ร้อยเล่ห์...นายเหมันต์
เขียนนิยายรักแนวหวานมาหลายเรื่อง อยากลองแนวอิโรติกดูบ้าง มาดูกันว่าจะได้แค่ไหน
Tags: สิรินดา, รักเล่ห์, นิยายรัก
ตอน: เผชิญหน้ากับความจริง
ฉันใช้ชีวิตนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนอนอย่างเดียวเป็นเวลาหลายวัน โดยมีเด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนของปรเมศคอยเยี่ยมหน้ามาดูเป็นระยะๆ บางวันเขาหายไปโดยบอกว่าไปเรียน และกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว
ฉันโทรไปลางาน ใช้ใบรับรองแพทย์ ทำให้ลาได้หนึ่งอาทิตย์เต็ม
ได้ข่าวจากเหมันต์ว่าตำรวจจับปรเมศได้แล้ว โดยฝีมือการตามตัวด้วยบอตที่ฝังไว้ในโทรศัพท์ของอีกฝ่าย และกำลังจะเริ่มการสอบสวนอีกรอบ
แปลว่าฉันต้องเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด รอบสอง
"อาจารย์วิทยาทำเรื่องขอให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นความลับที่สุดครับ เราจะไม่ออกข่าว" เหมันต์บอก แต่ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีหลังจากครบหนึ่งอาทิตย์ กลับไปทำงาน เผชิญหน้ากับความจริง!
แค่คิดวนไปวนมากับเรื่องนี้ก็แย่แล้ว
วันสอบสวนวันแรก ตำรวจพาฉันไปชี้ตัวปรเมศ ในฐานะของผู้ต้องหา ตำรวจสอบสวนที่เหมือนเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เล่าเรื่องเดิมอีกรอบ ภาพเก่าๆ กลับมา...อีกที
น้ำตาของฉันไหล แต่มันไม่ได้ออกมาให้ใครเห็น มันอยู่ข้างใน สิ่งที่แสดงออกคือความเฉยชา นิ่งเงียบ เล่า พูด เท่าที่ตำรวจถาม
ฉันได้แต่ถามตัวเองว่า ถ้าวันนั้น...ฉันไม่จอดรถ รับเหมันต์และปรเมศขึ้นรถ จนเกิดการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นไหม
"ไม่กลับคอนโดเหรอ" ฉันแปลกใจ เพราะเหมันต์ขับรถพาฉันออกนอกเส้นทาง
"เราจะไปที่อื่นกัน"
ฉันส่ายหน้า "ฉันไม่ไปไหน อยากกลับห้อง" ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรเอาเลย
"ไม่ได้ครับ ที่นี่คุณต้องไป"
เหมันต์พาฉันไปพบหมอจิตวิทยา เขาบอกว่า อาจารย์ที่ปรึกษานัดไว้ให้ หมอคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์วิทยา หมอนัดให้เป็นพิเศษที่คลินิกที่ทำขึ้นสำหรับเป็นที่ปรึกษาแบบส่วนตัว
"อาจารย์ช่วยลูกสาวตัวเองไม่ได้ แต่อยากช่วยคุณครับ" เด็กหนุ่มบอก
ฉันบอกตัวเองว่าไม่พร้อมเลยที่จะพบหมอ แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของอาจารย์วิทยาอย่างไร คลินิกแห่งนั้นเหมือนบ้านที่มีสวนเล็กๆ น่าอบอุ่นอยู่หน้าบ้าน หน้าตารูปร่างเหมือนร้านกาแฟในสวนมากกว่าสถานพยาบาล บรรยากาศที่พูดคุยเป็นอย่างสบายๆ
การเริ่มต้นด้วยเรื่องราวธรรมดาๆ ระหว่างฉันกับหมอ ในห้องด้านในที่เปิดให้เห็นสวนหลังบ้าน มีกาแฟรสชาติที่ชอบอยู่ตรงหน้า จากเรื่องทั่วไปก็เลยไปสู่เรื่องอื่นๆ อย่างลื่นไหล ด้วยเทคนิคการเป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ ของหมอ
สามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉันเล่ามากกว่าเรื่องของปรเมศ มันรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต ความพยายามทั้งหมดที่จะเป็นคนที่โดดเด่นจนตะเกียกตะกายเรียนจนจบปริญญาเอก ภูมิใจกับมัน เพราะคิดว่ามันคือสัญลักษณ์ของความโดดเด่นในวงสังคม
ฉันเดินออกมาหน้าคลินิก เหมันต์นั่งรออยู่ที่เดิม ในสวนด้านหน้า เขามองแก้มที่เปื้อนน้ำตาของฉัน แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้
แวบหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีเด็กหนุ่มคนนี้ ในเวลาที่เลวร้าย...มืดมน
เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย
แต่เขาอยู่เคียงข้างฉันเสมอ
....
คอนโดของฉันเปลี่ยนไป ฉันรู้สึกได้ ห้องรับแขกถูกจัดใหม่ มีกระถางต้นไม้เล็กๆ ตั้งอยู่กลางโต๊ะรับแขก เหมันต์พาฉันเดินออกไปที่ระเบียง
มีแปลงผักถูกปลูกใหม่ กระถางต้นดอกไม้หลายสีถูกวางเรียงเป็นระเบียบยังกับร้านขายต้นไม้
ฉันหันไปหาเหมันต์
เขายิ้มอ่อนๆ "ผมเอาต้นไม้ที่หอมาไว้ที่นี่ เพราะคงต้องอยู่นี่อีกพัก มันกำลังออกดอกพอดี"
เหมันต์ใช้ห้องรับแขกเป็นห้องพักของเขา โซฟาเป็นที่นอน เขาจัดห้องเรียบร้อย ยิ่งกว่าฉันเองซึ่งเป็นเจ้าของห้องเสียอีก
ฉันเพิ่งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องเป็นครั้งแรก
"ดอกไม้สวยดี ขอบใจนะ"
"ครับ" คนรับคำชมยิ้ม "วันนี้อยากกินอะไรไหม ผมทำให้"
ทำไมเขาถึงดีกับฉันแบบนี้นะ หน้าเข้ม ที่ดูเหมือนไม่สนใจใครในโลก แต่ภายในช่าง...อบอุ่น
"ไม่หิว ...แต่...เราไปข้างนอกกันไหม ฉันอยากนั่งร้านกาแฟ หาหนังสืออ่าน มีนิยายเก็บไว้ไม่ได้อ่านหลายเล่ม"
คนฟังเบิกตากว้างแบบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน และยิ้มอย่างยินดี
"ได้สิ"
หมอบอกว่าอยากให้ฉันลองออกไปนอกห้องบ้าง ทำอะไรที่อยากทำ ตามใจตัวเอง
บางเรื่องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราต้องยอมรับ แต่บางเรื่อง เราสร้างใหม่ได้ โดยเฉพาะความพอใจส่วนตัว ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว หมออยากให้เก็บเกี่ยวความสุขไว้ให้มากที่สุด
หมอให้จินตนาการถึงเรื่องร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น คิดให้ถึงที่สุด ... พอแตกรายละเอียดออกไปทีละเรื่อง ไม่เอาทุกอย่างมาพันกัน ฉันก็พบว่า ร้ายแรงที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือเสียชื่อเสียง มีทางเลือกที่แก้ไขได้หลายทาง ไม่ได้อับจนไปเสียหมด อาจแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนงาน ย้ายที่อยู่ และเริ่มอะไรใหม่ๆ นานไปทุกคนก็จะลืมไปเอง
จากความทรงจำและคำยืนยันของแพทย์ที่ตรวจร่างกาย ปรเมศไม่ได้ข่มขืน หรือทำอะไรฉันมากกว่าทำให้ฉันสลบ และถ่ายรูปประจาน เขาไม่มีเวลาทำอะไร นอกจากเตรียมตัวหนี
ดังนั้น ส่วนที่ฉันเสียหาย ก็แค่ภายนอก ส่วนอื่นๆ ยังเป็นของฉัน...เหมือนเดิม
ออกไปเผชิญความจริง...ฉันอยากก้าวออกจากห้อง ลองดูว่าจะทำได้แค่ไหน
โดยมีหนุ่มน้อยคนนี้เคียงข้าง
"เหนือต้องกลับที่พักไหม...เกรงใจ" ฉันเอ่ยแบบนึกขึ้นมาได้ว่าเห็นหน้าเขาหลายวันมากแล้ว
เขาส่ายหน้า "ผมอยากอยู่นี่ก่อนครับ จนกว่าคุณลินจะอยากอยู่คนเดียว แบบอยู่ได้จริงๆ เรื่องเรียนผมจัดการได้ ปกติก็ไปเรียนมั่งไม่ไปมั่ง เพราะทำงานพิเศษ"
"แล้วงาน?"
"ผมทำเป็นงานพิเศษ อย่างมากก็ถูกไล่ออก แต่โทรไปลาแล้ว ยังได้"
ฉันยิ้ม ส่งกุญแจรถให้ "เหนือขับรถนะ"
ฉันโทรไปลางาน ใช้ใบรับรองแพทย์ ทำให้ลาได้หนึ่งอาทิตย์เต็ม
ได้ข่าวจากเหมันต์ว่าตำรวจจับปรเมศได้แล้ว โดยฝีมือการตามตัวด้วยบอตที่ฝังไว้ในโทรศัพท์ของอีกฝ่าย และกำลังจะเริ่มการสอบสวนอีกรอบ
แปลว่าฉันต้องเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด รอบสอง
"อาจารย์วิทยาทำเรื่องขอให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นความลับที่สุดครับ เราจะไม่ออกข่าว" เหมันต์บอก แต่ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีหลังจากครบหนึ่งอาทิตย์ กลับไปทำงาน เผชิญหน้ากับความจริง!
แค่คิดวนไปวนมากับเรื่องนี้ก็แย่แล้ว
วันสอบสวนวันแรก ตำรวจพาฉันไปชี้ตัวปรเมศ ในฐานะของผู้ต้องหา ตำรวจสอบสวนที่เหมือนเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เล่าเรื่องเดิมอีกรอบ ภาพเก่าๆ กลับมา...อีกที
น้ำตาของฉันไหล แต่มันไม่ได้ออกมาให้ใครเห็น มันอยู่ข้างใน สิ่งที่แสดงออกคือความเฉยชา นิ่งเงียบ เล่า พูด เท่าที่ตำรวจถาม
ฉันได้แต่ถามตัวเองว่า ถ้าวันนั้น...ฉันไม่จอดรถ รับเหมันต์และปรเมศขึ้นรถ จนเกิดการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กัน เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นไหม
"ไม่กลับคอนโดเหรอ" ฉันแปลกใจ เพราะเหมันต์ขับรถพาฉันออกนอกเส้นทาง
"เราจะไปที่อื่นกัน"
ฉันส่ายหน้า "ฉันไม่ไปไหน อยากกลับห้อง" ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรเอาเลย
"ไม่ได้ครับ ที่นี่คุณต้องไป"
เหมันต์พาฉันไปพบหมอจิตวิทยา เขาบอกว่า อาจารย์ที่ปรึกษานัดไว้ให้ หมอคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์วิทยา หมอนัดให้เป็นพิเศษที่คลินิกที่ทำขึ้นสำหรับเป็นที่ปรึกษาแบบส่วนตัว
"อาจารย์ช่วยลูกสาวตัวเองไม่ได้ แต่อยากช่วยคุณครับ" เด็กหนุ่มบอก
ฉันบอกตัวเองว่าไม่พร้อมเลยที่จะพบหมอ แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของอาจารย์วิทยาอย่างไร คลินิกแห่งนั้นเหมือนบ้านที่มีสวนเล็กๆ น่าอบอุ่นอยู่หน้าบ้าน หน้าตารูปร่างเหมือนร้านกาแฟในสวนมากกว่าสถานพยาบาล บรรยากาศที่พูดคุยเป็นอย่างสบายๆ
การเริ่มต้นด้วยเรื่องราวธรรมดาๆ ระหว่างฉันกับหมอ ในห้องด้านในที่เปิดให้เห็นสวนหลังบ้าน มีกาแฟรสชาติที่ชอบอยู่ตรงหน้า จากเรื่องทั่วไปก็เลยไปสู่เรื่องอื่นๆ อย่างลื่นไหล ด้วยเทคนิคการเป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ ของหมอ
สามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉันเล่ามากกว่าเรื่องของปรเมศ มันรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต ความพยายามทั้งหมดที่จะเป็นคนที่โดดเด่นจนตะเกียกตะกายเรียนจนจบปริญญาเอก ภูมิใจกับมัน เพราะคิดว่ามันคือสัญลักษณ์ของความโดดเด่นในวงสังคม
ฉันเดินออกมาหน้าคลินิก เหมันต์นั่งรออยู่ที่เดิม ในสวนด้านหน้า เขามองแก้มที่เปื้อนน้ำตาของฉัน แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้
แวบหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่มีเด็กหนุ่มคนนี้ ในเวลาที่เลวร้าย...มืดมน
เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย
แต่เขาอยู่เคียงข้างฉันเสมอ
....
คอนโดของฉันเปลี่ยนไป ฉันรู้สึกได้ ห้องรับแขกถูกจัดใหม่ มีกระถางต้นไม้เล็กๆ ตั้งอยู่กลางโต๊ะรับแขก เหมันต์พาฉันเดินออกไปที่ระเบียง
มีแปลงผักถูกปลูกใหม่ กระถางต้นดอกไม้หลายสีถูกวางเรียงเป็นระเบียบยังกับร้านขายต้นไม้
ฉันหันไปหาเหมันต์
เขายิ้มอ่อนๆ "ผมเอาต้นไม้ที่หอมาไว้ที่นี่ เพราะคงต้องอยู่นี่อีกพัก มันกำลังออกดอกพอดี"
เหมันต์ใช้ห้องรับแขกเป็นห้องพักของเขา โซฟาเป็นที่นอน เขาจัดห้องเรียบร้อย ยิ่งกว่าฉันเองซึ่งเป็นเจ้าของห้องเสียอีก
ฉันเพิ่งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องเป็นครั้งแรก
"ดอกไม้สวยดี ขอบใจนะ"
"ครับ" คนรับคำชมยิ้ม "วันนี้อยากกินอะไรไหม ผมทำให้"
ทำไมเขาถึงดีกับฉันแบบนี้นะ หน้าเข้ม ที่ดูเหมือนไม่สนใจใครในโลก แต่ภายในช่าง...อบอุ่น
"ไม่หิว ...แต่...เราไปข้างนอกกันไหม ฉันอยากนั่งร้านกาแฟ หาหนังสืออ่าน มีนิยายเก็บไว้ไม่ได้อ่านหลายเล่ม"
คนฟังเบิกตากว้างแบบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน และยิ้มอย่างยินดี
"ได้สิ"
หมอบอกว่าอยากให้ฉันลองออกไปนอกห้องบ้าง ทำอะไรที่อยากทำ ตามใจตัวเอง
บางเรื่องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราต้องยอมรับ แต่บางเรื่อง เราสร้างใหม่ได้ โดยเฉพาะความพอใจส่วนตัว ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว หมออยากให้เก็บเกี่ยวความสุขไว้ให้มากที่สุด
หมอให้จินตนาการถึงเรื่องร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น คิดให้ถึงที่สุด ... พอแตกรายละเอียดออกไปทีละเรื่อง ไม่เอาทุกอย่างมาพันกัน ฉันก็พบว่า ร้ายแรงที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือเสียชื่อเสียง มีทางเลือกที่แก้ไขได้หลายทาง ไม่ได้อับจนไปเสียหมด อาจแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนงาน ย้ายที่อยู่ และเริ่มอะไรใหม่ๆ นานไปทุกคนก็จะลืมไปเอง
จากความทรงจำและคำยืนยันของแพทย์ที่ตรวจร่างกาย ปรเมศไม่ได้ข่มขืน หรือทำอะไรฉันมากกว่าทำให้ฉันสลบ และถ่ายรูปประจาน เขาไม่มีเวลาทำอะไร นอกจากเตรียมตัวหนี
ดังนั้น ส่วนที่ฉันเสียหาย ก็แค่ภายนอก ส่วนอื่นๆ ยังเป็นของฉัน...เหมือนเดิม
ออกไปเผชิญความจริง...ฉันอยากก้าวออกจากห้อง ลองดูว่าจะทำได้แค่ไหน
โดยมีหนุ่มน้อยคนนี้เคียงข้าง
"เหนือต้องกลับที่พักไหม...เกรงใจ" ฉันเอ่ยแบบนึกขึ้นมาได้ว่าเห็นหน้าเขาหลายวันมากแล้ว
เขาส่ายหน้า "ผมอยากอยู่นี่ก่อนครับ จนกว่าคุณลินจะอยากอยู่คนเดียว แบบอยู่ได้จริงๆ เรื่องเรียนผมจัดการได้ ปกติก็ไปเรียนมั่งไม่ไปมั่ง เพราะทำงานพิเศษ"
"แล้วงาน?"
"ผมทำเป็นงานพิเศษ อย่างมากก็ถูกไล่ออก แต่โทรไปลาแล้ว ยังได้"
ฉันยิ้ม ส่งกุญแจรถให้ "เหนือขับรถนะ"
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2563, 08:37:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2563, 08:37:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 646
<< ผมไม่ยอมให้คุณกลับไปคนเดียวหรอกครับ | ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป >> |