Cause of Love...เล่ห์อำพรางใจ: เอบิช (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เพราะความจำเป็นในชีวิต บีบบังคับให้ ‘มิวาร์’
ต้องทำสัญญาเงินกู้กับ ‘อีรอส ไททัน’ โดยแลกกับการเป็นผู้หญิงของเขา

อีรอสเป็นนักธุรกิจไฟแรง ติดโผชายในฝันของสาวๆ ทั่วทั้งนครนิวยอร์ก
และมีดีกรีเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
แต่ในสายตาของมิวาร์ เขาก็เป็นแค่อีตาหื่นจอมเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง
ที่จ้องจะหิ้วเธอขึ้นเตียงทุกวินาที!

เรื่องงาน ‘แพทย์หญิงมิวาร์ กรุณา เกรแฮม’ ไม่เคยเป็นสองรองใคร
แต่เรื่องความรัก...เธอขออยู่ให้ห่าง ช่างต่างจากเขา...อีรอส...กามเทพตัวพ่อ
ที่ฟ้าจงใจส่งลงมาตามไล่ล่าเอาความรักจากเธอชัดๆ
การทำสัญญากับเขาในครั้งนี้ จึงเดือดร้อนมิวาร์ต้องงัดสารพัดวิธีมาชิ่งหนีเขา
โดยไม่อาจล่วงรู้เลยว่า ในเวลาเดียวกันนั้น
เธอกำลังถูกดึงเข้าไปพัวพันในวังวนของการฆาตกรรมอำพราง
เนื่องจากวิชาชีพของเธอเอง...

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ เธอจะเอาตัวรอดเช่นไร
อำพรางหัวใจ หรือยอมสยบให้กับเล่ห์กลของเขาดี!?


*********************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "เอบิช" และตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing) " ค่ะ ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ ใครชอบพระเอกหล่อ รวย และหื่นตัวพ่อ จัดไปค่ะ 555+ ขอบอกว่าฮีเปย์หนักมากกกกก แถมฉลาดและเจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง! แต่ขณะเดียวกันก็คอยปกป้องนางเอกสุดฤทธิ์ เรื่องนี้มีความโรแมนติกพาฝันนิดๆ และมีปมฆาตกรรมให้ติดตามด้วย

ท้องเรื่องอยู่ในยุค 2023 #รับประกันความสนุก!


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun และร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง)
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน shopee ร้าน plaipakkabooks_officialshop (ส่งฟรีทุกเล่ม)

หนังสือพร้อมส่ง

จำนวน 372 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)

ราคา 349฿ จากราคาปก 389฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 394฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 419฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 -100%

เมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. ๒๐๒๓

ดูคาติ 899 Panigale คันโตพุ่งแรงเร็ว โลดทะยานไปตามถนนเรียบสายตรงเบื้องหน้าอย่างฮึกเหิมเหมือนจังหวะเพลงร็อกดิบๆ ที่ดังกระหึ่มออก มาจากลำโพงซึ่งติดตั้งภายในหมวกกันน็อกราคาแพงลิบ มันก้องอยู่ในสองหูของเจ้าของยานพาหนะรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ซึ่งมีเพียงสามคันในโลก

ฉับพลัน...เสียงเพลงหายวับไป ตามมาด้วยเสียงห้าวทุ้มดังแทนที่

“คุณอีรอส ท่านอยู่ที่ไหนครับเนี่ย”

“I’ m Flying” คำตอบดังขึ้นพร้อมกับสายตัดฉับไปในทันที ก่อนเจ้าของดูคาติจะวางมือภายใต้ถุงมือหนังเกรดเอสีน้ำเงินเข้มลงบนแฮนด์รถอีกครั้ง หลังจากพูดผ่านโมบายวอช...นาฬิกาโทรศัพท์มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับ บลูทูธในหมวกกันน็อก

จากนั้น...ดูคาติคันงามสีน้ำเงินประกายทองก็วิ่งทะยานเร็วขึ้นเมื่อคนขี่บิดคันเร่งจนมาตรวัดพุ่งไปที่เก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง แล่นผ่านเนินเขาสูงยาวตระหง่าน และท้องทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่นานครั้งจะเห็นบ้านเรือนสักหลังอันเป็นรูปแบบบ้านของชนชั้นอาณานิคมในยุคบุกเบิก

ในอีกด้านหนึ่งบนเส้นทางเดียวกัน...

เสียงเพลงอัลเทอร์เนทีฟจากฝั่งเกาะอังกฤษดังกังวานเสนาะในหูฟังชนิดสอดโดยมีหมวกกันน็อกสีดำสนิทสวมทับอีกชั้น ซึ่งเจ้าของกำลังบิดคัน เร่งพุ่งทะยานดูคาติสีรัตติกาลไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย...

ดูคาติ 899 Panigale

ทันใดนั้น...มีเสียงแหลมสูงดังเข้ามาในหูฟัง จนเจ้าของต้องก้มลงมองเพจเจอร์รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งมีใช้เฉพาะในวงการแพทย์เท่านั้นอันติดกับขอบกางเกงหนังมัน แล้วกดปุ่มหนึ่งเสียงหวานนุ่มก็ดังเข้ามาในหูฟัง

“มิวาร์...ป่านนี้แล้ว เธอยังไม่เข้ามาเสียที อย่าบอกนะว่า...”

“Yes...Flying” นั่นคือคำตอบที่นิ้วเรียวสวยในถุงมือหนังเกรดบีสีดำกดปุ่มที่บันทึกข้อความนี้ไว้ลงไป

แล้วเจ้าของนามว่า ‘มิวาร์’ ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องถนนสายโล่งผ่านกรอบกระจกของหมวกใบหนา เพื่อจะบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วจนมาตรวัดแตะอยู่ที่เก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง

ภาพวิวสองข้างทางประดุจดังภาพเงาอันเลือนราง ยกเว้นเพียงทิว ทัศน์ที่ห่างออกไปเบื้องหน้าเท่านั้นซึ่งพอจะเห็นได้ชัดเจน ความแรงของดูคาติส่งผลให้ลมร้อนของยามบ่ายพัดกระโชกปะทะเข้ากับชุดหนังมันสีดำเงาวับตลอดทั้งตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งรองเท้าบู๊ตหนังเนื้อหนาสีเดียวกันซึ่งยาวจรดหัวเข่า

เส้นทางในย่านชนบทตอนกลางของรัฐนิวยอร์กเป็นเส้นทางโปรดปรานของมิวาร์ ที่จะสามารถปลดเปลื้องความเครียดและไขว่คว้าหาอิสระเสรีได้ดังใจนึกนอกเหนือจากการจมปลักอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่เหม็นอุดอู้

จนกระทั่ง...คิ้วเรียวภายใต้หมวกกันน็อกใบโตต้องเลิกขึ้นสูง เมื่อเห็นดูคาติลักษณะเดียวกันสีน้ำเงินเข้มแล่นอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปราวสองร้อยห้าสิบเมตร มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันทีทันใด

มิวาร์บิดคันเร่งเพิ่มขึ้น ไม่ถึงสิบวินาที...เธอก็โผนทะยานแซงดูคาติสีน้ำเงินเข้มคันนั้นท่ามกลางเสียงร้องลั่นดีใจแบบเด็กๆ ที่ดังอื้ออึงอยู่ภายในหมวกเท่านั้น แต่เธอมิได้หยุดความซุกซนไว้แต่เพียงเท่านี้

มิวาร์ปล่อยมือซ้ายออกจากแฮนด์แล้วเอี้ยวตัวกลับหลังไปตะเบ๊ะให้ดูคาติคันนั้นเป็นเชิงท้าทาย!



*************



หึ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา...

อีรอส ไททันนึกถึงสุภาษิตจีนประโยคหนึ่งขึ้นมาเมื่อเห็นพฤติกรรมของไอ้เวรชุดดำนั่น พานหงุดหงิดเพิ่มความเร็วของเครื่องยนต์เพื่อไล่จี้ตูดดูคาติเจ้ากรรมคันนั้นไปติดๆ ด้วยมาตรวัดที่หนึ่งร้อยห้าไมล์ต่อชั่วโมง!

ไม่ถึงสองวินาที เขาก็สามารถแซงเจ้าของดูคาติสีดำคันนั้นได้ชนิดไม่เห็นฝุ่น แต่ทว่า...ดูคาติคันหลังก็เร่งเครื่องวิ่งไล่ตามมาติดๆ อีรอสจึงเพิ่มความเร็วขึ้นฉีกหนีนักซิ่งนักเลงรายนั้นอย่างหวุดหวิดทุกๆ วินาที

ในที่สุด...ดูคาติสีดำมันวับก็ไล่ตามมาทันอยู่ในระดับเดียวกันบนเส้นทางเรียบตรงที่ยังทอดยาวไกล ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันแซงขึ้นหน้าไม่ยอมน้อยหน้า โดยไม่มีใครฉีกทิ้งระยะห่างมากกว่ากันได้

อีรอสหันไปมองทางขวามือหมายจะจ้องทะลุผ่านหมวกกันน็อกสีมืดที่อีกฝ่ายสวม แต่ก็ล้มเหลว... โชคดีที่กระจกหมวกกันน็อกของเขาก็เป็นสีมืดสะท้อนแสงเช่นเดียวกัน

ต่างฝ่ายต่างขับเคี่ยวไล่กันไปมาบนถนนสายเรียบตรง จวบจนกระ ทั่ง...ทางโค้งปรากฏออกมาในระยะสองร้อยเมตรเพื่ออ้อมภูเขาเตี้ยๆ ที่รก ชัฏไปด้วยไม้สนไม้หนาม

อีรอสแตะเบรกมือและเท้าพร้อมๆ กันเพื่อชะลอความเร็วเตรียมตีโค้งเหมือนเจ้าของดูคาติอีกคัน แต่ดูเหมือนเจ้าของดูคาติสีดำจะแตะเบรกมากไปหน่อย อีรอสจึงพุ่งแซงทะยานไปข้างหน้าแล้วเลี้ยวโค้งวงในชนิดหัวเข่าแยกกางจากตัวเครื่องจนเกือบแตะพื้นถนน ดูคาติของเขาเอียงทำมุมองศากับทางโค้งและระยะพื้นถนนในระดับดีที่สุด จนในที่สุด...เขาก็อ้อมผ่านทางโค้งนี้ไปได้อย่างสวยงามก่อนจะยกตัวถังขึ้นเป็นแนวดิ่ง มองเห็นทางสามแยกอยู่ห่างออกไปราวสามร้อยเมตรซึ่งเป็นจุดบอกเขตแดนใหม่

ฉับพลัน...ดูคาติสีดำก็วิ่งฉิวทะยานแซงหน้ารถของเขาไปโดยไม่ทันเฉลียวใจมาก่อน อีรอสขบกรามดังกรอดจนแทบจะกลบเสียงเพลงร็อกหนักๆ ที่ดังก้องหูซึ่งตอนนี้เขาไม่สนใจจะฟังเนื้อร้องอีกต่อไป ยิ่งไอ้หมอนั่นหันหน้ามาพร้อมชูมือขึ้นโบกเป็นเชิงท้าทายแกมเยาะหยัน เขาก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้าราวกับเลือดฉีดพุ่งไปถึงสมอง อีรอสไม่เคยถูกหยามหมิ่นในเรื่องท้าประลองความเร็วจากนักซิ่งไร้สังกัด เขาจึงบิดคันเร่งเพิ่มในระดับที่อันตรายเกือบถึงที่สุด

ทันใดนั้น...สองตาของอีรอสก็มองเห็นรถพ่วงบรรทุกก๊าซไวไฟแล่นขึ้นมาตามทางแยกด้านซ้ายมือเกือบจะถึงจุดที่ดูคาติคันนั้นทะยานพุ่งไป

“ฉิบหาย!!! ”

เขาสบถ เมื่อรู้ว่าดูคาติคันหน้าไม่มีทางเบรกชะลอความเร็วทันขณะวิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้น นอกจากจะพุ่งชนตัวรถพ่วงและถูกบดขยี้เป็นก้อนเละๆ เพียงอย่างเดียว!

เป็นจริงอย่างที่เขาคาด เมื่อเจ้าของดูคาติที่หลงระเริงกับชัยชนะหันไปมองท้องถนนเบื้องหน้าแล้วสายตาปะทะเข้ากับรถพ่วงที่แล่นตรงมาด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน วินาทีนั้น...เจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่าไม่มีทางเบรกอยู่แต่ก็ขอให้ได้เหยียบเบรก จนเกิดเสียงครูดเสียดสีของยางรถกับพื้นถนนจนสะ เก็ดไฟลุกท่วมเป็นแนวยาว เจ้าของรถพ่วงเองก็เห็นรถสองล้อทะยานเข้าหาด้วยความเร็วสูงจึงเหยียบเบรกเต็มฝีเท้าด้วยใบหน้าพรั่นพรึง

อีรอสตัดสินใจในวินาทีนั้น เร่งเครื่องถึงระดับขีดสุดเพื่อให้ทันดูคาติเจ้ากรรมคันหน้า ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากยานพาหนะคู่ใจ พุ่งเข้าหาร่างที่นั่งตัวแข็งทื่อยกสองมือขึ้นไขว้ปิดหน้ารอรับแรงปะทะครั้งร้ายแรงถึงชีวิต กระชากร่างนั้นออกจากรถมฤตยูในวินาทีเฉียดฉิว ทิ้งมอเตอร์ไซค์ทั้งสองให้ล้มไถลครูดสีไปกับพื้นซีเมนต์เกิดสะเก็ดไฟลุกวาบและลอดใต้ท้องรถพ่วงที่วิ่งผ่านไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ทั้งสองกระดอนตกลงพื้นถนนดังอั๊กแล้วกลิ้งหลุนๆ ลงไปยังร่องดินที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดและพงหญ้าริมทางอยู่หลายตลบ ก่อนหลังใครคนหนึ่งจะชนกระแทกเข้ากับโขดหินก้อนโตเต็มแรงจนแรงเหวี่ยงยุติลง ส่งผลให้ร่างทั้งสองกระเด็นออกจากกันและนอนหงายหอบหายใจระรวยเหมือนคนป่วยขั้นโคม่า



*************



สายลมร้อนพัดผ่านท้องทุ่งหญ้ากว้างที่เห็นเนินเขาสูงห่างออกไปดั่งการขับขานลำนำเพลงของเหล่านางไซเรน ร่างในชุดหนังสีน้ำเงินเข้มเหมือนสีตาเจ้าของเริ่มขยับเขยื้อนแขนขาช้าๆ ชุดหนังที่เขาสวมใส่สั่งทำพิเศษมีฟองน้ำชนิดเยี่ยมกันแรงกระแทกได้ถึงเจ็ดเท่า กระนั้น...เจ้าตัวก็รู้สึกเหมือนเพิ่งถูกวัวกระทิงพุ่งขวิดเข้ากลางหลังมาหมาดๆ

อีรอสพลิกตัวตะแคงข้างช้าๆ ปลดหมวกกันน็อกออกจากศีรษะแล้วโยนทิ้ง รู้สึกว่ามันเกะกะสำหรับเขาอย่างไรชอบกล สายตาแลเห็นร่างของคู่ปรับนอนหงายกางแขนกางขาหมดสภาพอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ร่างนั้นดูสงบนิ่งไม่ไหวติงจนเขานึกเอะใจ จึงค่อยๆ พลิกตัวคว่ำแล้วใช้ศอกดันตัวเองคลานเข้าไปหาร่างร่างนั้น

เมื่อไปถึงเขาก็เขย่าต้นแขนที่เล็กเรียวกว่าต้นแขนของเขามากอย่างแรง

“ไอ้ผอมนี่ ป๊อดชะมัด สลบไปซะแล้ว” อีรอสบ่น ก่อนจะใช้เวลาอีกราวๆ ครึ่งนาทียันตัวขึ้นนั่งคร่อมร่างที่นอนไร้สติตรงกึ่งกลางลำตัว จากนั้นจึงช่วยคู่ปรับปลดสายรัดใต้คางออก เพราะคิดว่าหมอนี่คงต้องการอากาศบริสุทธิ์ ก่อนจะค่อยๆ ถอดหมวกกันน็อกสีดำมันวับออกจากศีรษะ เพียงเท่านั้น...ตาของเขาก็พร่าเลือนกับภาพดวงหน้าที่เผยออกจากใต้หมวก

เปลือกตาบางภายใต้เรียวคิ้วรูปวงพระจันทร์หลับพริ้ม แต่เมื่อกะรูปขนาดยามเจ้าหล่อนลืมตาแล้วจะต้องเป็นดวงตากลมโตอันน่าพิศวง ยิ่งประ ดับด้วยขนตายาวงอนเป็นแพหนาไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดวงตาของเจ้าหล่อนจะหวานหยดสักแค่ไหน แลต่ำลงมาที่จมูกโด่งสวยเป็นเส้นตรง ปลายจมูกเชิดงอนอย่างน่ารัก ช่างเป็นจมูกที่เล็กกะทัดรัดชวนบีบคลึงเสียจริง ไหนจะปากเล็กๆ รูปกระจับแสนจิ้มลิ้ม อันมีริมฝีปากบนบางเฉียบแต่ริมฝีปากล่างอวบอิ่มเย้ายวนอารมณ์นั้นอีกเล่า

คุณพระช่วย...นี่มันตุ๊กตาบลายธ์ที่มีชีวิต ตัวจริงเสียงจริงใช่ไหม!

ลมร้อนอ้าวพัดแรงมาอีกวูบหนึ่ง ทำให้ปอยผมหน้าที่เสยย้อนไปด้านหลังอย่างไม่เป็นทรงของคนสลบตลบกลับลงมากลายเป็นผมหน้าม้าแสนสวยช่วยเสริมให้เจ้าหล่อนดูเหมือนตุ๊กตาบลายธ์ของจริงมากยิ่งขึ้น

อีรอสไม่รู้ตัวเลยว่าตนกลั้นหายใจนานแค่ไหนขณะมองภาพชวนประทับใจ จนกระทั่ง...เสียงแหบแห้งของใครบางคนดังขึ้นทางด้านหลัง

“เป็นยังไงบ้างไอ้หนุ่ม ไอ้เด็กนั่นคงไม่ตายหรอกใช่ไหม เฮ้อ...ถึงถนนสายนี้มันจะว่างชวนหดหู่ก็จริง แต่ก็ไม่สมควรที่จะขี่รถซิ่งกันไปมาแบบนั้น ยังดีนะที่แกมีไหวพริบ กระโดดลงจากรถพร้อมไอ้เด็กนั่นได้ทัน ไม่อย่าง นั้นฉันกับพวกแกคงตายเป็นผีเฝ้าถนน ศพไหม้เกรียมจนญาติจำหน้าไม่ได้แน่ๆ ”

“เลิกพล่าม แล้วพาเราทั้งคู่ไปโมเตลที่ใกล้ที่สุด”

อีรอสนั่งหันหลังสั่งเสียงกระด้าง ชายชราผู้ขับรถพ่วงคิ้วกระตุกด้วยความไม่พอใจทันที

“น้อยๆ หน่อยไอ้หนุ่ม พวกแกเกือบทำฉันตายไปด้วย ยังมีหน้ามาสั่งมาใช้ฉันอีกเรอะ ไปกันเองเถอะโว้ย” คนขับรถพ่วงหมุนตัวเดินกลับไปยังรถของเขา แต่เพียงแค่สองก้าว เท้าทั้งคู่ก็ถูกตรึงกับพื้นคอนกรีตราวกับมีแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดดึงเอาไว้

“กะเวลาเดินรถพ่วงบรรทุกก๊าซของบริษัทมินเนอเรล ไมน์ มักจะเป็นช่วงเช้ามืดกับหลังเที่ยงคืน ไม่ใช่ตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ เป็นไปได้ว่าลุงกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในโรงผลิตบางคนคิดจะยักยอกก๊าซไปขาย”

ชายชราสะดุ้งโหยงราวกับถูกเข็มหมุดแทงก้น เหงื่อที่ไหลย้อยตามใบหน้าอยู่แล้วยิ่งผุดออกมาราวกับตาน้ำแตก

ไอ้หมอนี่...มันฉลาด!

“ระ...รีบอุ้มไอ้เด็กนั่นขึ้นมาสิวะ ฉันไม่อุ้มให้หรอกนะ ฉันแก่จนจะไม่มีแรงอยู่แล้ว” ชายชราร้องบอกตะกุกตะกัก โมโหไอ้เด็กรุ่นลูกก็โมโห แต่ความเกรงกลัวมีมากกว่า ดูจากลักษณะการแต่งกาย ท่าทางและการพูดการจาอย่างยโสโอหังของมันแล้ว ไอ้หมอนี่...ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“ลุงไปเอารถมาจอดตรงนี้ เราจะย้อนกลับไปเส้นทางเดิม โมเตลใกล้สุดน่าจะอยู่ห่างออกไปแค่สองไมล์” ปากพูด มือก็ทำงานด้วยการช้อนร่างผอมบางขึ้นในวงแขน

“ดะ...ได้ รอแป๊บ ยะ...อย่าลืมตรวจชีพจรไอ้คนที่สลบด้วยล่ะว่า มันยังไม่ตายจริงๆ ”

คราวนี้...อีรอสตวัดสายตาแข็งกร้าวไปยังชายชราปากมอมเป็นเชิงปรามอย่างดุดัน ชายชราหน้าซีดและทำคอย่นเมื่อถูกจ้องด้วยสายตาพิฆาต รีบวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยังรถพ่วงที่จอดห่างออกไปราวห้าสิบเมตรจนขาแทบขวิด ไม่ถึงนาที...ชายชราก็ขับรถพ่วงมาจอดเทียบริมขอบถนนตรงจุดที่อีรอสยืนอุ้ม ‘นักซิ่งนักเลง’ ด้วยหลังที่ตรงแน่วราวกับร่างนั้นไร้น้ำหนัก ชายชรากระ วีกระวาดลงมาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ยืนมองเขายกร่างผอมบางขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักเบาะ แล้วตัวเองก็เอื้อมจับห่วงจับซึ่งยึดติดกับกรอบประตูด้านในโหนตัวเองขึ้นไปนั่งขนาบร่างนั้น

เจ้าของรถพ่วงเข้าประจำที่คนขับแล้วเคลื่อนรถออก ลอบมองชายที่ขอติดรถพูดกับใครบางคนผ่านโมบายวอชด้วยเสียงกระซิบกระซาบอยู่ราวๆ หนึ่งนาที



*************



ความหนาวเย็นมิใช่เพียงสิ่งเดียวที่ปลุกให้มิวาร์รู้สึกตัว ท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิดที่กะพริบวูบวาบอยู่ในหัว เธอรู้สึกเบาสบายไปทั้งร่างราวกับไม่ได้สวมใส่อะไรอยู่เลย มิหนำซ้ำ...เปลือกแก้มของเธอยังถูกบางสิ่งบางอย่างนุ่มนิ่มและอบอุ่นปัดไล้เบาๆ จนเธอเริ่มจั๊กจี้ ความรู้สึกนี้ทำให้อา การสะลึมสะลือของเธอจางหายไป ดวงตาเปิดรับแสงสว่างที่มากขึ้นจนรู้สึกแสบตาทันทีทันใด

เธอกะพริบตาเพื่อบรรเทาอาการเคืองนัยน์ตา ก่อนจะค่อยๆ กวาดตามองไปทางขวามือเห็นผนังไม้เก่าๆ กับเฟอร์นิเจอร์ไม่คุ้นตา ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเพราะไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน เธอพยายามฟื้นความจำว่าครั้งสุดท้ายเธอกำลังทำอะไร...

“ยินดีต้อนรับกลับสู่โลก”

เสียงบาริโทนทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะทางซ้ายมือ มิวาร์สะดุ้งโหยง รีบผินหน้าไปมอง แล้วร่างทั้งร่างก็ต้องแข็งทื่อดั่งท่อนไม้ในวินาทีถัดมา!

เจ้าของเสียงเป็นหนุ่มหน้าตาคมสันที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอ เขากำลังนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง ขาไขว้กันในชุดเสื้อคลุมผ้าขนหนูสีขาว สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าขณะยกแก้วไวน์ก้านยาวขึ้นจิบละเลียดช้าๆ เธอเผลอมองดูเขาจิบไวน์และกลืนมันลงคอจนลูกกระเดือกแล่นขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะจะโคน

“เอาหน่อยไหม” เขาถอนริมฝีปากออกจากขอบแก้ว สบตาเธอ และชูแก้วเหนือร่างของเธอที่ยังคงนอนตัวแข็งทื่อ แววตาเขาทอประกายระยิบระยับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเหมือนมุมปากของเขาที่ยกเยื้อน

วินาทีนั้น...มนตร์สะกดคลายตัวลง สิ่งแรกที่เธอทำคือใช้ศอกยันตัวเองขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วและถดถอยไปอยู่เสียริมเตียง อุทานเสียงหลงเมื่อพบว่าตนตกอยู่ในสภาพล่อแหลมด้วยเสื้อคลุมชนิดเดียวกับเขาซึ่งสาบเสื้อคลุมแบะออกเล็กน้อยแต่พอจะเห็นร่องอกอวบอิ่มน่ามอง

“คุณทำอะไรฉัน! ?” มิวาร์เงยหน้าขึ้นมาถามน้ำเสียงเอาเรื่องเต็มไปด้วยความโกรธปนเกลียด

“ช่วยชีวิต” ชายตรงหน้าตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ สบตาเธอเขม็ง และจิบไวน์อีกอึก จากนั้นจึงวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงโดยไม่หันไปมอง เธอไม่ยอมสบตาเขา แต่กวาดตามองไปยังฝั่งของเขาแล้วเห็นจานสปาเกตตีเย็นชืดที่ยังไม่ได้แตะสองจานบนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัสกับขวดไวน์ราคาถูกตั้งอยู่หนึ่งขวด ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ชายตัวโตก็เขยิบเข้ามาใกล้มากขึ้น และยื่นมือมาจับสาบเสื้อของเธอทบเข้าหากันอย่างสุภาพ

มิวาร์รีบปัดมือคู่นั้นทิ้งอย่างรังเกียจ “อย่ามาแตะ”

“แตะไปหมดแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” เขาพูดหน้าตาเฉย แต่มุมปากฉาบรอยยิ้มล้อเลียน คราวนี้...เขายื่นมือออกไปคว้าแก้วไวน์ยกขึ้นดื่มจนหมดเกลี้ยงด้วยมาดผู้ดีจัด

แก้มที่แดงเรื่อดั่งสีกุหลาบแบบคนมีสุขภาพดีกลับขาวซีดปราศจากสีเลือดในชั่วพริบตา

“ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะทำจริงอย่างที่พูด” เธอกัดฟันเชิดหน้าถาม คนเห็นกระตุกยิ้มมุมปากทั้งสองข้างด้วยความพอใจ

“เอาเป็นว่า...” อีรอสลากเสียง ยื่นมือข้างที่ว่างออกไปแตะคางที่เชิดขึ้นเบาๆ แต่มิวาร์รีบสะบัดหน้าหนี จ้องเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าวราวนางสิงห์ ฟังเขาพูดต่อด้วยเสียงแหบรัญจวนชวนขนลุก

“ตรงส่วนไหนของเธอที่...ไม่-มี-ไฝฝ้า ฉันก็เห็นและแตะมาแล้ว”

แม้จะอยากกรีดร้องสุดเสียง และรู้สึกร้อนผ่าวตรงหัวตาราวกับน้ำตาจะหยดริน แต่มิวาร์ก็มีสติมากพอที่จะรู้ว่ากำลังโดนปั่นหัว ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง เธอแยกแยะความแตกต่างออกระหว่างร่างกายที่เพิ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือไม่มีโดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง เพียงแต่เธอเสียใจที่ร่างบอบบางของเธอถูกมนุษย์เพศผู้ที่มีความคิดเหมือนมนุษย์ถ้ำซึ่งไม่ต่างจากสัตว์ดึกดำบรรพ์นั้นแตะต้อง แม้จะเพียงภายนอกก็ตาม

มันทำให้ภาพภาพหนึ่งซึ่งเธอเคยฝังมันไว้ใต้ลึกสุดของเซลล์สมองหลั่งไหลกลับเข้ามาในหัว จนลำคอของเธอจุกแน่นเต็มไปด้วยความรวดร้าวแสนสาหัส

“คุณมันสัตว์! ” เธอพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ “สัตว์ดีๆ นี่เอง นึกจะสมสู่ก็สมสู่ นี่ถ้าฉันกลายเป็นศพ ฉันจะไม่แปลกใจเลยว่าคุณคงหน้ามืดตามัวเลือกสนองตัณหาแบบดิบๆ อย่างสัตว์กับร่างไร้วิญญาณสักร่างที่คุณนึกถูกใจ”

แทนที่อีรอสจะโกรธจัดจนหน้าดำหน้าแดง เขากลับเลือกที่จะสบตาเธอนิ่ง มีรอยยิ้มขบขันอย่างคนอารมณ์ดีแต้มบนริมฝีปากไม่เสื่อมคลาย

“ช่วยไม่ได้ที่เธอกลายเป็นเจ้าสาวของสัตว์ตัวนี้ไปแล้ว”

ดวงตาของมิวาร์ลุกวาวมากขึ้น ตวาดเสียงเขียวทันใดว่า

“คุณไม่ได้เป็นเจ้าของฉัน เรายังไม่มีอะไรกัน! ”

“ชายหญิงนอนบนเตียงเดียวกัน จะไม่มีอะไรกันได้ยังไง” อีรอสยังจงใจปั่นประสาทเธอต่อไป

“ฉันเป็นหมอ และฉัน...ฉัน ไม่เจ็บตรงไหนทั้งนั้น”

“ว้าว...ยาหยี คุณยังเวอร์จิ้นอยู่ได้ยังไงเนี่ย” เขาเดาะลิ้น มองเธอด้วยดวงตาหยาดเยิ้มมีความหมาย ขณะเขยิบเข้ามาหาเธอมากขึ้นหมายจะรวบร่างเล็กเข้าไปกอดให้สมใจ

มิวาร์ขนลุกซู่ต่อสายตาร้อนแรง ก่อนที่จะถูกเขาตะปบเข้าไปไว้ในอ้อมแขน เธอรีบหันหลังกระโจนลงจากเตียง ถอยหลังกรูดจนไปติดผนังห้อง แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากคนตัวสูงเลยสักนิดเพราะห้องมันแคบยังกับรูหนู ตัวสูงๆ อย่างเขากระโจนเพียงครั้งเดียวก็เข้าถึงตัวเธอได้แล้ว!

มิวาร์รีบหันรีหันขวางมองหาทางหนีทีไล่ มิรู้หรอกว่าไอ้ท่าทางกระสับกระส่าย หันรีหันขวางจนผมหน้าม้าปลิวสะบัดเหมือนผมยาวเรียบตรงถึงบั้นเอวที่พลิ้วไหว เป็นภาพที่ชวนมองเพียงใด

“ทูนหัว...ถ้าผมไม่อนุญาตให้คุณหนีไป คุณก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” อีรอสแกล้งทำเสียงเข้มกดดันอารมณ์คนสาว

“ฉันจะไม่ยอมตกเป็นทาสกามของคุณง่ายๆ หรอก” มิวาร์หันมาโต้ ก่อนสายตาจะแลเห็นห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับที่ไอ้บ้ากามครองพื้นที่อยู่

บ้าชะมัด!

“และถ้าฉันจะนอนกับใครสักคนละก็ เขาจะต้องไม่อันเล็กจี๊ดเดียวเหมือนคุณด้วย” เธอทำใจกล้าป่วนประสาทเขากลับไปบ้าง

“อันเล็ก ‘จี๊ด’ เดียว! ” อีรอสหรี่ตาทวนคำพูดนั้น ก่อนจะคำรามลั่นในลำคออย่างกับหมีโกรธ

“ลองแล้วหรือไง ถึงรู้ว่ามันไซซ์อะไร” เขาถามเสียงเขียว

มิวาร์ลอบดีใจที่แผนการของเธอทำให้ความจริงเปิดเผยออกมา แม้จะรู้ว่าไม่ควรทำให้ชายตรงหน้าโกรธ แต่เธอก็รู้สึกสะใจที่ทำให้เขาขาดความมั่นใจ

เธอแสร้งจ้องลงไปยังตรงกลางลำตัวของเขา และแบะปาก “ดูผ่านๆ แล้วก็ไม่เท่าไรหรอก ก้านไม้ขีดไฟได้ละมั้ง”

“แม่ตัวดี!!! ”

คำรามสุดเสียงแล้วอีรอสก็กระโจนผึงลงจากเตียงชั่วพริบตา แต่มิวาร์ตั้งท่ารออยู่แล้ว เธอก้มตัวลอดวงแขนที่ยื่นออกมาหมายจะขย้ำเธอ แล้วดีดตัวพุ่งขึ้นไปบนเตียง กระโดดลงพื้นอีกครั้ง ก่อนหายแวบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมล็อกกลอนอย่างทันท่วงที

เธอเอนหลังพิงบานประตู อ้าปากหอบหายใจอยู่นานด้วยความตื่นเต้นและหวั่นกลัว ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อบานประตูสั่นสะเทือนเพราะถูกคนข้างนอกถีบอัดสุดแรง

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ยายตัวแสบ มารับผิดชอบฉันเสียดีๆ ”

ขืนไปรับผิดชอบคนอย่างนาย ฉันก็เสียสติน่ะสิ!

“ถ้าไม่เท่าก้านไม้ขีดไฟจริงๆ นายจะโกรธทำไมเล่า” มิวาร์เป็นคนรั้นมาแต่ไหนแต่ไร มิรู้ตัวเลยว่าตนกำลังเล่นกับไฟด้วยการสาดเชื้อเพลิงลงไปในคำพูดให้คนข้างนอกโกรธจนแทบกระอัก

แต่เธอก็ไม่อยู่รอรับหายนะของตัวเอง เมื่อสายตามองเห็นช่องหน้าต่างระบายอากาศขนาดกว้างพอที่ตัวเธอจะลอดผ่านออกไปได้ จึงรีบผละจากประตู ดึงฝาชักโครกลงมาก่อนจะก้าวขึ้นไปเหยียบ ใช้สองมือเหนี่ยวขอบหน้าต่างแล้วโหนตัวขึ้นไป

จังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงถีบบานประตูอีกครั้ง มิวาร์ผวาเล็กๆ เหลียวหลังไปมองเห็นกลอนประตูเริ่มคลายตัวออก จึงรีบเสือกร่างเข้าไปในช่องหน้าต่างมากขึ้น จนในที่สุด...ร่างของเธอก็หลุดออกจากกรอบหน้าต่างในลักษณะหัวทิ่มลงพื้น เธอถีบเท้าออกพ้นกรอบหน้าต่างแล้วม้วนหน้าลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งโกยอ้าวทั้งชุดเสื้อคลุมที่ชายปลิวสะบัดตรงไปยังรถกระบะเก่าโทรมคันหนึ่งซึ่งจอดโดดเดี่ยวอยู่ในลานจอดรถที่แสงแดดแผดกล้า

รอดจากไอ้บ้ากามแล้วเรา...ชาตินี้อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเล้ย!!!

ปึง!

บานประตูกระแทกกับผนังกระเบื้องของห้องน้ำดังโครม แต่คนที่ทำให้อีรอสโกรธจนหัวหมุนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับผี และคนที่ไม่เคยเชื่อถืองมงายกับอะไรมากเกินไปอย่างเขามิเชื่อว่าเจ้าหล่อนจะเป็นผี ในเมื่อเขาได้สัมผัสผิวเนื้อนุ่มมือแทบทุกสัดส่วนระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าหล่อนด้วยตัวเอง

ลมร้อนอบอ้าวพัดเข้ามาปะทะใบหน้าเขาเหมือนตอนอยู่กลางดินกลางหญ้าเมื่อช่วงเที่ยงวัน เขาจึงเลื่อนสายตาขึ้นไปมองยังหน้าต่างที่เปิดโล่ง ขบคิดครู่เดียวก็กัดฟันกรอดจนฟันแทบสึก ก้าวขึ้นยืนบนฝาชักโครก ชะโงกหน้าออกไปและกวาดสายตามองหมดทุกทิศทุกทาง แล้วจึงเห็น...รถกระบะคันหนึ่งแล่นออกไปจากลานจอดรถ เงาที่ฉายผ่านกระจกกั้นท้ายกระบะเผยให้เห็นผมสีดำยาวเรียบตรงอันคุ้นตา

เขาสบถ...รีบเดินออกจากห้องน้ำเพื่อจะมาค้นหาบางสิ่งบางอย่างในชุดหนังสีดำมันลื่นที่เขาพับเรียบร้อยไว้ในตู้เสื้อผ้าปลายเตียง กระเป๋าเงินใบเล็กซึ่งซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงถูกค้นพบในเวลาต่อมา อีรอสรีบเปิดหาใบขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชาชนของยายตัวแสบ

เขายิ้มเต็มปากเมื่อพบเจอใบขับขี่ในช่องเล็กช่องหนึ่ง ชื่อและภาพที่ปรากฏบนนั้นทำให้เขาทั้งทึ่งและแปลกใจ

‘...แพทย์หญิงมิวาร์ กรุณากุล เกรแฮม

สำนักงานชันสูตรศพเขตการปกครองท้องถิ่น...

โรงพยาบาลนิวยอร์ก เมดิคอล

เลขที่...’

ครั้นรู้จักตัวตนของสาวแสบคนนั้นแล้ว อีรอสก็รีบหยิบโมบายวอชขึ้นจากโต๊ะ กดปุ่มเท่าหัวเข็มหมุดแล้วกรอกเสียงลงไปว่า

“เคน หาที่อยู่ของแพทย์หญิงมิวาร์ กรุณากุล เกรแฮมที ฉันต้องได้ภายในห้านาที! ”

“ได้ครับท่าน แต่ว่าในอีกสองชั่วโมงนี้ ท่านมีนัดกับวุฒิสมาชิกอีริกนะครับ ผมคิดว่าท่านไม่ควรจะสาย”

“ฉันจะไปถึงในอีกหนึ่งชั่วโมง นายช่วยส่ง ฮ.มารับฉันที่นี่ด้วย”

แล้วอีรอสก็แจ้งที่อยู่ปัจจุบันของเขาอย่างละเอียด

“แล้วเจ้าหนูของฉันล่ะ นายส่งใครมารับมันกลับบ้านหรือยัง” เขาหมายถึงดูคาติราคาแพงลิบคันโปรด

“ตอนนี้อยู่ที่อู่ซ่อมของคุณเจซาเร็ตเรียบร้อยแล้วทั้งสองคันครับ”

“ดี”



*************



สำนักงานใหญ่ของธนาคารเอเมอร์สันเป็นตึกสูงแปดสิบชั้น ซึ่งแบ่งแต่ละชั้นเป็นแผนกต่างๆ ที่สัมพันธ์กันยังไม่รวมถึงแผนกยิบย่อยซึ่งมีส่วนผลักดันในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตก้าวหน้าของธนาคารยักษ์ใหญ่ของอเมริกาแห่งนี้ ถึงกระนั้น...เจ้าของธนาคารหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็มีหัวการค้าตามสไตล์ผู้นั่งนับแบงก์ดอลลาร์และคำนวณหาการเพิ่มพูนเงินตรามาตั้งแต่กำเนิดจึงเปิดพื้นที่ว่างชั้นแรก (ยกเว้นส่วนที่เป็นล็อบบี้) และชั้นสองกับชั้นสามให้เป็นพื้นที่ให้เช่า โดยเชื้อเชิญเจ้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมชื่อดังทั้งหลายอาทิ เสื้อผ้า น้ำหอม รองเท้า ตลอดจนร้านอาหารชื่อดัง และเครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟดังระดับโลกให้มาเปิดการค้าภายในตึกทำการได้ ถือเป็นจุดหนึ่งของการดึงดูดและสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ชั่วโมงนี้...ที่ลานจอดรถวีไอพีของสำนักงานใหญ่ธนาคารเอเมอร์สันมีรถลีมูซีนลินคอล์นสีดำมันปลาบจอดขวางทางเข้าออกของรถท่านประธานธนาคารซึ่งเป็นรถพอร์ชรุ่นใหม่ล่าสุดของปีนี้อย่างวางโต แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยต่างรู้ดีว่าเจ้านายของตนไม่ถือสา ตราบใดที่ท่านยัง ‘อารมณ์ดี’

วุฒิสมาชิก อีริก แมคคอยล์ ผู้เป็นเจ้าของลีมูซีนคันดังกล่าวกำลังนั่งไขว่ห้างหน้านิ่งบนโซฟาหนังแท้สีดำเบื้องหน้าโต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ของประธานธนาคารเอเมอร์สัน อีริกเป็นชายวัยกลางคนตอนปลายที่ยังคงรักษาสภาพร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันปราศจากไขมันและใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยับย่นตามวัยกับเรือนผมตัดสั้นสีเงินซึ่งสร้างภาพให้เขาดูภูมิฐานสมกับอำนาจที่มีอยู่ในมือ

สื่อต่างประโคมข่าวกันล่วงหน้าว่าในวันซูเปอร์ทิวสเดย์ต้นปีหน้า อีริกจะสามารถกวาดชัยชนะขั้นต้นในการเลือกตั้งของพรรครีพับบลิกได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นรับประกันว่าเขาผู้นี้จะได้เป็นตัวแทนของพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

“คุณก็รู้ดีใช่ไหมอีรอสว่า ผมกำลังยื่นเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวข้องกับศีลธรรมมากมายเพื่อฟื้นฟูประเทศของเราไปสู่ความเป็นประเทศต้นแบบด้านความดีงาม เหมือนดังโลกในยุคที่ปกครองโดยพระเยซูคริสต์ คุณก็รู้ว่าการก่อการร้ายได้ยุติลงแล้วหลังจากเราปราบพวกเขาได้จนหมดสิ้นเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ผู้คนต่างโหยหาชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น และบริษัทผลิตยากับนักวิจัยยาและด้านสุขภาพทั้งหลายก็กำลังทำให้โรคร้ายต่างๆ หมดไปจากโลกนี้ เชื่อเถอะ...ไม่ถึงสิบปีข้างหน้า เราจะได้รับข่าวดีจาก WHO ว่าอัตราการตายของประชากรด้วยโรคร้ายแรงอันดับต้นๆ ของโลกจะลดลงเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์...”

หนึ่งปีมานี้วุฒิสมาชิกอีริกได้เดินหน้าเสนอร่างกฎหมายที่ทำให้การค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เขาคัดค้านข้อกำหนดเรื่องการทำแท้งและการทำหมัน การแต่งงานของพวกรักร่วมเพศ การห้ามใช้อาวุธปืน และการ ค้าเหล้า ซึ่งกำลังได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอเมริกันอย่างล้นหลาม

“ผมทราบดีครับ แต่คุณไม่กลัวว่าประชากรจะล้นโลกหรือ กับการเสนอร่างกฎหมายห้ามทำหมัน และยังมีการห้ามทำแท้งในรายของเหยื่อที่ท้องเพราะถูกข่มขืนอีก”

“โธ่...อีรอส มนุษย์เราใช่ว่าจะไม่มีใครแก่ตายเสียหน่อย ทุกๆ ปีมีจำนวนคนตายทั่วทั้งโลกไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน และจำนวนเด็กที่เกิดใหม่ในแต่ละวันก็พอๆ กับจำนวนคนตาย หรือถ้าคุณห่วงว่าในอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องการอยู่อาศัย ที่ดินทำกิน รวมทั้งสัตว์และพืชพันธุ์ที่เป็นอาหารจะมีไม่เพียงพอแก่คนรุ่นหลัง ผมมีคำตอบสำหรับแก้ไขเรื่องพวกนี้ไว้แล้ว กฎหมายห้ามทำแท้งที่ผมจะยื่นเสนอต่อสภาก็ด้วย เพียงแต่...ผมจะยกความดีความชอบทั้งหมดนี้ให้กับพ่อของคุณ...ท่านประธานาธิบดีเฮลิออสจะได้ดำรงตำ แหน่งประธานาธิบดีเป็นวาระที่สอง...หากคุณยอมทำตามข้อเสนอของผม”

เป็นที่รู้กันอย่างลับๆ ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของวุฒิสมาชิกอีริก แมคคอยล์ กำลังถึงคราวตกต่ำสุดขีด และเขามีหนี้สินมหาศาลอยู่ในหลายธนาคารด้วยกันรวมถึงธนาคารเอเมอร์สัน อีริกอาจจะสนใจเรื่องการเมืองมากก็จริงแต่ก็ไม่มากพอถ้าหากเขาจะดำรงตำแหน่งสูงในทางการเมืองแต่มีป้ายบุคคลล้มละลายแปะหลังในเวลาต่อมา ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเด้งหลุดจากวงโคจรของอำนาจอันทรงเกียรติได้ทันที

“ข้อเสนออะไรครับ” อีรอสเอนหลังพิงเบาะพนักสูง มือประสานกันบนตัก จ้องมองวุฒิสมาชิกอีริกแน่วนิ่งหลังจากถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ผมอยากให้คุณเป็นนายทุนให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของภรรยาผม และให้บริษัทของคุณเข้ามาประกันธุรกิจของเราโดยให้วงเงินค้ำประกันเทียบเท่าบริษัทที่มีระดับเครดิต AAA+”

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของอีริกจดชื่อในนามภรรยาของเขา แต่คนวงในรู้ดีว่าเขาถือหุ้นสูงสุด

“ผมยินดีทำตาม ถ้าคุณจะยอมให้ผมถือหุ้นร่วมด้วยห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์” อีรอสพูด

“ไม่ ผมจะให้คุณถือหุ้นแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ แลกกับการที่ผมยอมถอนตัวออกจากการเป็นคู่แข่งกับพ่อคุณ”

“คุณจะถอนตัวยังไงครับ ท่านวุฒิสมาชิก”

ยังไม่ทันที่คำตอบจะถูกเอ่ยออกมา เสียงเพลงคลาสสิกในโทรศัพท์ มือถือก็ดังขัดจังหวะขึ้น ท่านวุฒิสมาชิกขอตัวออกไปรับสายข้างนอกห้อง

และเมื่อเขากลับมาในห้องอีกครั้ง สีหน้าก็ดูไม่สู้ดีนัก

“เราคงต้องยุติการเจรจาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผมมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนจะต้องไปจัดการ ผมขอทิ้งเรื่องไว้ให้คุณเก็บไปพิจารณาดูนะ...อีรอส พ่อของคุณเป็นประธานาธิบดีที่ดี แต่ก็ยังมีคนอีกหลายคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่เช่นกัน”

แล้วประตูไม้ขัดมันก็ปิดตามหลังร่างสูงใหญ่ของอีริก แมคคอยล์ ทิ้งไว้เพียงความเงียบแสนเย็นชาที่ลอยคว้างในห้องทำงานกว้างใหญ่

แต่เพียงไม่นาน...ความเงียบหดหู่ก็ถูกขับไล่ออกไปชนิดขวัญกระเจิงด้วยเสียงเพลงร็อกดิบๆ ที่ดังกระหึ่มขึ้นหลังเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะ ตามมาด้วยอีกสองเป๊าะเพื่อให้โทรทัศน์จอแบนขนาดเก้าสิบเก้านิ้วที่ฝังบนเพดานห้องทำงานเลื่อนลงมาตรงหน้าโต๊ะทำงานในระดับสายตา และฉายข่าวหุ้นซึ่งเป็นข่าวอันโปรดปรานที่สุดของเขา

สายตาของอีรอสจ้องมองกระดานหุ้นที่มีตัวเลขวิ่งขึ้นลงไม่หยุด แต่ความคิดของเขากำลังไตร่ตรองถึงข้อเสนอจากอีริก แมคคอยล์

แน่นอน...ถ้าเขายอมเป็นนายทุน ออกเงินกู้ให้กับธุรกิจที่ใกล้จะล้มของวุฒิสมาชิกท่านนั้น ธนาคารของเขาจะเกิดหนี้ NPL อย่างไม่พึงประสงค์ทันที แต่ถ้าเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดเขาจะได้เปรียบ เพราะเขาคิดจะยกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของพวกแมคคอยล์ให้อยู่ภายใต้การดูแลของพวกตระกูลแมคลาฟลินผ่านฝีมือบริหารอันยอดเยี่ยมของลูกชายคนเล็ก...โอราอิส ซึ่งเขาต้องการธุรกิจของแมคคอยล์มาเป็นของขวัญรับขวัญหลานที่เพิ่งครบหนึ่งขวบไปไม่กี่เดือน...ลูกชายของวนารตีกับคริสปิน

หรือถ้าเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือเป็นนายทุนแก่แมคคอยล์ อีกไม่นาน...โอราอิสก็จะยื่นข้อเสนอขอเข้าเทกโอเวอร์กิจการอยู่ดี เพียงแต่การยื่นข้อเสนอที่จะขอถอนตัวออกจากการแข่งขันชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีของอีริกเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่อีรอสอยากจะคว้าไว้ เขาไม่อยากได้คนมือถือสากปากถือศีลอย่างอีริกมาเป็นผู้นำในอนาคต เขาต้องการให้บิดาได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีกเป็นวาระที่สองเพื่อเป็นฐานอำนาจให้กับตระกูลและธุรกิจต่างๆ ของพวกเขาต่อไป

ถูกต้อง...ใครๆ ก็ต้องการอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาไว้ในมือ แต่ถ้าคนครองอำนาจไม่มีศีลธรรมในใจ อำนาจนั้นก็ไม่ต่างจากดาบสองคม สำหรับอีรอส...เขาไม่ใช่คนมีศีลธรรมสูงส่ง เขารู้แต่เพียงว่าตนไม่ใช่คนโลภ ละโมบและเห็นแก่ตัว เขาแค่ต้องการอำนาจของบิดาหนุนหลังในสิ่งที่เขาจะทำเพื่อคนบางกลุ่มที่สมควรจะให้ความช่วยเหลือโดยอาจต้องผ่านการใช้เส้นสายในรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง และบิดา...คือเส้นสายที่ดีที่สุดสำหรับเขา

แต่...เขาจะเล่นตามเกมของอีริก หรือจะเล่นตามเกมของตัวเอง...เขาเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินใจ

“ท่านครับ คนของเราสืบมาได้ว่าอีกสี่เดือนข้างหน้า มิสเกรแฮมจะเข้าร่วมการประชุมเอเอเอฟเอส [1] ที่ออร์แลนโด ท่านอยากจะให้ผมจัดตารางเวลาส่วนตัวของท่านใหม่ไหมครับ ท่านจะได้ถือโอกาสนี้หยุดไปพักผ่อนที่ฟลอริดาสักหนึ่งอาทิตย์ด้วย”

เคน...เลาขานุการผู้ทรงประสิทธิภาพส่งเสียงมาพร้อมกับตัว หลังจากอีรอสรับแจ้งการขอเข้าพบผ่านเครื่องอินเตอร์คอม เหตุที่เคนแจ้งผ่านเครื่องทำงานนี้ เพราะเสียงเพลงร็อกดังกระหึ่มออกไปถึงที่ทำงานหน้าห้องของเขา ดังนั้น...การเคาะประตูตามปกติย่อมเป็นไปไม่ได้

“ก็ดี” สีหน้าของอีรอสยังคงสงบนิ่ง แต่เลขาผู้รู้ใจรู้ดีว่าเจ้านายตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น เขาเดาเอาจากความต้องการที่ปิดไม่มิดของเจ้านายหนุ่มที่ต้องการจะรู้จักแพทย์หญิงมิวาร์อย่างกระตือรือร้นเกินกว่าเหตุ

ปกติเจ้านายของเขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากเจ้าหล่อน

จะเป็นฝ่ายเสนอตัวเอง และมันจะจบลงเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น...

“แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไร”

“ดูเหมือนว่า จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักครับ”

“อืมใช่...เธอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“จะเป็นการดีถ้าท่านทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง” เคนกล่าวติติงเสียงขรึม อีรอสตวัดสายตาคมกริบขึ้นมองเลขาผู้ปากกล้าอย่างไม่สบอารมณ์

“เอาไว้ใช้บนเตียงกับโดโรธีผู้แสนหวานของนายเหอะ เคน”

เลขาหนุ่มหน้าแดงแปร๊ดขึ้นทันตา

“เดี๋ยวจะมีการประชุมใหญ่อีกครึ่งชั่วโมง ฉันคงต้องนั่งตัวแข็งทื่อถึงสองทุ่ม ถ้าไม่รบกวนเมียนายเกินไป ฉันก็อยากจะจิบน้ำผึ้งผสมมะนาวฝีมือโดโรธีในระหว่างนั่งฟังบอร์ดบริหารรุ่นพ่อเสนอแผนการใหม่ๆ ที่จะให้ฉันลอมชอมกับพวกนักธุรกิจเกิดใหม่ บอกตามตรงว่าน่าเบื่อว่ะ”

“ได้ครับท่าน...แต่ท่านครับหลายปีมานี้นักธุรกิจเกิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกก็มีหลายคน ท่านน่าจะ...”

“ไปหาประวัติของคนเหล่านั้นมาตั้งแต่ชีวิตส่วนตัวจนถึงชีวิตการทำงาน และเคล็ดลับที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมาด้วย ถ้ารู้ว่าพวกเขาอ่านตำราอะไรมาด้วย ฉันจะเพิ่มโบนัสให้นายแน่ กลางปีนี้” อีรอสสวนขึ้นทันควัน เขารู้ว่าเคนจะพูดอะไร เลขาหนุ่มอาจมองว่าเขาเป็นไอ้เขี้ยวลากดินหรือวิสัยทัศน์แคบไปหน่อยเกี่ยวกับการมองคน

แต่เคนยังรู้จักตัวตนของเขาไม่มากพอ

ถึงเคนจะเป็นเลขาที่อีรอสไว้วางใจ แต่ก็ยังน้อยกว่าคนในครอบครัวของเขาเอง ไม่มีใครที่ทำงานร่วมกับเขาจะรู้ลึกถึงว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังให้ความช่วยเหลือด้านธุรกิจกับนักธุรกิจเกิดใหม่บางกลุ่มให้เจริญเติบโตก้าวหน้า แลกกับการเป็นแหล่งข่าวและเส้นสายที่จะให้ความร่วมมือต่างๆ กับรัฐบาลกลางในการบริหารประเทศ

...เหตุผลที่เขาไม่บอกให้เคนรู้ ก็เพื่อตัวของเคนเอง เหมือนกับที่ซีไอเอปกปิดตัวตนจากครอบครัวของเขา...

“มิสเกรแฮมด้วยหรือเปล่าครับ ท่าน” เคนยังคงเอ่ยถามต่ออย่างทีเล่นทีจริง

“ถ้านายได้ภาพดีเอ็นเอของเธอมาด้วย ฉันจะอนุมัติให้นายกับเมียไปนอนเล่นริมหาดที่ฮาวายได้สองอาทิตย์” อีรอสก็ตอบกลับทีเล่นทีจริงเช่นกัน เคนมักทำให้เขาอารมณ์ดีพอๆ กับอารมณ์เสียนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเลขาผู้นี้ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเขาเสมอมา



[1] การประชุมเอเอเอฟเอส (AAFS) เป็นการประชุมประจำปีของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการรวมตัวกันของบุคคลหลากหลายสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับนิติวิทยาศาสตร์ จัดการสัมมนา เวิร์กชอป นำเสนอผลการวิจัยและข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ทัน สมัย ปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพต่อไป และอาจมีจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ร่วมด้วย ดังนั้น เอเอเอฟเอสจึงจัดว่าเป็นการประชุมใหญ่ที่สำคัญและมีผู้เชี่ยวชาญมารวมตัวกันมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มิ.ย. 2563, 20:11:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มิ.ย. 2563, 20:11:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 411





<< บทนำ   บทที่ 2 -50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account