โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร

'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ


******************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!

***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง

ตอน: บทที่ 1 -100%

เสียงกิ่งไม้หักโผงผางดังขึ้นพร้อมกับการแผดเสียงที่ชวนตื่นตระหนก

“แปร้น!...แปร้น!”

โขลงช้างสีทึมทึบ ลำตัวมโหฬารราวกับภูเขาลูกย่อมๆ โผล่ออกมาจากป่าละเมาะติดกับกระท่อมเล็กๆ ชายป่า ท่าทางเหมือนกำลังตกมันทั้งโขลง พวกมันแกว่งงวงตรงดิ่งมาที่กระท่อมน้อยอย่างมุ่งร้าย 

พิมริสาร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ ขวัญกระเจิงถึงขีดสุด รีบกระโจนออกจากบ้าน เผ่นแน่บออกมาได้แบบหวุดหวิด และเมื่อหันกลับไปดูก็พบว่ากระท่อมอันเป็นที่รักก็พังพินาศราบเรียบเป็นหน้ากลองไปแล้ว  

“ช่วยด้วย!”  

เธอวิ่งหนีเตลิดไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต รู้สึกถึงแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ข้างหลัง เพราะมันทั้งโขลงวิ่งตามมาราวกับว่าเธอเป็นศัตรูที่มันโกรธเกลียดมาแต่ชาติปางก่อน

พิมริสาโกยอ้าวจนถึงลำธาร เจ้าช้างโขลงนั้นก็ยังตามราวีมาติดๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายกระโดดตูมลงไปจนน้ำแตกกระจาย ก่อนจะจ้วงมือว่ายหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต 

ไม่อยากเชื่อ เจ้าช้างบ้าพวกนั้นยังลงน้ำตามมาอีก แล้วลำธารสายเชี่ยวกรากนี้ก็พาตัวเธอไหลไปอย่างเร็วจี๋ น้ำแรงจนสุดแรงจะต้านทาน  

พิมริสาได้แต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปตามยถากรรม น้ำทะลักเข้าปากเข้าจมูก เจ็บปวดไปหมดทุกอณูเนื้อ ร่างเธอหมุนติ้วกลางสายน้ำไม่ต่างจากใบไม้เล็กๆ ที่หมุนคว้างกลางอากาศล่องลอยไป ณ ที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้    

เธอรอดตายจากช้างพวกนั้นแน่แล้ว แต่อาจต้องจมน้ำตาย เพราะเจ้าลำธารสายนี้กำลังพัดพาตัวเธอไปยังผาน้ำตกสูงชันข้างหน้า

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกลาก่อน”

พิมริสาพึมพำ แล้วทุกอย่างก็ดำมืด เธอหล่นละลิ่วลงไปตรงผาน้ำ ตกท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้องกัมปนาทเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่ม



**************



“พิม! ตื่นหรือยัง ตื่นได้แล้วลูก”

พิมริสาสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่ง เอามือลูบเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้า

เสียงของมารดาจากข้างนอกห้องเหมือนเสียงพระมาโปรด ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เธอรอดตาย! แต่มันก็ช่างเป็นฝันที่สมจริง น่ากลัวเหลือ เกิน

“ตื่นแล้วๆ จ้า ขอบคุณแม่มากๆๆ” 

น้ำเสียงลูกสาวที่ละล่ำละลักตอบกลับมานั้น ทำให้พิมพ์ใจขมวดคิ้วผลักประตูห้องนอนเข้ามาเบาๆ ชะโงกหน้าถาม “ขอบคุณอะไรกันมากมายลูก ขอบคุณที่แม่ปลุกงั้นหรือ”

“ใช่จ้ะ ถ้าแม่ไม่ปลุก พิมคงตายไปแล้ว”

พิมพ์ใจยังคงทำหน้าสงสัย แต่พิมริสากระโดดแผล็วลงจากเตียงมากอดมารดาไว้แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่

“ไม่มีอะไรหรอก ฝันร้ายน่ะ ฝันว่าโดนช้างไล่ พิมตกใจแทบแย่”

“เจอช้างเดินแถวนี้ละสิ ก็เลยเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ ไหนบอกแม่ว่าจะรดน้ำต้นไม้ไง ไปๆ มาๆ พ่อแกรดเองจนหมดแล้วนะ”

“อ้าว เหรอ พ่อก็ใจร้อนไปได้ เช้าปุ๊บ ต้นไม้มันคงไม่หิวขนาดนั้นมั้ง นี่เพิ่งจะ...” เธอเหลือบดูนาฬิกาที่ผนัง “อ้าว เก้าโมงครึ่งแล้วเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ” พิมพ์ใจตอบก่อนตำหนิลูกสาว “แกน่ะติดนิสัยตื่นสายแบบคนกรุง ถ้าตั้งใจจะกลับมาทำไร่ทำสวนที่นี่จริงๆ ต้องตื่นตีสี่ตีห้านู่น ไม่งั้นทำอะไรไม่ได้หรอก”

พิมริสายิ้มแหยๆ ให้มารดา ก่อนจะเดินกลับไปเก็บที่นอนตัวเองจนเรียบร้อย จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำ อาบน้ำและปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเช่นทุกวัน



**************



เที่ยงนี้แสงแดดจัดจ้าจนหญิงสาวต้องงัดเสื้อแขนยาวออกมาใส่ และรวบผมที่ยาวสยายเกือบถึงกลางหลังให้เป็นระเบียบ หยิบหมวกปีกกว้างที่มีเนื้อผ้ากันยูวีจากแสงแดดที่กระทบใบหน้าได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์มาสวม แดดแบบนี้เธอครั่นคร้ามนัก ด้วยความที่เป็นคนผิวขาวใสผิดพี่ผิดน้อง ใครเห็นใครชมมาตลอด พิมริสาจึงดูแลใส่ใจผิวพรรณตัวเองเป็นพิเศษ

หญิงสาวขยับปีกหมวกให้เข้าที่ก่อนจะปั่นจักรยานข้ามสะพานไม้เล็กๆ ไปอีกฟากของลำธาร ความเขียวขจีของแมกไม้รอบตัว และสายลมที่พัดพรู ทำให้รู้สึกสดชื่นแม้จะปั่นอยู่กลางแดดจ้า เธอยิ้มให้กับชาวบ้านสองสามคนที่เดินผ่านมาแล้วมองเธออย่างชื่นชม

‘ธารรุ้ง’ บ้านเกิดของเธออยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง อากาศที่นี่ช่วง กลางวันแม้แดดแรง แต่ก็ยังเย็นสบายตลอดปี ยิ่งหน้าหนาว ยิ่งหนาวถึงใจ มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาที่โอบล้อมอยู่สามด้านคล้ายรูปเรือหัวตัด มีลำธารสายเล็กสายน้อยฝั่งละสองสามสาย ไหลลงมาจากแนวเขาทุกทิศ สายน้ำใสกริบสายเล็กๆ ซอกแซกจากแนวป่า ทอดตัวไหลเข้าเขตหมู่บ้านแล้วมารวมตัวกันเป็นลำธารสายหลัก ซึ่งในวันที่แดดดีๆ จะปรากฏเป็นสาย รุ้งพาดผ่านลำธารสองฝั่งฟาก

หลายปีก่อน หมู่บ้านธารรุ้งซบเซาจนแทบจะเป็นเมืองร้าง แต่แล้วในสามถึงสี่ปีให้หลังมานี้ พิมริสาเองก็แทบไม่อยากเชื่อว่า มันจะกลับมาคึก คักจนกลายเป็นสถานที่อีกแห่งที่เธอไม่คุ้นเคย

ธารรุ้งขยายตัวรับการท่องเที่ยว หลายสิ่งเปลี่ยนไป กระทั่งน้ำในลำธารที่เคยใช้เป็นที่ดื่มกิน หรือเป็นที่พักผ่อนของคนในหมู่บ้าน ก็กลายเป็นที่ล่องแก่งของนักท่องเที่ยว สวนผลไม้ ป่าโปร่งๆ ก็กลายเป็นที่เดินของช้าง มีปางช้างหลายเจ้ามาทำกิจการที่นี่ จนหมู่บ้านที่เคยมีแต่กลิ่นหอมของสายลมดอกไม้ เริ่มมีกลิ่นมูลช้างตลบอบอวล

ขณะที่คนรุ่นใหม่ของที่นี่ถอยหนีออกไป ผู้คนต่างถิ่นทั้งไทยและต่างชาติกลับดาหน้าเข้ามา พิมริสาเองก็บอกไม่ถูกว่าเธอคิดผิดหรือถูกกันแน่ เธออยากจะกลับมาพลิกฟื้นผืนดินบรรพบุรุษ ทำให้มันออกดอกออกผล แต่แล้วก็มีคนจากที่อื่นมาเปลี่ยนแปลงผืนแผ่นดินนี้ไปก่อนแล้ว...

พิมริสาปั่นจักรยานจนมาถึงบริเวณที่เป็นตลาดหรือใจกลางหมู่บ้าน จุดนี้เมื่อก่อนมีร้านรวงเล็กๆ ไม่กี่ร้าน ที่ริมลำธารเป็นร้านขายส้มตำที่ใครๆ ก็ชอบมานั่งกินและดูลูกหลานเด็กๆ ลงเล่นน้ำ แต่ตอนนี้ร้านส้มตำป้าเกื้อได้กลายเป็นร้านอาหารฝรั่งและร้านกาแฟที่รับทัวร์ลงไปแล้ว มีมุมเล็กๆ ขายของที่ระลึกของนักล่องแพไปพร้อมกันด้วย

เกดแก้ว...เพื่อนสมัยประถมฯ ของพิมริสาที่เคยเป็นลูกป้าเกื้อ แม่ ค้าส้มตำมือดี ปัจจุบันรับบทเป็นเจ้าของร้าน ‘Rainbow Bridge’ เต็มตัวพอเห็นเพื่อนสาวเดินเข้ามาในร้าน เกดแก้วก็ปรี่เข้ามาทักทายสีหน้ายิ้มแย้ม

“ยายพิมคนสวย ในที่สุดเธอก็มาจนได้นะยะ”

“แน่นอนสิ ถ้าฉันไม่มา เจ้าของร้านที่ลูกค้าเยอะอย่างเธอ คงไม่ไปหาฉันหรอก ใช่ไหม”

พิมริสาพูดยิ้มๆ ถอดหมวกปีกกว้างออก ใบหน้าขาวผ่องมีสีชมพูระเรื่อด้วยไอแดดที่อุตส่าห์ลอดหมวกมาจนได้

“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันน่ะได้ข่าวว่าเธอกลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่แม่เธอบอกว่า เธอจะมาอยู่ที่นี่ตลอดไป ฉันก็เลยไม่รีบไง อะ กินอะไร สั่งเลย มื้อนี้ขอฉันเลี้ยงต้อนรับเพื่อนเก่ากลับบ้านเอง” 

เกดแก้วยื่นเมนูมาให้พิมริสา ตัวเธอเองก็นั่งลงสนทนาด้วย

“มีแต่อาหารฝรั่งเหรอ พวกส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัดมีไหม”  

พิมริสาถามขณะไล่ตาดูรายการอาหารที่ส่วนใหญ่เป็นพวกสเต็ก  

“ไม่ได้ทำแล้ว ของพวกนั้นร้านในตลาดก็มีนี่นา ตอนนี้ร้านฉันเน้นขายฝรั่ง”  

พิมริสาร้องอ้อ เกดแก้วพูดต่อ   

“นี่ พิม เธอน่ะทำงานแบงก์ไม่ใช่เหรอ งานหรู เงินดีขนาดนั้น เธอลาออกได้ยังไงนะ ฉันก็ติดตามข่าวเธออยู่บ้าง เธอจบเกียรตินิยม ได้งานดี แล้วจู่ๆ ฉันก็เห็นเธอมาปั่นจักรยานที่บ้านเรา บอกตรงๆ ว่างงมาก เกิดอะไรขึ้นเหรอพิม”

“ก็ฉันเบื่อนับเงินชาวบ้านไง อยากมานับเงินตัวเองบ้าง อะ พูดเล่นจ้าเกด ถ้าให้เล่านี่เรื่องยาวเลย ไม่รู้สินะ ฉันรู้สึกว่านิสัยตัวเองไม่เหมาะที่จะไปอยู่สังคมเมืองเท่าไร เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง ไม่เอาใคร พูดก็ไม่หวาน ขี้รำคาญ ตอนเรียนก็แทบไม่มีเพื่อน ใครมาจีบก็หนีไปหมด เพราะทนนิสัยฉันไม่ได้”

“โห พิม เธอพูดซะตัวเองดูแย่ขนาดหนักเลยนะ” เกดแก้วพูดพลางหัวเราะ “งั้นที่ทำงานแบงก์อยู่สองปีก่อนลาออกมานี่ ต้องไปมีเรื่องกับใครมาแน่ๆ”

“จะใครได้ ก็ทะเลาะกับหัวหน้านั่นแหละ เบื่อพวกชอบออกคำสั่ง” 

“เออๆ งั้นเธอกลับมาทำไร่ไถนาก็ดีแล้ววันๆ ไม่ต้องทะเลาะกับใครนอกจากเพลี้ยกับหนอน”

จบคำพูดนั้น ทั้งสองสาวเพื่อนเก่าก็พากันหัวเราะครืนซึ่งก็เป็นเวลาที่อาหารมาพอดี พิมริสากินไปคุยไป แล้ววกเข้าเรื่องสำคัญ

“เกด ฉันถามอะไรหน่อยนะ คิดว่าเธอคงรู้แน่ๆ คือฉันจะมาทำสวนดอกไม้ แต่ไอ้ที่ทางตรงบ้านฉัน มันกลายเป็นเส้นทางที่ช้างพานักท่องเที่ยวเดินผ่านวันละหลายรอบแล้ว ฉันกลุ้มมากเลยเรื่องนี้ อยากจะคุยกับเจ้าของปางช้างสักหน่อยให้เขาเลี่ยงไปทางอื่น เธอพอจะรู้จักเขาไหม”

“ก็พอรู้ แต่ เอ๊ะ! ผ่านเลยเหรอ ปกติเขาไม่ผ่านที่ส่วนตัวใครนี่นา...โดนฟ้อง ไม่คุ้ม”

“มันก็ไม่ได้ผ่านโดยตรงหรอก แต่มันเฉียดๆ เวลาจะเข้าออกบ้านทีก็ต้องเจอมันอยู่เรื่อย”

“แล้วไง...ช้างก็เดินของมัน เธอก็เดินของเธอ”

พิมริสามองเพื่อนสาวที่ตอนนี้ท่าทางเหมือนจะอยู่ข้างพวกนักธุรกิจท่องเที่ยวด้วยกัน แล้วนี่เธอจะตอบเกดแก้วว่าไงดี จะตอบว่าคนแข็งๆ อย่างเธอกลัวช้างจับจิตจับใจ ก็ดูจะเป็นเหตุผลไร้สาระเต็มทน ทั้งที่ความจริงเธอก็แทบช็อกมาแล้วเมื่อตอนเย็นวาน ตอนที่ฟ้าเริ่มมืด เธอกำลังจะปั่นจักรยานเข้าบ้าน จู่ๆ เจ้าช้างเชือกหนึ่งก็โผล่ออกมาจากป่าละเมาะ ถึงแม้มันจะเดินช้าๆ มีควาญ มีนักท่องเที่ยวนั่งอยู่บนนั้น แต่เจ้าสัตว์ใหญ่ตัวเท่าภูเขานี้ก็เล่นเอาเธอตกใจแทบตกจักรยาน เธออยากจะมาทำงานที่บ้านแบบสบายใจ ไม่ใช่วันๆ ต้องคอยมาหลบช้างอยู่แบบนี้ 

“ฉันจะทำไร่ดอกไม้” ในที่สุดเธอก็พูดกับเกดแก้วด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็น เธอรู้สึกผิดหวังกับเพื่อนจริงๆ ที่เห็นนักธุรกิจพวกนั้นทำถูกต้องทุกอย่าง “กลัวว่าสักวันช้างมันจะล้ำเข้ามาในไร่ ก็เลยอยากจะไปขอ ร้องให้เจ้าของช้าง ช่วยเว้นระยะห่างให้อีกนิด”

“โอเคๆ งั้นเธอลองไปคุยกับคุณคนนี้ก็ได้ เขาเป็นเจ้าของรีสอร์ตและมีกิจการในนี้หลายอย่าง เขาไม่ใช่เจ้าของปางช้างหรอกนะ แต่น่าจะมีหุ้นอยู่ เจ้าของจริงๆ เป็นอีกคน เขาไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่”  

“ไม่เป็นไร ขอเบอร์เขาให้ฉันหน่อยแล้วกัน ถึงไม่ใช่เจ้าของช้าง แต่ถ้าเขารู้จักกัน หรือถ้าเขาเป็นหุ้นส่วน ก็คงพอจะถามได้”

เกดแก้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ในนั้นมีนามบัตรเต็มไปหมด เธอเลือกมาใบหนึ่งแล้วยื่นให้พิมริสา

“อะ นี่ เบอร์เขา ลองโทร.ไปดู”

“เธอรู้จักเขาดีไหม คนนี้เป็นไงบ้าง นิสัยใจคอ”

แววตาของเกดแก้วเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น สีหน้าเรื่อขึ้น สุ้มเสียงที่ตอบมาก็ดูแกว่งๆ จนพิมริสาจับความรู้สึกบางอย่างได้  

“เอ่อ ก็ดีเลยละ เป็นคนดี น่าร้าก”  

“แฟนเธอเหรอ”  

พิมริสาถามตรงๆ เกดแก้วตีแขนเพื่อนเก่าดังเพียะก่อนหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วไม่ตอบอะไร



**************



ยามค่ำที่หมู่บ้านธารรุ้ง บรรยากาศหวนคืนเหมือนอดีต ความคึกคักและสรรพเสียงที่อึกทึกในช่วงกลางวันหายไปหมดสิ้น ยามนี้แผ่วแต่เสียงน้ำไหลในลำธาร ผนวกเสียงนก เสียงสัตว์พวกชะนีที่ส่งเสียงโหยหวนมาจากป่าไกล

ท่ามกลางความมืดสนิทที่รายล้อม บ้านไม้สองชั้นหลังนั้นสว่างไสวด้วยแสงไฟทั้งชั้นล่างและชั้นบน บ้านที่ช่วงกลางวันมีแต่บิดากับมารดาของ พิมริสา บัดนี้ สมาชิกตระกูล ‘ชื่นบุญยัง’ อยู่กันครบ 

ลูกๆ ทั้งสามของพิมพ์ใจกับไพโรจน์ต่างก็ยังเป็นโสดกันทั้งสิ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับเพื่อนบ้านอยู่ไม่น้อย เพราะทุกคนล้วนหน้าตาดีและมีงานเป็นหลักแหล่ง

ภพพิชัย...ลูกชายคนโต อายุยี่สิบแปดปี ทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน

พรผกา...ลูกสาวคนรอง อายุยี่สิบห้าปี ทำงานเป็นครูอนุบาลอยู่ในตัวอำเภอที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปราวๆ ยี่สิบกิโลเมตร

และน้องนุชลูกสาวคนสุดท้อง พิมริสา อายุยี่สิบสามปี ตอนนี้ดูเป็นคนที่หลักลอยที่สุดเพราะไม่มีงานทำ ทั้งๆ ที่ครอบครัวคิดว่าเธอน่าจะไปได้ไกลที่สุดเพราะร่ำเรียนสูงกว่าพี่น้อง ผิวพรรณหน้าตาและทุกอย่างก็มีครบกว่าคนอื่น แถมยังเคยเป็นถึงสาวแบงก์สาขาใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่ไปๆ มาๆ เธอก็ลาออกจากงานดีๆ โบนัสสูงๆ มาเป็นคนไร้อนาคตเสียอย่างนั้น 

การที่พิมริสาจะมาทำสวนดอกไม้ ซึ่งเธอก็ยังให้คำตอบกับใครๆ ไม่ ได้เสียทีว่าจะปลูกดอกอะไรนั้น มองยังไงก็ไม่เห็นหนทางว่าจะประสบความ สำเร็จ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้มาก่อน ขนาดบิดามารดาทำสวนเป็นอาชีพหลัก เด็กรุ่นใหม่อย่างเธอก็แทบไม่เคยออกไปช่วยรดน้ำ หรือกระทั่งจะเดินไปปลิดผลไม้ในสวนมากินสักผล ก็ไม่เคยเห็น  

แต่ก็นั่นละ น้องเล็กที่ทุกคนรักและตามใจจนกลายเป็นคนดื้อดันทุรัง กลับมาอยู่บ้านพร้อมหอบความฝัน และอุดมการณ์มา ทำให้บ้านที่เงียบเหงามีสีสันขึ้น การให้กำลังใจจากครอบครัวจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าไปพูดเชิงสบประมาท

หลังจากล้อมวงรับประทานอาหารค่ำกันเสร็จ บิดามารดาก็แยกไปดูโทรทัศน์ สามคนพี่น้องจึงออกมานั่งคุยกันที่ม้านั่งหินอ่อนที่ลานบ้าน พิมริสาเล่าความฝันเมื่อคืน และพูดถึงปัญหาของเธอให้พี่ทั้งสองฟังก่อนตบท้าย  

“พี่ภพช่วยพิมหน่อยสิ พี่ต้องประชุมกับพวกทำธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ไม่ใช่หรือ คุยกับพวกนี้ให้หน่อย เรื่องช้างน่ะ”

“คุยว่าไง ไม่ให้เขาทำปางช้าง หรือให้เขาหาทางเดินใหม่นะเหรอ...ท่าจะยาก มันล้ำเส้นเขา สู้ให้พี่ไปเตือนเขาว่าอย่าพาช้างไปขี้ในน้ำหรือทำให้น้ำสกปรกอะไรทำนองนั้นยังง่ายเสียกว่า”

“มันยากจริงๆ นะพิม” พรผกาพูดกับน้องสาว เธอเป็นสาวผิวคล้ำที่งามขำคนหนึ่ง ท่าทางเรียบร้อยเป็นกุลสตรีสมกับอาชีพครูอนุบาลของเธอ

“เขาไม่ได้พาช้างเดินผ่านที่เรา เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ พี่ว่าเดี๋ยวพิมก็ชินไปเอง ใหม่ๆ พี่ก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้เฉยๆ แล้ว”

พิมริสาอยากจะร้องไห้ พี่ๆ ไม่ช่วยให้เธอรู้สึกว่ามีหนทางอะไรเลย  

“ไม่ผ่านที่เราโดยตรง ก็เหมือนผ่านนะพี่พร แค่ช้างมันเดินเสียหลักมานิดนึง ขามันก็เหยียบพืชผักเราแล้ว”

“แล้วพิมจะทำยังไง ไปพูดให้เขาเปลี่ยนเส้นทางเขาจะยอมหรือ นักธุรกิจพวกนี้มาจากกรุงเทพฯ ทั้งนั้น มาหาเงินโดยเฉพาะ...อะไรที่ทำให้เงินเขาขาดหรือธุรกิจสะดุด เขาคงไม่ยอมหรอก”

“แต่ที่ทางตั้งกว้าง เปลี่ยนเส้นทางเดินหน่อยเดียวมันไม่ทำให้เขาเจ๊งหรอก ไม่รู้ละ พิมจะลองไปขอร้องเขาดู นี่ก็ได้ชื่อกับเบอร์มาแล้ว เดี๋ยวจะโทร.เลย”

“ชื่ออะไรหรือพิม” พี่ชายถาม น้องสาวจึงล้วงเอานามบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกง อ่านให้ทุกคนฟัง

“ภาณุรุจ ฉายะฉัตร” 

พี่ทั้งสองร้องอ๋อ ดูเหมือนเขาจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จักกันดี อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ขนาดพิมริสาเองก็รู้สึกคุ้นกับชื่อและนามสกุลของเขาอย่างน่าประหลาด เธอพยายามนึกตั้งแต่กลางวันแล้ว แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน

“ก็ลองโทร.ไปดู คนนี้ไม่น่าจะพูดยากนะ เคยมาประชุมกับพี่ เขาก็โอเค สุภาพ เรียบร้อย”

“พี่เคยเจอบ่อยๆ หน้าตาก็ดีด้วยนะ หล่อ นิสัยดี” พรผกาพูดยิ้มๆ

“เคยเจอแถวๆ ร้านเกดเพื่อนพิมนั่นละ เขาไม่ใช่เจ้าของปางหรอก แต่คงคุยได้เพราะเขาก็พวกเดียวกัน”

เป็นอันว่าทุกคนรู้จักผู้ชายคนนี้กันดี และทุกเสียงก็ชื่นชมเขา พิมริสาคิดว่าเธอคงไม่ต้องรีรออะไรอีก

“ถ้าเขาเป็นคนคุยง่าย เดี๋ยวพิมโทร.หาเลยดีกว่า”

พูดแล้วเธอก็เดินห่างออกมาจากพี่ทั้งสองเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ มือถือขึ้นมา กดหมายเลขตามในนามบัตรนั้นทันที



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ต.ค. 2562, 09:38:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ต.ค. 2562, 09:38:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 602





<< บทนำ   บทที่ 2 -30% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account