โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ตอน: บทที่ 3 -50%
สุขสันต์วันฮาโลวีนจ้าาาาาา ใครไปเที่ยวไหนระวังผีหลอก แฮ่ มาต่อนิยายให้แล้วค่ะ อ่านกันๆ
*************
พิมริสายืนมองพื้นที่สามสิบไร่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นพื้น ที่ลาดต่ำจากตัวบ้านเล็กน้อยไปจนจรดลำธารและแนวถนน โดยมีเนินสูงปิดกั้นตรงทางเข้าไว้จุดหนึ่ง จุดตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดที่บิดามารดาเคยบอกไว้ว่าจะมอบเป็นมรดกให้เธอ ส่วนพี่ทั้งสองก็ได้รับในจุดอื่น
พื้นที่ตรงนี้ ขณะนี้คือแปลงผลไม้นานาชนิดที่บิดาปลูกไว้ เดินเข้าไปก็จะเจอขนุน มะม่วง ส้มโอ มะนาว กล้วย มะละกออย่างละเล็กละน้อย ถ้าเธอทำลายมัน หนึ่งในสามของรายได้ทั้งหมดก็จะหายไปทันที...แล้วเจ้าไร่ดอกไม้ของเธอจะชดเชยได้หรือไม่ แล้วอีกนานไหม...สารพัดคำถาม
แต่ก็ต้องสู้ เธอศึกษาและหาข้อมูลมาแล้วตั้งแต่เริ่มเบื่อชีวิตสาวแบงก์ที่กรุงเทพฯ พิมริสารู้ว่าถ้าทำอย่างจริงจังไร่ดอกไม้จะทำเงินให้ได้เป็นกอบเป็นกำ มากมายกว่าสวนผลไม้ผสมที่มีอยู่นี้ตั้งหลายเท่า เธอต้องไม่โล เล ไม่เปลี่ยนใจ
ว่าแต่ทุนล่ะ เธอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่คงไม่พอ ต้องขอบิดามารดาด้วย ไม่สิ ขอยืมก่อนก็แล้วกัน ทุนขั้นแรกที่ใช้คิดว่าไม่น่าเกินหนึ่งล้านบาท ถ้าพืชผลได้ผลผลิตดี ราคาดี มีตลาดรองรับ เงินล้านที่ลงไปนั้นก็คงคืนทุนภายในปีแรกนี้เลย ส่วนกำไรคงต้องว่ากันในปีต่อๆ ไป
นี่เธอฝันเกินไปหรือ แต่เชื่อว่าไม่ใช่ การกลับมาครั้งนี้เธอพร้อมแล้วที่จะทำงานใช้แรง แม้จะเป็นคนสวยบอบบางในสายตาใครๆ แต่เจ้าสิ่งนี้ไม่ ใช่ปัญหา เธอพร้อมสละความสวยที่ไม่จีรัง ยอมผิวคล้ำดำกร้านเพื่อให้งานประสบความสำเร็จ
คิดแล้วพิมริสาก็ขยับหมวกปีกกว้างนั้นอีกนิด อย่างน้อยๆ เธอก็ยังไม่อยากหน้าดำในตอนที่งานยังไม่เริ่ม
*************
พิมริสาก้าวเท้ากลับออกมาที่ลำธารยืนมองสายน้ำใสแจ๋ว ตั้งแต่กลับบ้านมาหญิงสาวเพิ่งเดินเลยมาถึงตรงนี้ นึกถึงสมัยเด็กที่เคยนอนแช่ในแอ่งน้ำเล็กๆ อย่างมีความสุขแล้วต้องหลุดยิ้มออกมา เธอโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ในที่ที่สวยงามเช่นนี้ ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่ใครๆ ต้องอิจฉา
แต่แล้วมีเสียงเคลื่อนไหวหนักๆ ผสมเสียงโซ่ทำให้พิมริสาผงะถอยไปเล็กน้อย ตาเบิ่งโพลงมองเจ้าช้างตัวมหึมาที่กำลังโผล่มาจากป่าละเมาะ มันเดินส่ายงวงไปมาเลียบลำธารอีกฝั่งพานักท่องเที่ยวฝรั่งคู่หนึ่งชมทิวทัศน์ และไม่กี่นาทีถัดมา ควาญก็พามันเดินตรงมายังลำธารจุดที่แคบที่สุดที่เธอยืนอยู่ และทำท่าว่าจะให้เจ้าตัวยักษ์ลุยน้ำข้ามมาที่เธอ!
พิมริสาร้องตะโกนเสียงหลง “เฮ้ยๆ นั่นจะมาฝั่งนี้เหรอ!”
“ครับ” ควาญที่นั่งอยู่ตรงส่วนหัวของช้างตะโกนตอบสั้นๆ เขาเป็นชายร่างเล็กวัยฉกรรจ์ สองขาของเขาไสลำตัวช้างไปมา
“ไม่ได้นะ นี่มันเขตบ้านฉัน เข้ามาไม่ได้” เธอปรามเสียงเข้ม
“แต่ผมเดินแบบนี้ทุกวันนะครับ พาฝรั่งลุยน้ำไปเดินฝั่งนั้นแป๊บนึง เดี๋ยวก็ข้ามกลับ”
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ให้ข้าม นี่บ้านฉันนะ”
เสียงยังเฉียบแต่ฉาบความสั่น เพราะเจ้าช้างตัวนี้ หน้าเหมือนตัวที่อยู่ในความฝันยังกับแกะ!
“ผมไม่ได้พาเจ้าโทนเข้าบ้านคุณนะครับ แค่อยู่ริมตลิ่ง แล้วกลับ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน ริมฝั่งนี้กับฝั่งนั้น ไม่รู้ล่ะ ที่ของฉัน ฉันไม่อนุญาต!”
ฝรั่งสองสามีภรรยาที่อยู่บนเสลี่ยงช้างเริ่มเหลียวมองกันเองเลิ่กลั่ก ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทำไมควาญถึงหยุดช้างเจรจากับหญิงสาวคนนั้นเป็นนานสองนาน เจ้าโทนเองก็เริ่มหงุดหงิด มันเริ่มส่ายตัวไปมา ส่งเสียงแปร๋นเบาๆ ซึ่งเมื่อมันส่งเสียงขึ้นมาทีไร พิมริสาก็สะดุ้งทีนั้น
และขณะที่สถานการณ์ยังคงระอุเพราะไม่มีใครยอมใคร ก็มีรถกระ บะโฟร์วีลสีดำมะเมื่อมคันหนึ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ กับช้างจนเกือบจะชนมัน จากนั้นคนขับก็เปิดประตูผลัวะลงมา
เขาใส่หมวกแก๊ป ร่างสูงเพรียวสมส่วนอยู่ในเสื้อยืดสีเดียวกับรถ กางเกงยีนเก่าคร่ำคร่ามีรอยขาดที่เข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวแก่มอซอ แว่นกันแดดสีฟ้าเข้มเพิ่มความน่าสนใจให้ใบหน้าคมสันนั้นมากกว่าจะอำพราง
สายตาใต้แว่นมองมาที่พิมริสา เธอมองกลับแบบไม่ลดละ ท่ายืนกอดอกกางขาของเขา เป็นท่าที่พิมริสาคิดว่าคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอเขาที่ลานบูชายัญเมื่อหลายปีก่อนก็ท่านี้
แล้วเป็นควาญรอดที่พูดกับชายหนุ่มก่อน “ผมพาช้างข้ามตรงนี้ทุกวัน แต่วันนี้เขาไม่ให้ผมข้ามไปครับคุณไผ่”
“พี่รอดก็ไม่ต้องข้ามสิครับ” คำตอบเร็วจี๋นั้นทำเอาควาญรอดขมวดคิ้ว ผู้มาใหม่พูดต่อ “ไม่ข้ามสักวันจะได้จบๆ จะยืนต่อล้อต่อเถียงให้แดดเผาฝรั่งจนสุกอยู่ทำไม”
“แต่มันเป็นเส้นที่เจ้านายวางไว้นะครับ” ควาญรอดยังแย้ง “ทุกวันเราจะพาเจ้าโทนแช่น้ำตรงนี้ แล้วขึ้นฝั่งไปหน่อยก่อนข้ามกลับ”
“เอาน่ะ พี่ก็ตรงเป็นไม้บรรทัดเกินไป พี่รอดไม่บอก เขาจะรู้ไหมเล่า เดี๋ยวผมพูดกับพี่นทีเอง นี่ก็กำลังจะไปหาเขาพอดี”
“โอเคครับ งั้นตามนั้น เกิดอะไรขึ้น คุณไผ่รับผิดชอบเองนาครับ”
“เออ จะเกิดอะไรวะ แค่ไม่พาช้างลงน้ำ”
“ก็ไม่รู้สิครับ วันก่อนผมแค่พามันกลับช้าหน่อย ยังโดนเจ้านายเล่นแทบแย่ คุณนทีน่ะไม่ใจดีเหมือนคุณไผ่หรอก” พูดแล้วควาญรอดก็ส่ายหน้าเอือมๆ ส่งเสียงฮึยๆ สั่งให้เจ้าโทนเดินกลับไป
ภาณุรุจยืนนิ่งอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจเดินข้ามสะพานไม้มาที่พิมริสา
“แบบนี้ใช่ไหม ที่พิมอยากให้พี่แก้ไข”
เขาถาม ตามองใบหน้าขาวผ่องที่บัดนี้เป็นสีชมพูระเรื่อด้วยไอแดด เขารู้สึกว่าเธอสวยเกินไปสำหรับชีวิตบ้านนอก
“ใช่ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่พี่ช่วยจัดการให้เมื่อกี้และพิมก็อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป ไม่เฉพาะวันนี้ ไม่ใช่แค่ข้ามลำธารตรงนี้ แต่จุดอื่นๆ ที่มันเดินในเขตของพิม พิมก็อยากให้เปลี่ยน”
“พี่ก็ยืนยันเหมือนเดิมนะว่าทำยาก ไอ้ตรงนี้พออนุโลมได้ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหุ้นส่วนใหญ่ให้ ให้เขากำหนดจุดช้างลงน้ำที่ใหม่ แต่จุดอื่น ยังไงก็จำเป็น เพราะถ้าไม่เดินในที่ของพิม มันก็ต้องเดินเข้าป่าอย่างเดียว ซึ่งไม่ได้แน่ อีกอย่าง...เราไม่ได้พาช้างมาเดินฟรีๆ เรามีค่าเช่าพื้นที่ให้ครอบครัวของ พิมด้วยนะ รู้หรือยังล่ะเรื่องนี้”
พิมริสาอึ้ง เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ก็ถ้า...รู้ตั้งแต่แรก เธอจะบากหน้าไปขอร้องเขาทำไม รู้สึกเซ็งชะมัด ทำไมที่บ้านไม่บอกสักคำว่าเขามีค่าเช่าให้ ปล่อยให้เธอทะเล่อทะล่าไปหาหมอนี่อยู่ได้ แต่ไอ้ครั้นจะบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้ก็เสียฟอร์มอย่างแรง เธอจึงตอบไปว่า
“ทราบค่ะ ทำไมจะไม่ทราบ แต่เรากำลังจะยกเลิกเรื่องค่าเช่า เรา...เอ่อ คุยกันแล้ว”
เขาเลิกคิ้วเหนือแว่นกันแดด “อ๋อ เหรอ แล้วเรื่องนี้ก็คุยกันแล้วใช่ไหม”
“เรื่องอะไรคะ” ปากถาม แต่ในใจแอบหวั่นๆ นี่ยังจะมีเรื่องอะไรที่เธอไม่รู้อีกหรือ
“อ้าว ก็เรื่องที่จะยอมโดนปรับไง สัญญาเป็นปีมั้ง ถ้ายกเลิกก่อนก็โดนปรับ ที่บ้านได้บอกพิมหรือเปล่าเรื่องนี้”
พิมริสาฟังแล้วจุกจนแทบพูดไม่ออก แต่ก็แข็งใจตอบไป
“บอกสิ แต่ค่าปรับจิ๊บจ๊อย เทียบกับงานใหญ่ที่เราจะทำ มันเทียบกันไม่ได้ เรายอมจ่าย”
“เอางั้นเลยเรอะ” มีเสียงหัวเราะหึๆ ของคนพูดตามหลังคำตัวเอง
“ก็ในเมื่อขอไม่ได้ มันก็ต้องแบบนี้แหละ แต่พิมยังเชื่อว่าพิมขอได้ กับเจ้าของตัวจริงที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ ไม่ใช่หุ้นส่วนเล็กอย่างพี่” เธอส่งสาย ตาเหยียดหยามประกอบคำพูด “เดี๋ยวพิมจะไปคุยกับคุณนทีเอง”
พิมริสาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ นักธุรกิจไม่ได้ใจร้ายทุกคน ถึงแม้เมื่อครู่นี้ได้ยินควาญรอดพูดในทำนองว่านทีเป็นคนดุ แต่ก็คงแค่ดุกับลูกน้องตัวเองมากกว่า บางทีเขาอาจจะคุยง่ายกว่านายรุ่นพี่ที่เป็นคนนิสัยไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
“งั้นไปด้วยกันไหม พี่ก็กำลังจะไปบ้านพี่นทีอยู่พอดี”
เธอชะงัก...หรือจะไปกับเขาวันนี้เลยดี จะได้คุยกับเจ้าของตัวจริงให้รู้ดำรู้แดงกันไป
แต่...อย่าเพิ่งเลย เธอควรหาโอกาสไปคุยตามลำพังกับนายนทีนั่นดีกว่าไปกับภาณุรุจ คิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้เธอออดอ้อนหรือตะล่อมเจ้า ของปางช้างคนนั้น พิมริสาอดคิดไม่ได้ว่า ความเป็นผู้หญิงของเธอ แม้ไม่ช่วยให้ภาณุรุจใจอ่อน แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะใช้กับคนอื่นไม่ได้
“ไม่ดีกว่า วันนี้พิมไม่ว่าง หรือถึงว่าง ก็อยากไปเอง คนเดียว!”
เธอปฏิเสธหนักแน่น ไร้ไมตรีจนอีกฝ่ายต้องเงียบกริบ
**********
เรื่องนี้เปิดจองราวๆ กลางเดือนพฤศจิกายนนะคะ^^
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
*************
พิมริสายืนมองพื้นที่สามสิบไร่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นพื้น ที่ลาดต่ำจากตัวบ้านเล็กน้อยไปจนจรดลำธารและแนวถนน โดยมีเนินสูงปิดกั้นตรงทางเข้าไว้จุดหนึ่ง จุดตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดที่บิดามารดาเคยบอกไว้ว่าจะมอบเป็นมรดกให้เธอ ส่วนพี่ทั้งสองก็ได้รับในจุดอื่น
พื้นที่ตรงนี้ ขณะนี้คือแปลงผลไม้นานาชนิดที่บิดาปลูกไว้ เดินเข้าไปก็จะเจอขนุน มะม่วง ส้มโอ มะนาว กล้วย มะละกออย่างละเล็กละน้อย ถ้าเธอทำลายมัน หนึ่งในสามของรายได้ทั้งหมดก็จะหายไปทันที...แล้วเจ้าไร่ดอกไม้ของเธอจะชดเชยได้หรือไม่ แล้วอีกนานไหม...สารพัดคำถาม
แต่ก็ต้องสู้ เธอศึกษาและหาข้อมูลมาแล้วตั้งแต่เริ่มเบื่อชีวิตสาวแบงก์ที่กรุงเทพฯ พิมริสารู้ว่าถ้าทำอย่างจริงจังไร่ดอกไม้จะทำเงินให้ได้เป็นกอบเป็นกำ มากมายกว่าสวนผลไม้ผสมที่มีอยู่นี้ตั้งหลายเท่า เธอต้องไม่โล เล ไม่เปลี่ยนใจ
ว่าแต่ทุนล่ะ เธอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่คงไม่พอ ต้องขอบิดามารดาด้วย ไม่สิ ขอยืมก่อนก็แล้วกัน ทุนขั้นแรกที่ใช้คิดว่าไม่น่าเกินหนึ่งล้านบาท ถ้าพืชผลได้ผลผลิตดี ราคาดี มีตลาดรองรับ เงินล้านที่ลงไปนั้นก็คงคืนทุนภายในปีแรกนี้เลย ส่วนกำไรคงต้องว่ากันในปีต่อๆ ไป
นี่เธอฝันเกินไปหรือ แต่เชื่อว่าไม่ใช่ การกลับมาครั้งนี้เธอพร้อมแล้วที่จะทำงานใช้แรง แม้จะเป็นคนสวยบอบบางในสายตาใครๆ แต่เจ้าสิ่งนี้ไม่ ใช่ปัญหา เธอพร้อมสละความสวยที่ไม่จีรัง ยอมผิวคล้ำดำกร้านเพื่อให้งานประสบความสำเร็จ
คิดแล้วพิมริสาก็ขยับหมวกปีกกว้างนั้นอีกนิด อย่างน้อยๆ เธอก็ยังไม่อยากหน้าดำในตอนที่งานยังไม่เริ่ม
*************
พิมริสาก้าวเท้ากลับออกมาที่ลำธารยืนมองสายน้ำใสแจ๋ว ตั้งแต่กลับบ้านมาหญิงสาวเพิ่งเดินเลยมาถึงตรงนี้ นึกถึงสมัยเด็กที่เคยนอนแช่ในแอ่งน้ำเล็กๆ อย่างมีความสุขแล้วต้องหลุดยิ้มออกมา เธอโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ในที่ที่สวยงามเช่นนี้ ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่ใครๆ ต้องอิจฉา
แต่แล้วมีเสียงเคลื่อนไหวหนักๆ ผสมเสียงโซ่ทำให้พิมริสาผงะถอยไปเล็กน้อย ตาเบิ่งโพลงมองเจ้าช้างตัวมหึมาที่กำลังโผล่มาจากป่าละเมาะ มันเดินส่ายงวงไปมาเลียบลำธารอีกฝั่งพานักท่องเที่ยวฝรั่งคู่หนึ่งชมทิวทัศน์ และไม่กี่นาทีถัดมา ควาญก็พามันเดินตรงมายังลำธารจุดที่แคบที่สุดที่เธอยืนอยู่ และทำท่าว่าจะให้เจ้าตัวยักษ์ลุยน้ำข้ามมาที่เธอ!
พิมริสาร้องตะโกนเสียงหลง “เฮ้ยๆ นั่นจะมาฝั่งนี้เหรอ!”
“ครับ” ควาญที่นั่งอยู่ตรงส่วนหัวของช้างตะโกนตอบสั้นๆ เขาเป็นชายร่างเล็กวัยฉกรรจ์ สองขาของเขาไสลำตัวช้างไปมา
“ไม่ได้นะ นี่มันเขตบ้านฉัน เข้ามาไม่ได้” เธอปรามเสียงเข้ม
“แต่ผมเดินแบบนี้ทุกวันนะครับ พาฝรั่งลุยน้ำไปเดินฝั่งนั้นแป๊บนึง เดี๋ยวก็ข้ามกลับ”
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ให้ข้าม นี่บ้านฉันนะ”
เสียงยังเฉียบแต่ฉาบความสั่น เพราะเจ้าช้างตัวนี้ หน้าเหมือนตัวที่อยู่ในความฝันยังกับแกะ!
“ผมไม่ได้พาเจ้าโทนเข้าบ้านคุณนะครับ แค่อยู่ริมตลิ่ง แล้วกลับ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน ริมฝั่งนี้กับฝั่งนั้น ไม่รู้ล่ะ ที่ของฉัน ฉันไม่อนุญาต!”
ฝรั่งสองสามีภรรยาที่อยู่บนเสลี่ยงช้างเริ่มเหลียวมองกันเองเลิ่กลั่ก ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทำไมควาญถึงหยุดช้างเจรจากับหญิงสาวคนนั้นเป็นนานสองนาน เจ้าโทนเองก็เริ่มหงุดหงิด มันเริ่มส่ายตัวไปมา ส่งเสียงแปร๋นเบาๆ ซึ่งเมื่อมันส่งเสียงขึ้นมาทีไร พิมริสาก็สะดุ้งทีนั้น
และขณะที่สถานการณ์ยังคงระอุเพราะไม่มีใครยอมใคร ก็มีรถกระ บะโฟร์วีลสีดำมะเมื่อมคันหนึ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ กับช้างจนเกือบจะชนมัน จากนั้นคนขับก็เปิดประตูผลัวะลงมา
เขาใส่หมวกแก๊ป ร่างสูงเพรียวสมส่วนอยู่ในเสื้อยืดสีเดียวกับรถ กางเกงยีนเก่าคร่ำคร่ามีรอยขาดที่เข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวแก่มอซอ แว่นกันแดดสีฟ้าเข้มเพิ่มความน่าสนใจให้ใบหน้าคมสันนั้นมากกว่าจะอำพราง
สายตาใต้แว่นมองมาที่พิมริสา เธอมองกลับแบบไม่ลดละ ท่ายืนกอดอกกางขาของเขา เป็นท่าที่พิมริสาคิดว่าคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอเขาที่ลานบูชายัญเมื่อหลายปีก่อนก็ท่านี้
แล้วเป็นควาญรอดที่พูดกับชายหนุ่มก่อน “ผมพาช้างข้ามตรงนี้ทุกวัน แต่วันนี้เขาไม่ให้ผมข้ามไปครับคุณไผ่”
“พี่รอดก็ไม่ต้องข้ามสิครับ” คำตอบเร็วจี๋นั้นทำเอาควาญรอดขมวดคิ้ว ผู้มาใหม่พูดต่อ “ไม่ข้ามสักวันจะได้จบๆ จะยืนต่อล้อต่อเถียงให้แดดเผาฝรั่งจนสุกอยู่ทำไม”
“แต่มันเป็นเส้นที่เจ้านายวางไว้นะครับ” ควาญรอดยังแย้ง “ทุกวันเราจะพาเจ้าโทนแช่น้ำตรงนี้ แล้วขึ้นฝั่งไปหน่อยก่อนข้ามกลับ”
“เอาน่ะ พี่ก็ตรงเป็นไม้บรรทัดเกินไป พี่รอดไม่บอก เขาจะรู้ไหมเล่า เดี๋ยวผมพูดกับพี่นทีเอง นี่ก็กำลังจะไปหาเขาพอดี”
“โอเคครับ งั้นตามนั้น เกิดอะไรขึ้น คุณไผ่รับผิดชอบเองนาครับ”
“เออ จะเกิดอะไรวะ แค่ไม่พาช้างลงน้ำ”
“ก็ไม่รู้สิครับ วันก่อนผมแค่พามันกลับช้าหน่อย ยังโดนเจ้านายเล่นแทบแย่ คุณนทีน่ะไม่ใจดีเหมือนคุณไผ่หรอก” พูดแล้วควาญรอดก็ส่ายหน้าเอือมๆ ส่งเสียงฮึยๆ สั่งให้เจ้าโทนเดินกลับไป
ภาณุรุจยืนนิ่งอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจเดินข้ามสะพานไม้มาที่พิมริสา
“แบบนี้ใช่ไหม ที่พิมอยากให้พี่แก้ไข”
เขาถาม ตามองใบหน้าขาวผ่องที่บัดนี้เป็นสีชมพูระเรื่อด้วยไอแดด เขารู้สึกว่าเธอสวยเกินไปสำหรับชีวิตบ้านนอก
“ใช่ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่พี่ช่วยจัดการให้เมื่อกี้และพิมก็อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป ไม่เฉพาะวันนี้ ไม่ใช่แค่ข้ามลำธารตรงนี้ แต่จุดอื่นๆ ที่มันเดินในเขตของพิม พิมก็อยากให้เปลี่ยน”
“พี่ก็ยืนยันเหมือนเดิมนะว่าทำยาก ไอ้ตรงนี้พออนุโลมได้ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหุ้นส่วนใหญ่ให้ ให้เขากำหนดจุดช้างลงน้ำที่ใหม่ แต่จุดอื่น ยังไงก็จำเป็น เพราะถ้าไม่เดินในที่ของพิม มันก็ต้องเดินเข้าป่าอย่างเดียว ซึ่งไม่ได้แน่ อีกอย่าง...เราไม่ได้พาช้างมาเดินฟรีๆ เรามีค่าเช่าพื้นที่ให้ครอบครัวของ พิมด้วยนะ รู้หรือยังล่ะเรื่องนี้”
พิมริสาอึ้ง เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ก็ถ้า...รู้ตั้งแต่แรก เธอจะบากหน้าไปขอร้องเขาทำไม รู้สึกเซ็งชะมัด ทำไมที่บ้านไม่บอกสักคำว่าเขามีค่าเช่าให้ ปล่อยให้เธอทะเล่อทะล่าไปหาหมอนี่อยู่ได้ แต่ไอ้ครั้นจะบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้ก็เสียฟอร์มอย่างแรง เธอจึงตอบไปว่า
“ทราบค่ะ ทำไมจะไม่ทราบ แต่เรากำลังจะยกเลิกเรื่องค่าเช่า เรา...เอ่อ คุยกันแล้ว”
เขาเลิกคิ้วเหนือแว่นกันแดด “อ๋อ เหรอ แล้วเรื่องนี้ก็คุยกันแล้วใช่ไหม”
“เรื่องอะไรคะ” ปากถาม แต่ในใจแอบหวั่นๆ นี่ยังจะมีเรื่องอะไรที่เธอไม่รู้อีกหรือ
“อ้าว ก็เรื่องที่จะยอมโดนปรับไง สัญญาเป็นปีมั้ง ถ้ายกเลิกก่อนก็โดนปรับ ที่บ้านได้บอกพิมหรือเปล่าเรื่องนี้”
พิมริสาฟังแล้วจุกจนแทบพูดไม่ออก แต่ก็แข็งใจตอบไป
“บอกสิ แต่ค่าปรับจิ๊บจ๊อย เทียบกับงานใหญ่ที่เราจะทำ มันเทียบกันไม่ได้ เรายอมจ่าย”
“เอางั้นเลยเรอะ” มีเสียงหัวเราะหึๆ ของคนพูดตามหลังคำตัวเอง
“ก็ในเมื่อขอไม่ได้ มันก็ต้องแบบนี้แหละ แต่พิมยังเชื่อว่าพิมขอได้ กับเจ้าของตัวจริงที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ ไม่ใช่หุ้นส่วนเล็กอย่างพี่” เธอส่งสาย ตาเหยียดหยามประกอบคำพูด “เดี๋ยวพิมจะไปคุยกับคุณนทีเอง”
พิมริสาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ นักธุรกิจไม่ได้ใจร้ายทุกคน ถึงแม้เมื่อครู่นี้ได้ยินควาญรอดพูดในทำนองว่านทีเป็นคนดุ แต่ก็คงแค่ดุกับลูกน้องตัวเองมากกว่า บางทีเขาอาจจะคุยง่ายกว่านายรุ่นพี่ที่เป็นคนนิสัยไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
“งั้นไปด้วยกันไหม พี่ก็กำลังจะไปบ้านพี่นทีอยู่พอดี”
เธอชะงัก...หรือจะไปกับเขาวันนี้เลยดี จะได้คุยกับเจ้าของตัวจริงให้รู้ดำรู้แดงกันไป
แต่...อย่าเพิ่งเลย เธอควรหาโอกาสไปคุยตามลำพังกับนายนทีนั่นดีกว่าไปกับภาณุรุจ คิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้เธอออดอ้อนหรือตะล่อมเจ้า ของปางช้างคนนั้น พิมริสาอดคิดไม่ได้ว่า ความเป็นผู้หญิงของเธอ แม้ไม่ช่วยให้ภาณุรุจใจอ่อน แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะใช้กับคนอื่นไม่ได้
“ไม่ดีกว่า วันนี้พิมไม่ว่าง หรือถึงว่าง ก็อยากไปเอง คนเดียว!”
เธอปฏิเสธหนักแน่น ไร้ไมตรีจนอีกฝ่ายต้องเงียบกริบ
**********
เรื่องนี้เปิดจองราวๆ กลางเดือนพฤศจิกายนนะคะ^^
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2562, 10:11:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2562, 13:46:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 595
<< บทที่ 2 -100% | บทที่ 3 -100% >> |