หลอนซ่อนรัก

'เมื่อความรักเริ่มต้นจากความหลอน

เพราะความจำเป็นบังคับให้ต้องมาชิดใกล้

นานวันเข้า...กลับก่อเกิดสายใยผูกพันในหัวใจโดยไม่รู้ตัว'
----------------------------------------------------------------------------
“รีบตื่นมาทะเลาะกับฉันนะตาบ้า ถ้านายเอาแต่นอนแบบนี้ฉันก็เหงาปากดิ และอีกอย่าง...” เด็กสาวพูดประโยคต่อมางึมงำในลำคอ “...ฉันยังไม่ได้ขอโทษนายเลย”
แล้วจู่ ๆ เด็กสาวก็สัมผัสถึงลมประหลาดพัดผ่านหลังเธอไป มันเย็นยะเยือกจนเธอขนลุกเกรียว
“เฮ้ย มันขนลุกแปลก ๆ อ่ะ นี่พวกเธอ...” แต่เมื่ออิงฟ้าหันไป ด้านหลังเธอกลับไม่มีใครยืนอยู่เลย บรรยากาศดูวังเวงชอบกล
“เฮ้ย ทุกคนหายไปไหนหมดเนี่ย” เด็กสาวเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใคร ยกเว้นคน ๆ หนึ่งที่มายืนอยู่ข้างๆเธอ เป็นผู้ชายใส่ชุดนักเรียน มือจับกระจกข้างหนึ่ง หน้ามองห้องนั้นนิ่ง
“เธอก็มาเยี่ยมต้นเขาหรอ” หมอนี่ดูท่าทางแปลก ๆ ชอบกลแฮะ นี่ต้นมีเพื่อนลักษณะแปลก ๆ แบบนี้ด้วยหรือเนี่ย
แล้วทันใดนั้นเอง ผู้ชายคนดังกล่าวก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะหันขวับมามองเธอ
“เธอเห็นฉัน” เสียงที่เอ่ยขึ้นนั้นดังแว่วมาเบา ๆ
“อ้าวก็ยืนหัวโด่ซะแบบนี้ ใครเขาก็ต้องเห็นสิ” แต่แล้วเด็กสาวก็ชะงัก ฉุดคิดอะไรได้บางอย่าง และสิ่งที่ทำให้เธอช็อคก็คือผู้ชายคนนี้ก็คือต้นนั่นเอง “ต้น นี่นาย เดี๋ยวนะ ในนั้นก็นายนอนอยู่นี่นา”
“ใช่” เขาตอบมาหน้าตาเฉย
“แล้วที่ยืนพูดกับฉันอยู่ก็นายใช่ไหม”
“ใช่”
เด็กสาวเริ่มขาสั่น ตัวสั่นไปหมด
“แล้วๆ...แสดงว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือ ผีงั้นหรือ” เด็กสาวถามปากคอสั่น ๆ
“อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเฉย ก่อนจะหายวับไปจากตรงนั้นต่อหน้าต่อตา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“อุ๊ย”
“ตกใจหรือครับ”
อริสาก้มหน้าเขิน ก่อนจะแอบมองใบหน้ามีเค้าจีนที่มองลงมา
‘อยากซบอกจัง’
ราวกับคนตรงหน้าอ่านใจเธอได้ มือของเขาจับศีรษะทุยของเธอให้ซบลงบนอกแกร่ง
“พี่ธนู คือว่า...”
“ครับ” เขายิ้มมาให้เธออีกครั้ง ทำเอาอริสาถึงกับก้มหน้างุดลง
คราวนี้ ชายหนุ่มค่อย ๆ ดันร่างของหญิงสาวออกเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หมุนตัวเธอรอบนึง แล้วเข้าไปโอบเอวเธอจากด้านหลัง
“เหมือนฝันเลยนะ” เสียงทุ้มนุ่มนั้นว่าขึ้นใกล้หูของเธอ
อริสาเองทั้งรู้สึกประหม่าและรู้สึกดีเหลือเกิน มีความสุขล้นอกอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าเป็นฝัน หนูเองก็ไม่อยากตื่นเจอความจริงเลยค่ะ”
“แต่ว่ายังไงซะ...” ชายหนุ่มกระซิบใกล้ใบหู “คนเราก็ต้องตื่นครับ อริสา”
หญิงสาวรู้สึกตกใจ นิ่งไปเพราะคุ้นหูกับเสียงที่พูดประโยคหลังนี้เหลือเกิน เสียงอันคุ้นหูที่เธอไม่พึงปรารถนาที่จะได้ยิน
“พี่เชน” เธอกล่าวเสียงแผ่วเมื่อหันมาเจอคู่กรณีที่ตนไม่อยากเจอเป็นที่สุด ฝันอันแสนหวานเปลี่ยนเป็นฝันร้ายในบัดดล ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างมาก พยายามดิ้นจากอ้อมกอดที่รัดเธอแน่นขึ้น “พี่มาได้ยังไง แล้วพี่ธนูล่ะคะ”
“อืม ไปไหนกันน้า กอดเธออยู่” แล้วร่างของนเรนทรก็เปลี่ยนเป็นธนูที่อยู่ในชุดสูทเมื่อครู่ “หรือว่า ไม่อยู่แล้ว” แล้วร่างก็กลับมาเป็นชายหนุ่มผมรวบยาวหางม้าตามเดิม

Tags: #นิยายรัก #วิญญาณ #เย็นชา #โคแก่ #หญ้าอ่อน

ตอน: ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
กริ่งโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งดังขึ้นบอกเวลาหมดคาบเรียนตอนเที่ยง ทุกคนรวมทั้งนักเรียนและคุณครูต่างเตรียมตัวไปกินข้าวกัน
“ปะ ไปกินข้าวกัน” เสียงใสแจ๋วของเด็กสาวคนหนึ่ง ผมดำขลับล้อมกรอบใบหน้าอมชมพู มีกิ๊บสีฟ้าหนีบผมหน้าม้าบางส่วน ร่างอวบนิดๆ บอกความช่างกินหน่อยๆ เข้ามาพูดกับกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอด้วยท่าทางร่าเริง
“แหม ยัยฟ้า อารมณ์ดีจังนะยะ แกไม่เครียดเลยหรือไง” เพื่อนสาวร่างผอมบาง ผมบ๊อบเอ่ยถาม
“คะแนนเลขฯที่ครูนิตยาจะบอกบ่ายนี้อ่ะหรอ โฮ่ย เธอจะเครียดไปทำไม ดอกไม้ เรายังไม่รู้ผลเล้ย อาจจะผ่านเหมือนคราวที่แล้วก็ได้นะ”
“แล้วถ้าคราวนี้ ไม่โชคดีเหมือนคราวก่อนล่ะ” เพื่อนของเธอยังคงมีสีหน้ากังวลใจ
“ก็ซ่อมเหมือนเดิมอ่ะแหละ” สีหน้าของเด็กสาวเจื่อนลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาร่าเริงอีกครั้ง “เอาน่า ไปกินข้าวกันก่อน ค่อยเครียดทีหลังก็ได้”
ทั้งสองคนเดินกันไป มีเพื่อนจากห้องอื่นซึ่งเป็นเพื่อนดอกไม้มาเพิ่มอีกคนเป็นเด็กหนุ่มชื่อนัท หรือจริงๆคือแนทตี้หรือศราวุธ เรียนอยู่อีกห้องนึงและมีกลุ่มเพื่อนที่กินด้วยกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความสนิทกับดอกไม้เพราะบ้านใกล้กันและเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แนทตี้จึงชอบมารวมกลุ่มไปกินข้าวกับดอกไม้และฟ้าบ่อยๆ
“ไงจ๊ะ อิงฟ้ากับผกามาศ” จริงๆแล้วชื่อจริงของดอกไม้คือ ทิพย์ลดา แต่แนทตี้มักเรียกเธอแบบนี้ เพราะความหมายของผกามาศคือดอกไม้สีทองนั่นเอง เธอเองหลังจากรู้ความหมายก็แทบอยากจะฟันหัวเพื่อนชายสาวคนนี้ให้แบะ แต่ด้วยบุคลิกนางและความเป็นเพื่อนมานานก็เลยกลายเป็นเรื่องขำๆเสียมากกว่า
“อยากกินอย่างอื่นมากกว่าข้าวหรือยะ นังตุ๊ดหัวเกรียน”
“ตายละ ฉันเรียกเธอดีๆนะ นังดอก....ไม้”
อิงฟ้ามองทั้งคู่ๆอย่างขำๆ
“นี่ถ้าแนทตี้เป็นผู้ชายก็ดีสิ ฉันจะจับจิ้นเธอทั้งสองคนเลยแหละ”
“โลกแตก/ฟ้าผ่า” ทั้งคู่เอ่ยออกมาพร้อมกัน
----------------------------------------------------------------
“นี่ๆ” แนทตี้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังรวบช้อนส้อมหลังกินเสร็จ “เลขของครูนิตยาน่ะ ของห้องหนึ่งเขาประกาศแล้วนะ”
“ใครได้คะแนนสูงสุดล่ะ” ดอกไม้ว่าพลางหมุนหลอดไปมา
“โอ๊ย จะใครละยะ ก็เจ้าเดิมน่ะแหละ”
“คนที่ชื่อต้นน่ะหรอ” อิงฟ้าถามขึ้นในขณะที่แกะคัสตาร์ดเค้กแป้งเยอะไส้น้อยยี่ห้อดัง เธอเองไม่ค่อยสนใจนักหรอกว่าใครจะได้คะแนนสูง เพราะสำหรับวิชาเลขแค่ผ่านครึ่งเธอก็แทบกระโดดดีใจตัวลอยแล้ว
“ช่ายยย ลูกรักครูเขาเลยล่ะ อ๊ะๆ พูดถึงก็มาเลย เรียนเก่งและยังตายยากอีกน่ะ”
แนทตี้สอดส่ายร่างโย่งของเธอ มือที่เท้าคางอยู่เมื่อครู่วางลง ก่อนจะยื่นคางแหลมๆของเธอไปที่เป้าหมายที่ว่า
เด็กชายร่างสูงขาวเกรียมแดดนิดๆเพราะเล่นกีฬา ผมสีดำเข้ม สายตาสองชั้นนั้นดูนิ่งๆ ไม่ยิ้มไม่บึ้ง กำลังเดินคุยมากับกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันมาตรงบันไดทางขึ้นโรงอาหาร ห่างจากที่พวกอิงฟ้านั่งไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
สายตาของเด็กสาวร่างอวบผู้ชื่นชอบเค้ก มองไปที่เด็กหนุ่มคนดังกล่าวอยู่สักพัก
‘นี่น่ะหรอ หน้าตาคนเก่งเลข อยากจะแงะสมองออกมาดูจัง เผื่อเราจะเข้าใจเลขกับเขาบ้าง’
“ไปกันเหอะ อยากกลับห้องแล้วอ่ะ” ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอเห็นเขาคนนี้แล้ว เธอรู้สึกเซ็ง ไม่มีอารมณ์เล่นอย่างบอกไม่ถูก
“กลับเร็วจัง อ่ะนี่ ก่อนกลับห้อง เดี๋ยวฉันขอไปห้องน้ำก่อนนะ” เพื่อนสาวผมบ๊อบว่า เธอก้มดูนาฬิกา เหลือประมาณครึ่งชั่วโมงจะเข้าคาบบ่าย โดยปกติแล้วเธอกับอิงฟ้าและบางทีก็แนทตี้จะเข้าห้องเรียนอีก 5 นาทีสุดท้ายโน่น
ว่าจะไม่นึกถึงคะแนนเลขบ่ายนี้แล้วเชียว อีตาบ้าเก่งเลขนี่ก็ดันโผล่มาให้เธอนึกถึงคะแนนเลขที่จะประกาศตอนบ่ายอีก
“อีก 5 นาที ออดจะดังแล้ว” เด็กหนุ่มมองนาฬิกาบนข้อมือเอ่ยเตือน “พวกนายมีอะไรจะถามฉันอีกไหม”
“ขอบใจนะ ต้น ไม่มีแล้วล่ะ” เพื่อนอีกคนที่มาจากห้อง 2 เอ่ยขอบใจที่ความสงสัยของเขาได้รับความกระจ่าง พร้อมกับถือชีทในมือเดินออกไปกับเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน “กลับด้วยกันไหมล่ะ ต้น”
“พวกนายไปก่อนเหอะ เดี๋ยวฉันกลับเอง” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
ในขณะที่เขากำลังเดินกลับอยู่คนเดียวนั้นเอง ผู้คนตามทางเดินโดยเฉพาะสาวๆ ต่างก็มองมาที่เขาพร้อมกับทำเสียงดังกรี๊ดกร๊าดไปมาอยู่เนืองๆ นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกรำคาญสุดๆ จวบจนกระทั่งมาถึงห้องเรียนแล้ว เขาก็ค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ
“ไง” เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่นั่งข้างๆใส่แว่นหนาเตอะชื่อปังปอนด์ละจากเกมบนจอมือถือหันมาหาเขา “มาช้าจัง”
“อืม ตั้งห้านาทีน่ะ”
แล้วบทสนทนาก็มีแค่นั้นเมื่อคุณครูเดินเข้ามาในห้องที่เงียบกริบโดยพลัน นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องนี้นอกจากจะตั้งใจเรียนและเรียนได้คะแนนดี การแข่งขันระหว่างกันก็สูงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้มิตรภาพของคนส่วนใหญ่ถ้าแยกแยะระหว่างเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวได้ก็จะคบกันต่อไปอย่างไร้ปัญหา แต่ถ้าบางคนเอามารวมกัน จากเพื่อนรักก็จะกลายเป็นศัตรูขึ้นมาได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“นายคชาก็ได้คะแนนสูงสุดอีกแล้ว” หลังจากประกาศผลคะแนนวิชาภาษาอังกฤษเสร็จ ก็ไม่มีใครแปลกใจเท่าใดนัก
“ได้ที่สองอีกแล้ว” ผู้ชายที่นั่งถัดไปอีกแถวอยู่กลางๆ แถวนั้นกระซิบกับเพื่อนข้างโต๊ะร่างสูง เค้าหน้ามีเชื้อจีนเล็กน้อยนั้นในตอนนี้ใบหน้าของเขาดูบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ
ออกมาไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก ภายในตัวเมืองของจังหวัดนครปฐม มีโรงงานขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่เกือบจะนอกตัวเมืองมาแล้ว พื้นที่จึงค่อนข้างกว้างพอสมควร โดยเป็นโรงงานผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทำเบเกอรี โรงงานมีสองชั้น ชั้น 1 เป็นชั้นเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายทั้งหมด มีโซนโรงอาหารและห้องพยาบาล ส่วนชั้นสองเป็นชั้นของผู้บริหารจัดการงานภายในโรงงานแห่งนี้ นอกจากนี้แล้วด้านหลังโรงงานยังมีพื้นที่ให้พนักงานโรงงานและคนอื่นๆภายในโรงงานได้ออกกำลังกายอีกด้วย
รถส่งของคันเก่าสีค่อนข้างถลอก สีบางส่วนทำให้เห็นว่าเคยมีสีเขียว คนขับเป็นหญิงสาวร่างผอมอายุประมาณ 40 ปี มากับหญิงสาวอีกคนที่อายุและหุ่นใกล้เคียงกัน
“ขับต่อไหวไหม สร้อย ถ้าไม่ไหวฉันจะขับให้” คนนั่งถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไหวน่าพี่แดง ก็แค่ไข้นิดหน่อย กินยาแล้ว แล้วนี่ก็ใกล้ถึงโรงงานแล้วด้วย” คนขับสาวพูดขึ้น
เมื่อขับถึงตัวอาคารรับส่ง-ของ ทั้งคู่ก็จัดการเลี้ยวเข้าจอดเพื่อรับของไปส่ง โดยเมื่อสองปีก่อนนั้นเองคนเป็นพี่สาวเห็นว่าทั้งคู่ก็มีรถกระบะที่ถึงจะเก่าแต่สภาพยังใช้การได้ดีอยู่และทั้งคู่ก็ขับรถเป็น ทั้งสองจึงตกลงมาสมัครทำงานเป็นคนขับรถส่งของเนื่องด้วยนโยบายของที่นี่ที่สนับสนุนอาชีพคนในท้องถิ่นโดยเป็นอาชีพคนขับรถที่ส่งแค่ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัด และในกรณีที่ไม่มีคิวรับของหรือยังไม่ถึงคิวของพวกเธอ ทั้งสองก็จะรับจ้างทั่วไปแทน โดยมีเด็กสาวอีกคนซึ่งเป็นทั้งหลานของป้าแดงและลูกสาวของแม่สร้อยซึ่งคอยช่วยทำงานหารายได้ให้กับครอบครัวด้วย ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะได้มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามเพื่อนๆ ไปแม้จะช้าไปสองปีก็ตาม
ในขณะเดียวกัน รถเก๋งคันงามสีเทาก็เลี้ยวจอดเข้าที่จอดรถของผู้บริหารในโรงงานแห่งนี้ ที่จอดรถแบ่งเป็นโซนรถยนต์ รถจักรยานยนต์และจักรยานในส่วนของเจ้าของและพนักงานชัดเจน
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลคอกลม เสื้อเชิ้ต ผมยาวรวบเป็นหางม้า ก้าวลงมาจากรถยนต์คันดังกล่าว เดินไปเปิดประโปรงหลัง หยิบภาชนะเป็นขวดโหลบรรจุไวน์ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างดีเป็นจำนวน 1 ขวดออกมา ก่อนจะหันไปมองโรงงานด้านหลังที่จอดรถพลางถอดแว่นตาดำที่สวมใส่อยู่
“เราก็คงนับว่าเป็นผู้บริหารโรงงานเหมือนกันเนอะ” ชายหนุ่มผู้มีรายชื่อเป็นหุ้นส่วนแต่ในนามว่าอย่างอารมณ์ดี พลางยิ้ม ก่อนจะใส่แว่นดำและเดินไปที่อาคารดังกล่าว
ในห้องทำงานขนาดกลาง ป้ายไม้สกรีนตัวอักษรสีทองว่า “ผู้บริหาร” ชายร่างท้วมเล็กน้อยที่กำลังอ่านเอกสารอยู่บนเก้าอี้เลื่อนหนังสีดำตัวใหญ่ ใบหน้ากำลังบ่งบอกถึงสมาธิที่กำลังอยู่บนกระดาษ แต่แล้วจู่ๆ เสียงเคาะประตูไม้ก็ขัดจังหวะขึ้นมาจนเขาต้องหยุดอ่านเอกสารตรงหน้าชั่วคราว
“เข้ามา” ชายคนดังกล่าวถอดแว่นสายตา พลางขยี้ตาไปมา รอยย่นมากมายทั้งเกิดจากวัยและความเครียดปรากฏให้เห็นค่อนข้างชัด
“สวัสดีครับ คุณพี่ชาย” ชายหนุ่มผมม้าทักขึ้นอย่างร่าเริง
ด้วยความที่ห่างกันเป็นสิบปีในบรรดาพี่น้อง 4 คน เขาผู้เป็นคนที่สอง ปัจจุบันอายุ 50 ปีเข้าไปแล้ว แต่น้องชายคนสุดท้องนี่ อายุเพิ่งจะ 35 ปีเท่านั้น
“วันนี้จู่ๆ มาได้นะ แก” พี่ชายผู้ห่างวัยหลายปีกล่าวอย่างขบขัน “ว่าแต่มีเรื่องอะไรถึงโผล่มาหาฉันที่นี่แทนที่จะไปพบปะสาวๆ ของแกละ ฮึ เจ้าเชน ”
ชายหนุ่มยกขวดไวน์ขึ้นมา
“นี่พี่ยนต์ทำงานจนลืมวันเกิดตัวเองไปแล้วหรือไงครับเนี่ย วันนี้ 24 กันยา วันเกิดพี่ ผมจะลืมได้ไง ส่วนสาวๆ น่ะ ผมคุยได้ สบายอยู่แล้ว”
ผู้เป็นพี่ชายนั่งนึกนิ่งไปสักครู่ มองปฏิทินข้างๆโต๊ะทำงานก่อนจะหัวเราะออกมา
“เออ จริง วันนี้วันเกิดเรานี่หว่า มิน่า มารตีถึงเอาช่อดอกกุหลาบแดงมาวางที่โต๊ะแต่เช้า ฉันเองก็เอะใจนะ แต่งานมันเยอะจนลืมไปเลย”
ชื่อมารตีนั่นทำเอาหนุ่มใหญ่ที่นั่งเก้าอี้ตรงหน้ายิ้มกระตุกๆ ร้อนๆหนาวๆ เมื่อห้าปีก่อนหลังจาก นงนุช ภรรยาของพยนต์เสียชีวิตจากการกินยาเกินขนาดเพราะโรคเครียดได้ประมาณหกเดือน มารตีในตอนนั้นที่เป็นสาวโรงงานก็ได้มาเป็นภรรยาคนใหม่ของพี่เขาหลังจากพี่นงนุชเสียไปปีกว่าท่ามกลางความสงสัยของใครหลายคนยกเว้นเขาที่ไม่ได้ประหลาดใจนักด้วยความที่รู้อะไรบางอย่างมาบ้าง
“พูดถึงมารตี ตั้งแต่มารตีมาอยู่ด้วย เจ้าต้นก็ห่างจากฉันไปเรื่อยๆ ฉันเองก็พยายามจะให้ทั้งสองนี่จูนเข้าหากันอยู่นะ แต่นี่ก็หลายปีผ่านไปแล้ว เจ้าต้นยังไม่ยอมรับมารตีเสียที ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไง” ผู้เป็นพี่ชายเริ่มระบาย
ชายหนุ่มผู้น้องมองใบหน้าพี่ชายร่วมสายเลือดของตนอย่างครุ่นคิด มีกรณีเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆที่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงมักจะไม่ถูกกัน แต่เจ้าต้นหลานของเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เขารู้จักหลานชายคนนี้ดี
“พี่ยนต์ เจ้าต้นมันคงมีเหตุผลที่แสดงออกแบบนั้นนั่นแหละ พี่เป็นพ่อก็น่าจะรู้ เจ้าเด็กคนนี้คิดจะพูดอะไร ทำอะไรก็ตรงๆออกมาเลย”
“ฉันอิจฉาแกจริงๆว่ะ เชน ดูแกจะเป็นพ่อเจ้าต้นมันมากกว่าฉันเสียอีกนะ เข้าอกเข้าใจกันดีเหลือเกิน”
“นี่ อย่ามัวแต่พูดเรื่องเครียดๆเลยครับ พี่” ชายหนุ่มว่าพลางหยิบขวดไวน์ที่เป็นของขวัญขึ้นมา ยิ้มแฉ่ง
“ขอบใจแกมากจริงๆ” พยนต์ลุกจากที่นั่งเดินเข้ามาโอบน้องชาย “แล้วนี่แกลอรี่แกล่ะเป็นยังไงบ้าง”
นเรนทรจึงเล่าเรื่องที่แกลอรี่ที่เขาเป็นเจ้าของให้พี่ฟัง คนเป็นพี่ชายยิ้มออกมานิดๆเมื่อเห็นว่ากิจการที่น้องชายเขารักดำเนินไปได้ด้วยดี
“เอ้อ ผมลืมบอกพี่ไปอย่างนึง เพิ่งนึกได้ เมื่อวันก่อน ผมได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยศิลป์นะพี่ คนที่เชิญก็อธิการ เพื่อนของพี่อ่ะแหละ นี่ได้บารมีพี่แท้ๆเชียวนะเนี่ย”
“อันน่ะ ดีกรีจบโทจากเมืองนอก ธรรมดาเสียที่ไหน มหาวิทยาลัยในเมืองนั่นเป็นเลิศด้านศิลปะเลยเชียวนา แล้วที่แน่ๆถ้าแกไม่เก่งจริง ต่อให้แกเป็นน้องชายฉัน เขาก็ไม่เชิญไปสอนหร๊อก” พยนต์ตบบ่าน้องชาย จ้องมองอย่างภาคภูมิใจ
ถึงแม้น้องชายจะมีชื่อในหุ้นส่วนบริษัทก็จริง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เข้ามามีส่วนบริหารในบริษัทนี้ด้วย เนื่องจากว่าเขาไม่ชอบงานด้านนี้ แต่ชอบงานศิลปะมากกว่า ที่บ้านจึงตามใจน้องสุดท้องคนนี้ให้เดินตามฝัน
“พี่ก็ชมเกินไป โฮ่”
“แต่เสียอย่างเดียวว่ะ”
“อะไรครับ พี่” ชายหนุ่มมองพี่ชายตนอย่างสงสัย
“จนปูนนี้แล้วยังไม่มีเมีย ฮ่าๆ”
“โถว พี่ยนต์ครับ ผู้หญิงน่ะมีให้ผมเลือกตั้งมากมายแต่ผมไม่พร้อมจะมีใคร ทีพี่ยนต์น่ะ ยังมีเจ้าต้นตอนอายุประมาณผมตอนนี้เลยนี่นา”
“แกก็ต้องเริ่มมองหาใครสักคนแล้วนา จะใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลย์บอยแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ เจ้าเชน”
“ครับๆๆๆ คุณพ่อ คุณพี่ชาย” ชายหนุ่มไหว้ผู้เป็นพี่ท่วมหัว พูดจาอ้อนเหมือนเด็กๆ จนผู้เป็นพี่นึกขัน “คุณน้องชายสำนึกแว้ววว อีกไม่นานจะรีบหาศรีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วคร้าบ”
“แกนี่มัน...เฮ้อ”
“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ไปกินที่ร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยนั้นกันนะครับ พี่”
ในขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านมาแถวนั้นเห็นผู้คนมุงอยู่จึงนึกสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มร่างใหญ่เอ่ยถาม
“มีคนเป็นลมครับ” หนึ่งในคนงานกล่าวขึ้น
“ออกไป อย่ายืนมุง พวกนายสัก 2 คนช่วยพยุงคนที่เป็นลมไปห้องพยาบาลด้วย” เขาออกคำสั่ง
“ครับ”
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันพาไปเอง ฉันเป็นพี่สาวของเธอค่ะ”
“คุณพอจะรู้ทางไปห้องพยาบาลหรือเปล่าครับ ถ้าไม่รู้ผมจะให้พนักงานพาไป” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างหวังดี เพราะเห็นเป็นพนักงานส่งของที่ไม่ได้ทำงานประจำอยู่ที่โรงงาน อาจจะไม่รู้ทางไปห้องพยาบาล
“ขอบคุณมากเลย รบกวนด้วยนะคะ” หญิงสูงวัยมองชายร่างสูงตรงหน้าอย่างซึ้งใจ
ชายหนุ่มสั่งพนักงานผู้หญิงแถวนั้นคนนึงที่กำลังว่างอยู่ช่วยพาทั้งสองคนไปห้องพยาบาลในทันที
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไป มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะยิ้มนิดๆเมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรมา
“ครับ น้องริต้า” ก่อนจะเดินไปที่รถอย่างไว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่ทั้งคู่เปิดประตูไม้บานเก่าเข้ามาได้ไม่นาน โทรศัพท์ของสร้อยสุดาก็ดังขึ้น เมื่อเธอเห็นเบอร์จึงรู้ว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนลูกสาวโทรมาจึงกดรับ
“ว่าไงจ๊ะ ลูก” แต่หลังจากเธอโทรถามได้ไม่นาน เสียงตามสายก็รัวมาเป็นชุด
“แม่คะ ป้าบอกว่าแม่เป็นลมที่โรงงาน จริงหรือเปล่าคะ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วอยู่ที่ไหนคะ” ทันทีที่แป้งรูมเมทของเธอได้รับโทรศัพท์จากป้าแดงเรื่องที่แม่ของอริสาเพื่อนเธอเป็นลมตอนทำงาน อริสาจึงรีบยืมมือถือเพื่อนติดต่อแม่ทันทีหลังจากทราบข่าวจากแป้ง
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก ตอนนี้แม่สบายดีแล้ว อยู่กับป้าแดง ตอนที่เป็นลมมีป้าแดงกับคนที่โรงงานช่วยเหลือแม่พอดีน่ะจ้ะ” เธอเรียบเรียงคำพูดกับบุตรสาวอย่างใจเย็น
“ฉันเองตอนนั้นก็ลืมพูดไปว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว” คนสูงวัยกว่าสารภาพ “ก็มัวตกใจอยู่”
ตอนนี้ปลายสายเงียบไปเหมือนจะสงบสติอารมณ์ สร้อยสุดาก็เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจแว่วมา
“โล่งอกไปที แม่อย่าหักโหมมากเลยนะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายตรงหนูมากนะคะ หนูยังพอมีเก็บบ้าง”
“จ้า ลูก”
“ค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ แม่ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
กล่าวจบ หญิงสาวก็กดวางสายก่อนจะยื่นมือถือให้กับรูมเมทของเธอที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
“แม่เธอโอเคนะ”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ
“แป้ง ไหนว่ารับน้องนี้ดี”
“ทำไมล่ะ สา มันสนุกมากเลยนะ”
“ไม่ได้บอกว่าไม่สนุก ก็สนุกน่ะแหละ แต่มันก็เหนื่อยมากเลย โชคดีที่งานพาร์ทไทม์เลื่อนไปสัปดาห์หลังจากนั้น” หญิงสาวพูดน้ำเสียงเรื่อยๆ
“โอ๊ย ยัยสา เธอจะรีบร้อนหางานทำไปทำไมยะ รับน้องเสร็จค่อยหาทำสิ ครั้งหนึ่งในชีวิตนะ รับน้องน่ะ แถมบางครั้งอาจจะได้...อะไรพิเศษติดมาด้วยน้า”
หญิงสาวชะงัก นึกถึงใครบางคนขึ้นมา แก้มแดงเรื่อขึ้นมานิดๆ แต่พอนึกถึงความจริงอะไรบางอย่าง สีหน้าเธอก็ขรึมขึ้น
“ฉันต้องช่วยที่บ้าน แป้ง อย่างที่เธอรู้ นอกจากป้ากับฉัน แม่ฉันก็ไม่มีใครแล้ว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ”
หญิงสาวรีบลุกไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ รูมเมทสาวเองก็อดเอะใจไม่ได้
“ทำไมสาต้องหน้าแดงด้วย”
--------------------------------------------------------------------------------------------------
“เห็นว่าพ่อของนายหลงแม่ใหม่จนไม่สนใจนายงั้นหรือ” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากข้างหลัง เด็กหนุ่มหน้าออกจีนเดินมาหาเขาก่อนจะวางมือเท้าโต๊ะปังปอนด์
ปังปอนด์ที่กำลังเก็บของอยู่นั้นก็ว่าขึ้น
“พ่อฉันไม่ได้มีแม่ใหม่...”
“ไม่ใช่นาย” คนที่เข้ามาทักตวาดขึ้น “จริงเปล่าวะ ต้น”
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย” ว่าจบ เขาก็รีบลุกขึ้นทันทีที่เก็บของเสร็จ
“ไม่พูดแบบนี้ แสดงว่าจริง ใช่ไหม”
“จริงไม่จริง จะรู้ไปทำไม ฉันว่าเวลาว่างๆนายลองไปคิดทำอะไรอย่างอื่นนอกจากยุ่งเรื่องของฉันดีกว่า” พูดจบ เด็กหนุ่มร่างสูงก็เดินออกไป คิ้วเข้มยังขมวดเป็นปมอย่างไม่พอใจแม้จะกล่าวด้วยเสียงเรียบ ทิ้งระเบิดอารมณ์ลูกใหญ่ไว้กับคนข้างหลังที่เขาเพิ่งว่าไป
“ไอ้ต้น มึงว่ากู”
เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี เด็กหนุ่มปังปอนด์ก็ค่อยๆขยับหนีทีละน้อยจนหนีไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มคนดังกล่าวยืนโกรธตัวสั่นอยู่คนเดียว
-------------------------------------------------




วานิลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2563, 20:15:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2563, 20:15:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 215





<< บทนำ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account