เลื่อมลายพรายจันทร์: ดุจดาริน (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
'ดมิสา' เกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า พลังจิต
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…
'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…
'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!
**************
นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
**************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6 -60%
‘พี่ส่งแช็ตไปบอกแขกทุกคนแล้วค่ะ ตกหล่นน้องมิ้งค์ไปได้ยังไงนะ’
‘ไม่เป็นไรค่ะพี่จี พักผ่อนมากๆ นะคะ ถ้าอย่างนั้นมิ้งค์จะกลับเลย’
อรจีราเบิกตาโต ไม่ได้สิ ไม่ด๊าย!
‘เดี๋ยวๆ ค่ะ’ หญิงสาวรีบพิมพ์ข้อความมือเป็นระวิง
‘พี่เพิ่งเช็กเมื่อกี้ บอสยังไม่อ่านไลน์เลย โทร.หาก็ไม่ติด เดี๋ยวบอสคงไปถึงร้านโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนน้องมิ้งค์แน่เลย ฝากน้องมิ้งค์อยู่รอบอกบอสได้ไหมคะว่าพี่ไม่สบาย ฝากลางานให้พี่ด้วยเลยก็ดีค่ะ บอกว่าพรุ่ง นี้พี่ลาป่วย’
พิมพ์ส่งไปเรียบร้อยอรจีราก็แคปหน้าจอส่งไปทางไลน์ของจิณไตย พร้อมกับพิมพ์บอกว่า ‘ลาจริงนะคะ นับว่าเป็นรางวัลนะคะบอสขา’
จิณไตยอ่านแล้วตอบกลับมาทันที
‘ไม่ได้ แต่เดี๋ยวปลายปีขึ้นเงินเดือนให้’
อรจีราอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปด แต่เอาเถอะ ได้ขึ้นเงินเดือนก็เท่ากับปีหน้ามีเงินจ่ายค่าครองชีพแบบอู้ฟู่ขึ้น หญิงสาวจึงส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนส่งจูบกลับไปแล้วสลับหน้าต่างไปยังหน้าจอของดมิสา เห็นว่ากุมารแพทย์สาวส่งข้อความตอบรับกลับมาแล้ว จึงบอกขอบคุณแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว
“เบเน่ มาหาแม่มาลูก”
อรจีราเอ่ยเรียกจบ กระต่ายขนฟูสีขาวปลอดก็กระโดดเข้ากรงไปนั่งกินถั่วตากแห้ง ปล่อยให้แม่กระต่ายนั่งเคว้งคว้างอยู่กลางห้องเพียงลำพัง
***************
ดมิสานั่งรออยู่ครู่หนึ่ง เจ้าซูกัสก็วิ่งมาหาและยกสองขาหน้าวางบนตัก ทำเอาเจ้าของร้านอุทานด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นซูกัสออดอ้อนลูกค้าคนไหนขนาดนี้ ภาวินีเดินกลับมาหาดมิสาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยแนะนำ
“ลองจับเล่นดูไหมคะ เดี๋ยวพี่พาไปล้างมือค่ะ อ้อ พี่ชื่อพี่ภานะคะ มีอะไรเรียกพี่ได้ค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้ายอมไปล้างมือเพื่อกลับมาเล่นกับซูกัส ภาวินีเริ่มสอนตั้งแต่วิธีการอุ้ม การประคองหลัง และที่สำคัญต้องประคองก้นไว้ด้วยไม่ ให้กระต่ายดีด ขนของซูกัสนุ่มเสียยิ่งกว่านุ่ม นุ่มกว่าสิ่งมีชีวิตใดที่ดมิสาเคยได้สัมผัส หญิงสาวกอดกระต่ายน้อยไว้ โดยไม่รู้เลยว่าภายในร่างเธอ มีกุมารน้อยสุวรรณสวมเข้าไปสิง แบบที่ไม่ทำลายสติมนุษย์ เมื่อดมิสาโอบกอดเจ้าขนฟู เขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นด้วย
‘อุ่น นุ่ม น่าพากลับบ้าน’
เป็นความคิดของสุวรรณ แต่ส่งผ่านเข้าไปในมโนสำนึกของผู้ถูกสิงจนดมิสาคิดว่าเป็นความคิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว เพราะเจ้าซูกัสเป็นกระต่ายสุดรักของภาวินี หล่อนไม่ขายแน่ ส่วนกระต่ายตัวอื่นในร้านแม้มีบางตัวที่ภาวินีติดป้ายขาย แต่ดมิสาก็พากลับไปไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าทำอย่างนั้นบุญเลิศคงน้อยใจ
สุวรรณได้ยินเสียงในจิตของดมิสา จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังสิงสู่และดลใจเธอโดยไม่รู้ตัว กุมารน้อยพุ่งตัวออกมาจากร่างของหญิงสาวทันที แม้ ว่าเขาจะพรางกายไม่ให้ผู้มีตาละเอียดแบบดมิสาเห็นแล้ว แต่เจ้าซูกัสที่เป็นสัตว์มีสัมผัสรับรู้มากกว่ามนุษย์ก็ตระหนกตกใจที่จู่ๆ เห็นแสงวูบวาบกระ โจนออกจากร่างของหญิงสาว มันสะบัดขาหลังถีบดมิสาเข้าเต็มแรงจนหญิงสาวอุทานเสียงหลง ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะกลัวว่าซูกัสจะตกกระแทกโต๊ะไม้เบื้องหน้า!
อ้อมแขนหนึ่งโอบมาจากทางด้านหลัง รับตัวซูกัสไว้ได้ทัน ก่อนรั้งตัวกระต่ายน้อยกลับมาสู่อ้อมอกหญิงสาวที่กอดมันไว้เนื้อตัวสั่น เธอยืนอยู่เสียด้วย เมื่อครู่นี้หากซูกัสตกลงไปคงเจ็บแน่ เพราะเธอสูงตั้งหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร
แต่ชายที่ช่วยเหลือดูเหมือนจะสูงกว่าเธอมาก เพราะศีรษะของหญิงสาวชนอกเขา รู้สึกถึงปลายคางที่บนกลางกระหม่อม และเสียงกระซิบบอกที่ทุ้มอบอุ่นสมเป็นบุรุษเพศ
“โอเค มันไม่ตกแล้ว ค่อยๆ วางนะครับ”
เขาละมือจากซูกัสและถอยหลังออกมา ดมิสาจึงค่อยๆ วางกระต่ายน้อยบนฟูกสีเขียว มันกระโดดออกจากฟูกทันที และวิ่งเข้าไปในโซนกระต่าย กระโดดขึ้นไปบนฟางแห้งแล้วมุดเข้ากรงตัวเองไปหลบอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ประจำตัวเพื่อหลบภัย
“ขอบคุณนะคะ” ดมิสาหันไปบอก ก่อนจะอุทานทัก “อ้าว คุณจิณ”
หญิงสาวประนมมือทันที กำลังจะไหว้สวัสดีเขาอยู่แล้วแต่จิณไตยก็ยกมือห้าม
“บอกแล้วไงครับอย่าไหว้ผม ผมเชื่อนะว่าคุณมิ้งค์ศีลครบกว่าผมแน่ๆ ต่อให้เป็นศีลห้าข้อก็เถอะ”
ดมิสาลดมือลงเก้อๆ ก่อนยกมือขึ้นทัดหูเก้กังอย่างทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่ตอนนี้มีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ และทั้งสองโต๊ะก็พากันเข้าไปในโซนกระต่ายที่มีกำแพงไม้บัง ส่วนภาวินีกับหุ้นส่วนร้านนั้นเดินหายไปหลังร้านแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงเก้อเขินกว่านี้
ไออุ่นจากร่างกายเขาที่ซ้อนทับมาข้างหลังเมื่อครู่ยังร้อนวูบวาบ ส่ง ผลให้ดมิสาแก้มแดงอย่างประหลาด ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกในวัด เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย
“เอ่อ พี่จีไม่สบายค่ะ ฝากบอกคุณด้วยว่ามาไม่ได้แล้ว นี่พี่จีไล่บอกคนอื่นหมดแล้วค่ะ เหลือคุณคนเดียวที่พี่จีบอกว่าติดต่อไม่ได้”
“อ้าว แล้วจีเป็นอะไรมากไหมครับ” เขาแสร้งถามอย่างห่วงใย ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าอรจีราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่รู้ ภาวินีเจ้าของร้านก็รู้แผนการทุกอย่างด้วย เขาจองโต๊ะไว้ในชื่ออรจีราเอง ให้อรจีราเล่าแผนการให้ภาวินีฟังเพื่อที่เจ้าของร้านจะไม่ตำหนิที่จองแล้วยกเลิกแล้วเดี๋ยวเขาจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ต้องเสียเอง
“พอดีโทรศัพท์ผมแบตหมดเสียด้วย”
เขาอ้างอย่างแนบเนียนตามที่อรจีราบอกกับดมิสาว่าติดต่อเขาไม่ ได้ นี่เขาปิดเครื่องด้วยนะ เขาถึงบอกเธอไงว่าศีลเธอครบกว่า เพราะทุกวันนี้เขายังวางแผนให้อรจีรามุสาเธออยู่เลย
“ท้องเสียค่ะ ฝากลางานกับคุณพรุ่งนี้ด้วยนะคะ”
“อ้อ...” เขาพยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสิครับ สั่งอะไรมากินกันหน่อยดีไหม ไหนๆ ก็อยู่ที่นี่แล้ว คุณยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหมครับ”
(((โหลด eBook ได้ที่เว็บ mebmarket)))
สั่งจองหนังสือ ราคา 290฿ ส่งฟรีลงทะเบียน เปิดจองถึง 31 มกราคม 2563
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
‘ไม่เป็นไรค่ะพี่จี พักผ่อนมากๆ นะคะ ถ้าอย่างนั้นมิ้งค์จะกลับเลย’
อรจีราเบิกตาโต ไม่ได้สิ ไม่ด๊าย!
‘เดี๋ยวๆ ค่ะ’ หญิงสาวรีบพิมพ์ข้อความมือเป็นระวิง
‘พี่เพิ่งเช็กเมื่อกี้ บอสยังไม่อ่านไลน์เลย โทร.หาก็ไม่ติด เดี๋ยวบอสคงไปถึงร้านโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนน้องมิ้งค์แน่เลย ฝากน้องมิ้งค์อยู่รอบอกบอสได้ไหมคะว่าพี่ไม่สบาย ฝากลางานให้พี่ด้วยเลยก็ดีค่ะ บอกว่าพรุ่ง นี้พี่ลาป่วย’
พิมพ์ส่งไปเรียบร้อยอรจีราก็แคปหน้าจอส่งไปทางไลน์ของจิณไตย พร้อมกับพิมพ์บอกว่า ‘ลาจริงนะคะ นับว่าเป็นรางวัลนะคะบอสขา’
จิณไตยอ่านแล้วตอบกลับมาทันที
‘ไม่ได้ แต่เดี๋ยวปลายปีขึ้นเงินเดือนให้’
อรจีราอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปด แต่เอาเถอะ ได้ขึ้นเงินเดือนก็เท่ากับปีหน้ามีเงินจ่ายค่าครองชีพแบบอู้ฟู่ขึ้น หญิงสาวจึงส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนส่งจูบกลับไปแล้วสลับหน้าต่างไปยังหน้าจอของดมิสา เห็นว่ากุมารแพทย์สาวส่งข้อความตอบรับกลับมาแล้ว จึงบอกขอบคุณแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว
“เบเน่ มาหาแม่มาลูก”
อรจีราเอ่ยเรียกจบ กระต่ายขนฟูสีขาวปลอดก็กระโดดเข้ากรงไปนั่งกินถั่วตากแห้ง ปล่อยให้แม่กระต่ายนั่งเคว้งคว้างอยู่กลางห้องเพียงลำพัง
***************
ดมิสานั่งรออยู่ครู่หนึ่ง เจ้าซูกัสก็วิ่งมาหาและยกสองขาหน้าวางบนตัก ทำเอาเจ้าของร้านอุทานด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นซูกัสออดอ้อนลูกค้าคนไหนขนาดนี้ ภาวินีเดินกลับมาหาดมิสาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยแนะนำ
“ลองจับเล่นดูไหมคะ เดี๋ยวพี่พาไปล้างมือค่ะ อ้อ พี่ชื่อพี่ภานะคะ มีอะไรเรียกพี่ได้ค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้ายอมไปล้างมือเพื่อกลับมาเล่นกับซูกัส ภาวินีเริ่มสอนตั้งแต่วิธีการอุ้ม การประคองหลัง และที่สำคัญต้องประคองก้นไว้ด้วยไม่ ให้กระต่ายดีด ขนของซูกัสนุ่มเสียยิ่งกว่านุ่ม นุ่มกว่าสิ่งมีชีวิตใดที่ดมิสาเคยได้สัมผัส หญิงสาวกอดกระต่ายน้อยไว้ โดยไม่รู้เลยว่าภายในร่างเธอ มีกุมารน้อยสุวรรณสวมเข้าไปสิง แบบที่ไม่ทำลายสติมนุษย์ เมื่อดมิสาโอบกอดเจ้าขนฟู เขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นด้วย
‘อุ่น นุ่ม น่าพากลับบ้าน’
เป็นความคิดของสุวรรณ แต่ส่งผ่านเข้าไปในมโนสำนึกของผู้ถูกสิงจนดมิสาคิดว่าเป็นความคิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว เพราะเจ้าซูกัสเป็นกระต่ายสุดรักของภาวินี หล่อนไม่ขายแน่ ส่วนกระต่ายตัวอื่นในร้านแม้มีบางตัวที่ภาวินีติดป้ายขาย แต่ดมิสาก็พากลับไปไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าทำอย่างนั้นบุญเลิศคงน้อยใจ
สุวรรณได้ยินเสียงในจิตของดมิสา จึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังสิงสู่และดลใจเธอโดยไม่รู้ตัว กุมารน้อยพุ่งตัวออกมาจากร่างของหญิงสาวทันที แม้ ว่าเขาจะพรางกายไม่ให้ผู้มีตาละเอียดแบบดมิสาเห็นแล้ว แต่เจ้าซูกัสที่เป็นสัตว์มีสัมผัสรับรู้มากกว่ามนุษย์ก็ตระหนกตกใจที่จู่ๆ เห็นแสงวูบวาบกระ โจนออกจากร่างของหญิงสาว มันสะบัดขาหลังถีบดมิสาเข้าเต็มแรงจนหญิงสาวอุทานเสียงหลง ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะกลัวว่าซูกัสจะตกกระแทกโต๊ะไม้เบื้องหน้า!
อ้อมแขนหนึ่งโอบมาจากทางด้านหลัง รับตัวซูกัสไว้ได้ทัน ก่อนรั้งตัวกระต่ายน้อยกลับมาสู่อ้อมอกหญิงสาวที่กอดมันไว้เนื้อตัวสั่น เธอยืนอยู่เสียด้วย เมื่อครู่นี้หากซูกัสตกลงไปคงเจ็บแน่ เพราะเธอสูงตั้งหนึ่งร้อยหกสิบสี่เซนติเมตร
แต่ชายที่ช่วยเหลือดูเหมือนจะสูงกว่าเธอมาก เพราะศีรษะของหญิงสาวชนอกเขา รู้สึกถึงปลายคางที่บนกลางกระหม่อม และเสียงกระซิบบอกที่ทุ้มอบอุ่นสมเป็นบุรุษเพศ
“โอเค มันไม่ตกแล้ว ค่อยๆ วางนะครับ”
เขาละมือจากซูกัสและถอยหลังออกมา ดมิสาจึงค่อยๆ วางกระต่ายน้อยบนฟูกสีเขียว มันกระโดดออกจากฟูกทันที และวิ่งเข้าไปในโซนกระต่าย กระโดดขึ้นไปบนฟางแห้งแล้วมุดเข้ากรงตัวเองไปหลบอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ประจำตัวเพื่อหลบภัย
“ขอบคุณนะคะ” ดมิสาหันไปบอก ก่อนจะอุทานทัก “อ้าว คุณจิณ”
หญิงสาวประนมมือทันที กำลังจะไหว้สวัสดีเขาอยู่แล้วแต่จิณไตยก็ยกมือห้าม
“บอกแล้วไงครับอย่าไหว้ผม ผมเชื่อนะว่าคุณมิ้งค์ศีลครบกว่าผมแน่ๆ ต่อให้เป็นศีลห้าข้อก็เถอะ”
ดมิสาลดมือลงเก้อๆ ก่อนยกมือขึ้นทัดหูเก้กังอย่างทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่ตอนนี้มีลูกค้าอยู่แค่สองโต๊ะ และทั้งสองโต๊ะก็พากันเข้าไปในโซนกระต่ายที่มีกำแพงไม้บัง ส่วนภาวินีกับหุ้นส่วนร้านนั้นเดินหายไปหลังร้านแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงเก้อเขินกว่านี้
ไออุ่นจากร่างกายเขาที่ซ้อนทับมาข้างหลังเมื่อครู่ยังร้อนวูบวาบ ส่ง ผลให้ดมิสาแก้มแดงอย่างประหลาด ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรกในวัด เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย
“เอ่อ พี่จีไม่สบายค่ะ ฝากบอกคุณด้วยว่ามาไม่ได้แล้ว นี่พี่จีไล่บอกคนอื่นหมดแล้วค่ะ เหลือคุณคนเดียวที่พี่จีบอกว่าติดต่อไม่ได้”
“อ้าว แล้วจีเป็นอะไรมากไหมครับ” เขาแสร้งถามอย่างห่วงใย ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าอรจีราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่รู้ ภาวินีเจ้าของร้านก็รู้แผนการทุกอย่างด้วย เขาจองโต๊ะไว้ในชื่ออรจีราเอง ให้อรจีราเล่าแผนการให้ภาวินีฟังเพื่อที่เจ้าของร้านจะไม่ตำหนิที่จองแล้วยกเลิกแล้วเดี๋ยวเขาจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ต้องเสียเอง
“พอดีโทรศัพท์ผมแบตหมดเสียด้วย”
เขาอ้างอย่างแนบเนียนตามที่อรจีราบอกกับดมิสาว่าติดต่อเขาไม่ ได้ นี่เขาปิดเครื่องด้วยนะ เขาถึงบอกเธอไงว่าศีลเธอครบกว่า เพราะทุกวันนี้เขายังวางแผนให้อรจีรามุสาเธออยู่เลย
“ท้องเสียค่ะ ฝากลางานกับคุณพรุ่งนี้ด้วยนะคะ”
“อ้อ...” เขาพยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสิครับ สั่งอะไรมากินกันหน่อยดีไหม ไหนๆ ก็อยู่ที่นี่แล้ว คุณยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหมครับ”
(((โหลด eBook ได้ที่เว็บ mebmarket)))
สั่งจองหนังสือ ราคา 290฿ ส่งฟรีลงทะเบียน เปิดจองถึง 31 มกราคม 2563
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ธ.ค. 2562, 08:23:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ธ.ค. 2562, 08:23:53 น.
จำนวนการเข้าชม : 637
<< บทที่ 6 -30% + วางขาย eBook แล้ว! | บทที่ 6 -100% >> |