เหลี่ยมรักมัดใจ
ในความคิดเขา... เธอเป็นเด็กหัวรั้น ทำตามใจตัวเอง
ใครได้ไปเป็นภรรยาถือว่าทำบุญมาไม่ดี
ในความคิดเธอ... เขาช่างน่าเบื่อ ทื่อมะลื่อ
เป็นก้อนหิน ใครได้ไปเป็นสามีคงชีช้ำตาย
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เกลียดอย่างไหน
มักได้อย่างนั้น สองคนที่เข้ากันไม่ได้เอาซะเลยจึงต้อง
มาลงเอยด้วยการแต่งงาน
นิยายเรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์เมามันมากๆ รู้สึกสนุก
ปนเครียดเพราะแต่งตาม concept แต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด
ใครได้ไปเป็นภรรยาถือว่าทำบุญมาไม่ดี
ในความคิดเธอ... เขาช่างน่าเบื่อ ทื่อมะลื่อ
เป็นก้อนหิน ใครได้ไปเป็นสามีคงชีช้ำตาย
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เกลียดอย่างไหน
มักได้อย่างนั้น สองคนที่เข้ากันไม่ได้เอาซะเลยจึงต้อง
มาลงเอยด้วยการแต่งงาน
นิยายเรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์เมามันมากๆ รู้สึกสนุก
ปนเครียดเพราะแต่งตาม concept แต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 1
จู่ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูลอย่างต่อเนื่องมาหลายชั่วโมงก็มีหน้าจอเล็กๆ เปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ก่อนจะกะพริบเตือนพร้อมกับส่งสัญญาณเบาๆ ติดต่อกันหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่กำลังถือถาดบรรจุหลอดใส่สารเคมีหันไปทางต้นเสียง รีบนำถาดในมือใส่ตู้เก็บอุปกรณ์การทดลองอย่างรวดเร็ว และก้าวตรงมาอ่านข้อความที่หน้าจอ ถอนหายใจก่อนหันมาขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่อีกคนที่กำลังบันทึกรายการต่างๆ ลงในสมุดบันทึกประจำวัน ซึ่งอยู่อีกด้านของมุมห้อง
“เครื่องเป็นอะไร”
“ไม่รู้สิแบบนี้ไม่เคยเจอ เมื่อสิบนาทีที่แล้วผมมาดูผลไปครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ปกติดีนี่นะ เกือบเสร็จแล้วด้วย ดอกเตอร์พิชญ์กำลังรอผลการทดสอบอันนี้อยู่เสียด้วยสิ บอกว่าประมวลผลเสร็จให้เรียก ไม่ว่าแกจะทำอะไรอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นเรียกดอกเตอร์พิชญ์ดีไหม หากมีอะไรร้ายแรงจะได้แก้ได้ทัน”
“ดอกเตอร์กำลังสอนอยู่นะ”
“ถ้าผลการทดลองมีปัญหาเราอาจโดนหนักกว่าโดนว่าเรื่องไปขัดจังหวะการสอนของดอกเตอร์นะ”
“ดอกเตอร์นรุธก็ไม่อยู่เสียด้วย” คนพูดหมายถึงผู้ร่วมดูแลโครงการอีกคนซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านระบบซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล
“นั่นสิ ไปเรียก ดอกเตอร์พิชญ์เถอะ เร็วๆ นะ” อีกฝ่ายยังไม่วายกำชับ
สองสามนาทีต่อมา ชายหนุ่มร่างสูง ผิวเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดรีดเรียบ เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าซึ่งเป็นลักษณะการแต่งตัวที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยแห่งนี้เห็นอยู่เป็นนิจก็ปรากฏตัวที่หน้าห้องแล็บ เขาเปิดประตูและตรงเข้าไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที
“เป็นไง” คนพูดไล่สายตาอ่านข้อมูลหน้าจอก่อนจะคลิกเมาส์ “ไม่ได้ error นี่นา”
“ครับไม่ error แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงต่อดีครับดอกเตอร์ พวกผมไม่เคยเจอผลแบบนี้มาก่อน“
“ดีแล้วที่ให้คนไปตามผม” ชายหนุ่มร่างสูงคลิกเมาส์ไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ป้อนคำสั่งเพิ่มเติมลงไปอย่างรวดเร็ว เขาเปิดหน้าจอเล็กๆ อีกอันก่อนที่จะรัวนิ้วพิมพ์ค่าตัวแปรที่ได้มาล่าสุดลงไป ความเร็วของนิ้วที่เคาะแป้นพิมพ์ทำให้ผู้ร่วมงานที่ยืนอยู่จะทึ่งไม่ได้ ข้อมูลเหล่านั้นล้วนเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย แต่ดอกเตอร์พิชญ์ก็พิมพ์เหมือนกับสมองของเขาได้จดจำพวกนั้นไว้แล้วเพียงการมองผ่านๆ ในเสี้ยววินาที
“คุณระบุค่าตัวแปรผิด แต่ไม่มีปัญหาแล้ว” เขาบอกเจ้าหน้าที่สั้นๆ เมื่อผ่านไปราวห้านาที น้ำเสียงผ่อนคลายลงนิด (นิดเดียวจริงๆ) ไม่เครียดเหมือนตอนที่เดินเข้ามาในห้อง นั่นทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมๆ กัน เพราะมันหมายถึงอาชีพการงานของตนเองน่าจะยังมั่นคงต่อไป
ดอกเตอร์พิชญ์เป็นผู้บริหารของสถาบันวิจัยที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาสามปีกว่าแล้ว ภายในระยะเวลาดังกล่าว ที่นี่สามารถผลิตผลงานวิจัยและต้นแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง ใช้งบประมาณไปเกือบร้อยล้านบาท ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากภายนอกทั้งในและต่างประเทศ ผลงานวิจัยของที่นี่แต่ละชิ้นมีมูลค่ามหาศาล นั่นทำให้ทุกคนไม่อยากที่จะพลาด
“แสดงว่าเรากำลังจะทำสำเร็จใช่ไหมครับดอกเตอร์”
พิชญ์ไม่ยิ้ม เพียงสายตาที่ตวัดผ่านคนพูดก็ทำให้เขารีบปิดปาก “คุณจะต้องทำการทดลองซ้ำใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบ” บอกด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาหลังกรอบแว่นบางสีเข้มไม่บอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่มันทำให้ผู้ฟังถึงกับหน้าเสีย ใครก็รู้กิตติศัพท์ของความเอาจริงของผู้บริหารที่นี่ การทดลองใหม่หมายความว่าสิ่งที่ทำไปก่อนหน้า…ล้มเหลว
“ถ้าประมวลผลเสร็จช่วยพิมพ์ผลการทดลองที่เกี่ยวกับการอ่านค่าการทนความร้อนของวัสดุชิ้นนี้ แล้วเขียนรายงานด้วยว่ามันต่างจากคราวก่อนยังไงบ้าง เอาทั้งส่วนที่ดีกว่าและแย่กว่านะ ผมจะเอามาวิเคราะห์ร่วมกับผลทางเคมี”
“ครับ” กฤษฎารับปากเสียงเบา ไหล่ตก เขาทำพลาดอีกแล้ว
จังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะถอนหายใจนั้นเอง ฝ่ามือของพิชญ์ก็ตบเบาๆ ที่ไหล่ของกฤษฎา “พยายามอีกนิด ผมรู้ว่าคุณทำได้”
“ผม…”
“เริ่มใหม่ ไม่ได้แปลว่าที่ทำมาครั้งก่อนผิด” คนพูดเหมือนจะอ่านใจอีกฝ่ายได้ “มันแปลว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น” เขาพูดต่อ “ผมจะกลับไปสอน ช่วงบ่ายๆ เจอกัน สรุปผลความแตกต่างของครั้งนี้กับครั้งก่อนให้ละเอียดนะ อย่าให้พลาดอีก”
“ครับ”
ประตูห้องแล็บเปิดออก พนักงานอีกคนของแล็บซึ่งถูกใช้ให้ไปเอาเอกสารที่ห้องทำงานของพิชญ์เปิดประตูเข้ามา เธอทำหน้าตื่น ก่อนจะตรงเข้าหาเจ้าของแล็บ ยื่นเอกสารให้
“ดอกเตอร์คะ เอ่อ มีแขกมารอพบอยู่นะคะ”
“ใคร ผมไม่ได้นัดใครไว้ ให้ไปพบคุณผึ้งก่อนก็ได้” คนพูดหยิบชาร์ตบันทึกข้อมูลออกมาเปิดอย่างเร็วๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ทุกคนในแล็บรู้ดีว่าข้อมูลทุกอย่างถูกบันทึกลงในหน่วยความจำอันมีความจุมหาศาลในหัวของเขาเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ”
“เป็นอะไร ทำไมทำท่าทางลำบากใจขนาดนั้น” ขนาดไม่ได้หันไปชายหนุ่มยังจับอารมณ์ของคนพูดได้
“คะ…คือว่า เธอบอกว่า เป็นภรรยาคุณค่ะ “
คำว่า ‘ภรรยา’ ทำให้นิ้วที่กำลังพลิกเอกสารชะงัก ดวงตาหลังกรอบแว่นบางสีเข้มสบตากับคนพูดชั่วแวบ ก่อนเจ้าตัวจะขยับแว่นวางชาร์ต
“ตอนนี้เธออยู่ไหน”
“…เอ่อ…”
“ฉันอยู่นี่” เสียงเบาๆ แทรกขึ้นมาเบื้องหลังประตูที่เปิดแง้มไว้ ก่อนที่คนพูดจะเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มหวานสนิท
น้ำเสียงใสเบาที่มีลักษณะพิเศษนั้นเป็นเสียงที่พิชญ์เคยได้ยินเพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็จำได้ขึ้นใจ ชายหนุ่มกลั้นใจนิดหนึ่งเมื่อร่างเล็กๆ ของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย บอกความเป็นคนมั่นใจในตัวเองของเจ้าของ
ห้องแล็บวิจัยที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ราวหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟแห่งนั้นดูสว่างไสวขึ้นในพริบตาเพราะผู้มาใหม่ที่เดินช้าๆ มาพร้อมรอยยิ้มทั้งปากและตา เธอมองตรงไปที่ใบหน้าของคนที่เจ้าตัวแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องการพบ ทำราวกับว่าในห้องไม่มีคนอื่นๆ อยู่ หยุดเมื่อยืนอยู่ห่างเขาประมาณสามก้าว คลี่ยิ้มอีกครั้งราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาหลายปี
เธอดูน่ารักและแพงไปทั้งตัว…เหมือนเดิม ผู้หญิงที่เติบโตมาท่ามกลางความร่ำรวย ไม่เคยใช้ของโนเนมราคาถูก
เขาลอบถอนใจ ไม่ยิ้มตอบ แต่ไม่ได้เมินสายตาหลบดวงตาของคนพูด รู้สึกได้เลยว่า ทุกคนในห้องนอกจากเขาและเธออยู่ในอาการแปลกใจแบบปิดไม่มิด
ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ทุกคนจะรู้สึกแบบนี้เพราะเขาไม่เคยแสดงอะไรสักอย่างที่บอกได้ว่ามีครอบครัวแล้ว ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อผู้หญิงคนไหนเวลาทำงาน แถมทำงานหนัก กลับบ้านดึกราวกับว่ายังโสดสนิทไม่มีพันธะใดๆ
ไม่เคยว่อกแว่กต่อให้นักศึกษาสาวๆ กับอาจารย์สาวรุ่นต่างคณะจะคอยส่งตาหวานๆ ให้ตามโอกาสที่มี
“ผมไม่ได้นัดคุณไว้” เอ่ยขณะเบี่ยงตัวหลบปลายนิ้วเรียวที่ทำท่าเหมือนจะแตะที่ปลายแขนของเขา ดวงตาหลังกรอบแว่นมีแววเบื่อหน่ายนิดๆ พยายามรักษาน้ำเสียงให้นิ่ง เรียบ ไร้อารมณ์เหมือนเดิม “กฤษฎา ผมไปสอนก่อนนะ อย่าลืมไปรายงานผลทันทีที่เครื่องรันโปรแกรมเสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่” ชายหนุ่มเดินหลีกร่างบางออกจากห้องหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผู้มาใหม่ทำหน้าเหลอหลา
“คุณพิชญ์…” ณิชาหุบยิ้ม ก่อนมองไปรอบๆ ห้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมองเธอด้วยแววตาแปลกๆ หญิงสาวสะบัดหน้า ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตามเขาออกไป
นายจะมาทำให้ฉันเสียหน้าแล้วเดินจากไปอย่างนี้…ไม่ได้
หญิงสาวก้าวเร็วจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเพื่อให้ทันร่างในชุดเสื้อเชิ้ตขาวรีดเรียบกริบกับกางเกงสุดเนี้ยบนั่น แต่รองเท้าส้นสูงกว่าสองนิ้วที่เธอสวมอยู่ทำให้ไม่สามารถก้าวเร็วได้อย่างใจคิด
“หยุดก่อนสิ มาคุยกันก่อน ฉันมีเรื่องคุยกับคุณนะคะ” ณิชาร้องเรียกใส่เบื้องหลังไหล่กว้าง ที่เอาแต่เดิน เดิน และเดิน ไม่มีวี่แววจะหยุดหรือหันมาสักนิด
“คุณไม่ควรเดินหันหลังให้ฉันแบบนี้นะ ฉันจะฟ้องคุณปู่” หญิงสาวพูดปนหอบ ในขณะที่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสองสามก้าวยังทำเฉย ราวกับไม่ได้ยิน
“คอยดูนะ… อุ๊บ” ร่างบางชนเข้ากับร่างสูงที่จู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ปลายนิ้วปานคีมเหล็กรวบต้นแขนของหญิงสาว พยุงร่างบางนั่นไว้ เพียงครู่เดียวเมื่อรู้สึกว่าเจ้าตัวจะทรงตัวได้ก็รีบปล่อย
“ที่นี่สถาบันการศึกษา อย่ามาทำอะไรรุ่มร่าม” เขากระซิบ “ถ้าคุณไม่รู้สึกอะไร กับการกระทำของคุณ ก็ให้คิดถึงชื่อเสียงของคุณปู่ของคุณบ้าง”
“แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ…นะคะ” ปลายสายพยายามทอดเสียงอ้อนแบบที่เจ้าตัวแทบไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใครยกเว้นตอนที่ขอเงินจากคุณปู่เท่านั้น
มุมปากของ ดร.หนุ่มยิ้มนิดๆ “ผมมีสอน ถ้าจะมีอะไรคุยช่วยไปนัดกับคุณผึ้งเลขาฯ ของผม ตรงไปขวามือ มีป้ายบอกที่หน้าห้อง หวังว่าคุณจะยังจำชื่อสามีของตัวเอง และนามสกุลของเขาได้” พูดจบเขาก็ก้าวเร็วๆ จากไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะหันเหลือบสายตามามองคนร่างเล็กที่ยืนกำหมัดแน่น เม้มปาก บอกตัวเองว่าอยากถอดรองเท้าปาศีรษะคนมาดนิ่งปากร้ายนั่นดูสักที
ถ้าฉันไม่คิดว่าจะต้องขอให้นายเขาช่วยอะไรล่ะก็ จะไม่มายืนตากหน้าให้เสียเวลาหรอก
ไม่คิดว่าไม่ได้เจอกันปีกว่า นายจะเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ สงสัยจะยังโกรธอยู่ หญิงสาวคิดอย่างหงุดหงิด ก็ไม่เปิดโอกาสให้อธิบายอะไรเลยนี่นา ตั้งใจจะมาของ้อแล้วนะ คนอย่างฉันไม่เคยง้อใครง่ายๆ ด้วย
หญิงสาวรวบรวมสติ บอกตัวเองว่าจะมามัวใช้อารมณ์ใส่ใจกับท่าทางห่างเหินเย็นชาของเขาไม่ได้ มีเรื่องที่ใหญ่กว่ารออยู่ คิดได้ดังนั้นจึงตรงไปยังห้องที่อีกฝ่ายบอก
แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าตำแหน่งที่เขียนไว้ที่หน้าห้องนั้นคือ ... ผู้อำนวยการสถาบัน เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ มิน่าเล่าทุกคนที่นี่ถึงแสดงท่าทางสนใจเธอทันทีเมื่อบอกว่าเป็นอะไรกับเขา
ผลักประตูเข้าไป ด้านในเป็นห้องโถงที่จัดไว้สำหรับรับแขก มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่มุมในสุดหน้าห้องที่น่าจะเป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้หญิงที่นั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่ทำให้ณิชาขมวดคิ้ว เธอไม่คิดว่าเลขาฯ ของ ดร.พิชญ์จะเป็นผู้หญิงร่างโปร่งบาง หน้าตาเก๋ การแต่งตัวและท่าทางดูปราดเปรียวทันสมัยขนาดนี้ หล่อนเข้ากันได้ดีกับห้องทำงานที่ตกแต่งเรียบแต่ทันสมัยและดูมีระดับด้วยโทนสีขาว เทา และส้ม
หญิงสาวที่นั่งพิมพ์เอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานส่วนตัวหน้าห้องพักของ ดร.พิชญ์เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้อง เธอไล่สายตาจากรองเท้าสีดำ ถุงน่องสีเข้มจนเกือบดำ กางเกงขาสั้นสีดำ และเสื้อเชิ้ตเนื้อนิ่มสีขาว มีสร้อยคอเส้นเล็กๆ สีเทาห้อยระโยงระยางทำให้ชุดดูเก๋ขึ้นมาอีกนิด
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอรสาเป็นผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาราวกับเด็กมหาวิทยาลัย แต่การแต่งตัวเปรี้ยวและท่าทางมั่นใจตัวเองแบบนั้นบอกว่าเธอน่าจะมีประสบการณ์มากกว่านั้น
… หรือเป็นอีกหนึ่งในสาวๆ ที่มาหลงใหลติดใจ ดร.พิชญ์…เป็นไปได้มากทีเดียว เจ้านายของเธอเพิ่งไปบรรยายพิเศษเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีและต้นแบบที่สถาบันวิจัยแห่งนี้เพิ่งพัฒนาได้ในงานสัมมนาของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นผลพลอยได้จากงานนั้น
และเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องกำจัดสาวๆ เหล่านั้นออกไป เคยคิดเสมอๆ ว่าหากเจ้านายของเธอบริหารเสน่ห์ของตัวเองสักนิด เธอคงต้องทำงานหนักกว่านี้หลายเท่าตัว
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ผึ้งรับใช้ไหมคะ” คนพูดจงใจใส่เสียงหวานใสมากเป็นพิเศษ เพราะรู้สึกว่าต้องทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายให้เจ้านายผู้สนใจแต่ทำงานของตัวเองเสียแล้ว
“ดิฉันต้องการพบ ดอกเตอร์พิชญ์ ค่ะ ฉันเป็น….”
เสียงโทรศัพท์มือถือของอรสาดังขึ้น “ขอโทษนะคะ” เธอเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย นั่นทำให้คนที่กำลังจะพูดธุระของตนเองให้เสร็จๆ ไปรู้สึกหงุดหงิดขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เสียงค่ะ ค่ะ แล้วก็ค่ะ นั่นได้ไพเราะ มีจังหวะน่าฟัง แต่มันทำให้ณิชาขัดใจชะมัด นายมีสาวสวยแบบนี้อยู่ใกล้ๆ แถมทำงานในสถาบันวิจัยใหญ่โตแบบนี้นี่เอง มิน่าเล่าจึงไม่คิดจะสนใจติดต่อเธอไปสักครั้ง
ก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วนี่นะ…ทำงานในมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง มีเงินอุดหนุนจากปู่ไม่ขาดสาย มีสาวสวยคอยดูแลใกล้ชิด
แล้วเธอล่ะ ได้อะไรจากการแต่งงานบ้าๆ นั่น
ตัวเองต้องระเห็จตัวเองไปอยู่เมืองนอก
เข้าหน้าคุณปู่และพี่ชายไม่ติด
มีเงินใช้ประจำเดือนแบบจำกัด จากที่เคยได้จากคุณปู่แบบไม่ขาดมือก็ต้องโทรมาขอพี่ชายเป็นครั้งๆ ไป แถมต้องไปทำงานพิเศษเพิ่มเติมเพื่อเอาเงินมาเรียนอย่างที่ฝันไว้อีก
ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนายคนนั้นคนเดียว….
อรสาวางสายแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ขอโทษทีค่ะ ดอกเตอร์โทรมาสั่งงาน เมื่อครู่คุณบอกว่าอยากพบ ดอกเตอร์พิชญ์ใช่ไหมคะ”
ณิชาพยักหน้า “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาด่วน”
“ดอกเตอร์ติดสอนค่ะ โทรมาบอกว่าวันนี้ไม่รับนัด…เสียใจด้วยนะคะ” รอยยิ้มของคนพูดตรงข้ามกับสิ่งที่พูดออกมาอย่างชัดเจน
“ฉันจะรอ” อีกฝ่ายเชิดหน้าตอบอย่างถือดี
“คงไม่สะดวกมั้งคะ เมื่อครู่ ดอกเตอร์สั่งว่าวันนี้ยังไม่พบใครทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ คนเขาปฏิเสธแล้วยังจะตื้ออยู่ได้ อรสาแอบคิดทั้งๆ ที่ยังคลี่ยิ้ม
เธอถูกสั่งกำชับมาอีกครั้งว่าให้เลื่อนนัดหญิงสาวตรงหน้าไปสักสามวันเป็นอย่างน้อยโดยไม่มีเหตุผลใดเสริมให้เข้าใจทั้งสิ้น
“แต่ฉัน…” ณิชากำลังจะบอกฐานะของตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าเป็นต่อกว่าคุณเลขาฯ หน้าห้องหน้าเก๋ตรงหน้าหลายขุม จังหวะนั้นเองประตูห้องเปิดออก
“คุณผึ้งคะ ดอกเตอร์ส่งดอกไม้มาให้ค่ะ พักนี้สวีตกันจังนะ มีดอกไม้ทุกวันเลย” แม่บ้านเดินเอาแจกันดอกไม้ขนาดเล็กที่ภายในบรรจุดอกไม้นานาชนิดจัดวางไว้อย่างสวยงามเดินมาวางที่ชั้นวางของด้านหลังของอรสา ที่นั่น มีช่อดอกไม้ แจกันดอกไม้ตั้งอยู่หลายช่อ บางช่อเริ่มเฉา บางช่อก็ยังสดใหม่เหมือนเพิ่งได้เมื่อวาน
ณิชาเลิกคิ้ว มองดอกไม้กับใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุขของคนตรงหน้าสลับไปมา ดอกไม้ในแจกันต้องมีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาทแน่ๆ ถ้านับช่ออื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังนั่นด้วยก็น่าจะร่วมหมื่น
“เย็นนี้จะไปทานข้าวที่ไหนคะ” แม่บ้านไม่ได้ใส่ใจหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง
“ยังไม่รู้เลยค่ะพี่แป้น” เลขาฯ ของ ดร.พิชญ์ตอบยิ้มๆ “รอเซอรไพรส์จากดอกเตอร์ดีกว่า”
“หวานกันจริงน้าคู่นี้”
อรสาอมยิ้มเขินๆ “อย่าแซวสิคะ เขิน”
แม่บ้านหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกลับออกไปหลังจากวางแจกันดอกไม้เข้าที่แล้ว
ณิชากำมือแน่น แบบนี้นี่เอง มิน่าเล่า เธอได้คำตอบแล้วว่าทำไมเขาจึงทำเหมือนตกใจเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แถมปฏิเสธการพูดคุยกับเธออย่างไม่เหลือเยื่อใย
นาย ดร.พิชญ์หลอกเอาเงินคุณปู่ไปยี่สิบล้าน แต่งงานกับหลานสาวของท่าน (ซึ่งก็คือเธอ) ทั้งๆ ที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน แถมสวีตหวานแหววซะยิ่งกว่าอะไร ส่งดอกไม้ช่อละพันกว่าบาทให้เกือบทุกวัน
นี่นะเหรอคนที่คุณปู่อุตส่าห์ให้ทุนสนับสนุนให้เรียนจบปริญญาเอก…ผู้ชายหน้าไหว้หลังหลอก!
“คุณคะ” เสียงเรียกเบาๆ ทำให้ณิชาหลุดจากภวังค์ เธอพบว่าคุณเลขาฯ มองหน้าเธออยู่แล้ว “เลื่อนเป็นนัดสักวันพฤหัสได้ไหมคะ หรือว่าจะเป็นศุกร์บ่าย จะให้ลงในสมุดนัดหมายไว้ว่าใครจะขอพบคะ ดิฉันจะลองถามดอกเตอร์ก่อนว่าสะดวกพบคุณเมื่อไหร่ ถ้าเร็วกว่านั้นจะรีบโทรแจ้ง รบกวนขอนามบัตรหรือเบอร์ติดต่อด้วยค่ะ”
ณิชาเม้มปาก คนที่เป็นภรรยาของพบสามีของตัวเองได้ยากขนาดนี้เลยหรือนี่
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ช่วยบอกคุณ ดอกเตอร์พิชญ์ด้วยว่าภรรยาของเขาต้องการพบตัวด่วน รบกวนให้เขาติดต่อกลับไปเองก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบ ขณะดึงกระดาษโน้ตและปากกาที่วางไว้ที่โต๊ะของคุณเลขาฯ มาจดเบอร์มือถือของตัวเองส่งให้ “ขอบคุณนะคะ คงต้องไปก่อน”
อรสาเบิกตากว้าง รับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างงงๆ ดร.พิชญ์มีภรรยาแล้วเหรอ เธอเป็นเลขาฯ ของเขามาปีกว่า ไม่เคยเห็นจะเอ่ยถึงครอบครัว
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” อรสามองร่างเล็กที่ก้าวเร็วๆ ออกจากห้อง
...มาเร็ว ไปเร็วอย่างกับพายุ คนที่นั่งมองอยู่เบื้องหลังคิด
ทางด้าน ดร.พิชญ์ หลังจากแยกจากภรรยาเก่าเพื่อตรงไปเข้าห้องสอน เจ้าตัวก็แทบจะสอนหนังสือไม่รู้เรื่อง ต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่กว่าจะสรุปบทเรียนทั้งหมดของวันและสั่งงานนักศึกษาสำหรับอาทิตย์หน้า
เธอกลับมาทำไมนะ…จิตใจของเขากระวนกระวายอยากรู้เหลือเกิน อยากถามข่าวคราวความเป็นไปของอีกฝ่าย แต่ส่วนลึกๆ ของหัวใจก็สั่งห้ามไม่ให้แสดงอะไรออกมามากกว่าความนิ่งและเฉยชา เธอทิ้งเขาไปปีกว่า การกลับมาของเธอไม่น่าจะตามมาด้วยเรื่องที่น่ายินดีนัก
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าณิชาไม่ได้รักเขา เธอพยายามหลบเลี่ยงการพบเจอกันก่อนแต่งงาน ไม่ยอมพูดคุย และก้มหน้าตลอดเวลาทำพิธีแต่งงานอันรวบรัด จากสีหน้าและแววตาของเธอในวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ห่างเหิน…ไม่มีความผูกพันใดๆ เขาจึงเลือกที่จะโต้ตอบเธอไปด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชาพอๆ กัน อย่างน้อยก็ต้องการตั้งป้อมปราการของตนเองให้แน่นหนาที่สุดก่อนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากการมาครั้งนี้กันแน่
หย่า…คำคำนั้นแวบเข้ามาในหัว
อาจจะเป็นไปได้ เธอหายไปเกือบสองปี เขาได้ข้อมูลจากคุณปฐมคุณปู่ของเธอว่าเจ้าตัวหนีไปเมืองนอกเพื่อเรียนต่อ ตอนนี้คงเรียนจบแล้ว และอยากจะเป็นอิสระจากเขาเสียที
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะรวบเอกสารลงกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ปิดเครื่องและเดินกลับเข้าศูนย์วิจัยซึ่งอยู่ห่างจากตึกที่สอนเพียงเดินประมาณสิบนาที
เขาเดินผ่านนักศึกษากลุ่มใหญ่ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง สังเกตเห็นจากปลายสายตาว่าหลายคนชะงักและต่างกระซิบกระซาบพร้อมส่งสายตาชื่นชมมาให้เขาอย่างเปิดเผย...มันคงเป็นผลจากการที่เขาได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติด้วยวัยเพียงสามสิบห้า และถูกท่านอธิการบดีขอร้องให้เป็นพรีเซนเตอร์ทำโปสเตอร์และเอกสารประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยเมื่อเดือนก่อน
แววตาของนักศึกษาหรือผู้หญิงคนอื่นไม่เคยมีอิทธิพลกับเขา จากที่พบกันไม่กี่นาที เขาพบว่าณิชายังคงเป็นผู้หญิงที่ดึงดูดใจเขาได้อย่างไร้เหตุผลเหมือนเดิม แค่เพียงแววตา รอยยิ้ม (หลอกๆ) ของเธอก็แทบจะทำให้เขาลืมความผิดทั้งหมดที่เธอทำไว้
โชคดีที่สติอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ช่วยไว้ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ในแล็บรู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้คงจะได้เสียภาพพจน์เจ้านายขาโหดที่สร้างไว้มาหลายปีกันพอดี เจ้าตัวถอนหายใจ เห็นทีจะต้องหาวิธีรู้ให้ได้ว่าเธอมาพบเขาทำไมกันแน่ จะได้ตั้งรับได้ทัน
อย่างน้อย หากจะต้องจากกันด้วยการหย่า เขาก็ยังอยากหย่าแบบเหลือศักดิ์ศรีของตัวเองไว้บ้าง….
อ่านตอนอื่นๆ ได้ที่ https://www.readawrite.com
เจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่กำลังถือถาดบรรจุหลอดใส่สารเคมีหันไปทางต้นเสียง รีบนำถาดในมือใส่ตู้เก็บอุปกรณ์การทดลองอย่างรวดเร็ว และก้าวตรงมาอ่านข้อความที่หน้าจอ ถอนหายใจก่อนหันมาขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่อีกคนที่กำลังบันทึกรายการต่างๆ ลงในสมุดบันทึกประจำวัน ซึ่งอยู่อีกด้านของมุมห้อง
“เครื่องเป็นอะไร”
“ไม่รู้สิแบบนี้ไม่เคยเจอ เมื่อสิบนาทีที่แล้วผมมาดูผลไปครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ปกติดีนี่นะ เกือบเสร็จแล้วด้วย ดอกเตอร์พิชญ์กำลังรอผลการทดสอบอันนี้อยู่เสียด้วยสิ บอกว่าประมวลผลเสร็จให้เรียก ไม่ว่าแกจะทำอะไรอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นเรียกดอกเตอร์พิชญ์ดีไหม หากมีอะไรร้ายแรงจะได้แก้ได้ทัน”
“ดอกเตอร์กำลังสอนอยู่นะ”
“ถ้าผลการทดลองมีปัญหาเราอาจโดนหนักกว่าโดนว่าเรื่องไปขัดจังหวะการสอนของดอกเตอร์นะ”
“ดอกเตอร์นรุธก็ไม่อยู่เสียด้วย” คนพูดหมายถึงผู้ร่วมดูแลโครงการอีกคนซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านระบบซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล
“นั่นสิ ไปเรียก ดอกเตอร์พิชญ์เถอะ เร็วๆ นะ” อีกฝ่ายยังไม่วายกำชับ
สองสามนาทีต่อมา ชายหนุ่มร่างสูง ผิวเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดรีดเรียบ เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าซึ่งเป็นลักษณะการแต่งตัวที่ทุกคนในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยแห่งนี้เห็นอยู่เป็นนิจก็ปรากฏตัวที่หน้าห้องแล็บ เขาเปิดประตูและตรงเข้าไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที
“เป็นไง” คนพูดไล่สายตาอ่านข้อมูลหน้าจอก่อนจะคลิกเมาส์ “ไม่ได้ error นี่นา”
“ครับไม่ error แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงต่อดีครับดอกเตอร์ พวกผมไม่เคยเจอผลแบบนี้มาก่อน“
“ดีแล้วที่ให้คนไปตามผม” ชายหนุ่มร่างสูงคลิกเมาส์ไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ป้อนคำสั่งเพิ่มเติมลงไปอย่างรวดเร็ว เขาเปิดหน้าจอเล็กๆ อีกอันก่อนที่จะรัวนิ้วพิมพ์ค่าตัวแปรที่ได้มาล่าสุดลงไป ความเร็วของนิ้วที่เคาะแป้นพิมพ์ทำให้ผู้ร่วมงานที่ยืนอยู่จะทึ่งไม่ได้ ข้อมูลเหล่านั้นล้วนเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลย แต่ดอกเตอร์พิชญ์ก็พิมพ์เหมือนกับสมองของเขาได้จดจำพวกนั้นไว้แล้วเพียงการมองผ่านๆ ในเสี้ยววินาที
“คุณระบุค่าตัวแปรผิด แต่ไม่มีปัญหาแล้ว” เขาบอกเจ้าหน้าที่สั้นๆ เมื่อผ่านไปราวห้านาที น้ำเสียงผ่อนคลายลงนิด (นิดเดียวจริงๆ) ไม่เครียดเหมือนตอนที่เดินเข้ามาในห้อง นั่นทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมๆ กัน เพราะมันหมายถึงอาชีพการงานของตนเองน่าจะยังมั่นคงต่อไป
ดอกเตอร์พิชญ์เป็นผู้บริหารของสถาบันวิจัยที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาสามปีกว่าแล้ว ภายในระยะเวลาดังกล่าว ที่นี่สามารถผลิตผลงานวิจัยและต้นแบบออกมาอย่างต่อเนื่อง ใช้งบประมาณไปเกือบร้อยล้านบาท ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากภายนอกทั้งในและต่างประเทศ ผลงานวิจัยของที่นี่แต่ละชิ้นมีมูลค่ามหาศาล นั่นทำให้ทุกคนไม่อยากที่จะพลาด
“แสดงว่าเรากำลังจะทำสำเร็จใช่ไหมครับดอกเตอร์”
พิชญ์ไม่ยิ้ม เพียงสายตาที่ตวัดผ่านคนพูดก็ทำให้เขารีบปิดปาก “คุณจะต้องทำการทดลองซ้ำใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบ” บอกด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาหลังกรอบแว่นบางสีเข้มไม่บอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่มันทำให้ผู้ฟังถึงกับหน้าเสีย ใครก็รู้กิตติศัพท์ของความเอาจริงของผู้บริหารที่นี่ การทดลองใหม่หมายความว่าสิ่งที่ทำไปก่อนหน้า…ล้มเหลว
“ถ้าประมวลผลเสร็จช่วยพิมพ์ผลการทดลองที่เกี่ยวกับการอ่านค่าการทนความร้อนของวัสดุชิ้นนี้ แล้วเขียนรายงานด้วยว่ามันต่างจากคราวก่อนยังไงบ้าง เอาทั้งส่วนที่ดีกว่าและแย่กว่านะ ผมจะเอามาวิเคราะห์ร่วมกับผลทางเคมี”
“ครับ” กฤษฎารับปากเสียงเบา ไหล่ตก เขาทำพลาดอีกแล้ว
จังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะถอนหายใจนั้นเอง ฝ่ามือของพิชญ์ก็ตบเบาๆ ที่ไหล่ของกฤษฎา “พยายามอีกนิด ผมรู้ว่าคุณทำได้”
“ผม…”
“เริ่มใหม่ ไม่ได้แปลว่าที่ทำมาครั้งก่อนผิด” คนพูดเหมือนจะอ่านใจอีกฝ่ายได้ “มันแปลว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น” เขาพูดต่อ “ผมจะกลับไปสอน ช่วงบ่ายๆ เจอกัน สรุปผลความแตกต่างของครั้งนี้กับครั้งก่อนให้ละเอียดนะ อย่าให้พลาดอีก”
“ครับ”
ประตูห้องแล็บเปิดออก พนักงานอีกคนของแล็บซึ่งถูกใช้ให้ไปเอาเอกสารที่ห้องทำงานของพิชญ์เปิดประตูเข้ามา เธอทำหน้าตื่น ก่อนจะตรงเข้าหาเจ้าของแล็บ ยื่นเอกสารให้
“ดอกเตอร์คะ เอ่อ มีแขกมารอพบอยู่นะคะ”
“ใคร ผมไม่ได้นัดใครไว้ ให้ไปพบคุณผึ้งก่อนก็ได้” คนพูดหยิบชาร์ตบันทึกข้อมูลออกมาเปิดอย่างเร็วๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ทุกคนในแล็บรู้ดีว่าข้อมูลทุกอย่างถูกบันทึกลงในหน่วยความจำอันมีความจุมหาศาลในหัวของเขาเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ”
“เป็นอะไร ทำไมทำท่าทางลำบากใจขนาดนั้น” ขนาดไม่ได้หันไปชายหนุ่มยังจับอารมณ์ของคนพูดได้
“คะ…คือว่า เธอบอกว่า เป็นภรรยาคุณค่ะ “
คำว่า ‘ภรรยา’ ทำให้นิ้วที่กำลังพลิกเอกสารชะงัก ดวงตาหลังกรอบแว่นบางสีเข้มสบตากับคนพูดชั่วแวบ ก่อนเจ้าตัวจะขยับแว่นวางชาร์ต
“ตอนนี้เธออยู่ไหน”
“…เอ่อ…”
“ฉันอยู่นี่” เสียงเบาๆ แทรกขึ้นมาเบื้องหลังประตูที่เปิดแง้มไว้ ก่อนที่คนพูดจะเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มหวานสนิท
น้ำเสียงใสเบาที่มีลักษณะพิเศษนั้นเป็นเสียงที่พิชญ์เคยได้ยินเพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็จำได้ขึ้นใจ ชายหนุ่มกลั้นใจนิดหนึ่งเมื่อร่างเล็กๆ ของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย บอกความเป็นคนมั่นใจในตัวเองของเจ้าของ
ห้องแล็บวิจัยที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ราวหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟแห่งนั้นดูสว่างไสวขึ้นในพริบตาเพราะผู้มาใหม่ที่เดินช้าๆ มาพร้อมรอยยิ้มทั้งปากและตา เธอมองตรงไปที่ใบหน้าของคนที่เจ้าตัวแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องการพบ ทำราวกับว่าในห้องไม่มีคนอื่นๆ อยู่ หยุดเมื่อยืนอยู่ห่างเขาประมาณสามก้าว คลี่ยิ้มอีกครั้งราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาหลายปี
เธอดูน่ารักและแพงไปทั้งตัว…เหมือนเดิม ผู้หญิงที่เติบโตมาท่ามกลางความร่ำรวย ไม่เคยใช้ของโนเนมราคาถูก
เขาลอบถอนใจ ไม่ยิ้มตอบ แต่ไม่ได้เมินสายตาหลบดวงตาของคนพูด รู้สึกได้เลยว่า ทุกคนในห้องนอกจากเขาและเธออยู่ในอาการแปลกใจแบบปิดไม่มิด
ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ทุกคนจะรู้สึกแบบนี้เพราะเขาไม่เคยแสดงอะไรสักอย่างที่บอกได้ว่ามีครอบครัวแล้ว ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อผู้หญิงคนไหนเวลาทำงาน แถมทำงานหนัก กลับบ้านดึกราวกับว่ายังโสดสนิทไม่มีพันธะใดๆ
ไม่เคยว่อกแว่กต่อให้นักศึกษาสาวๆ กับอาจารย์สาวรุ่นต่างคณะจะคอยส่งตาหวานๆ ให้ตามโอกาสที่มี
“ผมไม่ได้นัดคุณไว้” เอ่ยขณะเบี่ยงตัวหลบปลายนิ้วเรียวที่ทำท่าเหมือนจะแตะที่ปลายแขนของเขา ดวงตาหลังกรอบแว่นมีแววเบื่อหน่ายนิดๆ พยายามรักษาน้ำเสียงให้นิ่ง เรียบ ไร้อารมณ์เหมือนเดิม “กฤษฎา ผมไปสอนก่อนนะ อย่าลืมไปรายงานผลทันทีที่เครื่องรันโปรแกรมเสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่” ชายหนุ่มเดินหลีกร่างบางออกจากห้องหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผู้มาใหม่ทำหน้าเหลอหลา
“คุณพิชญ์…” ณิชาหุบยิ้ม ก่อนมองไปรอบๆ ห้อง เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างมองเธอด้วยแววตาแปลกๆ หญิงสาวสะบัดหน้า ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตามเขาออกไป
นายจะมาทำให้ฉันเสียหน้าแล้วเดินจากไปอย่างนี้…ไม่ได้
หญิงสาวก้าวเร็วจนแทบจะกลายเป็นวิ่งเพื่อให้ทันร่างในชุดเสื้อเชิ้ตขาวรีดเรียบกริบกับกางเกงสุดเนี้ยบนั่น แต่รองเท้าส้นสูงกว่าสองนิ้วที่เธอสวมอยู่ทำให้ไม่สามารถก้าวเร็วได้อย่างใจคิด
“หยุดก่อนสิ มาคุยกันก่อน ฉันมีเรื่องคุยกับคุณนะคะ” ณิชาร้องเรียกใส่เบื้องหลังไหล่กว้าง ที่เอาแต่เดิน เดิน และเดิน ไม่มีวี่แววจะหยุดหรือหันมาสักนิด
“คุณไม่ควรเดินหันหลังให้ฉันแบบนี้นะ ฉันจะฟ้องคุณปู่” หญิงสาวพูดปนหอบ ในขณะที่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสองสามก้าวยังทำเฉย ราวกับไม่ได้ยิน
“คอยดูนะ… อุ๊บ” ร่างบางชนเข้ากับร่างสูงที่จู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ปลายนิ้วปานคีมเหล็กรวบต้นแขนของหญิงสาว พยุงร่างบางนั่นไว้ เพียงครู่เดียวเมื่อรู้สึกว่าเจ้าตัวจะทรงตัวได้ก็รีบปล่อย
“ที่นี่สถาบันการศึกษา อย่ามาทำอะไรรุ่มร่าม” เขากระซิบ “ถ้าคุณไม่รู้สึกอะไร กับการกระทำของคุณ ก็ให้คิดถึงชื่อเสียงของคุณปู่ของคุณบ้าง”
“แต่ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ…นะคะ” ปลายสายพยายามทอดเสียงอ้อนแบบที่เจ้าตัวแทบไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใครยกเว้นตอนที่ขอเงินจากคุณปู่เท่านั้น
มุมปากของ ดร.หนุ่มยิ้มนิดๆ “ผมมีสอน ถ้าจะมีอะไรคุยช่วยไปนัดกับคุณผึ้งเลขาฯ ของผม ตรงไปขวามือ มีป้ายบอกที่หน้าห้อง หวังว่าคุณจะยังจำชื่อสามีของตัวเอง และนามสกุลของเขาได้” พูดจบเขาก็ก้าวเร็วๆ จากไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะหันเหลือบสายตามามองคนร่างเล็กที่ยืนกำหมัดแน่น เม้มปาก บอกตัวเองว่าอยากถอดรองเท้าปาศีรษะคนมาดนิ่งปากร้ายนั่นดูสักที
ถ้าฉันไม่คิดว่าจะต้องขอให้นายเขาช่วยอะไรล่ะก็ จะไม่มายืนตากหน้าให้เสียเวลาหรอก
ไม่คิดว่าไม่ได้เจอกันปีกว่า นายจะเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ สงสัยจะยังโกรธอยู่ หญิงสาวคิดอย่างหงุดหงิด ก็ไม่เปิดโอกาสให้อธิบายอะไรเลยนี่นา ตั้งใจจะมาของ้อแล้วนะ คนอย่างฉันไม่เคยง้อใครง่ายๆ ด้วย
หญิงสาวรวบรวมสติ บอกตัวเองว่าจะมามัวใช้อารมณ์ใส่ใจกับท่าทางห่างเหินเย็นชาของเขาไม่ได้ มีเรื่องที่ใหญ่กว่ารออยู่ คิดได้ดังนั้นจึงตรงไปยังห้องที่อีกฝ่ายบอก
แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าตำแหน่งที่เขียนไว้ที่หน้าห้องนั้นคือ ... ผู้อำนวยการสถาบัน เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ มิน่าเล่าทุกคนที่นี่ถึงแสดงท่าทางสนใจเธอทันทีเมื่อบอกว่าเป็นอะไรกับเขา
ผลักประตูเข้าไป ด้านในเป็นห้องโถงที่จัดไว้สำหรับรับแขก มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่มุมในสุดหน้าห้องที่น่าจะเป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้หญิงที่นั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่ทำให้ณิชาขมวดคิ้ว เธอไม่คิดว่าเลขาฯ ของ ดร.พิชญ์จะเป็นผู้หญิงร่างโปร่งบาง หน้าตาเก๋ การแต่งตัวและท่าทางดูปราดเปรียวทันสมัยขนาดนี้ หล่อนเข้ากันได้ดีกับห้องทำงานที่ตกแต่งเรียบแต่ทันสมัยและดูมีระดับด้วยโทนสีขาว เทา และส้ม
หญิงสาวที่นั่งพิมพ์เอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานส่วนตัวหน้าห้องพักของ ดร.พิชญ์เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นกระเบื้อง เธอไล่สายตาจากรองเท้าสีดำ ถุงน่องสีเข้มจนเกือบดำ กางเกงขาสั้นสีดำ และเสื้อเชิ้ตเนื้อนิ่มสีขาว มีสร้อยคอเส้นเล็กๆ สีเทาห้อยระโยงระยางทำให้ชุดดูเก๋ขึ้นมาอีกนิด
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอรสาเป็นผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาราวกับเด็กมหาวิทยาลัย แต่การแต่งตัวเปรี้ยวและท่าทางมั่นใจตัวเองแบบนั้นบอกว่าเธอน่าจะมีประสบการณ์มากกว่านั้น
… หรือเป็นอีกหนึ่งในสาวๆ ที่มาหลงใหลติดใจ ดร.พิชญ์…เป็นไปได้มากทีเดียว เจ้านายของเธอเพิ่งไปบรรยายพิเศษเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีและต้นแบบที่สถาบันวิจัยแห่งนี้เพิ่งพัฒนาได้ในงานสัมมนาของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นผลพลอยได้จากงานนั้น
และเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องกำจัดสาวๆ เหล่านั้นออกไป เคยคิดเสมอๆ ว่าหากเจ้านายของเธอบริหารเสน่ห์ของตัวเองสักนิด เธอคงต้องทำงานหนักกว่านี้หลายเท่าตัว
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ผึ้งรับใช้ไหมคะ” คนพูดจงใจใส่เสียงหวานใสมากเป็นพิเศษ เพราะรู้สึกว่าต้องทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายให้เจ้านายผู้สนใจแต่ทำงานของตัวเองเสียแล้ว
“ดิฉันต้องการพบ ดอกเตอร์พิชญ์ ค่ะ ฉันเป็น….”
เสียงโทรศัพท์มือถือของอรสาดังขึ้น “ขอโทษนะคะ” เธอเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย นั่นทำให้คนที่กำลังจะพูดธุระของตนเองให้เสร็จๆ ไปรู้สึกหงุดหงิดขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เสียงค่ะ ค่ะ แล้วก็ค่ะ นั่นได้ไพเราะ มีจังหวะน่าฟัง แต่มันทำให้ณิชาขัดใจชะมัด นายมีสาวสวยแบบนี้อยู่ใกล้ๆ แถมทำงานในสถาบันวิจัยใหญ่โตแบบนี้นี่เอง มิน่าเล่าจึงไม่คิดจะสนใจติดต่อเธอไปสักครั้ง
ก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วนี่นะ…ทำงานในมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง มีเงินอุดหนุนจากปู่ไม่ขาดสาย มีสาวสวยคอยดูแลใกล้ชิด
แล้วเธอล่ะ ได้อะไรจากการแต่งงานบ้าๆ นั่น
ตัวเองต้องระเห็จตัวเองไปอยู่เมืองนอก
เข้าหน้าคุณปู่และพี่ชายไม่ติด
มีเงินใช้ประจำเดือนแบบจำกัด จากที่เคยได้จากคุณปู่แบบไม่ขาดมือก็ต้องโทรมาขอพี่ชายเป็นครั้งๆ ไป แถมต้องไปทำงานพิเศษเพิ่มเติมเพื่อเอาเงินมาเรียนอย่างที่ฝันไว้อีก
ทั้งหมดนี่เป็นเพราะนายคนนั้นคนเดียว….
อรสาวางสายแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ขอโทษทีค่ะ ดอกเตอร์โทรมาสั่งงาน เมื่อครู่คุณบอกว่าอยากพบ ดอกเตอร์พิชญ์ใช่ไหมคะ”
ณิชาพยักหน้า “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาด่วน”
“ดอกเตอร์ติดสอนค่ะ โทรมาบอกว่าวันนี้ไม่รับนัด…เสียใจด้วยนะคะ” รอยยิ้มของคนพูดตรงข้ามกับสิ่งที่พูดออกมาอย่างชัดเจน
“ฉันจะรอ” อีกฝ่ายเชิดหน้าตอบอย่างถือดี
“คงไม่สะดวกมั้งคะ เมื่อครู่ ดอกเตอร์สั่งว่าวันนี้ยังไม่พบใครทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ คนเขาปฏิเสธแล้วยังจะตื้ออยู่ได้ อรสาแอบคิดทั้งๆ ที่ยังคลี่ยิ้ม
เธอถูกสั่งกำชับมาอีกครั้งว่าให้เลื่อนนัดหญิงสาวตรงหน้าไปสักสามวันเป็นอย่างน้อยโดยไม่มีเหตุผลใดเสริมให้เข้าใจทั้งสิ้น
“แต่ฉัน…” ณิชากำลังจะบอกฐานะของตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวคิดว่าเป็นต่อกว่าคุณเลขาฯ หน้าห้องหน้าเก๋ตรงหน้าหลายขุม จังหวะนั้นเองประตูห้องเปิดออก
“คุณผึ้งคะ ดอกเตอร์ส่งดอกไม้มาให้ค่ะ พักนี้สวีตกันจังนะ มีดอกไม้ทุกวันเลย” แม่บ้านเดินเอาแจกันดอกไม้ขนาดเล็กที่ภายในบรรจุดอกไม้นานาชนิดจัดวางไว้อย่างสวยงามเดินมาวางที่ชั้นวางของด้านหลังของอรสา ที่นั่น มีช่อดอกไม้ แจกันดอกไม้ตั้งอยู่หลายช่อ บางช่อเริ่มเฉา บางช่อก็ยังสดใหม่เหมือนเพิ่งได้เมื่อวาน
ณิชาเลิกคิ้ว มองดอกไม้กับใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุขของคนตรงหน้าสลับไปมา ดอกไม้ในแจกันต้องมีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาทแน่ๆ ถ้านับช่ออื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังนั่นด้วยก็น่าจะร่วมหมื่น
“เย็นนี้จะไปทานข้าวที่ไหนคะ” แม่บ้านไม่ได้ใส่ใจหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง
“ยังไม่รู้เลยค่ะพี่แป้น” เลขาฯ ของ ดร.พิชญ์ตอบยิ้มๆ “รอเซอรไพรส์จากดอกเตอร์ดีกว่า”
“หวานกันจริงน้าคู่นี้”
อรสาอมยิ้มเขินๆ “อย่าแซวสิคะ เขิน”
แม่บ้านหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกลับออกไปหลังจากวางแจกันดอกไม้เข้าที่แล้ว
ณิชากำมือแน่น แบบนี้นี่เอง มิน่าเล่า เธอได้คำตอบแล้วว่าทำไมเขาจึงทำเหมือนตกใจเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แถมปฏิเสธการพูดคุยกับเธออย่างไม่เหลือเยื่อใย
นาย ดร.พิชญ์หลอกเอาเงินคุณปู่ไปยี่สิบล้าน แต่งงานกับหลานสาวของท่าน (ซึ่งก็คือเธอ) ทั้งๆ ที่ตัวเองมีแฟนอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน แถมสวีตหวานแหววซะยิ่งกว่าอะไร ส่งดอกไม้ช่อละพันกว่าบาทให้เกือบทุกวัน
นี่นะเหรอคนที่คุณปู่อุตส่าห์ให้ทุนสนับสนุนให้เรียนจบปริญญาเอก…ผู้ชายหน้าไหว้หลังหลอก!
“คุณคะ” เสียงเรียกเบาๆ ทำให้ณิชาหลุดจากภวังค์ เธอพบว่าคุณเลขาฯ มองหน้าเธออยู่แล้ว “เลื่อนเป็นนัดสักวันพฤหัสได้ไหมคะ หรือว่าจะเป็นศุกร์บ่าย จะให้ลงในสมุดนัดหมายไว้ว่าใครจะขอพบคะ ดิฉันจะลองถามดอกเตอร์ก่อนว่าสะดวกพบคุณเมื่อไหร่ ถ้าเร็วกว่านั้นจะรีบโทรแจ้ง รบกวนขอนามบัตรหรือเบอร์ติดต่อด้วยค่ะ”
ณิชาเม้มปาก คนที่เป็นภรรยาของพบสามีของตัวเองได้ยากขนาดนี้เลยหรือนี่
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ช่วยบอกคุณ ดอกเตอร์พิชญ์ด้วยว่าภรรยาของเขาต้องการพบตัวด่วน รบกวนให้เขาติดต่อกลับไปเองก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบ ขณะดึงกระดาษโน้ตและปากกาที่วางไว้ที่โต๊ะของคุณเลขาฯ มาจดเบอร์มือถือของตัวเองส่งให้ “ขอบคุณนะคะ คงต้องไปก่อน”
อรสาเบิกตากว้าง รับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างงงๆ ดร.พิชญ์มีภรรยาแล้วเหรอ เธอเป็นเลขาฯ ของเขามาปีกว่า ไม่เคยเห็นจะเอ่ยถึงครอบครัว
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” อรสามองร่างเล็กที่ก้าวเร็วๆ ออกจากห้อง
...มาเร็ว ไปเร็วอย่างกับพายุ คนที่นั่งมองอยู่เบื้องหลังคิด
ทางด้าน ดร.พิชญ์ หลังจากแยกจากภรรยาเก่าเพื่อตรงไปเข้าห้องสอน เจ้าตัวก็แทบจะสอนหนังสือไม่รู้เรื่อง ต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่กว่าจะสรุปบทเรียนทั้งหมดของวันและสั่งงานนักศึกษาสำหรับอาทิตย์หน้า
เธอกลับมาทำไมนะ…จิตใจของเขากระวนกระวายอยากรู้เหลือเกิน อยากถามข่าวคราวความเป็นไปของอีกฝ่าย แต่ส่วนลึกๆ ของหัวใจก็สั่งห้ามไม่ให้แสดงอะไรออกมามากกว่าความนิ่งและเฉยชา เธอทิ้งเขาไปปีกว่า การกลับมาของเธอไม่น่าจะตามมาด้วยเรื่องที่น่ายินดีนัก
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าณิชาไม่ได้รักเขา เธอพยายามหลบเลี่ยงการพบเจอกันก่อนแต่งงาน ไม่ยอมพูดคุย และก้มหน้าตลอดเวลาทำพิธีแต่งงานอันรวบรัด จากสีหน้าและแววตาของเธอในวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ห่างเหิน…ไม่มีความผูกพันใดๆ เขาจึงเลือกที่จะโต้ตอบเธอไปด้วยสีหน้าและแววตาเย็นชาพอๆ กัน อย่างน้อยก็ต้องการตั้งป้อมปราการของตนเองให้แน่นหนาที่สุดก่อนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากการมาครั้งนี้กันแน่
หย่า…คำคำนั้นแวบเข้ามาในหัว
อาจจะเป็นไปได้ เธอหายไปเกือบสองปี เขาได้ข้อมูลจากคุณปฐมคุณปู่ของเธอว่าเจ้าตัวหนีไปเมืองนอกเพื่อเรียนต่อ ตอนนี้คงเรียนจบแล้ว และอยากจะเป็นอิสระจากเขาเสียที
ชายหนุ่มถอนหายใจขณะรวบเอกสารลงกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ปิดเครื่องและเดินกลับเข้าศูนย์วิจัยซึ่งอยู่ห่างจากตึกที่สอนเพียงเดินประมาณสิบนาที
เขาเดินผ่านนักศึกษากลุ่มใหญ่ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง สังเกตเห็นจากปลายสายตาว่าหลายคนชะงักและต่างกระซิบกระซาบพร้อมส่งสายตาชื่นชมมาให้เขาอย่างเปิดเผย...มันคงเป็นผลจากการที่เขาได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติด้วยวัยเพียงสามสิบห้า และถูกท่านอธิการบดีขอร้องให้เป็นพรีเซนเตอร์ทำโปสเตอร์และเอกสารประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยเมื่อเดือนก่อน
แววตาของนักศึกษาหรือผู้หญิงคนอื่นไม่เคยมีอิทธิพลกับเขา จากที่พบกันไม่กี่นาที เขาพบว่าณิชายังคงเป็นผู้หญิงที่ดึงดูดใจเขาได้อย่างไร้เหตุผลเหมือนเดิม แค่เพียงแววตา รอยยิ้ม (หลอกๆ) ของเธอก็แทบจะทำให้เขาลืมความผิดทั้งหมดที่เธอทำไว้
โชคดีที่สติอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ช่วยไว้ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ในแล็บรู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้คงจะได้เสียภาพพจน์เจ้านายขาโหดที่สร้างไว้มาหลายปีกันพอดี เจ้าตัวถอนหายใจ เห็นทีจะต้องหาวิธีรู้ให้ได้ว่าเธอมาพบเขาทำไมกันแน่ จะได้ตั้งรับได้ทัน
อย่างน้อย หากจะต้องจากกันด้วยการหย่า เขาก็ยังอยากหย่าแบบเหลือศักดิ์ศรีของตัวเองไว้บ้าง….
อ่านตอนอื่นๆ ได้ที่ https://www.readawrite.com
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2563, 21:55:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2563, 21:56:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 664
ตอน 2 >> |