เรื่องรักวันไม่ธรรมดา [เรื่องสั้น 5 ตอนจบ]
อะไรก็เกิดขึ้นได้...ในโลกของความรัก เรื่องสั้นรักๆ 5 ตอนจบ ของ "สิรินดา" ความรักมีหลายแง่มุม และแม้มันจะมีมุมมืด แต่ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ เมื่อ ReadAWrite มีโปรเจคดีๆ ก็ขอร่วมแจมด้วยสักหน่อย ชอบไม่ชอบเรื่องของสิรินดายังไง ก็ติชมมาได้นะคะ (^__^)
Tags: #READTOBER2019, สิรินดา, นิยาย, เรื่องสั้น, วัยรุ่น, แจ่มใส
ตอน: ไม่ใช่เรื่องราวที่ผ่านเลย
ฝนตกตั้งแต่ตอนเย็น สิ่งที่ตามมาก็คือ น้ำรอระบาย รถติด ตัวเปียก ผมเปียก ต้องสระผม และนอนดึก แถมอาจทำงานไม่ทัน...
ฉันคงไม่หงุดหงิดมากนัก ถ้าหากวันนี้ไม่ใช่วันศุกร์ที่รถติดและตัวเองไม่ได้กำลังเปียกฝนตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมวันนี้เป็นวันกำหนดส่งต้นฉบับงานล่าสุดที่รับทำ แต่มันเลยกำหนดส่งมาเดือนกว่าแล้ว
หลังจากการประชุมอันยาวนานระหว่างกอง บก. กับทีมนักเขียน จบลงด้วยการไปทำงานต่อแบบด่วนๆ ฉันเดินหลบหลักฝนลัดเลาะจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ถึงแม้สามทุ่มกว่าแล้วท่ามกลางมนุษย์ในเมืองที่ต่างรีบกลับ ฉันเบียดตัวเข้าไปยังประตูรถไฟฟ้าซึ่งเปิดอยู่อย่างยากลำบาก ไม่ต้องคิดถึงที่นั่งที่ว่าง แค่ที่ยืนยันหาได้ลำบาก
ฉันพบว่าการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะประหยัดค่าเดินทางได้มากกว่าจะขับรถเอง โดยเฉพาะหากมีงานที่ต้องเข้าเมือง แต่ไม่คิดว่าจะมีฝนตกหนักทั้งๆ ที่ควรจะย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ จึงไม่ได้ติดร่ม ไม่ได้มีอุปกรณ์กันฝนใดๆ ติดตัวมาด้วยเลย คงต้องทนอีกเกือบสิบสถานีกว่าจะถึงที่หมาย
สามทุ่มแล้วด้วย แย่ชะมัด อย่างนี้เมื่อไหร่จะถึงที่พักกันละเนี่ย
"อุ๊ย" ร่างเปียกฝนถูกกระแทกด้วยใครสักคนที่พยายามเบียดเพื่อเตรียมลงสถานีต่อไป ฉันมองซ้ายขวา หาจังหวะที่จะหลบ แต่มันดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างให้ขยับได้เลย
"หลบมาทางนี้"
เสียงเบาๆ ดังจากเบื้องหลัง ฉันหันไปแต่พบกับเสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นไปมากกว่านั้นได้ ร่างสูงถอยให้ฉันขยับตามจนสามารถหลบคลื่นมนุษย์ที่กำลังจะเดินมาตรงทางออกได้
"คุณลงสถานีไหน"
ฉันขมวดคิ้ว พยายามที่จะเงยหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี เราอยู่ใกล้กันเกินไปจนไม่สามารถเห็นใบหน้านั้นได้
ผ่านไปอีกหลายสถานที ผู้คนจึงค่อยๆ ลดลง จนพอที่จะขยับตัวได้ จังหวะแรกที่พอจะหันไปได้ ฉันหันไปหาคนที่ชวนคุยทันที เขามองกลับมาและยิ้มให้
ไม่คุ้นหน้าเลย...นายคนนี้เป็นใคร
พอรู้ว่าไม่รู้จักจึงรีบหันหลังกลับ กอดแฟ้มเอกสารและกระเป๋าสะพายของตัวเองแน่นขึ้น รอจนกระทั่งถึงสถานีเป้าหมาย รีบเดินออกจากรถไฟฟ้า
ข้างนอก ฝนยังตกหนัก ฉันถอนหายใจ อย่างนี้จะออกไปได้ยังไงเนี่ย
"คงต้องหลบฝนอยู่ในนี้ก่อน" เสียงดังจากเบื้องหลัง ฉันสะดุ้ง ถอยไปสองสามก้าวแต่ยังเงียบ
"นี่คุณจำผมไม่ได้ใช่ไหม"
ฉันขมวดคิ้ว ส่ายหน้า บอกตามตรงว่ากำลังมึนสายฝน กับกังวลถึงสิ่งที่ต้องทำต่อจนไม่มีแก่ใจจะจำได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่
"เกือบปีแล้วสิที่เราพบกัน"
ฉันเองก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าเราเคยพบกันที่ไหน นักเขียนที่ วันๆ ทำงานอยู่ในห้อง ร้านกาแฟ แล้วก็สำนักพิมพ์ คนที่รู้จักในแวดวงมีจำกัดเต็มที
"...."
"คุณยังไม่ชอบนวดสินะ เพราะคุณไม่เคยติดต่อกลับจากนามบัตรที่ผมให้ไว้เลย"
ฉันเบิกตากว้าง มองตรงไปที่ใบหน้านั้นอีกครั้ง วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่พับแขนไว้ถึงศอก ดูเหมือนพนักงานบริษัทมากกว่า...
"ฉันไม่คิดว่า"
"ผมคุณยาวขึ้นมาก แต่ผมจำกระเป๋าสะพายใบนี้ได้"
กระเป๋าสะพายสีแดงเลือดนก ที่เป็นของคู่กายของฉันมาหลายปี
"ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่" ฉันเอ่ย ...เขาชื่ออะไรนะ ฉันจำไม่ได้แล้วจริงๆ เกือบปีแล้วที่เราพบกัน "ยอมรับตามตรงว่าจำไม่ได้"
"ผมเข้าใจ...คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราไปหาที่นั่งหลบฝนกันก่อน"
"แต่ว่า..."
"ลืมไป คุณเป็นนักเขียนรักอิสระ ไม่ชอบไปทำอะไรกับคนแปลกหน้า"
เขาจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะอาชีพที่ต้องดูแลให้บริการคนมากมาย ทำให้เขาต้องใส่ใจในรายละเอียดของหลายๆ เรื่อง
ฟ้าผ่า และฝนเม็ดใหญ่สาดมาใกล้บริเวณที่เรายืนคุยกัน วันนี้ฝนฟ้าเหมือนตั้งท่าจะแกล้งคนเดินทางกลับบ้านจริงๆ คนตัวสูงชวนฉันเดินหลบฝน คนเยอะเสียจนเราหาที่ยืนที่ไม่ขวางทางคนอื่นไม่ได้
"ใกล้ๆ มีร้านอาหาร เดินไปแบบพอหลบฝนได้ สนใจไหม คุณจะได้เข้าห้องน้ำล้างหน้าตา ผมก็อยากหาที่นั่งรอฝนอีกสักพัก ไม่อยากออกไปแบบนี้มีแต่เปียกกับเปียก"
ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นะ ฉันคิด ถึงแม้จะรีบอย่างไร แต่ไม่มีทางที่ฉันจะเดินฝ่าฝนออกไปแบบนี้ได้แน่ แล้วก็ดูท่าทางเขาไม่มีพิษมีภัยอะไรด้วย หาที่เข้าห้องน้ำ หาอะไรอุ่นๆ กินรอเวลาก็น่าจะดี
ฉันพยักหน้า และเดินตามเขาลัดเลาะไประหว่างทางเชื่อมรถไฟฟ้า ตรงเข้าร้านอาหารที่อยู่ใกล้ทางเชื่อม ตอนนี้ในร้านมีคนอยู่เกือบเต็ม เดาว่าส่วนใหญ่ก็คงเป็นคนที่หลบฝนมาเหมือนกัน โชคดีที่ยังพอมีที่นั่งว่าง
เราสั่งอาหาร เขาให้ฉันไปห้องน้ำก่อน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปห้องน้ำบ้าง หายไปราวสิบนาทีเขาก็กลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กๆ และร่มหนึ่งคัน
"ผมเดินไปร้านสะดวกซื้อด้านใน พอมีของขาย ผมคิดว่าคุณควรติดไว้สักอัน"
"ฉันรับไม่ได้หรอกนะคะ"
"เรารู้จักกันแล้ว และนี่มันก็ราคาไม่..."
"คุณทำดีกับคนอื่นๆ อย่างนี้เสมอหรือคะ ปีปีหนึ่งคุณต้องซื้อร่มแบบนี้สักกี่อัน บอกแล้วไงว่าฉันดูแลตัวเองได้"
สำหรับคนทั่วไปอาจจะรู้สึกดี แต่ฉันไม่ เราไม่ได้รู้จักกันมากพอ และฉันไม่ได้อยากจะต้องติดค้างอะไรกับเขา
คนตรงหน้านิ่ง "ใช่ ถ้าไม่ใช่คุณ ผมก็จะทำ...แต่ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมก็เก็บมันไว้ให้คนอื่นได้" น้ำเสียงเรียบๆ ตอบกลับมา "ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ใครยุ่งด้วย แต่คุณเปียกขนาดนี้จะกลับไปได้ยังไง ผมไม่ซื้อของพวกนี้ให้ คุณก็ควรไปหาซื้อเองอยู่ดี"
ก็จริง...
ฉันก้มหน้า จังหวะนั้นอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี เราจึงยุติบทสนทนาชวนอึดอัด และต่างคนต่างสนใจอยู่กับอาหารของตนเอง
.....
เที่ยงคืนสิบนาที...ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ สายตาเลื่อนไปเห็นร่มคันใหม่ที่กางรอให้แห้งจากน้ำฝน หลังจากกินเสร็จ เราก็แยกย้ายโดยที่ฉันเป็นฝ่ายรับร่มกับผ้าขนหนูผืนเล็กนั่นมาด้วย
ความรู้สึกผิดยังท่วมทัน นามบัตรใบนั้นยังสอดอยู่ด้านในสุดของกระเป๋าสตางค์ ฉันพลิกดูด้านหลัง
อีกฝ่ายเงียบไปชั่วครู่
อย่าบอกนะว่าเขายังโสด ผู้ชายใจดีแบบนี้ยังโสดอยู่ได้ยังไง
ฉันรู้ดีว่ามันมากกว่าร่ม มากกว่าผ้าขนหนูผืนเล็ก ตั้งแต่พบกันครั้งแรกเมื่อปีก่อน ผู้ชายคนนี้ก็ส่งความรู้สึกดีๆ มาให้ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน
ผู้ชายคนนั้น คนที่ฉันจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตอบสั้น และ log out ออกไป
ฉันเองก็ log out ปิดโปรแกรม จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปมองวิวตึกระฟ้านอกหน้าต่าง ทบทวนเรื่องราวของตัวเองที่ผ่านมา
หนึ่งปีหลังเป็นโสด ฉันใช้ชีวิตคนเดียว ทำแต่งาน มุ่งมั่นให้ตัวเองประสบความสำเร็จในงานเขียน โดยไม่ได้สนใจโลกรอบข้าง ถูก บก. บอกหลายครั้งว่าเรื่องที่ฉันเขียนเปลี่ยนไป มันดูไม่สบายๆ เหมือนก่อน วันนี้ฉันก็ถูก บก.วิจารณ์ตรงๆ แบบนั้นอีกครั้ง
ตอนแรกฉันไม่เข้าใจ และยอมรับในคำวิจารณ์ตรงๆ นั่นไม่ได้...จนกระทั่งคืนนี้
บางที ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเสียที
.....
[ยังมีต่อ: ตอนพิเศษ]
ฉันคงไม่หงุดหงิดมากนัก ถ้าหากวันนี้ไม่ใช่วันศุกร์ที่รถติดและตัวเองไม่ได้กำลังเปียกฝนตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมวันนี้เป็นวันกำหนดส่งต้นฉบับงานล่าสุดที่รับทำ แต่มันเลยกำหนดส่งมาเดือนกว่าแล้ว
หลังจากการประชุมอันยาวนานระหว่างกอง บก. กับทีมนักเขียน จบลงด้วยการไปทำงานต่อแบบด่วนๆ ฉันเดินหลบหลักฝนลัดเลาะจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ถึงแม้สามทุ่มกว่าแล้วท่ามกลางมนุษย์ในเมืองที่ต่างรีบกลับ ฉันเบียดตัวเข้าไปยังประตูรถไฟฟ้าซึ่งเปิดอยู่อย่างยากลำบาก ไม่ต้องคิดถึงที่นั่งที่ว่าง แค่ที่ยืนยันหาได้ลำบาก
ฉันพบว่าการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะประหยัดค่าเดินทางได้มากกว่าจะขับรถเอง โดยเฉพาะหากมีงานที่ต้องเข้าเมือง แต่ไม่คิดว่าจะมีฝนตกหนักทั้งๆ ที่ควรจะย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ จึงไม่ได้ติดร่ม ไม่ได้มีอุปกรณ์กันฝนใดๆ ติดตัวมาด้วยเลย คงต้องทนอีกเกือบสิบสถานีกว่าจะถึงที่หมาย
สามทุ่มแล้วด้วย แย่ชะมัด อย่างนี้เมื่อไหร่จะถึงที่พักกันละเนี่ย
"อุ๊ย" ร่างเปียกฝนถูกกระแทกด้วยใครสักคนที่พยายามเบียดเพื่อเตรียมลงสถานีต่อไป ฉันมองซ้ายขวา หาจังหวะที่จะหลบ แต่มันดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างให้ขยับได้เลย
"หลบมาทางนี้"
เสียงเบาๆ ดังจากเบื้องหลัง ฉันหันไปแต่พบกับเสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นไปมากกว่านั้นได้ ร่างสูงถอยให้ฉันขยับตามจนสามารถหลบคลื่นมนุษย์ที่กำลังจะเดินมาตรงทางออกได้
"คุณลงสถานีไหน"
ฉันขมวดคิ้ว พยายามที่จะเงยหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี เราอยู่ใกล้กันเกินไปจนไม่สามารถเห็นใบหน้านั้นได้
ผ่านไปอีกหลายสถานที ผู้คนจึงค่อยๆ ลดลง จนพอที่จะขยับตัวได้ จังหวะแรกที่พอจะหันไปได้ ฉันหันไปหาคนที่ชวนคุยทันที เขามองกลับมาและยิ้มให้
ไม่คุ้นหน้าเลย...นายคนนี้เป็นใคร
พอรู้ว่าไม่รู้จักจึงรีบหันหลังกลับ กอดแฟ้มเอกสารและกระเป๋าสะพายของตัวเองแน่นขึ้น รอจนกระทั่งถึงสถานีเป้าหมาย รีบเดินออกจากรถไฟฟ้า
ข้างนอก ฝนยังตกหนัก ฉันถอนหายใจ อย่างนี้จะออกไปได้ยังไงเนี่ย
"คงต้องหลบฝนอยู่ในนี้ก่อน" เสียงดังจากเบื้องหลัง ฉันสะดุ้ง ถอยไปสองสามก้าวแต่ยังเงียบ
"นี่คุณจำผมไม่ได้ใช่ไหม"
ฉันขมวดคิ้ว ส่ายหน้า บอกตามตรงว่ากำลังมึนสายฝน กับกังวลถึงสิ่งที่ต้องทำต่อจนไม่มีแก่ใจจะจำได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่
"เกือบปีแล้วสิที่เราพบกัน"
ฉันเองก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าเราเคยพบกันที่ไหน นักเขียนที่ วันๆ ทำงานอยู่ในห้อง ร้านกาแฟ แล้วก็สำนักพิมพ์ คนที่รู้จักในแวดวงมีจำกัดเต็มที
"...."
"คุณยังไม่ชอบนวดสินะ เพราะคุณไม่เคยติดต่อกลับจากนามบัตรที่ผมให้ไว้เลย"
ฉันเบิกตากว้าง มองตรงไปที่ใบหน้านั้นอีกครั้ง วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่พับแขนไว้ถึงศอก ดูเหมือนพนักงานบริษัทมากกว่า...
"ฉันไม่คิดว่า"
"ผมคุณยาวขึ้นมาก แต่ผมจำกระเป๋าสะพายใบนี้ได้"
กระเป๋าสะพายสีแดงเลือดนก ที่เป็นของคู่กายของฉันมาหลายปี
"ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่" ฉันเอ่ย ...เขาชื่ออะไรนะ ฉันจำไม่ได้แล้วจริงๆ เกือบปีแล้วที่เราพบกัน "ยอมรับตามตรงว่าจำไม่ได้"
"ผมเข้าใจ...คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราไปหาที่นั่งหลบฝนกันก่อน"
"แต่ว่า..."
"ลืมไป คุณเป็นนักเขียนรักอิสระ ไม่ชอบไปทำอะไรกับคนแปลกหน้า"
เขาจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะอาชีพที่ต้องดูแลให้บริการคนมากมาย ทำให้เขาต้องใส่ใจในรายละเอียดของหลายๆ เรื่อง
ฟ้าผ่า และฝนเม็ดใหญ่สาดมาใกล้บริเวณที่เรายืนคุยกัน วันนี้ฝนฟ้าเหมือนตั้งท่าจะแกล้งคนเดินทางกลับบ้านจริงๆ คนตัวสูงชวนฉันเดินหลบฝน คนเยอะเสียจนเราหาที่ยืนที่ไม่ขวางทางคนอื่นไม่ได้
"ใกล้ๆ มีร้านอาหาร เดินไปแบบพอหลบฝนได้ สนใจไหม คุณจะได้เข้าห้องน้ำล้างหน้าตา ผมก็อยากหาที่นั่งรอฝนอีกสักพัก ไม่อยากออกไปแบบนี้มีแต่เปียกกับเปียก"
ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นะ ฉันคิด ถึงแม้จะรีบอย่างไร แต่ไม่มีทางที่ฉันจะเดินฝ่าฝนออกไปแบบนี้ได้แน่ แล้วก็ดูท่าทางเขาไม่มีพิษมีภัยอะไรด้วย หาที่เข้าห้องน้ำ หาอะไรอุ่นๆ กินรอเวลาก็น่าจะดี
ฉันพยักหน้า และเดินตามเขาลัดเลาะไประหว่างทางเชื่อมรถไฟฟ้า ตรงเข้าร้านอาหารที่อยู่ใกล้ทางเชื่อม ตอนนี้ในร้านมีคนอยู่เกือบเต็ม เดาว่าส่วนใหญ่ก็คงเป็นคนที่หลบฝนมาเหมือนกัน โชคดีที่ยังพอมีที่นั่งว่าง
เราสั่งอาหาร เขาให้ฉันไปห้องน้ำก่อน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปห้องน้ำบ้าง หายไปราวสิบนาทีเขาก็กลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กๆ และร่มหนึ่งคัน
"ผมเดินไปร้านสะดวกซื้อด้านใน พอมีของขาย ผมคิดว่าคุณควรติดไว้สักอัน"
"ฉันรับไม่ได้หรอกนะคะ"
"เรารู้จักกันแล้ว และนี่มันก็ราคาไม่..."
"คุณทำดีกับคนอื่นๆ อย่างนี้เสมอหรือคะ ปีปีหนึ่งคุณต้องซื้อร่มแบบนี้สักกี่อัน บอกแล้วไงว่าฉันดูแลตัวเองได้"
สำหรับคนทั่วไปอาจจะรู้สึกดี แต่ฉันไม่ เราไม่ได้รู้จักกันมากพอ และฉันไม่ได้อยากจะต้องติดค้างอะไรกับเขา
คนตรงหน้านิ่ง "ใช่ ถ้าไม่ใช่คุณ ผมก็จะทำ...แต่ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมก็เก็บมันไว้ให้คนอื่นได้" น้ำเสียงเรียบๆ ตอบกลับมา "ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ใครยุ่งด้วย แต่คุณเปียกขนาดนี้จะกลับไปได้ยังไง ผมไม่ซื้อของพวกนี้ให้ คุณก็ควรไปหาซื้อเองอยู่ดี"
ก็จริง...
ฉันก้มหน้า จังหวะนั้นอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟพอดี เราจึงยุติบทสนทนาชวนอึดอัด และต่างคนต่างสนใจอยู่กับอาหารของตนเอง
.....
เที่ยงคืนสิบนาที...ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ สายตาเลื่อนไปเห็นร่มคันใหม่ที่กางรอให้แห้งจากน้ำฝน หลังจากกินเสร็จ เราก็แยกย้ายโดยที่ฉันเป็นฝ่ายรับร่มกับผ้าขนหนูผืนเล็กนั่นมาด้วย
ความรู้สึกผิดยังท่วมทัน นามบัตรใบนั้นยังสอดอยู่ด้านในสุดของกระเป๋าสตางค์ ฉันพลิกดูด้านหลัง
อีกฝ่ายเงียบไปชั่วครู่
อย่าบอกนะว่าเขายังโสด ผู้ชายใจดีแบบนี้ยังโสดอยู่ได้ยังไง
ฉันรู้ดีว่ามันมากกว่าร่ม มากกว่าผ้าขนหนูผืนเล็ก ตั้งแต่พบกันครั้งแรกเมื่อปีก่อน ผู้ชายคนนี้ก็ส่งความรู้สึกดีๆ มาให้ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน
ผู้ชายคนนั้น คนที่ฉันจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตอบสั้น และ log out ออกไป
ฉันเองก็ log out ปิดโปรแกรม จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปมองวิวตึกระฟ้านอกหน้าต่าง ทบทวนเรื่องราวของตัวเองที่ผ่านมา
หนึ่งปีหลังเป็นโสด ฉันใช้ชีวิตคนเดียว ทำแต่งาน มุ่งมั่นให้ตัวเองประสบความสำเร็จในงานเขียน โดยไม่ได้สนใจโลกรอบข้าง ถูก บก. บอกหลายครั้งว่าเรื่องที่ฉันเขียนเปลี่ยนไป มันดูไม่สบายๆ เหมือนก่อน วันนี้ฉันก็ถูก บก.วิจารณ์ตรงๆ แบบนั้นอีกครั้ง
ตอนแรกฉันไม่เข้าใจ และยอมรับในคำวิจารณ์ตรงๆ นั่นไม่ได้...จนกระทั่งคืนนี้
บางที ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเสียที
.....
[ยังมีต่อ: ตอนพิเศษ]
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2562, 05:58:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ธ.ค. 2562, 07:43:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 878
<< ทะเล ความเหงา และเขาอีกคน | การเดินทางครั้งใหม่ >> |