ดุจจันทร์ดั้นเมฆ: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ตรีเมฆ’ ไม่ได้เกิดมามีชีวิตเลวร้าย เขาไม่ได้มีปมด้อยจนต้องสร้างจุดเด่น ตรงกันข้ามเขามีพร้อมทุกอย่าง แต่ความ ‘พร้อม’ นั้นทำให้ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างประมาทจนสุดท้ายต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ขี้คุก’ เขาผลาญทำลายชีวิตทุกคนที่รักเขา และในวันที่เขาได้รับอิสรภาพทางกาย จิตใจเขากลับถูกความรู้สึกผิดพันธนาการแน่นหนา
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้
ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง
แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย
*********************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 12 -25%
ใต้ฟากฟ้าดำทะมึนของชานเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ คฤหาสน์หลังงามยืนตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง ช่างแตกต่างจากสลัมแออัดที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโลเมตรนั่นนัก ในยามกลางวันคฤหาสน์นี้คือ ‘บ้าน’ ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เข้ามาดูแลรักษาให้มันคงความสง่างามไม่เสื่อมคลาย แต่พอตกกลางคืนมันกลับอ้างว้างร้างไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงชายเจ้าของบ้านวัยหกสิบปลายๆ ที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางความมโหฬารที่ตนเองสร้างขึ้น
เม็ดยาหลากสีนับสิบเม็ดที่อยู่ในกำมือถูกเขี่ยไปมาหลายรอบก่อนจะถูกโยนเข้าปากรวดเดียว ตามด้วยน้ำสะอาดแก้วใหญ่
เขาหลับตาแล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสงบความเจ็บปวดที่กำลังแล่นเข้าเกาะกุมทั้งหายใจ ความทรงจำของครอบครัวอันอบอุ่นหวนคืนมาอีกครั้งราวน้ำชโลมใจให้เขาไม่หลับไปเสียโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
ใบหน้าของผู้หญิงสามคนที่เขารักที่สุดในชีวิต ผุดพรายขึ้นในห้วงความคิด
ที่รัก คุณกานต์มณีภรรยาของเขา ช่างอายุสั้นเสียเหลือเกิน ลูกๆ เพิ่งจะเริ่มโตเป็นสาว เธอก็มาจากไปเสียแล้ว
กานต์ธิดา ลูกสาวคนโต ยอดดวงใจของพ่อ ลูกสาวที่พ่อแม่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้ ลูกกานต์ของพ่อทั้งฉลาด ทั้งสวยน่ารัก แต่ลูกช่างอ่อนเยาว์ต่อโลกนัก ในวัยสิบเก้าปีลูกก็ต้องมาอายุสั้นเพราะหลงไปคบคนชั่ว ไอ้อันธพาลที่ไร้หัวนอนปลายตีนคนนั้น!
กุลธิดา ลูกสาวคนเล็ก ลูกเหมือนเกิดมาเพื่อให้เขาชดใช้กรรม กุลธิดาทั้งดื้อรั้น ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งอิจฉาพี่สาว แม้จะยังมีชีวิตอยู่ เขากับลูกคนนี้ก็เหมือนอยู่ในโลกคนละใบกัน ยิ่งเกิดอุบัติเหตุอุบาทว์ที่พรากชีวิตพี่สาวไป ลูกคนเล็กของเขายิ่งห่างเหินไปจากเขาแทนที่จะเห็นอกเห็นใจกัน ลูกเอาแต่เที่ยวเตร่ ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องอัปยศขึ้น ศรัณย์จำวันสุดท้ายที่เขาพบลูกได้ดี
‘พ่อคะ กุลท้อง’
‘ฮะ! ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิด แกมันก็เหมือนพี่สาวของแกไม่มีผิด เกิดมาเพื่อทำให้ฉันอับอายขายหน้า ใฝ่ต่ำ ท้องกับไอ้ขี้ยาที่ไหนอีกล่ะ ไปเอาไอ้มารหัวขนนี่ออกซะ อย่าให้มันมาแปดเปื้อนตระกูลของฉัน แล้วแกก็ไปซะ ไปให้พ้นๆ หน้าฉัน’
ศรัณย์อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่นั้น เขาทุ่มเทชีวิตให้กับความสำเร็จทางธุรกิจและชื่อเสียง ขาดลูกไปเขาก็ไม่ตาย เพราะยังมีเครือญาติที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจอยู่ตลอดเวลา นับว่าชีวิตห้าหกปีของเขามานี้ไม่เลวนักหรอก จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขาได้เห็นหน้ามันอีกครั้ง ไอ้คนชั่วที่พรากแก้วตาดวงใจไปจากเขา มันโผล่มาอีกครั้ง
‘มึงฆ่าลูกกูไอ้สัตว์ มึงทำลูกกูตาย!’
ศรัณย์จำเสียงโหยหวนและเกรี้ยวกราดของตนเองได้ในค่ำคืนนั้น
คืนที่เขารุดออกไปกลางดึกเพียงเพื่อจะได้กอดร่างไร้ชีวิตที่เย็นชืดของลูกสาว
ลูกกานต์ตายคาที่อย่างน่าอนาถ แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด
ไอ้ปีศาจ!
“ในเมื่อมึงไม่ยอมตายในคุก กูนี่แหละจะจัดการกับมึงเอง ไอ้เมฆ!”
*****************
แดดยามสายของเช้าวันศุกร์มันช่างร้อนแรงยิ่งนัก โดยเฉพาะกับคนที่ต้องยืนคุมงานอยู่บนคานเหล็กชั้นสองที่ไร้หลังคามุง เหงื่อไหลบ่าดั่งสายน้ำชุ่มโชก แผ่นหลังยังไม่เท่าไร แต่ยามที่มันแทรกซึมจากลำคอแกร่งลงมาที่รอยข่วนแดงเป็นทางที่แผงอกกว้างนี่มันช่างแสบสันนัก ตรีเมฆต้องสูดปากซีด มือแกะกระดุมกระพือเสื้อรับลม
“อุย แสบชะมัด โกรธเป็นตบ เขินเป็นหยิก งอนเป็นข่วน ผู้หญิงนี่”
“หัวหน้าบ่นอะไรครับ”
“อุ๊ แม่เจ้า รอยข่วนแม่เสือสาวที่ไหน แดงเถือกเป็นทางเลยเว้ย”
ตรีเมฆอยากจะตะปบคอเสื้อ กลัดกระดุมปดปิดไว้ให้มิดก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าพวกช่างต่างวางมือจากงาน มองมาทางเขาด้วยสายตารู้ทัน เขาเท้าสะเอวมองตอบพวกมันด้วยท่าทางข่มขู่ แต่วินาทีนี้ใครจะไปยั่น นานๆ จะได้แซวหัวหน้าช่างหน้ายักษ์สักที
“ว่าไงครับหัวหน้า นางแมวเหมียวที่ไหนข่วนมาเหรอครับ”
“แมวบ้าที่ไหนของมึง”
“อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าโดนหนามเกี่ยว อย่ามามุดน้ำหนีน่าหัวหน้า บอกมาเลยว่าน้องสำนักไหน แหม...มือหนักน่าดู ซาดิสม์หรือเปล่านี่”
“ไอ้หอกหัก” ตรีเมฆกัดฟันกรอด ยากจะซัดมันสักหมัด แต่ยืนอยู่บนคานกันแบบนี้เตะใครไม่ถนัดเลยจริงๆ
“นี่หัวหน้า เวลาน้องเขาข่วนที หัวหน้าก็กดมิดด้ามทีใช่ไหมล่ะ มันไปเลยสินะ ฮ่าๆๆๆ”
“หุบปาก ไอ้พวกเวร เดี๋ยวกูเตะตกคานเสียเลย”
“โอ๊ะ โอ๋ หัวหน้า หน้าแดงอะ เขินหรือโกรธกันแน่”
โป๊ก!
“โอ๊ย! หัวหน้าเขวี้ยงมาได้ ตลับเมตรทั้งอัน หัวแตกแล้วมั้งนี่”
“เออ ถ้าพวกมึงยังไม่เลิกทะลึ่งกูจะขว้างด้วยไอ้นี่” ตรีเมฆงัดค้อนตอกตะปูอันเขื่องขึ้นมาชูให้ดู ทำเอาหนุ่มคะนองทั้งหลายหัวหด กลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานไปอมยิ้มไปกันจนหมด ตรีเมฆยังฮึดฮัดโกรธแดดโกรธลมอยู่คนเดียว
ถ้าได้ทำอย่างที่พวกมันว่าสักนิดจะไม่ว่าอะไรหรอก นี่มันไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาล้อกูเรื่องอะไรวะ
เขานึกก่นด่าพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ช่างเอกก็เดินมาแหงนหน้าร้องเรียก น้ำเสียงค่อนข้างกังวล
“หัวหน้าเมฆ หัวหน้าเมฆ”
“มีอะไร”
“โอ๊ย ทำไมเข้มจังครับหัวหน้า คือว่าห้างที่เราไปสั่งของไว้เขาโทร.มาแจ้งว่าของหมดสต๊อกครับ”
“ฉิบหาย ยิ่งรีบใช้อยู่ อะไรหมดวะ”
“หมดทุกอย่างครับ” คำตอบนั้นทำให้ตรีเมฆแทบจะกระโจนลงมาจากคานสูง
“ระยำ มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อวันนั้นก็เห็นกันอยู่ว่ามีของในโกดัง” เขาไต่ลงมาหาช่างเอกช้าๆ ใบหน้าเคร่งขรึม “แล้วเขาแจ้งไหมว่าของจะเข้าวันไหน”
“ไม่ครับ บอกแค่ว่าจะโอนเงินคืนมาให้ทั้งหมด”
“ระยำ ห้างใหญ่ขนาดนั้น ทำแบบนี้ได้ยังไงกันวะ เสียหายกันหมดพอดี ของไม่มี งานจะเดินได้ยังไง” ตรีเมฆเอาโทรศัพท์ออกมากดหาศมา พอดีกับที่หน้าจอมีแจ้งเตือนยอดเงินฝากเข้า เป็นจำนวนเดียวกับที่เขาจ่ายไปที่ห้างขายอุปกรณ์ก่อสร้างเมื่อวันก่อน ตรีเมฆกัดฟันกรอด
หมาตัวไหนมันลอบกัดกูอีกวะ
“เป็นไปได้ยังไง เมื่อวานข้ายังให้ลูกน้องไปสั่ง นี่สายๆ ของก็จะเข้าหน้างานที่วิทยาลัยนี่แล้ว”
“ก็หมายความว่าเขาขายให้มึง แต่ไม่ขายให้กูไง สงสัยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนใดคนนึงของกูมั้ง”
“แปลก ห้างนี้เขาเพิ่งเปิดใหม่ไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้ แต่ก็อย่าไปมีเรื่องเลยว่ะ เขาไม่ขายเอ็งก็ไปสั่งที่อื่นได้มีเยอะแยะไป นายห้างคนนี้เขาเส้นสายไม่ใช่เล่น”
“ใคร”
“นายห้างศรัณย์ ศรัณย์ สุขธนศาล เอ็งรู้จักไหม” เสียงศมาเอ่ยถามแทรกมากับเสียงเครื่องจักรทำงานอยู่เบื้องหลัง ตรีเมฆได้ยินชื่อนั้นแล้วก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ลมหายใจสะดุดราวกับอากาศถูกสูบออกไปจากอกฉับพลัน
นี่สินะอดีตที่หวนคืนมาทวงคืนเอากับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่อาจอภัยให้ง่ายๆ
“ว่าไง เอ็งรู้จักเขาเหรอ นายห้างคนนี้เป็นพี่เขย ผอ. สุปราณี ข้าถึงได้แนะนำให้เอ็งไปสั่งของที่นั่น เห็นว่าเป็นห้างใหม่ของก็คุณภาพดี ไม่น่าเป็นแบบนี้ได้ เอ็งไปเหยียบตีนผู้จัดการห้างเข้าหรือไงวะ”
“ถ้าแค่เหยียบตีนมันก็ดีสิ”
“หมายความว่ายังไงวะ อย่าบอกนะว่าเอ็งไปมีเรื่องกับเขามา”
“เปล่า ช่างเถอะเดี๋ยวกูจัดการเอง” ตรีเมฆตัดบท
“เดี๋ยวเย็นนี้จะเข้าไปดูหน้างานนะเว้ย รอรับคุณครูก่อนจะได้กลับไปพร้อมกันเลย ฝากบอกแม่มาลีด้วยว่าข้าขอฝากท้องสักมื้อ”
“กี่มื้อแล้วล่ะ มากินข้าวฟรีบ่อยกว่ามาทำงานอีกนะมึง นึกว่าบ้านกูเป็นสถานสงเคราะห์เรอะ”
“เออน่าเคยได้ยินไหมว่าดักลอบก็ต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ก็ต้องหมั่นเกี้ยว น่ะ มึงก็ช่วยสงเคราะห์เพื่อนหน่อย ถ้าสมหวังแล้วจะสมนาคุณอย่างหนัก”
“เออ!” ตรีเมฆตวัดเสียงตอบก่อนจะกดตัดสายฉับ
เขายกมือลูบหน้า ความกระตือรือร้นในการทำงานดูเหมือนจะอันตรธานหายไปหมดในตอนนี้ ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มไม้ เขาพิมพ์ชื่อ ศรัณย์ สุขธนศาล ลงไปในโปรแกรมค้นหาข้อมูลของโทรศัพท์ ข้อมูลหลายสิบหน้าผุดขึ้นมา เขาเลือกกดหน้าแสดงประวัติของชายผู้นั้นซึ่งนับว่าเป็นนักธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทย แล้วไล่สายตาอ่านไปทีละบรรทัดจนมาหยุดชะงักที่ภาพครอบครัว
ในอ้อมแขนของนายศรัณย์ สุขธนศาล มีลูกสาวทั้งสองในวัยแรกรุ่น ขวามือคือ กุลธิดา สาวน้อยวัยไม่น่าจะเกินสิบห้า เขาจำได้ว่าใครคนหนึ่งเคยบอกเขาว่าน้องสาวของหล่อนคนนี้แก่นเซี้ยวขนาดไหน ทางซ้ายมือคือหญิงสาวผู้มีดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าที่ต้องตาเขาตั้งแต่แรกเห็นหล่อนครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย ‘หนูกานต์’ ของเขา หรือ กานต์ธิดา สุขธนศาล ผู้ที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนำพาชีวิตหล่อนดิ่งลงเหวจนต้องมาเสียชีวิตข้างถนนราวกับคนไร้ค่าคนหนึ่ง
แต่ตรีเมฆรู้ดีว่า หล่อนมีค่ามากเพียงใด
ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต หล่อนคือแสงสว่างเดียว หล่อนคือผู้รับฟังและผู้คล้อยตามในทุกเรื่องเพียงเพื่อจะให้เขาสบายใจ กานต์ธิดาไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่’ หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตรีเมฆต้องการจะทำ
บางทีหากหล่อนพูดคำว่า ‘ไม่’ ในวันที่เขาดึงดันจะออกไปท้าความตายบนท้องถนนในค่ำคืนนั้น หล่อนอาจจะยังมีลมหายใจอยู่
หากหล่อนเชื่อครอบครัวและบอกเขาว่า ‘ไม่’ ต้องการจะคบหาอันธพาลยาเสพติดตัวร้ายอย่างเขา หล่อนอาจจะยังไม่ตาย เสียดายที่กานต์ธิดาไม่เคยขัดใจตรีเมฆแม้จะต้องขัดใจคนทั้งโลกก็ตาม
เม็ดยาหลากสีนับสิบเม็ดที่อยู่ในกำมือถูกเขี่ยไปมาหลายรอบก่อนจะถูกโยนเข้าปากรวดเดียว ตามด้วยน้ำสะอาดแก้วใหญ่
เขาหลับตาแล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสงบความเจ็บปวดที่กำลังแล่นเข้าเกาะกุมทั้งหายใจ ความทรงจำของครอบครัวอันอบอุ่นหวนคืนมาอีกครั้งราวน้ำชโลมใจให้เขาไม่หลับไปเสียโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
ใบหน้าของผู้หญิงสามคนที่เขารักที่สุดในชีวิต ผุดพรายขึ้นในห้วงความคิด
ที่รัก คุณกานต์มณีภรรยาของเขา ช่างอายุสั้นเสียเหลือเกิน ลูกๆ เพิ่งจะเริ่มโตเป็นสาว เธอก็มาจากไปเสียแล้ว
กานต์ธิดา ลูกสาวคนโต ยอดดวงใจของพ่อ ลูกสาวที่พ่อแม่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้ ลูกกานต์ของพ่อทั้งฉลาด ทั้งสวยน่ารัก แต่ลูกช่างอ่อนเยาว์ต่อโลกนัก ในวัยสิบเก้าปีลูกก็ต้องมาอายุสั้นเพราะหลงไปคบคนชั่ว ไอ้อันธพาลที่ไร้หัวนอนปลายตีนคนนั้น!
กุลธิดา ลูกสาวคนเล็ก ลูกเหมือนเกิดมาเพื่อให้เขาชดใช้กรรม กุลธิดาทั้งดื้อรั้น ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งอิจฉาพี่สาว แม้จะยังมีชีวิตอยู่ เขากับลูกคนนี้ก็เหมือนอยู่ในโลกคนละใบกัน ยิ่งเกิดอุบัติเหตุอุบาทว์ที่พรากชีวิตพี่สาวไป ลูกคนเล็กของเขายิ่งห่างเหินไปจากเขาแทนที่จะเห็นอกเห็นใจกัน ลูกเอาแต่เที่ยวเตร่ ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องอัปยศขึ้น ศรัณย์จำวันสุดท้ายที่เขาพบลูกได้ดี
‘พ่อคะ กุลท้อง’
‘ฮะ! ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิด แกมันก็เหมือนพี่สาวของแกไม่มีผิด เกิดมาเพื่อทำให้ฉันอับอายขายหน้า ใฝ่ต่ำ ท้องกับไอ้ขี้ยาที่ไหนอีกล่ะ ไปเอาไอ้มารหัวขนนี่ออกซะ อย่าให้มันมาแปดเปื้อนตระกูลของฉัน แล้วแกก็ไปซะ ไปให้พ้นๆ หน้าฉัน’
ศรัณย์อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่นั้น เขาทุ่มเทชีวิตให้กับความสำเร็จทางธุรกิจและชื่อเสียง ขาดลูกไปเขาก็ไม่ตาย เพราะยังมีเครือญาติที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจอยู่ตลอดเวลา นับว่าชีวิตห้าหกปีของเขามานี้ไม่เลวนักหรอก จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขาได้เห็นหน้ามันอีกครั้ง ไอ้คนชั่วที่พรากแก้วตาดวงใจไปจากเขา มันโผล่มาอีกครั้ง
‘มึงฆ่าลูกกูไอ้สัตว์ มึงทำลูกกูตาย!’
ศรัณย์จำเสียงโหยหวนและเกรี้ยวกราดของตนเองได้ในค่ำคืนนั้น
คืนที่เขารุดออกไปกลางดึกเพียงเพื่อจะได้กอดร่างไร้ชีวิตที่เย็นชืดของลูกสาว
ลูกกานต์ตายคาที่อย่างน่าอนาถ แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด
ไอ้ปีศาจ!
“ในเมื่อมึงไม่ยอมตายในคุก กูนี่แหละจะจัดการกับมึงเอง ไอ้เมฆ!”
*****************
แดดยามสายของเช้าวันศุกร์มันช่างร้อนแรงยิ่งนัก โดยเฉพาะกับคนที่ต้องยืนคุมงานอยู่บนคานเหล็กชั้นสองที่ไร้หลังคามุง เหงื่อไหลบ่าดั่งสายน้ำชุ่มโชก แผ่นหลังยังไม่เท่าไร แต่ยามที่มันแทรกซึมจากลำคอแกร่งลงมาที่รอยข่วนแดงเป็นทางที่แผงอกกว้างนี่มันช่างแสบสันนัก ตรีเมฆต้องสูดปากซีด มือแกะกระดุมกระพือเสื้อรับลม
“อุย แสบชะมัด โกรธเป็นตบ เขินเป็นหยิก งอนเป็นข่วน ผู้หญิงนี่”
“หัวหน้าบ่นอะไรครับ”
“อุ๊ แม่เจ้า รอยข่วนแม่เสือสาวที่ไหน แดงเถือกเป็นทางเลยเว้ย”
ตรีเมฆอยากจะตะปบคอเสื้อ กลัดกระดุมปดปิดไว้ให้มิดก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าพวกช่างต่างวางมือจากงาน มองมาทางเขาด้วยสายตารู้ทัน เขาเท้าสะเอวมองตอบพวกมันด้วยท่าทางข่มขู่ แต่วินาทีนี้ใครจะไปยั่น นานๆ จะได้แซวหัวหน้าช่างหน้ายักษ์สักที
“ว่าไงครับหัวหน้า นางแมวเหมียวที่ไหนข่วนมาเหรอครับ”
“แมวบ้าที่ไหนของมึง”
“อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าโดนหนามเกี่ยว อย่ามามุดน้ำหนีน่าหัวหน้า บอกมาเลยว่าน้องสำนักไหน แหม...มือหนักน่าดู ซาดิสม์หรือเปล่านี่”
“ไอ้หอกหัก” ตรีเมฆกัดฟันกรอด ยากจะซัดมันสักหมัด แต่ยืนอยู่บนคานกันแบบนี้เตะใครไม่ถนัดเลยจริงๆ
“นี่หัวหน้า เวลาน้องเขาข่วนที หัวหน้าก็กดมิดด้ามทีใช่ไหมล่ะ มันไปเลยสินะ ฮ่าๆๆๆ”
“หุบปาก ไอ้พวกเวร เดี๋ยวกูเตะตกคานเสียเลย”
“โอ๊ะ โอ๋ หัวหน้า หน้าแดงอะ เขินหรือโกรธกันแน่”
โป๊ก!
“โอ๊ย! หัวหน้าเขวี้ยงมาได้ ตลับเมตรทั้งอัน หัวแตกแล้วมั้งนี่”
“เออ ถ้าพวกมึงยังไม่เลิกทะลึ่งกูจะขว้างด้วยไอ้นี่” ตรีเมฆงัดค้อนตอกตะปูอันเขื่องขึ้นมาชูให้ดู ทำเอาหนุ่มคะนองทั้งหลายหัวหด กลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานไปอมยิ้มไปกันจนหมด ตรีเมฆยังฮึดฮัดโกรธแดดโกรธลมอยู่คนเดียว
ถ้าได้ทำอย่างที่พวกมันว่าสักนิดจะไม่ว่าอะไรหรอก นี่มันไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาล้อกูเรื่องอะไรวะ
เขานึกก่นด่าพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ช่างเอกก็เดินมาแหงนหน้าร้องเรียก น้ำเสียงค่อนข้างกังวล
“หัวหน้าเมฆ หัวหน้าเมฆ”
“มีอะไร”
“โอ๊ย ทำไมเข้มจังครับหัวหน้า คือว่าห้างที่เราไปสั่งของไว้เขาโทร.มาแจ้งว่าของหมดสต๊อกครับ”
“ฉิบหาย ยิ่งรีบใช้อยู่ อะไรหมดวะ”
“หมดทุกอย่างครับ” คำตอบนั้นทำให้ตรีเมฆแทบจะกระโจนลงมาจากคานสูง
“ระยำ มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อวันนั้นก็เห็นกันอยู่ว่ามีของในโกดัง” เขาไต่ลงมาหาช่างเอกช้าๆ ใบหน้าเคร่งขรึม “แล้วเขาแจ้งไหมว่าของจะเข้าวันไหน”
“ไม่ครับ บอกแค่ว่าจะโอนเงินคืนมาให้ทั้งหมด”
“ระยำ ห้างใหญ่ขนาดนั้น ทำแบบนี้ได้ยังไงกันวะ เสียหายกันหมดพอดี ของไม่มี งานจะเดินได้ยังไง” ตรีเมฆเอาโทรศัพท์ออกมากดหาศมา พอดีกับที่หน้าจอมีแจ้งเตือนยอดเงินฝากเข้า เป็นจำนวนเดียวกับที่เขาจ่ายไปที่ห้างขายอุปกรณ์ก่อสร้างเมื่อวันก่อน ตรีเมฆกัดฟันกรอด
หมาตัวไหนมันลอบกัดกูอีกวะ
“เป็นไปได้ยังไง เมื่อวานข้ายังให้ลูกน้องไปสั่ง นี่สายๆ ของก็จะเข้าหน้างานที่วิทยาลัยนี่แล้ว”
“ก็หมายความว่าเขาขายให้มึง แต่ไม่ขายให้กูไง สงสัยจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรคนใดคนนึงของกูมั้ง”
“แปลก ห้างนี้เขาเพิ่งเปิดใหม่ไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้ แต่ก็อย่าไปมีเรื่องเลยว่ะ เขาไม่ขายเอ็งก็ไปสั่งที่อื่นได้มีเยอะแยะไป นายห้างคนนี้เขาเส้นสายไม่ใช่เล่น”
“ใคร”
“นายห้างศรัณย์ ศรัณย์ สุขธนศาล เอ็งรู้จักไหม” เสียงศมาเอ่ยถามแทรกมากับเสียงเครื่องจักรทำงานอยู่เบื้องหลัง ตรีเมฆได้ยินชื่อนั้นแล้วก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ลมหายใจสะดุดราวกับอากาศถูกสูบออกไปจากอกฉับพลัน
นี่สินะอดีตที่หวนคืนมาทวงคืนเอากับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่อาจอภัยให้ง่ายๆ
“ว่าไง เอ็งรู้จักเขาเหรอ นายห้างคนนี้เป็นพี่เขย ผอ. สุปราณี ข้าถึงได้แนะนำให้เอ็งไปสั่งของที่นั่น เห็นว่าเป็นห้างใหม่ของก็คุณภาพดี ไม่น่าเป็นแบบนี้ได้ เอ็งไปเหยียบตีนผู้จัดการห้างเข้าหรือไงวะ”
“ถ้าแค่เหยียบตีนมันก็ดีสิ”
“หมายความว่ายังไงวะ อย่าบอกนะว่าเอ็งไปมีเรื่องกับเขามา”
“เปล่า ช่างเถอะเดี๋ยวกูจัดการเอง” ตรีเมฆตัดบท
“เดี๋ยวเย็นนี้จะเข้าไปดูหน้างานนะเว้ย รอรับคุณครูก่อนจะได้กลับไปพร้อมกันเลย ฝากบอกแม่มาลีด้วยว่าข้าขอฝากท้องสักมื้อ”
“กี่มื้อแล้วล่ะ มากินข้าวฟรีบ่อยกว่ามาทำงานอีกนะมึง นึกว่าบ้านกูเป็นสถานสงเคราะห์เรอะ”
“เออน่าเคยได้ยินไหมว่าดักลอบก็ต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ก็ต้องหมั่นเกี้ยว น่ะ มึงก็ช่วยสงเคราะห์เพื่อนหน่อย ถ้าสมหวังแล้วจะสมนาคุณอย่างหนัก”
“เออ!” ตรีเมฆตวัดเสียงตอบก่อนจะกดตัดสายฉับ
เขายกมือลูบหน้า ความกระตือรือร้นในการทำงานดูเหมือนจะอันตรธานหายไปหมดในตอนนี้ ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ร่มไม้ เขาพิมพ์ชื่อ ศรัณย์ สุขธนศาล ลงไปในโปรแกรมค้นหาข้อมูลของโทรศัพท์ ข้อมูลหลายสิบหน้าผุดขึ้นมา เขาเลือกกดหน้าแสดงประวัติของชายผู้นั้นซึ่งนับว่าเป็นนักธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทย แล้วไล่สายตาอ่านไปทีละบรรทัดจนมาหยุดชะงักที่ภาพครอบครัว
ในอ้อมแขนของนายศรัณย์ สุขธนศาล มีลูกสาวทั้งสองในวัยแรกรุ่น ขวามือคือ กุลธิดา สาวน้อยวัยไม่น่าจะเกินสิบห้า เขาจำได้ว่าใครคนหนึ่งเคยบอกเขาว่าน้องสาวของหล่อนคนนี้แก่นเซี้ยวขนาดไหน ทางซ้ายมือคือหญิงสาวผู้มีดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าที่ต้องตาเขาตั้งแต่แรกเห็นหล่อนครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย ‘หนูกานต์’ ของเขา หรือ กานต์ธิดา สุขธนศาล ผู้ที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนำพาชีวิตหล่อนดิ่งลงเหวจนต้องมาเสียชีวิตข้างถนนราวกับคนไร้ค่าคนหนึ่ง
แต่ตรีเมฆรู้ดีว่า หล่อนมีค่ามากเพียงใด
ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต หล่อนคือแสงสว่างเดียว หล่อนคือผู้รับฟังและผู้คล้อยตามในทุกเรื่องเพียงเพื่อจะให้เขาสบายใจ กานต์ธิดาไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่’ หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตรีเมฆต้องการจะทำ
บางทีหากหล่อนพูดคำว่า ‘ไม่’ ในวันที่เขาดึงดันจะออกไปท้าความตายบนท้องถนนในค่ำคืนนั้น หล่อนอาจจะยังมีลมหายใจอยู่
หากหล่อนเชื่อครอบครัวและบอกเขาว่า ‘ไม่’ ต้องการจะคบหาอันธพาลยาเสพติดตัวร้ายอย่างเขา หล่อนอาจจะยังไม่ตาย เสียดายที่กานต์ธิดาไม่เคยขัดใจตรีเมฆแม้จะต้องขัดใจคนทั้งโลกก็ตาม
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2563, 09:44:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ค. 2563, 09:44:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 470
<< บทที่ 11 -100% | บทที่ 12 -50% >> |