร่างโปร่งบางคนเดียวเท่า นั้น ที่ถูกรุ่นพี่ส่งตัวไปยืนก้มหน้างุดต่อหน้ารุ่นพี่ระดับบิ๊กกลุ่มใหญ่ที่ลานบู ชายัญ
ป้ายชื่อที่ห้อยคอเธอเขียนว่า ‘พิมริสา’
พี่ปีสองพาตัวเธอมาส่งกับรุ่นพี่ปีสี่ร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยืนกอดอกกางขา วางมาดมาเฟียใหญ่เต็มที่
“ขัดขืนทุกอย่างครับพี่ไผ่” พี่ปีสองรายงาน “ขนาดใช้ให้เต้นเพลงง่ายๆ อย่างเพลงไก่ย่างถูกเผาก็ยังไม่ยอมเต้น ยังยืนทื่อเป็นตอไม้”
“เหตุผล?” รุ่นพี่ที่ชื่อไผ่ถามเสียงเข้ม
“เขาบอก เต้นไม่เป็นครับ”
“ฉันไม่ได้ถามนาย!”
เขาหันมาตวาดใส่ ทำเอาคนตอบหน้าจ๋อย เพราะประเพณีที่นี่รุ่นน้องต้องให้ความเคารพยำเกรงต่อรุ่นพี่ ห้ามขึ้นเสียง ห้ามโต้แย้งเด็ดขาด
ไผ่ หรือ ภาณุรุจ หันกลับมาที่น้องใหม่ผู้เป็นจำเลย ตาคมกริบจับจ้องใบหน้าที่เลอะด้วยแป้งน้ำหลากสี ผมของเธอแม้จะสั้นอยู่แล้ว แต่ก็ถูกมัดเป็นจุกประมาณห้าจุก ทุกจุกมีเชือกฟางผูกไว้ และแม้สภาพของเธอจะถูกทำให้ยับเยินเพียงใด เจ้าสิ่งนั้นก็หาได้สร้างหายนะให้กับใบหน้าที่ดูงามผุดผาดนั้นไม่
เขาเริ่มไต่สวน “เอ้า ว่าไง เธอเต้นไม่เป็น หรือไม่อยากเต้นกันแน่”
“เอ่อ...เต้น ไม่เป็นค่ะ” พิมริสาเงยหน้าขึ้นตอบเสียงสั่นพร่า แล้วรีบก้มหน้าหลบตาทุกคน “หนู...อาย”
“อาย...แค่นี้อาย แล้วทำไมคนอื่นไม่อาย?”
“หนูปวดขาด้วย”
“ปวดขา...มุกตื้นไปไหม!?”
ภาณุรุจเสียงดังจนคนอื่นสะดุ้งโหยงไปตามๆ กันแม้จะรู้ว่าเขาแกล้งดุไปอย่างนั้นเองตามแบบฉบับรุ่นพี่อาวุโสก็ตาม แต่เพราะความเนียนทำให้ดูเหมือนเขาเถื่อนด้วยใจจริง
“ของแค่นี้ทำไม่ได้ แล้วต่อไปจะทำอะไรกิน”
เงียบ
“ว่าไง หูแตกหรือไง ถึงไม่ได้ยินที่พี่ถาม”
“ได้ยินค่ะ”
“อ้าว งั้นก็ตอบมาซิว่าจะไปทำมาหารับประทานอะไร ถ้าของเล็ก น้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้”
“จะไปทำอะไรล่ะคะ หนูก็กลับไปทำสวน” ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นคำ ตอบกวนๆ หรือคำตอบซื่อๆ แต่ก็ทำให้มีเสียงหัวเราะครืนจากรุ่นพี่ทั้งหลายที่อยู่รายรอบจนคนตอบต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธ
“สวยๆ ขาวๆ อย่างน้องนี่นะจะไปทำสวน”
รุ่นพี่ปีสอง คนที่พามาย้อนถามกลั้วหัวเราะ ส่วนพี่ปีสามอีกคนก็เสริมว่า
“ตอบว่าไปเป็นนางแบบหรือดารา พี่ยังจะเชื่อกว่านะ จริงไหมครับพี่ไผ่”
คนถูกถามไม่สนใจจะตอบคำนั้น หากยังคงจ้องเขม็งมาที่เด็กสาวที่ตอนนี้เขามองไม่เห็นความเขินอายอะไรอีกแล้ว ไหนล่ะ คนที่บอกเสียงสั่นๆว่าอาย เต้นไม่เป็น เขามองไม่เห็นเด็กคนนั้น นอกจากเห็นอีกคนที่มีท่าทีที่หยิ่งผยอง ยืนสบตารุ่นพี่อย่างเขาไม่ลดละ
“ในเมื่อคนอื่นเขาก็ทำได้ทุกคน พี่ถามหน่อย ทำไมพี่ต้องให้สิทธิ์น้องไม่ทำคนเดียว”
ภาณุรุจยังอดทนต่อปากต่อคำกับเธอ เขาอยากเห็นฤทธิ์เดชน้องคนนี้จนถึงที่สุด!
“แล้วพี่...” เธอเงยหน้าขึ้นถาม คราวนี้เสียงที่สั่นพร่าอยู่เมื่อครู่กลับแข็งกร้าวขึ้นพอๆ กับแววตา “...พี่เอาสิทธิ์อะไรมาบังคับให้หนูทำคะ”
คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็...สิทธิ์ของความเป็นรุ่นพี่ไง สิทธิ์ตามประเพณีที่เราทำสืบต่อกันมา”
“ถ้าหนูไม่เต้น หนูจะโดนไล่ออกจากมหา’ลัยไหมคะ”
ภาณุรุจอึ้ง คำถามนี้ไม่เคยมีรุ่นน้องคนไหนถามมาก่อน อย่าว่าแต่คำถามยากๆ นี้เลย ต่อให้เป็นคำพูดธรรมดาพวกดินฟ้าอากาศ รุ่นน้องทุกคนที่เพิ่งมาก็ล้วนเจี๋ยมเจี้ยม ไม่มีใครกล้าจะอ้าปากพูดกับรุ่นพี่เด็ดขาด
แต่น้องคนนี้มายืนตีฝีปากกับรุ่นพี่ปีสุดท้าย ซึ่งเป็นถึงประธานคณะด้วย...ทำไมช่างกล้า...!
เธอพูดต่อ “ถ้ามันไม่ใช่กฎหมายหรือข้อบังคับของมหา’ลัย หนูก็ขอใช้สิทธิ์ไม่เต้น หนูเต้นท่านี้มาสองวันแล้ว และวันนี้ก็...หมดความอดทนแล้ว”
รุ่นพี่ต่างหันมามองกันตาปริบๆ แล้วรุ่นพี่ผู้หญิงหุ่นนางแบบที่ยืนเงียบๆ อยู่นานแล้วก็พูดกับภาณุรุจ
“พูดไปก็เสียเวลาน้องคนอื่นเปล่าๆ น่ะไผ่ ถ้าไม่ซ่อม ก็ปล่อยนางไปเลยดีกว่า นางไม่เคารพรุ่นพี่ เราก็ไม่มีใจให้รุ่นน้อง ก็แค่นั้น”
ภาณุรุจไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเพื่อนสาว เขาอ่านชื่อที่ป้ายห้อยคอน้องปีหนึ่งที่ปากกล้าเกินคาด แล้วพยายามพูดอย่างระงับอารมณ์
“พิมริสา เธอพูดถึงกฎหมายเลยหรือ ใช่ ไม่มีกฎข้อห้ามหรอก แต่ทุกที่ต้องมีกฎเกณฑ์หรือธรรมเนียมปฏิบัติ ถ้าเราไม่เคารพตรงนี้ เราก็อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้”
“แต่ระบบแบบนี้หนูว่าไม่ถูกต้อง มันลิดรอนสิทธิเสรีภาพเกินไป”
“โห! เป็นน้องใหม่ที่หัวรุนแรงมาก นี่เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอยู่กับใคร”
เป็นเสียงของรุ่นพี่สาวสวยคนเดิม
พิมริสาส่ายหน้าแรงจนเกือบเป็นสะบัด เธอคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพใครอีกแล้ว ณ ที่ตรงนี้ เธอไม่อยากจาระไนหรอกว่า ตอนรับน้องคณะเมื่อวาน พี่ๆ สั่งให้กระโดดลอดห่วง เธอล้มลงจนเข่าถลอกเป็นแผล มีเลือดไหลซึมจนต้องไปซื้อน้ำยามาล้างแผลและใช้ปลาสเตอร์ปิดแผลจนวันนี้ ซึ่งก็ไม่มีพี่คนไหนสังเกตเห็นสักคน มีคนหนึ่งคิดว่าเป็นฝีมือการตกแต่งจากพี่ๆ ด้วยซ้ำ เพราะทั้งตัวเธอก็เปรอะเปื้อนไปหมด
“พี่เขาเป็นประธานคณะเลยนะยะ ใหญ่ที่สุดในคณะเราทุกชั้นปี เธอไม่รู้เหรอ”
“ใหญ่แค่ไหน หนูไม่สนใจหรอกค่ะ ถ้าทำตัวก้าวร้าว เห็นคนไม่เป็นคนแบบนี้ หนูไม่นับถือ”
ทั้งลานต่างตะลึงงันพูดไม่ออก รุ่นพี่ปีสองที่พาตัวพิมริสามาถึงกับรีบสะกิดแขนเธอ
“นี่ น้อง รีบคุกเข่าขอโทษพี่ไผ่เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ”
“เอาน่า...อย่าทำให้เขาโกรธไปกว่านี้เลย ขอโทษคำเดียวแล้วจบ โอเค้?”
“ไม่”
“ถึงไงน้องก็เป็นน้อง ขอโทษพี่เขาซะ เดี๋ยวพี่เขาก็ไม่เอาเรื่องแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องมาก้มหัวกราบคนอื่น บอกเลยนะ ถ้ามีรุ่นพี่ที่บังคับใจกันแบบนี้ ฉันไม่เป็นน้องด้วยหรอก ฉันไม่นับญาติ”
ทุกคนในลานบูชายัญเงียบกริบ เสียงกลองโป๊งๆ ชึ่งอีกด้านก็ดูจะพลอยเงียบฉี่ไปด้วย บรรยากาศที่สดใสวันรับน้องเหมือนมีเมฆเทาเคลื่อนมาปกคลุมทำให้ฟ้ากลายเป็นสีหม่นทันใด ภาณุรุจขบกรามแน่น รับน้องมาก็หลายปี น้องทุกคนให้ความยำเกรง แต่นี่...นี่เขากำลังถูกท้าทายสินะ จากยายเด็กเมื่อวานซืนหัวห้าจุกคนนี้!
“เอาไงดีไผ่” ดาเรศ...รุ่นพี่สาวหุ่นนางแบบซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นคู่ควงของประธานคณะพูดขึ้น เสียงของเธอเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธ “ปล่อยไม่ ได้แล้วนะ สั่งลงโทษเลย”
ภาณุรุจมองสบตาคนท้าทายไม่ลดละ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับรุ่นน้องปีสองและสามที่ยืนหน้าตาเหลอหลาเพราะไม่รู้ว่างานนี้จะออกมาอีแบบไหน
แล้วภาณุรุจก็สั่งเสียงเฉียบ “จับยายนี่แก้ผ้า!”
ทุกคนสะดุ้ง มองกันเลิ่กลั่ก ภาณุรุจหัวเราะฮ่าๆ อย่างสะใจ แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกเพราะไม่ทันที่ใครจะคาดคิด นักโทษหน้าละอ่อนคนนั้นก็ได้วิ่งหนีออกไปจากลานบูชายัญเสียแล้ว รวดเร็วดุจพายุหมุน จนใครๆ ก็มองตามไม่ทัน
“ตามไหมครับพี่ไผ่” คนหนึ่งถาม
“ตามทำไม”
“อ้าว ก็จับมาแก้ผ้าตามที่พี่สั่งไงครับ”
“ไอ้บ้า! ใครจะไปกล้าทำงั้นวะ หรือนายกล้า”
“แหม แต่ท่าทางพี่เหมือนจริงขนาดนั้น ผมนึกว่าพี่เอาจริงนะครับ”
“ขืนเอาจริงก็ตะรางสิ ดูท่าทางหล่อนยอมใครง่ายๆ นักหรือวะ”
“แล้วพี่จะเอาไงต่อ รุ่นน้อง ฉีก เอ๊ย ขัดขืนท่านประธานขนาดนี้”
คนพูดละคำว่า ‘ฉีกหน้า’ เอาไว้
“จะทำไง ใครจะทำอะไรกับยายหัวหมอที่อ้างกฎหมายมาขู่คนนี้ได้ก็ในเมื่อหล่อนไม่นับญาติเรา เราก็ไม่นับหล่อนเป็นน้อง ต่อไปใครอย่าเอ่ยชื่อยายนี่ให้ได้ยินนะ ใครเอ่ย กูเตะ!”
**************
เรื่องใหม่มาอีกแล้วววว 555555 แค่ช่วงมหา’ลัยก็โหดแล้วนะพี่ไผ่ แกล้งน้องนุ่ง><
ขอฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ แอบกระซิบว่าโรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคยค่ะ และมีความคู่กัดแห่งปี 555 พี่ไผ่กับน้องพิมเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง แย่งที่ดินทำธุรกิจกัน หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***เปิดจองราวๆ กลางเดือนพฤศจิกายนนะคะ
กดปุ่มอ่านเรื่องย่อด้านบนกันได้เลยจ้า ส่วนปกแพลมให้ดูในเพจสนพ.เมื่อวานนี้เอง ไปส่องกันได้นะคะ สวยมาก ตื่นเต้น ><
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2562, 07:41:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ต.ค. 2562, 07:41:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 683
บทที่ 1 -100% >> |