เลื่อมลายพรายจันทร์: ดุจดาริน (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
'ดมิสา' เกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า พลังจิต
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…

'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!

**************

นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…

*******************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)

ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***

**************

หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)

*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป

(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

อิอิ มาหย่อนเรื่องใหม่เรื่องสุดท้ายของปลายปีนี้ค่ะ^^ เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องที่ 3 ของนิยายชุดร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์จ้า ใครเคยอ่าน ‘ราคีสีเพลิง (ดีเลิศกับบัวบุษบา)’ ‘มาลีเริงไฟ (อัคนีกับญานีน)’ ที่สนพ.นำมาลงให้อ่านกันเมื่อต้นปี น่าจะจำ ‘ดมิสา’ น้องสาวของดีเลิศได้น้าาาา เลื่อมลายฯ เป็นเรื่องของนางค่ะ หลังจากที่ดีเลิศกับบัวบุษบาไม่อยู่แล้ว


ดมิสาเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! สามารถมองเห็นภูติผีวิญญาณได้ ระวังอย่าทำให้นางโกรธเชียว.....


**เรื่องย่อ คลิกที่ปุ่มอ่านเรื่องย่อด้านบน**

****************

แสงวิบวับจากประกายแดดลอดผ่านมวลหมู่ใบไม้ใต้เหล่าพฤกษาที่เบียดกันแน่นขนัด วัดป่าอิสราภรณ์เป็นทั้งวัดและสถานปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชน แม้สงบ ร่มรื่น แต่ก็เห็นแม่ชีและผู้ปฏิบัติธรรมออกมาเดินจงกรม นั่งวิปัสสนา หรือทำกิจกรรมจำพวกกวาดใบไม้เป็นระยะ

ท่ามกลางความเงียบสงบ กุมารแพทย์หญิงดมิสา อิสราภรณ์ ก้าวลงจากรถยนต์คันโปรด หญิงสาวในชุดกางเกงผ้าสวมสบายกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินถือถุงใส่ของใช้จำเป็นตรงไปยังกุฏิแม่ชีที่คุ้นเคย ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงบริเวณกุฏิไม้หลังคามุงด้วยใบระกำและใบจาก มีหลายหลังอยู่ชิดติดกันเพื่อความปลอดภัยของบรรดาแม่ชี

ดมิสาเข้าไปวางข้าวของเครื่องใช้จำพวกผงซักฟอก ยาสีฟัน และข้าวของจิปาถะไว้ในห้องพักอันเรียบง่ายเพื่อการหยิบไปใช้ได้สะดวก หญิงสาวออกมานั่งรออยู่หน้าชานกุฏิครู่หนึ่ง ไม่เห็นท่าทีว่าผู้อาศัยหลับนอนในกุฏินี้หลายปีจะกลับมายังที่พัก จึงลุกขึ้นคิดจะไปไหว้พระในศาลาแล้วกลับบ้าน แต่ก็ได้ยินเสียงทักจากทางด้านหลังเสียก่อน

“มาหาแม่ชีดาราหรือ โยมมิ้งค์”

ดมิสาหันมองกลับไป เธอทรุดกายลงนั่งบนพื้นโรยกรวดและก้มกราบพระอาจารย์ที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา ก่อนนั่งที่ชานกุฏิโดยมีหญิงสาวประนมมืออยู่ด้านล่าง

“ใช่ค่ะหลวงลุง แต่มิ้งค์ว่ามิ้งค์จะกลับแล้วละค่ะ วันนี้ก็คงไม่เจอแม่อีกตามเคย”

หญิงสาวยิ้ม...แต่หัวใจปวดแปลบ นับแต่เด็กจนโตเธอแทบไม่รู้จักเลยว่าอ้อมกอดมารดาเป็นเช่นไร ความทรงจำที่หญิงสาวจดจำได้ เธอเห็นเพียงความโศกศัลย์ในสีหน้าของดาราวลี มารดาของเธอ

ดาราวลีไม่เคยเลยที่จะมีความสุข มารดาเธอเป็นทุกข์ และเดินทางมาบวชชีเพื่อหนีความทุกข์ที่นี่หลายปีแล้ว แต่ดมิสาไม่เห็นว่ามารดาจะหนีความทุกข์พ้นเลย ในเมื่อมันฝังแน่นอยู่ในหัวใจของดาราวลีราวกับหินปูนที่ไม่สามารถขัดออกได้

ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่วัด หากไม่รู้จัก ปล่อย ปลง วาง ดาราวลีก็คงเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

“แม่ชีดาราช่วยเขาทำใบโพบางอยู่ตรงข้างโรงทาน ใกล้วันมุทิตาแล้ว ที่วัดเลยยุ่งๆ กัน”

ดมิสาร้องอ๋อในใจขณะพยักหน้ารับรู้ เธอเคยมาช่วยลงสีใบโพที่ผ่านกรรมวิธีหมักเพื่อให้เหลือเพียงโครงสร้างบางๆ เหมือนกัน จากนั้นทางวัดก็นำไปประดับบนต้นโพจำลองเพื่อตกแต่งสถานที่ให้สวยงามและใช้ติดเงินผ้าป่าของพุทธศาสนิกชนด้วย

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวมิ้งค์ขอไปช่วยแม่ก่อนนะคะ”

พระอาจารย์ดิน ขันติสุโภ ก้มใบหน้าเปื้อนยิ้มลงอย่างแช่มช้า นัยน์ ตาฝ้าฟางตามกาลเวลาทอดมองพวงกุญแจคล้องกับกุญแจรถที่หญิงสาวถือติดมือไว้ ท่านนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนวางมือขวาลงยังชานกุฏิข้างกาย

“ขออาตมาดูกุญแจนั่นหน่อยสิ โยมมิ้งค์”

แม้งุนงง แต่หญิงสาวก็นำกุญแจรถฟอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งคล้องสิ่งที่ดมิสาเชื่อว่าเป็นเครื่องรางแก้วไหมทอง วางไว้บนชานกุฏิไม้ไผ่ใกล้จีวรสีกรักที่พระอาจารย์สวม ท่านหยิบมันขึ้นมา เห็นกลุ่มควันสีดำลอยคลุ้งอยู่ในแก้วทรงรีติดพวงกุญแจ

ใช่ว่าจะเห็นสิ่งนี้ครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาท่านพยายามจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้ดมิสาเดือดร้อนกว่าเดิม จึงนิ่งเฉยเรื่อยมา

ควันดำนั้นลอยเป็นวงกลมในแก้วขนาดเล็กเท่าเหรียญสิบบาท หากเพ่งมองจะเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นศีรษะ แขน ขา ของเจ้าสิ่งที่ขดตัวนิ่งอยู่ในนั้นราวกับมันต้องการหลบจากสายตาละเอียดอ่อนของพระสงฆ์ สุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมายาวนาน ควันนั้นสั่นสะท้านเมื่อถูกจ้อง ก่อนที่มันจะแอบเหลือบมองผ่านแก้วใส

เมื่อแน่ใจแล้วว่าถูกค้นพบ ควันดำนั้นก็หายวับไปจากสายตาพระดินทันที มันเข้าไปหลบในเศษว่านเสน่ห์จันทน์ทองที่ถูกบรรจุไว้ในแก้ว และแอบมองอย่างระแวง ใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนมองเห็นมันทั้งที่มันอำพรางกายตนจากตาวิเศษของใครๆ หมดแล้ว โดยเฉพาะนังผู้หญิงอัปรีย์ที่ชื่อดมิสา อิสราภรณ์!

ดมิสาเห็นผีได้ มันรู้... แต่พระอาจารย์ที่นิ่งเฉย ไม่เคยเลยจะสนใจพวงกุญแจที่มันสถิตอยู่มาตั้งสิบกว่าปี จะมามองเห็นมันเอาตอนนี้ได้อย่าง ไร

กุมารีสีดำแยกเขี้ยว ส่งเสียงน่ากลัวข่มขวัญทั้งที่ไม่แน่ใจนักว่าพระดินมองเห็นจริงหรือไม่ กลุ่มควันดำทรงอำนาจสะบัดท่อนขากลายเป็นหางงูขดกัน พร้อมที่จะต่อสู้ฟาดฟันกับพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างไม่สะทกสะท้านกับบาปกรรมไร้สาระ! หากบาปกรรมมีจริงแล้วไซร้ มันเคยฆ่าคน เคยกลั่นแกล้งใส่ร้ายให้ดมิสาต้องทุกข์ทนบอบช้ำมาตั้งนาน เหตุใดจึงไม่ได้รับโทษทัณฑ์อันใดเลยเล่า

มีเพียงความสบายความอิ่มที่ได้รับเป็นรางวัลจาก คุณท่าน ยามที่เธอใส่ไฟว่าดมิสาทำผิดคิดร้าย สมสู่กับผู้ชายไม่เลือกหน้า!

ไม่ใช่แค่นั้น หากมีผู้ชายที่หล่อเหลาแต่มีท่าทีจะจีบดมิสา มันก็จะหาทางกำจัดผู้ชายพวกนั้นออกไปให้หมด มันเคยฆ่าคนมาแล้วด้วยการใช้พลังพรางตาเด็กหนุ่มที่เรียนชั้นมัธยมฯ ห้องเดียวกับดมิสา ให้ไอ้เด็กนั่นปั่นจักรยานตัดหน้ารถบรรทุก! มันเคยพรางตานายแพทย์หนุ่มอนาคตไกลที่มาติดพันดมิสาด้วย ไม่ให้เห็นแม่ลูกอ่อนที่กำลังเข็นรถเข็นข้ามทางม้าลาย ผลคือทั้งแม่ทั้งลูกชายวัยแปดเดือนตายคาที่!

ก็ใครใช้ให้อีผู้หญิงคนนี้มันเกิดมาโชคดีจนน่าอิจฉา มันเรียนเก่งกว่าคนอื่น สวยกว่าคนอื่น เรียนจบมาก็ยังได้ทำงานมีเกียรติมียศ ไหนจะความสามารถห่าเหวของมันที่เสือกเห็นผีได้จนกุมารีต้องคอยหลบคอยซ่อนตัวอย่างยากลำบาก โชคดีที่ว่านเสน่ห์จันทน์ทองเป็นที่ซ่อนตัวชั้นดีเพราะถูกลงอาคมไว้ หาไม่แล้วหากดมิสาเห็นเธอเข้า เธอคงไม่พ้นถูก คุณท่าน ลง โทษอย่างทุกข์ทรมานอย่างที่เคยเห็นพวกผีห่าซาตานตนอื่นโดนกันเวลาทำ งานพลาด

หากมันปล่อยให้ดมิสามีผัวหล่อ ผัวดี ให้เป็นที่น่าเจ็บใจอีกก็โง่เต็มทน

คนแบบอีดมิสา อิสราภรณ์ ต้องขึ้นคาน หาผัวไม่ได้ไปทั้งชีวิตนั่นแหละถึงจะสาสม!

พระอาจารย์ละสายตาจากพวงกุญแจบรรจุว่านเสน่ห์จันทน์ทอง ท่านหันมองไปทางศาลาปฏิบัติธรรมและพักสายตาไว้ตรงนั้น รอจนดมิสาหันมองตามอย่างสงสัย พระดินก็บริกรรมคาถาบางอย่าง ก่อนปล่อยกุญแจให้ตกลงพื้นไป

น่าแปลก! ทั้งที่พื้นข้างเท้าท่านเป็นพื้นโรยกรวด แต่แก้วชั้นหนาที่ดูแข็งแรงมากกลับแตกกระจาย! เศษว่านเมื่อต้องแสงตะวันก็ส่งเสียงฉ่าและละลายหายไปในพริบตาราวกับปาฏิหาริย์ ดมิสาหันมองมาเพราะตกใจเสียงแก้วแตก มันเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นในห้วงเวลาของมนุษย์ธรรมดาอย่างเธอ แต่ในสายตาของผู้ทรงศีล ราวกับกาลเวลาหมุนช้า เหตุการณ์รอบ ตัวท่านกลายเป็นภาพสโลว์โมชันไปหมด

กุมารีกรี๊ด!!!

ควันสีดำพุ่งออกจากเศษแก้วที่สิงสถิตมานานหลายปี ความโกรธห่อหุ้มรอบกายละเอียดจนควันสีดำกลายเป็นร่างหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์ ตาของมันสีแดงเพลิง ผมหยิกยุ่งพันกันเป็นสังกะตัง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า แต่มีเกล็ดไล่ลงจากศีรษะไปยังไขสันหลังและแผ่กระจายรอบท่อนล่างที่กลายเป็นงูยักษ์สีดำ เกล็ดเท่ากันบ้าง ไม่เท่ากันบ้างอย่างน่าเกลียด

‘อย่ามาเสือกเรื่องของกู!!!’

มันตะโกนกร้าว ชี้หน้าด่าพระอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม ก่อนพุ่งร่างเข้าหาหมายใช้พลังทั้งหมดขย้ำพระดินให้แหลกคามือ!

แต่อนิจจา...ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วเจือบาปของมันจะแตะถูกปลายจีวรของท่าน นรกอเวจีก็เปิดรับดวงวิญญาณบาป ดึงดูดเอากุมารีลงไปรับโทษทัณฑ์อย่างสาสม!

เสียงโหยหวนยังดังอยู่ในหูของพระอาจารย์ แต่ท่านก็ยังยิ้ม นัยน์ ตาฝ้าฟางจับจ้องที่ดวงหน้างามของดมิสา ท่านรู้ว่าการแตกของเครื่องรางนี้อาจนำพาดวงวิญญาณใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิมมาสู่หลานสาว หรืออาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ นี่คือการเสี่ยง แต่อย่างน้อยท่านก็ได้ลองช่วยเหลือคนดีให้พ้นภัยพาล

“ตายจริง”

ดมิสาร้องอุทานเมื่อเห็นแก้วเครื่องรางแตกเสียหาย หากยายรู้เข้ามีหวังเธอคงถูกมัดไว้กับเสาบ้านแล้วตีไม่ยั้งแน่ ซึ่งการถูกตีไม่ได้เป็นปัญหากับเธอเลย ถ้าคนที่ตีนั้นไม่ใช่ยายเจิมจันทร์...ผู้จงเกลียดจงชังเธอมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ถึงเธอจะโตเป็นสาวแล้วก็ตาม แต่ยายก็ยังทำราวกับอยากจะฆ่าเธอได้ทุกเวลา

“ของแตกไปแล้ว...” เสียงนุ่มเปี่ยมเมตตากล่าวขึ้น “วางลงเถิดนะโยมมิ้งค์”

ดมิสานิ่งคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม

“ค่ะ หลวงลุง”

หญิงสาวเก็บกุญแจรถขึ้นมาและหมุนพวงกุญแจเปล่าๆ ออก เธอก้มลงกราบพระอาจารย์ ก่อนประนมมือบอกลาเพื่อไปช่วยมารดาล้างใบโพ หญิงสาวแปลกใจที่เมื่อครู่ตอนพระอาจารย์เดินมา เธอยังเห็นดวงวิญญาณเร่ร่อนอยู่แถวนี้นับสิบดวงมารอขอส่วนบุญ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด แล้ว อ้อ! มีตนหนึ่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างน่าแปลก

แค่แก้วแตก...ทำให้ดวงวิญญาณที่น่าสงสารถึงกับสั่นเทิ้มได้เชียวหรือ?

ดมิสาส่งกระแสจิตคิดแผ่ส่วนบุญ แต่วิญญาณนั้นกลับกลัวกระแสบุญของเธอและรีบหนีหายไปในพริบตา สิ่งที่เกิดนั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของพระดิน ท่านจึงกล่าวว่า

“เราไม่สามารถช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ หากเขาไม่ร่วมมือกับเราด้วยการน้อมรับไป” ท่านยังคงยิ้มขณะกล่าวต่อ

“อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่หลุดมือไปแล้วก็ปล่อยนะโยม สรรพสัตว์ล้วนเกิดแต่กรรม แล่นไปตามกรรม และทุกข์สุขด้วยกรรมของตน อย่าเอาใจไปยึดติดให้เป็นทุกข์เลย”

หญิงสาวไม่แปลกใจสงสัยในถ้อยความของพระอาจารย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของเธอ ก็เธอเองเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดา วันหนึ่งยังเกิดเห็นผีขึ้นมาได้ แล้วพระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีมาเนิ่นนานจะไม่เห็นได้อย่างไร แต่เธอก็ถามกลับด้วยความสงสัย

“หนูคงทำกรรมไว้เยอะใช่ไหมคะหลวงลุง หนูถึงต้องมาอยู่ในครอบ ครัวแบบนี้...”

ถ้าเป็นไปได้เธออยากรู้เหลือเกินว่าในอดีตชาติ เธอทำบาปทำกรรมอะไรไว้ เคยทรมาน เคยทุบตีใครหรือ ทำไมเธอต้องเกิดมาพบกับความทุกข์ทรมานทั้งกายใจตั้งแต่เด็กยันโต แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ จึงถามอ้อมโลกเผื่อพระอาจารย์จะมีเมตตาคลายปมปัญหาในใจให้

แต่ดมิสาไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำถามกลับจากท่าน

“โยมเคยได้ยินเรื่องลัทธิกรรมเก่าไหม?”

หญิงสาวสั่นหน้า “ไม่เคยค่ะ”

“ลัทธิกรรมเก่าหรือปุพเพกตเหตุวาท เป็นหนึ่งในสามของลัทธินอกพุทธศาสนา เริ่มมาจากมีคนกลุ่มหนึ่งในสมัยพุทธกาลประกาศความเชื่อว่า การที่บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ตาม เวทนาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน

พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงคนกลุ่มนี้ว่า

‘สมณพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า แล่นไปไกลเกินสิ่งที่รู้กันได้ด้วยตน เอง แล่นไปไกลเกินสิ่งที่ชาวโลกรู้กันทั่วว่าเป็นความจริง ฉะนั้น เรากล่าวว่าเป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง’...”

พระดินยิ้ม ปล่อยให้ดมิสาคิดตามท่ามกลางเสียงนกกาเหว่าที่ร้องครวญอยู่บนกิ่งใบของต้นโพ

“อย่างความป่วยไข้นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงแจกแจงเหตุผลไว้หลายอย่าง เช่น อาจเกิดจากธาตุแปรปรวนก็มี จากการไม่ดูแลตัวเองก็มี จากผลกรรมก็มี...เพราะเหตุนี้ กรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นอีก ซึ่งบางครั้งก็ลึกซึ้งและซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้”

เมื่อยังมีความงุนงงจางๆ บนสีหน้าของดมิสา

“โยมเป็นหมอเด็ก มีหน้าที่ช่วยให้เด็กๆ หายป่วยไข้ใช่ไหม”

“ค่ะหลวงลุง”

“ถ้าโยมคิดว่าคนไข้เจ็บป่วยด้วยกรรม โยมก็คงไม่ช่วยเหลือเขาให้หายเจ็บหายป่วย ถ้าคนในสังคมเชื่อว่าผู้ประสบเหตุตรงหน้า อย่างเช่น เด็กตกน้ำ ผู้หญิงถูกกระทำชำเรา คนปล้นชิง ฆ่ากันให้เห็น ก็คงไม่ช่วย เพราะเชื่อว่านั่นเป็นกรรมของเขา เขาสมควรได้รับ หากเป็นเช่นนั้น บ้านเราเมืองเราคงเป็นราวนรก ไม่มีกฎ ไม่มีน้ำใจ ไม่มีการช่วยเหลือจุนเจือกัน อาตมาอธิบายแบบนี้ โยมเข้าใจหรือยังว่าทำไมโยมจึงเจอเรื่องร้ายๆ ตั้งแต่เด็ก นั่นอาจเป็นเพราะกรรม หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็ได้ หากเป็นเพราะกรรมล่ะจะทำอย่างไร โยมจะปล่อยให้ชีวิตย่ำแย่อย่างนั้นหรือ แล้วถ้าหากไม่เป็นเพราะกรรมล่ะจะทำอย่างไร โยมจะหนีจากการเป็นกุมารแพทย์หญิงดมิสา อิสราภรณ์ได้หรือ”

นกกาเหว่าเงียบเสียง ราวกับจะเงี่ยหูฟังธรรม

“สิ่งที่โยมเจอจะเป็นเพราะกรรมหรือไม่ก็ตาม มันเป็นเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ไม่ควรเก็บมาคิดให้ฟุ้งซ่าน ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ มีแค่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้าวันหลังน่ะ เคยได้ยินไหม”

ดมิสายิ้มแหย และคิดตามว่าจริงเสียด้วย เธอจะมานั่งคิดว่าความเลวร้ายที่พบเจอนั้นเป็นเวรกรรมอะไรก็ไม่มีประโยชน์ อันที่จริงชีวิตเธอก็ไม่ ได้เลวร้ายอะไรนัก เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้เรียนหนังสือ ได้ทำงานที่รัก เธอควรโฟกัสที่สิ่งดีๆ ในชีวิตมากกว่า

ดมิสาก้มลงกราบพระอาจารย์อย่างขอบคุณ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่ชีดาราวลีกลับมาจากล้างใบโพแล้ว พระอาจารย์จึงลุกขึ้นเดินไปอีกทางปล่อยให้สองแม่ลูกได้คุยกันตามลำพัง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน

ไอร้อนจากไฟนรกยังเจือแผ่นดินแผ่วๆ ขณะท่านเดินเท้าเปล่าสู่ลานจงกรม บรรดาสัมภเวสีหนีหายจากบริเวณวัดด้วยความตกใจกลัวในสิ่ง ที่ได้เห็น เมื่อครู่พวกมันเห็นแผ่นดินแยก เห็นไฟนรกเป็นรูปมือยักษ์ดึงเอากุมารีผู้มีบาปให้ตกลงไปรับการลงทัณฑ์ เป็นภาพที่น่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างที่หากมันไม่ใช่ผี มันคงไม่เคยจินตนาการถึงโลกที่วิญญาณขึ้นสวรรค์ลงนรกต่อหน้าต่อตาได้แทบทุกวินาทีแบบนี้

กุมารีผู้โง่เขลา...

ประมาทในชีวิตเสียจนหาญกล้าจะฆ่าพระสุปฏิปันโน เวรกรรมที่ทำมาก็มากมายเหลือล้นอยู่แล้ว หากแผ่นดินจะรับไม่ไหวและสูบมันลงนรกไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย


หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ย. 2562, 09:50:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ย. 2562, 09:51:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 440





   บทที่ 1 -100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account