ซ่อนใจไว้ใต้ดาว สนพ.อรุณ
รักที่ซ่อนเร้น หัวใจที่ปวดร้าว และความรักที่ซึมลึกระหว่างหัวหน้าทีมสอบสวนกับลูกน้องจอมป่วน
"ผมเกลียดผู้หญิง!!"
"แต่ฉันชอบสารวัตรค่ะ"?
เรื่องป่วน เครียดปนฮาของทีมสอบสวนพิเศษเกิดขึ้นแล้ว!!

.เรื่องนี้จะอัพเดทสัปดาห์ละตอนนะคะ ค่อยๆทำไป..ฮ่าๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ผกก.เจตต์ในเรื่องหลงกลิ่นจันทน์ ใครจำเขาได้บ้างโผล่มาตอนคดีพิเศษแวบๆ เรื่องนี้จะเป็นช่วงก่อนหน้าที่จะถูกเลื่อนยศให้เป็นผกก.และย้ายลงไปที่โรงพักของสารวัตรว่านรักนะคะ

Tags: ซ่อนริษยา คีตา ณิชนิตา

ตอน: บทที่ 1 ทีมคดีพิเศษ

บทที่ 1 ทีมคดีพิเศษ
ชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำนิดๆ อย่างคนที่ชอบออกแดดเป็นประจำ ใบหน้าเรียว ผมเพ้าที่ดูยุ่งไม่เป็นทรงอะไรซักอย่าง ดวงตาคมกวาดมองรอบร้านกาแฟที่เขานั่งอยู่บรรยากาศเย็น ๆนั่นทำให้เขาอ้าปากหาวไปแล้วสองครั้ง เช้าตรู่ที่ผ่านมาเขาโดนเรียกตัวด่วน ด่วนจนไม่รู้ว่าควรเก็บอะไรก่อนดีได้แต่กวาดของใช้จำเป็นโยนไปท้ายรถอย่างที่ทำเป็นประจำ

“นั่งหาวไม่ปิดปากเลยวะ นิสัยแบบนี้สิไม่มีแฟนกับเขาซักที”ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมเข้มสวมชุดลำลองแต่ดูเรียบร้อยและเป็นทางการกว่าพูดทั้งเดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟร้อนสองแก้ว แก้วหนึ่งสำหรับตัวเองส่วนอีกแก้วสำหรับเพื่อนรักที่เพิ่งโดนต่อว่าเรื่องมารยาทไป

“ก็มันง่วงนี่หว่า”สารวัตรเจตต์ตอบทั้งน้ำเสียงยังคงง่วงงุน ดวงตาแดงก่ำ ผมที่ตกลงมาหน้าผากถูกเสยขึ้นด้วยมือหนาอย่างลวกๆ เขาเป็นอย่างนี้ประจำ ไม่เคยสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตาตัวเองหรือแม้แต่ลักษณะทางกายภาพอื่น ๆเสื้อผ้าที่ซื้อมาเมื่อถูกใจตามร้านขายเสื้อผ้าราคาถูกข้างถนน

“ไม่รู้ว่ามีอะไรนายถึงได้เรียกตัวพวกเราด่วนอย่างนี้” หมวดมนัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เขาเองก็โดนเรียกตัวมาด้วยเอกสารขึ้นต้นหัวจดหมายว่าด่วนที่สุดจากหน่วยงานสืบสวนในโรงพักต่างจังหวัด เช่นเดียวกับเพื่อนที่แม้จะมียศมากกว่าแต่ก็ร่ำเรียนมาในโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกัน

“ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับคดีที่ออกข่าวเมื่อคืนแน่ ๆ เลย”สารวัตรหนุ่มออกความเห็น เพราะในช่วงตื่นนอนสิ่งแรกที่เขาทำอยู่เสมอก็คือเปิดทีวีช่องข่าวไว้ไม่ว่าจะลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อทำกิจวัตรประจำวันหรือยังคงนอนหลับตาต่อก็ตาม

“คดี?”หมวดหนุ่มถามน้ำเสียงสูง

“คดีที่พบศพในกองขยะเป็นข่าวดังนะ ฉันเองก็ยังอยากรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”สารวัตรเจตต์พูดก่อนจะจิบกาแฟที่เพิ่งรับมาถือไว้ มืออีกข้างก็เกาที่บ่าตัวเองเบา ๆ สภาพหัวยุ่งหน้าตาเหมือนคนเพิ่งลุกจากที่นอนทำให้มนัสได้แต่ส่ายหน้า แอบคิดในใจว่าเมื่อไหร่เพื่อนจะเปลี่ยนบุคลิกเสียที ด้วยความที่สารวัตรเจตต์เป็นคนขยันทำงานเก่งเข้าร่วมการปราบปรามคดีสำคัญๆ มีแนวความคิดที่กว้างไกลจึงได้เลื่อนตำแหน่งเร็วแต่ในความโชคดีก็มีบางอย่างปะปนกันไปเสมอ สารวัตรเจตต์เป็นคนตรงทำให้แกว่งปากไปหาเรื่องใส่ตัวเองเป็นประจำ ส่งผลให้กลายเป็นบุคคลที่ไม่น่าชื่นชอบนักสำหรับ ‘นาย’ หลาย ๆ ท่าน

“เฮ้ย แกทำตัวแบบนี้จะมีสาวที่ไหนมองวะดูสิ มีเครื่องแบบเสียเปล่า”มนัสไม่วายบ่นเพราะเขาเป็นคนละเอียดกับการแต่งตัวทุกอย่างแตกต่างกับเพื่อนรักอย่างสิ้นเชิง

“ฉันไม่สนสาว ๆ อยู่แล้วแกก็รู้”สีหน้าของสารวัตรหนุ่มไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ

“ถามจริงเถอะทำไมวะ”หมวดมนัสอยากถามคำถามนี้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ถามซักที

“ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบเท่านั้นเอง”คำตอบไม่ชัดเจนทำให้เพื่อนได้แต่ส่ายหน้า ไม่สนใจจะถามอีกเพราะหากเจตต์ต้องการบอกเขาจะอ้าปากพูดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องง้างเสียให้ยาก

ความเงียบกริบในห้องประชุมทำให้บรรยากาศอึดอัดโดยอัตโนมัติ เจตต์มองคนนั้นคนนี้ในห้องด้วยความแปลกใจ น่าแปลกที่ผู้บังคับการยศเรียกตัวนายตำรวจจากหน่วยต่าง ๆมารวมตัวกันในห้องประชุมเล็ก ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเช้าของวันทำงานวันสุดท้ายที่แสนสุขอย่างนี้

“ผมเรียกทุกท่านมาพบวันนี้ก็เพราะมีเรื่องพิเศษเกิดขึ้นสำหรับพวกเราทุกคน ผมแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมพันตำรวจเอกยศ มิ่งเมืองใหม่ จะเป็นหัวหน้าโดยตรงของพวกคุณทุกคนนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตามโครงการจัดตั้งหน่วยงานสืบสวนคดีอาชญากรรมพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โครงการนี้เพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จากการคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมทำงานในโครงการเราได้พวกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้เข้าร่วมทีม เป็นครั้งแรกที่เราจะทำงานเพื่อประเทศชาติร่วมกันดังนั้น..”เสียงเคาะประตูทำให้ผบช.ยศหยุดการพูดคุยปล่อยให้ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาทำความเคารพเสียก่อน เจตต์เลิกคิ้วสูงแปลกใจที่มีตำรวจหญิงเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วย

“ผมเสนอให้มีหน่วยงานพิเศษที่จะทำการสืบสวนคดีที่ทำให้เกิดความสะเทือนใจต่อสังคมและคดีที่คาบเกี่ยวระหว่างท้องที่ซึ่งเป็นปัญหามาช้านานแล้ว ทีมนี้จะเน้นไปในคดีอาชญากรรม ทุกท่านคงสงสัยว่าเหตุใดจึงได้ถูกโยกย้ายมาในทีมพิเศษนี้ได้ เหตุผลง่าย ๆก็คือทุกท่านเป็นคนที่มีความสามารถจึงเหมาะสมที่จะเข้ามาร่วมทีม คดีพิเศษนี้ครับ”ผบช.ยศเอ่ยทั้งสีหน้ายิ้มแย้มแต่สีหน้าของเจตต์กลับหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด นี่มันต้องเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา คดีพิเศษอย่างนั้นเหรอ คงเป็นคดีที่หน่วยอื่นไม่ต้องการแล้วส่งให้ทีมนี้รับหน้าทัพเสียมากกว่า เขาหันไปนับกลุ่มนายตำรวจในห้องประชุมในใจ..แค่ห้าคน นี่เหรอทีม!!

“ขอโทษนะครับ หน่วยคดีพิเศษที่ว่านี่มีแค่นี้เหรอครับ”เจตต์ยกมือขึ้นถามโดยไม่รีรอซักนิด ผบช.ยศยิ้มกว้างแต่ดวงตากระพริบถี่ยิบก่อนจะตอบ

“ครับ”ยศยิ้มอีกครั้งในใจก็นับเลขหนึ่งถึงสิบเพราะรู้อยู่แล้วว่าการเลือกเจตต์เข้ามาในหน่วยนี้คือการเอาไฟเข้ามาเผาอกตัวเอง ชื่อเสียงการทำงานเขาดีก็จริง แต่นิสัยปากกล้ามันก็ทำให้คนอื่นๆไม่อยากร่วมงานด้วยเช่นกัน

“คงไม่ต้องแนะนำกันมากหรอกมั้งเพราะแต่ละคนก็คงรู้จักกันมาบ้าง ผมขอแนะนำสารวัตรเจตต์ จตุรชานนท์จะมาเป็นหัวหน้าทีมนี้โดยผมเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนบุคลากรที่อยู่ในทีมมี ด้านซ้าย หมวดมนัส ปัญญาดี ดร.ชายไท กุลธรา แล้วก็หมวดปริญญา โชคสรวีย์ ผมรู้ว่าทุกท่านสงสัยว่าแต่ละคนมีที่มาต่างกันผมถึงได้อยากให้รวมมือดีจากทุกที่มาอยู่ในทีม ผมขอตัวดร.ชายไทมาช่วยงานที่หน่วยเพื่อให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นในเรื่องของนิติเวชและเรื่องจิตวิทยาซึ่งดร.เป็นคนที่ศึกษาเรื่องนี้มีผลงานที่น่าสนใจ”ผบช.ยศเก็บประโยคท้าย ๆเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือไว้ก่อนแม้จะรู้ว่าดร.หนุ่มมีความประหลาดและอาชีพเสริมดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ก็ตาม

“ผมเชื่อว่าหากเกิดทีมนี้ขึ้นมาปัญหาหลายอย่าจะคลี่คลายไปได้ ประชาชนจะได้รับความสงบสุขเพิ่มขึ้น”ผบช.ตอบน้ำเสียงเรียบนุ่ม น่าฟัง หากเป็นคนอื่นคงคล้อยตามแต่สารวัตรเจตต์ได้แต่ถอนหายใจทีหนึ่ง เขาคิดว่ามันเป็นการสร้างหน่วยงานซ้ำซ้อน ไม่ได้ทำเพื่อแก้ปัญหาแต่ทำเพื่อสร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้นมากกว่า

“เอาละเริ่มงานเลยดีไหมครับ ผมจะเล่ารายละเอียดของคดีแรกที่เราต้องทำให้ฟังคร่าว ๆ น่ะครับ พวกคุณคงเคยดูข่าวมาบ้าง ศพหญิงสาวนำมาทิ้งไว้ที่ทิ้งขยะ ผู้ตายเป็นหญิงสาวยังไม่ทราบชื่ออายุประมาณ23-25ปี สภาพที่พบเธอ..”ผบช.หยุดพักก่อนจะกล่าวต่อด้วยสีหน้าเศร้า
“ใบหน้าถูกกรีดจนเละ เธอสวมชุดที่ดูหรูแล้วก็เป็นแบรนด์เนมทั้งสิ้น ในตัวไม่พบเครื่องประดับอะไร หมอที่ชันสูตรแจ้งว่า เสียชีวิตเพราะขาดอากาศ รอบคอมีรอยเขียวช้ำคงเกิดจาอาวุธที่ฆ่า จากขนาดของรอยช้ำที่เป็นเส้นยาวเล็ก คนที่พบศพคนแรกคือ คนเก็บขยะเธอโทร.แจ้งตำรวจทันทีที่เห็นแต่นั่นก็หลังการตายเกือบห้าชั่วโมงแล้ว”หลังจากพูดจบ ผบช.ยศก็หันกลับมาหากลุ่มนายตำรวจตรงหน้าทันที “สารวัตรเจตต์ไปที่พบศพอีกครั้งเพื่อตรวจหาข้อมูลเพิ่มเติม หมวดปริญญาและดร.ชายไทไปตรวจสภาพศพด้วยกันนะครับ หมวดมนัสรบกวนไปกับผมด้วยนะครับ …อ้อ..ลืมไปห้องทำงานของทุกท่านอยู่ปีกด้านซ้ายของสำนักงานตำรวจได้โปรดย้ายข้าวของมาภายในวันนี้ด้วยนะครับ”ผบช.ยศเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ลูกน้องต่างมองหน้ากันแปลกใจที่ดูกะทันหันเหลือเกิน

“ขอโทษครับท่าน ผมมีเรื่องอยากพูดกับท่านเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับก่อนที่จะทำงาน”เจตต์ยกมือขึ้นทันที ผบช.เลิกคิ้วมองสีหน้าของนายตำรวจหนุ่มก่อนจะพยักหน้า หันไปบอกให้คนอื่น ๆ ออกไปจากห้องประชุม

“มีเรื่องอะไรหรือครับสารวัตร”น้ำเสียงเย็นของผบช.เหมือนจะรู้แล้วว่านายตำรวจหนุ่มต้องการอะไรกันแน่ คำร่ำลือเรื่องจุดด้อยของนายตำรวจหนุ่มหน้าโหดคนนี้เป็นที่โจษจันกันพอสมควร ผู้ชายอะไรเกลียดกลัวผู้หญิงเข้ากระดูก

“ผมย้ายจากหน่วยปราบปรามยาเสพติดมาที่นี่ผมไม่ขัดข้องหรอกนะครับ ส่วนเรื่องเป็นหัวหน้าทีมโดยที่เพิ่งรู้เรื่องผมก็ยอมรับได้แต่ผมอยากเลือกทีมของผมเองได้ไหมครับ ผมจะเป็นหัวหน้าได้อย่างไรหากไม่มีอำนาจแม้กระทั่งเลือกคนเข้ามาทำงานเอง”

“ผมเข้าใจนะว่าคุณต้องการอะไร แต่เราทำงานแบบนี้ไม่สามารถเลือกอะไรได้ดังใจไปหมดหรอก ผมขอยืนยันว่าลูกทีมของคุณทั้งหมดพร้อมสำหรับงานนี้ หรือแค่หมวดปริญญาเท่านั้นที่คุณไม่ชอบ ผมคิดว่าเธอมีส่วนที่ดีมากเหมาะกับงานนี้”

“ผมไม่ชอบที่จะบริหารงานผู้หญิง”ชายหนุ่มตอบตรงจนผู้บังคับบัญชายิ้มออกมา

“ถ้าอย่างนั้นผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากคุณจะขอย้ายตัวเองออกไปจากหน่วยนี้เองนะ เรื่องแค่นี้คุณก็เอามาเป็นปัญหา แล้วคดีที่ผมจะให้คุณรับผิดชอบมันจะคลี่คลายได้หรือเปล่า ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าคุณเก่งจริงอย่างที่เขาร่ำลือกัน” น้ำเสียงนุ่มไม่แสดงทีท่าอาการไม่พอใจอะไรทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความจริงจังได้ทันที สารวัตรหนุ่มลูบคางตัวเองไปมาคล้ายกับใช้ความคิดบางอย่าง

“ครับท่าน ผมจะทำงานนี้”เขารับคำน้ำเสียงหนักแน่น

“งั้นก็เชิญนะ”ผบช.ยศมองลูกน้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่คนถูกมองได้แต่เก็บกดอารมณ์ไว้ไม่ให้มีพลุ่งพล่าน สารวัตรหนุ่มไม่ชอบใจเรื่องที่โดนบังคับเอาเสียเลย ผู้หญิง เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะเดินห่างให้ไกลที่สุด ‘สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนมีกลไกลที่ยากจะเข้าใจ’

เจตต์เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่โต๊ะทำงานข้าง ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด หน้าตายังเด็กใบหน้าใสกลมไม่ผอมเพรียวเหมือนสาว ๆ ทั่วไปผมสั้นสีดำขลับ ใบหน้าของปริญญาไม่ได้ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์ใด ๆ ตอนนี้หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า เธอดูเหมือนเด็กหนุ่มหากมองแค่ท่อนบนที่สวมเครื่องแบบ แต่ถ้าหากมองโดยรวมเหมือนจับเด็กผู้ชายมาใส่กระโปรงมากกว่า..เด็กมัธยม?

“สารวัตรมองหน้าฉันมีปัญหาอะไรเหรอ”ปริญญาถามทั้ง ๆ ที่ตายังคงอยู่กับกระดาษไม่ได้เหลือบมองคู่สนทนาแม้แต่น้อย

“ก็แค่สงสัยว่าทำไมเธอถึงได้มาเป็นตำรวจ”

“เพราะชอบน่ะคะ แล้วมันเกี่ยวกับคดีนี้ไหมคะ”หญิงสาวหันกลับมาจ้องตาคนถามแบบไม่หลบเลยซักนิด

“ก็แค่อยากรู้ ผู้หญิงน่ะเขาไม่ทำงานเสี่ยงๆ แล้วก็อยู่กับศพแบบนี้หรอก”

“ก็..อยากทำ ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกค่ะ ฉันขอตัวนะคะสารวัตรต้องไปดูศพก่อน คุณเองก็รีบไปก่อนที่ฝนจะตกดีกว่าค่ะ”เธอหันมาบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง เจตต์เบ้ปากก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามทีแล้วลุกจากเก้าอี้ของตัวเองเดินออกไปจากห้องเช่นกัน

เมื่อไปถึงสถานที่พบศพซึ่งเป็นที่รกร้างไว้เป็นที่ทิ้งขยะของคนเมือง เศษขยะเต็มไปหมดอย่างนี้แล้วเขาจะจัดการแยกออกมาได้ยังไงว่าสิ่งใดที่ควรจะเป็นของเหยื่อหรือของฆาตกรที่เผลอทิ้งไว้ เจตต์จัดการถ่ายรูปที่เกิดเหตุไว้ทุกมุม ฆาตกรฉลาดที่พาเธอมาทิ้งไว้ที่นี่ก็เพราะคงไม่มีใครผ่านมาแถมยังเป็นที่ทิ้งขยะถ้าเป็นต่างประเทศก็คงเก็บเอาขยะพวกนี้ไปแยกหาหลักฐานแล้วแต่ที่นี่..ประเทศไทย แสงแดดจ้าในช่วงสายทำให้เขามั่นใจว่าคงไม่มีน้ำฝนมาชะล้างเอาหลักฐานออกไปด้วยแน่ ๆ

นายตำรวจหนุ่มก้มลงมองตลับสีขาวซึ่งถูกวางไว้ข้าง ๆ รอยเส้นสีขาวซึ่งฉีดบอกตำแหน่งที่พบศพ เขาหยิบขึ้นมาดูเพ่งอยู่ครู่เดียว ภาษาอังกฤษบ่งบอกยี่ห้อแป้งพัฟแต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจไม่ใช่ยี่ห้อเครื่องสำอางค์แต่เป็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนตลับต่างหาก ลักษณะที่เปิดฝาทิ้งไว้กระจกที่ติดไว้กับตลับยังมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ไม่มาก เขาหันไปหยิบถุงพลาสติกในกล่องอุปกรณ์พิสูจน์หลักฐานมาเก็บเอาไว้ อยู่ดี ๆ หยดน้ำฝนก็ตกลงมาที่ใบหน้าของเขา สารวัตรเจตต์เงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง ฝนตกลงมาอย่างหนักทั้ง ๆที่เมื่อครู่ยังแดดจ้าอยู่เลย นายตำรวจหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหลบที่บ้านร้างไม่ห่างจากที่เกิดเหตุนัก เหล่านายตำรวจที่มาช่วยต่างวิ่งหนีหลบฝนกันโกลาหลไปหมด

“แปลกจริง อยู่ดี ๆ ก็ตกไม่มีเค้าซักนิดว่าไหมครับหมวด”นายตำรวจท้องที่เอ่ยขึ้น

“นั่นสิ”เจตต์เห็นด้วย

“แย่จริง ๆ ร่องรอยหลักฐานคงหายไปกับฝนว่าไหมครับสารวัตร”เจตต์ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปกับนายตำรวจที่หาเรื่องคุยระหว่างรอฝนหยุด เขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ยายอ้วนปริญญารู้ได้ยังไงว่าฝนจะตก อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ หรือว่ามีพยากรณ์อากาศบอก?

ปริญญาเดินเข้าห้องชันสูตรมาพร้อมกับดร.ชายไท เขาชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งออกจะผอมไปในความคิดของปริญญา ใบหน้าใส ดวงตามีแค่ชั้นเดียวแต่ไม่ได้สวมแว่นสายตาเหมือนผู้คงแก่เรียนทั่วไป ผมสีน้ำตาลประกายทองที่เซ็ตอย่างดีทำให้เขาดูเท่ไปอีกแบบแถมด้วยการแต่งตัวที่ออกแนววัยรุ่นสมัยใหม่ตามแฟชั่นพอสมควรไม่น่าเชื่อว่า..เขาจบด็อกเตอร์ หญิงสาวประเมินด้วยสายตาเธอคิดว่าดร.หนุ่มน่าจะอายุยี่สิบกว่า ๆ น่าจะเท่าๆ กัน ทว่าท่าทางการแต่งตัวของเขากับกิริยานั้นคนละเรื่องกัน การแต่งตัวแรงแต่นิสัยกลับสุภาพ

เธอมองความสุภาพเรียบร้อยของดร.ชายไทพลางเปรียบเทียบกับนายตำรวจเจตต์ ตำรวจมาดเซอร์ ออกแนวซกม๊กเสียด้วยซ้ำไป ไม่มีมาดดีมีแต่มาดกวดประสาท

“หมวดปริญญาจ้องหน้าผมทำไมเหรอครับ”ดร.ชายไทถามหลังจากที่รู้สึกว่ามีคนจ้องเขานานมาก หญิงสาวยิ้มจืดให้

“แค่คิดว่าคนที่เป็นด็อกเตอร์นี่เป็นแบบนี้ทุกคนไหมค่ะ พอดีพี่ชายปี่ก็เพิ่งเรียนจบค่ะแต่ดูเป็นคนแก่มากกว่าดร.แต่ปี่ว่าดร.เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไปค่ะ”

“อ้าวหรือครับ ท่าทางแบบนี้ก็มีเยอะแต่ไม่ใช่แบบนี้ก็เยอะเหมือนกันครับหมวด ผมเพิ่งเลยเบญจเพศมานิดหน่อยครับใช้ระยะเวลาเรียนน้อยกว่าคนอื่นด้วยความโชคดีมากกว่า ผมอาจจะอยู่ระหว่างวัยรุ่นตอนปลายมั้งครับ”เขาว่าติดตลกทำให้บรรยากาศระหว่างกันดีขึ้น
“ดร.เรียกว่าปี่ก็ได้ค่ะ ดูสนิทขึ้นหน่อย ปี่ไม่ใช่คนมีพิธีเยอะ”

“ฮ่า ๆ มีบางคนชอบบอกว่าผมเป็นคนสุภาพเกินเหตุเหมือนกันครับแต่ก็เฉพาะบางคนด้วยแหละครับ จริง ๆผมเป็นคนขี้เล่นแต่มาร่วมทีมนี้ทำให้ผมรู้สึกเกร็งๆครับ”เขาเสริมสีหน้ายินดีไม่ได้คิดเล็กน้อยกับเรื่องที่ได้ยินสักนิด

ดร.ชายไทมองรอยกรีดที่ใบหน้าของหญิงสาวนิรนามบนเตียงแล้วขมวดคิ้ว “แปลกแต่จริงนะครับ คนเราจะฆ่ากันยังมาทำร้ายกันอีก นี่กะจะไม่ให้ใครจำได้หรือไง”
ปริญญามองที่ใบหน้านั้นอีกครั้ง รอยกรีดหลายแผลนั้นมีเลือดเปรอะไม่มากเท่าใดนักทั้ง ๆที่บาดแผลเหล่านั้นมากมายและลึกจนเกือบเห็นกระดูก

“เธอถูกกรีดใบหน้าหลังจากที่เสียชีวิตแล้วครับ ถ้ากรีดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เลือดจะเยอะกว่านี้มาก แต่นี่บาดแผลลึกมากแต่เลือดไม่สมดุลกัน”ดร.หนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเรียบ

“มันอาจจะไม่ใช่การทำให้ใครจำเธอไม่ได้หรอกค่ะ แต่อาจจะเป็นการระบายความรู้สึกบางอย่างของฆาตกรมากกว่า ถ้าไม่อยากให้จำเธอได้ทำไมไม่ตัดนิ้วทิ้งไปละคะแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะยังคงถูกจำได้ ดูเสื้อผ้าพวกนี้สิคะหมอ ของดีๆ มีราคาทั้งนั้น เธออาจจะเป็นลูกของคนรวยที่หายตัวไปก็ได้”

“มันก็อาจจะใช่ ในร่างกายจากผลตรวจนี่ไม่มีสารพิษ อาหารมื้อสุดท้ายยังไม่ย่อยเลยครับ สาเหตุการตายเกิดจากขาดอากาศหายใจ ดูจากรอยเขียวช้ำที่คอน่าจะบอกได้ว่าถูกรัดจากเชือกเส้นเล็ก ข้อมือที่เห็นมีรอยขีดข่วนอาจจะเกิดจากการต่อสู้ระหว่างที่ถูกรัดคออยู่”

ปริญญายืนนิ่งเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่างหลังจากที่ฟังข้อมูลจากหมอหนุ่ม
“ปี่กำลังคิดว่าจะเรียกดร.หรือคุณหมอดี ยังไม่ทราบชัดเจนเลยว่าดร.เป็นหมอนิติเวชของทีมเราหรือเปล่า ท่านผบช.ก็แนะนำไม่ละเอียด”

“เรียกผมว่าชายเฉยๆก็ได้นะครับ ตามตำแหน่งที่ผมเซ็นต์รับคือ ที่ปรึกษาครับ ผมเรียนดร.ด้านจิตวิทยาครับแต่สิ่งที่ผมชอบจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเครียดๆ พวกนี้หรอกครับ”

“คุณชายชอบอะไรเหรอคะ?”

“ผมชอบดูดวงครับ ดูดวงให้คนอื่น”

“ห๊ะ?อะไรนะคะ”

“ผมเรียนเรื่องดูดวงด้วยครับ อาจจะเคยเห็นผมในรายการดูดวงช่องเคเบิลทีวี ออกอากาศตอนดึกๆหน่อย”เขายิ้มเหมือนเป็นเรื่องน่าภูมิใจกับงานอดิเรกของตัวเองนักหนา ปริญญาได้แต่ยิ้มแปลกๆ เพราะดร.หนุ่มหน้าตี๋คนนี้เพิ่งบอกเรื่องงานอดิเรกซึ่งขัดกับงานประจำที่เขาทำแบบสุดกู่เลยทีเดียว

“แล้วนี่คุณปี่จะกลับไปเก็บของที่สำนักงานเก่าไหมครับ”

“ไม่ละคะ ปี่ไม่มีอะไรต้องเก็บ”สีหน้าของปริญญาเรียบเฉยเมื่อเอ่ยถึงหน่วยงานที่ย้ายมา เธอไม่เคยคิดอยากกลับไปที่นั่นอีก ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เธอลาพักได้ยินข่าวการตั้งหน่วยพิเศษจึงส่งเรื่องของย้ายหน่วยทันที ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรเธอก็ต้องย้าย จะใช้วิธีที่มันไร้จิตสำนึกเธอก็ต้องทำขอให้หลุดพ้นจากที่นั่นเป็นพอ

ปริญญาเดินเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้งหลังจากที่เข้าไปรับเอกสารระบุตัวบุคคลของศพที่พบ เธอกวาดสายตามองเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่เมื่อเห็นว่ามีที่เดียวที่มันเหลือไว้ให้เธอก็คือข้างสารวัตรเจตต์ หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ เพราะไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้นัก เขามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอคิดว่านั่นไม่ใช่สายตาดูถูกเหมือนที่เคยเห็นแต่เป็นสายตาประหลาดใจหรือวิตกกังวลประมาณนั้นมากกว่า

ชายหนุ่มนั่งอ่านหนังสือรอการเริ่มประชุมเหลือบมองคนที่เดินเข้ามานั่งข้างๆแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ

“สวัสดีตอนเย็นครับหมวดปริญญา”หมวดมนัสเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้

หญิงสาวยิ้มตอบ “สวัสดีค่ะ หมวดมนัสไปไหนกับท่านผบช.มาเหรอคะ”

“ไปติดต่อสื่อมวลชนครับ เพราะคดีมีหลายอย่างต้องชี้แจงกับสื่อเพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกเกินไป”หมวดมนัสอธิบาย ปริญญามองชายหนุ่มตรงหน้าพรางพินิจในใจว่าเขาเป็นหนุ่มรูปงามแถมแต่งตัวเนี๊ยบ วิธีการพูดจาก็ดูมีมารยาท หัวหน้าคิดถูกแล้วที่เอานายตำรวจหนุ่มคนนี้ไปติดต่อกับสื่อมวลชน

“ทำไมหัวหน้าถึงได้ให้แกไปวะ ทำไมไม่เอาผู้หญิงไปทำงานนี้แล้วเอานายมาทำคดี ผู้หญิงก็ควรทำงานที่ผู้หญิงทำได้”เสียงนั้นดังมาจากสารวัตรหนุ่มทำให้คนฟังในห้องถึงกับชะงัก หมวดมนัสถึงกับกระแอมเบาๆ

“ฉันมีหน้าตาและท่าทางดี นั่นคือคำตอบของหัวหน้า ฉันยอมรับนะว่าหน้าตาดีแต่อย่างไรเสียก็ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับสื่อฯมากนักหรอกแต่มันคือหน้าที่น่ะท่านสารวัตรเข้าใจใช่ไหม”

“ฉันว่าถึงเอาฉันไปทำหน้าที่นั้นก็ทำได้ไม่ดีเท่าหมวดมนัสหรอกค่ะ ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่ยิ้มหวานอย่างเดียวเสียหน่อย”ตำรวจหญิงเอ่ยโพล่งขึ้นมาบ้างแม้จะพยายามกักเก็บอารมณ์ที่สุดแล้วแต่มันทนไม่ไหวเอาจริง ๆ เขาเป็นคนมองคนแค่เปลือกนอกจริง ๆ แต่พอคิดได้ว่าตัวเองได้เผลอพลั้งปากออกไปด้วยอารมณ์ก็กลับเป็นฝ่ายเฉย..ไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

เจตต์เงยหน้ามองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ ด้วยใบหน้าเคร่งๆ อาการไม่สบอารมณ์ของเพื่อนชายทำให้หมวดมนัสรีบตัดบท

“เฮ่อ ทำไมป่านนี้หัวหน้ายังไม่มาอีกนะ ใช่ไหมครับด็อกเตอร์”หมวดมนัสหันไปหาตัวช่วยที่นั่งทำหน้าเจื่อน ๆ อยู่ไม่ไกล

ปริญญาหันไปสบตาชายหนุ่ม เขาเป็นคนหาเรื่องก่อนนี่นะ ไม่ใช่เธอ!!
ผบช.ยศเดินเข้ามาในห้องพอดิบพอดีทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป หลังจากที่หมวดหนุ่มพยายามที่จะปรับให้ดีขึ้นแค่ไหนแต่เมื่อเห็นแววตาของสารวัตรเจตต์แล้วก็ได้แต่ถอนใจด้วยอารมณ์กร่อยๆ

“รายละเอียดที่ให้ทุกคนหาได้อะไรมาบ้าง หมวดปริญญาก่อนครับ”ผบช.ยศเอ่ยถามหญิงสาวขึ้นก่อน

“ตามที่ได้ไปตรวจหาการระบุตัวของศพ แน่ชัดแล้วนะคะว่าคือ นางสาววริชญา ประดับฟ้า เป็นนางแบบหน้าใหม่ของวงการบันเทิงค่ะ ส่วนเรื่องสภาพศพให้คุณชายอธิบายดีกว่าค่ะ”หญิงสาวพูดจบก็ยื่นเอกสารให้หัวหน้าก่อนจะนั่งลงและส่งไม้ต่อให้กับดร.ชายไท

“จากที่ผมเล่ามาทั้งหมดในร่างกายของเหยื่อไม่มีรอยนิ้วมือหรือเนื้อเยื่อที่จะช่วยชี้เบาะแสคนร้ายได้เลยครับ”ดร.หนุ่มอธิบายรายละเอียดที่พบจากศพจบก็นั่งลง

“ไม่พบรอยนิ้วมือ คนร้ายรู้จักใส่ถุงมือแล้วเหรอสมัยนี้”ผบช.เอ่ยท่าทีแปลกใจ

“มันหมายความถึงแนวความคิดของคนร้ายที่มีความรู้มากพอครับ”เจตต์เอ่ยตอบคำถามน้ำเสียงเรียบพอๆกับสีหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนร้ายต้องวางแผนไว้อย่างดีก่อนที่จะลงมือ แล้วที่พบศพเป็นอย่างไรบ้างสารวัตร”

“หลายอย่างหายไปกับฝนครับ เราคงต้องสืบจากพยานแวดล้อม ฆาตกรน่าจะรู้จักกับเหยื่อเป็นอย่างดี แค่เฝ้ารอจังหวะเหมาะเท่านั้นเอง ผมว่าฆาตกรจะต้องเป็นผู้หญิงครับ”เจตต์พูดพร้อมกับยกถุงหลักฐานที่บรรจุตลับแป้งพัฟขึ้นมาโชว์ “ดูจากสิ่งนี้ แล้วก็สภาพศพ มันคือการเหยียดหยามและความสะใจ”

“หมายความว่ายังไง”ปริญญาเอ่ยถามเหมือนเหม่อลอย

“หลังจากที่ฆ่าเหยื่อจนตายแล้วทำไมยังต้องกรีดหน้าเธอซ้ำอีกแถมยังทิ้งตลับแป้งที่เปิดช่องกระจกไว้ เปิดไว้ทำไม? ผมคิดว่า เขาเปิดไว้ให้เหยื่อดูหน้าตัวเองว่าตอนนี้มันไม่ได้สวยอย่างเมื่อก่อน นั่นเป็นความสะใจของฆาตกร”

“โรคจิตชัด ๆ”หมวดมนัสเอ่ยเบา ๆ ขนลุกเกรียวเพราะนึกไม่ถึง

“ผมเห็นด้วยกับสารวัตรครับ ไม่แน่ว่าฆาตกรคนนี้อาจจะเป็นโรคจิตก็ได้ แรงที่ถูกผลักมาจากสภาพแวดล้อมของเขาเองซึ่งอาจจะเป็นคนไม่สวย อยู่ในขั้นอัปลักษณ์แต่ต้องอยู่ในแวดวงของคนสวย ๆ ก็ได้นะครับ”ดร.ชายไทเสริมสีหน้าตื่นเต้นทำเอา หมวดมนัสมองนักวิชาการตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจเต็มที่

ผบช.ยศสบตากับสารวัตรเจตต์ด้วยความรู้สึกพออกพอใจ เขาคิดไว้ไม่ผิดที่เลือกนายตำรวจคนนี้มาร่วมทีม เจตต์เป็นคนเก่งแต่นิสัยไม่สนใจคนอื่น ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับใครโดยเฉพาะกับผู้หญิง มันออกจะแปลกแต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา

ส่วนนายตำรวจหญิงปริญญาที่นั่งข้าง ๆทำงานได้ดีตามที่รับปากกับเขาตั้งแต่แรก ความสดใสน่ารักที่เธอปกปิดไว้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแรกที่เธอทำหลังจากขอย้ายมาจากหน่วยงานเดิม สาเหตุที่รับหมวดปริญญาเข้าร่วมทีมก็เพราะโดนบังคับจากเพื่อนนายตำรวจอีกทีหนึ่ง หากไม่รับหมวดปริญญาเข้าร่วมทีมเขาต้องโดนเตะโด่งออกจากรมฯแน่ ๆ

“เอาละ อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นแค่สมมุติฐานยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน สารวัตรไปสอบปากคำเพื่อนร่วมงานและครอบครัวของเธอเพิ่มเติมพาหมวดปริญญาไปด้วยละ ส่วนหมวดมนัสแจ้งครอบครัวเธอด้วย แล้วนัดสอบปากคำเบื้องต้น และหลังจากแจ้งครอบครัว เชิญสื่อแถลงข่าวความคืบหน้าด้วย ดร.ชายไทรบกวนตรวจศพเพิ่มเติมเผื่อมีอะไรที่เราหลุดไปนะครับ”ผู้กำกับฯสั่งการก่อนจะลุกขึ้น

“หลังแถลงข่าวขอให้ทุกคนไปเจอกันที่ร้านอาหารผมจองไว้แล้ว อยากนั่งคุยกันซักหน่อยก่อนที่เราจะได้ร่วมงานกันต่อไป”ยศเอ่ยตบท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้อง หมวดมนัสหันมายักคิ้วให้เพื่อนก่อนจะวิ่งตามนายไป

“เรื่องกินฟรีไม่เคยพลาดเลย ดร.ชายไปด้วยกันไหมครับ”ชายหนุ่มบ่นให้หมวดมนัสก่อนหันไปถามดร.หนุ่มซึ่งกำลังเก็บข้าวของอยู่บนโต๊ะประชุมเงียบๆ

“เอ่อ..ผมเอารถไปต่างหากดีกว่าครับ ต้องไปรับหลานชายที่โรงเรียนอีกครับเดี๋ยวจะยุ่งยาก สารวัตรเจตต์ไปกับหมวดปริญญาสิครับ หมวดปริญญาไม่มีรถนี่ใช่ไหมครับ”ดร.ชายไทแนะ หญิงสาวแอบกัดฟันเบาๆพลางคิดต่อว่าดร.ชายไทในใจ ..ทำไมต้องบอกนายนี่ทุกเรื่องด้วยละ..

เจตต์เหลือบมองหญิงสาวก่อนจะยิ้มแบบเสียไม่ได้ “ไปด้วยกันไหม หมวดปริญญา..เหอะ..ชื่อยาวเป็นบ้ามีชื่อเล่นให้เรียกไหม”

“เรียกปี่ก็ได้ค่ะสารวัตรเจตต์”ปริญญาเน้นชื่อชายหนุ่มอย่างชัดเจน เขาหัวเราะในลำคอเบาๆรู้แล้วว่าหญิงสาวรวน

“ครับ เรียกผมเจตต์น่ะแหละชื่อผมสั้นๆแล้วผมก็ไม่หวงชื่อหรอก เชิญครับรถผมอาจจะรกหน่อยนะไม่ค่อยมีผู้หญิงนั่งด้วยน่ะ”เจตต์เอ่ยทั้งยิ้มขำแต่อีกฝ่ายหน้าบึ้งเพราะไม่คิดอยากจะไปด้วยนัก

เมื่อไปถึงรถปาเจโร่สีดำที่แม้จะดูเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดแต่สภาพเหมือนไม่ได้ล้างมาเป็นแรมปี ปริญญาทำสีหน้าระอากับสิ่งที่เห็นเธอมีความสนใจเรื่องรถยนต์มานานเพราะธุรกิจครอบครัวมีความเกี่ยวเนื่องกัน จากที่เห็นมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กนิสัยของผู้ชายมักจะชื่นชอบรถและดูแลอย่างดี แต่ดูจะนับสารวัตรเจตต์เข้าเป็นคนส่วนมากด้วยไม่ได้

เมื่อเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำข้างคนขับได้หญิงสาวก็ต้องขยับตัวอีกครั้งเพื่อให้มือได้ล้วงเอาบางสิ่งที่เธอนั่งทับลงไปแล้วออกมาได้ ตามจริงปริญญาจะเป็นคนที่ช่างสังเกตแต่คงเพราะมัวอึ้งกับสภาพรถก็เลยไม่ได้ดูตรงที่นั่งเสียก่อนว่ามีอะไรวางไว้เกะกะไหม เมื่อล้วงสิ่งที่นั่งทับไปแล้วออกมาได้จึงเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นคูปองลดราคาอาหารอะไรซักอย่าง แววตาประหลาดใจของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มเหล่มองทั้งทำหน้าเฉยก่อนจัดการสตาร์ทรถ

“โยนไปเบาะหลังเลยก็ได้ถ้าผมจะใช้ผมจะไปควานหาเอง”เขาบอกง่ายๆแล้วเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกไป หญิงสาวทำตามคำสั่งเพราะไม่อยากมีปากเสียงกับหัวหน้าแม้จะรู้สึกคันปากอยากพูดอะไรก็ตาม ..นี่มันรถหรือถังขยะเคลื่อนที่กันแน่!!

กว่าจะไปถึงร้านอาหารที่นัดกันไว้ก็พอดิบพอดีได้ฟังข่าวที่ผบช.ยศออกแถลงจบ ปริญญาจำได้ว่าประโยคแรกที่ผบช.ถามเธอก่อนรับเข้าร่วมทีมสืบสวนก็คือ แน่ใจหรือว่าจะไม่ถอนตัวออกไปกลางคัน งานนี้หนักนะไม่ใช่อย่างที่คุณเคยทำมานะ เธอตอบรับทันทีแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย ที่ไหนก็คงดีกว่าที่เดิมเธอแน่ ๆ ขอให้ได้หลุดออกมาเป็นพอ

“ถึงแล้วครับ เฮ้อ..ไม่ถนัดปากจริง ๆ เลย”เจตต์บ่นก่อนจะลงจากรถ เขาเห็นว่าหญิงสาวทำหน้านิ่งเงียบมาตลอดทาง อาจจะเพราะไม่เคยชินกับผู้ชายแบบเขา เขาไม่ค่อยชอบที่จะทำอะไรแบบมีพิธีรีตองแถมต้องมานั่งคิดว่าพูดแบบนี้คนฟังจะรู้สึกอย่างไร คิดโน่นคิดนี่เยอะเกินไป นี่ละทำให้ไม่อยากทำงานกับผู้หญิง ผู้หญิงจะมีความต่างตรงเธอคิดเยอะ จุกจิก ไร้เหตุผล

ปริญญาสะดุ้งเพราะมัวแต่คิดเรื่องของตัวเองอยู่ไม่ทันได้มองว่ามาถึงร้านอาหารแล้ว
“ค่ะ ขอบคุณสารวัตรมากนะคะที่ให้ติดรถมา”

“ก็ชวนไปอย่างนั้นแหละเดี๋ยวเขาจะหาว่าใจร้าย”คำตอบของชายหนุ่มทำให้ปริญญากรอกตาไปมา นึกหมั่นไส้คนพูดเอามาก ๆ เมื่อเข้าไปในห้องวีไอพีที่หัวหน้าจองไว้ล่วงหน้า ปริญญารีบมองหาที่ว่างที่จะไม่ต้องนั่งใกล้สารวัตร เห็นหมวดมนัสนั่งรออยู่แล้วก็รีบตรงเข้าไปนั่งข้าง ๆ เจตต์มองท่าทางของหญิงสาวแล้วก็นึกขำ

“มาด้วยกันเหรอครับ”มนัสหันมาถามหญิงสาวสีหน้าแปลกใจเต็มที่

“ค่ะ สารวัตรใจดีให้ติดรถมาด้วย”ปริญญาตอบสีหน้าเบื่อเหมือนจำใจต้องพูดออกมาเช่นนั้นมากกว่า

“คุณปี่เป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะครับที่ได้นั่งรถสารวัตรน่ะ”มนัสทำสีหน้าตื่นเต้น ทำให้เจตต์ตีหน้าขรึมใส่

“หวังว่าจะไม่ใช่คนสุดท้ายละกัน”ปริญญาต่อให้น้ำเสียงเต็มกลืน ทำให้มนัสถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอดไม่อยู่
“เพราะผมคิดว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงหรอกถึงได้ยอมน่ะ ถ้าไม่คิดอย่างนี้ผมก็ทำงานไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้แน่ๆ”เจตต์แย้งขึ้นมาทันที

ปริญญาทำหน้าเหวอ..หา? อะไรนะ คิดว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ? หมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ก็ดีนี่ สิ่งนี้แหละที่เธอต้องการ ‘ไม่ต้องการเหมือนผู้หญิง’

“คุณปี่ไม่ต้องคิดมากนะครับ สารวัตรเจตต์น่ะเป็นโรคกลัวผู้หญิงครับ เข้าใกล้ไม่ได้เขาไม่รู้วิธีพูดกับผู้หญิงหรือการอยู่ร่วมกับผู้หญิงอะไรประมาณนี้น่ะครับ”มนัสอธิบายเพื่อไม่ให้ฝ่ายหญิงคิดไปไกลเกิน กลัวว่าการทำงานร่วมกันในอนาคตจะลำบาก

“งั้นก็คิดว่าเป็นผู้ชายก็ได้ อยากคิดยังไงก็ตามใจเถอะคะสารวัตร”สีหน้าของปริญญาดูเบื่อหน่ายเต็มทีกับนิสัยประหลาดๆของเขา แต่มันเป็นผลดีกับเธอก็ยอม ๆ ไปดีกว่า จะได้ไม่เกิดปัญหา

ส่วนสารวัตรหนุ่มมาดเซอร์ได้แต่เบ้ปาก คิดถึงนิสัยประชดประชันของผู้หญิงแล้วนึกสยอง การได้ทำงานกับผู้หญิงทำให้เขาลำบากใจดังนั้นจึงสมควรท่องเอาไว้ว่าหมวดปริญญาไม่ใช่ผู้หญิงท่าทางจะเวิร์คกว่าแน่ ๆ

“ผมจะทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองสบายใจที่สุด”เขาว่าต่อ

“ผู้ชายอะไรเอาแต่ใจสุด ๆ” ปริญญาบ่นเบา ๆ แต่นั่นกลับทำให้มนัสที่นั่งข้าง ๆเผลอหัวเราะออกมา

ไม่นานผบช.ยศก็เดินทางมาถึง ผู้บัญชาการหน่วยคดีพิเศษส่งยิ้มให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน มนัสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจสำหรับเขาแล้วรอยยิ้มของผบช.เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องยุ่งๆ เป็นมาอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยที่เพิ่งจบนายร้อยหมาดๆแล้วต้องไปประจำโรงพักเดียวกันกับ‘นาย’คนนี้ ต้องเจอคดีแปลก ๆแถมยังเป็นเสือยิ้มหวานแต่อาบยาพิษ นั่นเป็นฉายาที่ตำรวจทั้งโรงพักยกให้กับ ผบช.ยศ มิ่งเมืองใหม่

“ผมยินดีนะครับที่พวกเรามาร่วมงานกันได้ จริง ๆ โปรเจ็คนี้ผมคิดมานานแล้ว อย่างไรก็ตามผมอยากให้ทุกคนตั้งใจทำงานนี้กันอย่างเต็มที่เพื่อประชาชนและสังคมนะครับ”

“ท่านผบช.พูดอย่างกับอยู่หน้าจอไม่มีผิดเลยนะครับ”เจตต์เอ่ยขึ้นหลังจากฟังคำพูดของหัวหน้าหน่วยจบ

“ผมพูดตามความรู้สึกจริง ๆนะสารวัตรเจตต์ สำหรับคุณเองผมก็ชื่นชมมานานแล้ว ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกันครั้งแรกนะครับ”

“ขอบคุณครับ แต่ผมว่าผมมันเป็นจอมป่วนมากกว่า”เจตต์ถ่อมตัว

“ดื่มตามสบายนะ วันนี้ผมเลี้ยงเอง พรุ่งนี้เราจะได้เริ่มงานกันให้เต็มที่”ผบช.ยศหันไปบอกสมาชิกทุกคนก่อนจะหันไปมองปริญญา “หมวดปริญญาเป็นยังไงบ้างครับทำงานกับผู้ชายเยอะๆแบบนี้ลำบากใจไหมครับ”

“ไม่เป็นไรคะ ปี่ชินแล้วคะ”

“เชื่อได้ว่าที่นี่จะไม่มีปัญหาอะไรให้คุณลำบากใจนะครับ ผมเอาตัวเองเป็นประกันไว้เลยถ้าผมยังเป็นผู้บัญชาการหน่วยนี้คุณจะไม่เป็นอะไร”คำมั่นของผบช.ยศทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาได้ เจตต์สังเกตอาการและท่าทีเหล่านั้นด้วยความแปลกใจ ทำไมต้องให้คำมั่นอย่างนั้น น่าแปลกอะไรนักหรือที่ตำรวจหญิงจะเข้าร่วมทีมสอบสวน ชายหนุ่มส่ายหน้าหันไปกินอาหารที่เพิ่งตักมา เขาไม่อยากสนใจหรอก เรื่องของคนอื่น ทำงานของตัวเองเป็นดีที่สุด




ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ส.ค. 2554, 15:49:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มี.ค. 2555, 17:33:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2249





   ตอนที่ 2 ร่องรอย >>
ปูสีน้ำเงิน 22 ส.ค. 2554, 00:30:37 น.
น่าสนุกน่าติดตามมาก


วนัน 27 เม.ย. 2555, 18:01:10 น.
น่าตื่นเต้นคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account