เสียงปริศนา
Tags: ลึกลับ,ฆาตกรรม,
ตอน: ตอนที่ 14
นลินเหลือบตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพนาสินอย่างนึกหวั่น แม้พนาสินจะไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่ขับรถออกมาจากหอพัก แต่การที่พนาสินมองไปบนท้องถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับเม้มปากน้อยๆ นั้นก็มากพอที่จะเดาได้ไม่ยากว่า พี่ชายกำลังโกรธและไม่ใช่โกรธธรรมดาซะด้วยแต่เป็นโกรธจัด!
“เอ่อ..พี่กล้าคะ”
“พี่กล้าไม่ชอบคุยเรื่องเครียดๆ ระหว่างขับรถนะหนูลิน” พนาสินพูดขึ้นมา โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากรถราจำนวนมากที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนส่งผลให้นลินนั่งเงียบไปตลอดทางไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่ง พนาสินเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่ง
“พี่กล้าพักที่นี่” พนาสินบอกแล้วเปิดประตูรถลงไป นลินรีบตามลงมา ไม่ช้าทั้งคู่ก็มานั่งบนเก้าอี้รับรองในห้องพักของพนาสิน โดยมีพันศักดิ์ที่กลับมาจากทานอาหารกับเพื่อนๆ นั่งร่วมวงด้วย
พนาสินชำเลืองมองพันศักดิ์ที่ทำทีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วพูดขึ้น
“พันศักดิ์!”
“อะไร” พันศักดิ์เอ่ยหน้าจากหนังสือพิมพ์พร้อมส่งยิ้มให้ พนาสินบุ้ยปากทำนองให้ออกไปนอกห้องแต่พันศักดิ์สั่นหัวพร้อมกับก้มหน้าพยักเพยิดมองหนังสือพิมพ์ ทำนองว่ายังอ่านหนังสือพิมพ์ไม่เสร็จ
พนาสินหรี่ตาลงมองเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างฉุนกึก ไอ้นี่ วอนซะแล้ว
“ไอ้คุณพันศักดิ์!”
“อะไรล่ะ ฉันกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ไม่เห็นหรือไง เรียกอยู่นั่นแหละ” พันศักดิ์ทำน้ำเสียงรำคาญแต่ต้องกระโดดตัวลอยจากเก้าอี้แทบไม่ทัน เมื่อพนาสินเหวี่ยงกระเป๋าใส่เอกสารซัดตรงมา
“เฮ้ย! ไอ้บ้า จะฆ่ากันเรอะ!” พันศักดิ์โวยวายดังลั่นเมื่อกระเป๋าเฉียดร่างไปเส้นยาแดงผ่าแปด หันมามองพนาสินตาเขียวแต่ต้องสะดุ้งเมื่อพนาสินแยกเขี้ยวใส่
“ถ้าแกยังไม่ลุกออกจากเก้าอี้ไปนั่งข้างนอกอีก ฉันจะกัดคอแกให้ขาดเป็นสองท่อน!”
พันศักดิ์กลืนน้ำลายลงคอ หันมามองนลินที่นั่งเงียบอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นลินยิ้มจืดเจื่อนพร้อมส่ายหัวไปมาทำนองว่า ลำพังตัวเองก็ยังเอาไม่รอด เห็นดังนั้น พันศักดิ์จึงยิ้มแห้งๆ ฉวยหนังสือพิมพ์เดินออกจากห้องไปทันที
“เอาล่ะ ไหนหนูลินเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่กล้าฟังหน่อย ขอเนื้อๆ เน้นๆ ไม่เอาน้ำนะ” พนาสินสั่ง
นลินมองพนาสินด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ รู้สึกกลัวและลังเลอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พี่ชายก็จะยังคงเข้าใจสมภพผิดและมองอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี ซึ่งเธอยอมไม่ได้ที่จะให้เป็นแบบนั้นแต่ถ้าเล่าความจริงออกไปทั้งหมด พนาสินจะต้องพาเธอกลับบ้านแน่นอน เธอควรจะทำยังไงดี
“ว่ายังไงล่ะหนูลิน ทำไมเงียบไป ถ้าหนูลินบอกว่าพี่กล้าเข้าใจผิด หนูลินก็ควรจะบอกความจริงกับพี่กล้าว่าเรื่องราวที่ถูกต้องมันเป็นยังไง”
“...............”
“การนิ่งเงียบอาจใช้ได้ผลในบางสถานการณ์แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน ยิ่งหนูลินเงียบแบบนี้ พี่กล้าก็คิดว่าเรื่องมันคงจะร้ายแรงมากจนหนูลินไม่กล้าพูดออกมา ถ้าไม่พูดตอนนี้ พี่กล้าก็มีวิธีหาความจริงได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น จะเล่าตอนนี้หรือจะเล่าตอนที่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว” พนาสินมองน้องสาวที่นั่งบีบมือแน่นอยู่ตรงหน้าด้วยแววตานิ่งสงบ
“คือว่าเรื่องมันซับซ้อนค่ะ หนูลินลำดับเรื่องไม่ถูก” นลินบอกเสียงแห้ง พนาสินเลิกคิ้วสูงเดินมานั่งข้างนลิน มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยแล้วยิ้มให้
“เล่ามาตามความเป็นจริง อาจจะสับสนหรือวกวนไปบ้างก็ไม่เป็นไร พี่กล้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
นลินใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของพี่ชาย จึงพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา
“ค่ะ พี่กล้า เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้......”
ขณะที่นลินกำลังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พนาสินฟัง อีกด้านหนึ่ง สมภพกับสมฤดีก็ขับรถกลับมาถึงบ้านเรียบร้อย เมื่อรถจอดสนิท สมฤดีก็เปิดประตูรถแล้ววิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในบ้าน ส่วนสมภพนั่งหน้าขรึมเคาะพวงมาลัยเบาๆ ไม่รู้คุณลินจะเป็นยังไงบ้าง ชายหนุ่มคิดพลางสะบัดหัว แม้จะมั่นใจว่าพนาสินคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับน้องสาวแต่ก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี เพราะดูจากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว หากรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาคิดว่าพนาสินคงจะพานลินกลับบ้านที่อยู่ทางใต้แน่นอน ซึ่งเรื่องนี้แหละที่เขากังวลใจ
สมภพถอนหายใจ ดูท่าอุปสรรคชิ้นใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ระยะทางซะแล้ว แต่น่าจะเป็นพนาสิน พี่ชายจอมหวงโหดนั่นมากกว่า!
เสียงรถที่เลี้ยวเข้าประตูรั้วมาทำให้สมภพชะงักความคิด หันไปมองทางประตู เมื่อเห็นรถโฟร์วิลสีดำของเอกวิทย์เลี้ยวเข้ามา ชายหนุ่มก็รีบหันมามองกระจกส่องหน้าในรถเพื่อดูหน้าตัวเองทันที เพราะเอกวิทย์ตาไวยิ่งกว่าอะไร หากเห็นรอยช้ำตรงมุมปากนี่ล่ะก็ มีหวังเขาคงได้ถูกซักถามชุดใหญ่และเรื่องมันคงไม่จบแค่นี้แน่
“ไม่ได้การ ขึ้นห้องก่อนดีกว่า” สมภพคิดแล้วรีบลงจากรถ แต่ยังทันได้ยินเสียงเอกวิทย์ตะโกนเรียก
“เฮ้ย เจ้าภพ เจอตัวพอดีเลย เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ค่อยคุยนะเฮีย พอดีผมปวดท้อง” สมภพเอามือกุมท้องแล้ววิ่งหายเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เอกวิทย์ยืนงง ไปกินอะไรผิดสำแดงมาล่ะ วิ่งจู๊ดๆ เชียว
เอกวิทย์ส่ายหัวเบาๆ พลางเดินผิวปากเข้ามาในบ้านอย่างสบายอารมณ์ คืนนี้ป๊ากับแม่ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมธุรกิจโรงแรมกว่าจะกลับก็คงดึก ตอนแรกป๊าชวนให้เขาไปด้วยแต่เขาปฏิเสธ เพราะหลังจากไปสืบเรื่องนลินที่โรงพยาบาลตามคำสั่งของป๊าแล้ว เขาก็มาสะสางเอกสารที่บริษัทก่อนจะออกไปข้างนอกวิ่งวุ่นติดต่อลูกค้าตลอดวันจึงรู้สึกเหนื่อยอยากกลับมานอนพักมากกว่า ดังนั้น พอคุยงานกับลูกค้ารายสุดท้ายเสร็จ เขาก็บึ่งรถกลับบ้านทันที
“เฮียเอกกลับมาแล้วเหรอคะ” สมฤดีโผล่หน้ามาจากในครัว วิ่งเข้ามากอดเอวพี่ชายคนโตอย่างประจบ
“จ้า กลับมาแล้วตัวเป็นๆ เป็นไง วันนี้เรียนเหนื่อยไหม” เอกวิทย์จับหัวน้องสาวโยกไปมาเบาๆ พลางเดินไปนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นวม
“วันนี้ตัวเล็กเรียนครึ่งวันค่ะ ไม่เหนื่อยสักนิดเดียวแต่ปวดใจมาก” สมฤดีบอกเสียงอ่อย มองพี่ชายคนโตตาละห้อย เอกวิทย์ครางหืมในลำคอเบาๆ ขยับตัวนั่งตรง ถามน้ำเสียงจริงจัง
“ปวดใจเป็นอะไรเหรอ ไหนบอกเฮียหน่อยสิ เผื่อจะช่วยได้”
สมฤดีลอบยิ้มในใจ นึกไว้แล้วเชียวว่า ลูกหยอดของเธอต้องได้ผล ดีล่ะ งานนี้เธอไม่ยอมให้โดนต่อว่าฟรีๆ แน่ อีตาลุงปากเสียคนนั้นจะต้องชดใช้ คิดแล้วสมฤดีก็ปั้นหน้าเศร้า พูดเสียงเครือ
“ตัวเล็กโดนผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีต่อว่าค่ะ เขากล่าวหาว่าตัวเล็กเป็นเด็กไม่มีสัมมาคาราวะ หย่อนการอบรมเรื่องมารยาท แถมยังไล่ให้ตัวเล็กเอาเวลาว่างไปเรียนวิชามารยาทเพิ่มเติมอีกด้วย คิดดูสิคะ โดนผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มายืนต่อว่าปาวๆ ต่อหน้าสาธารณชน มีคนยืนดูกันเป็นสิบๆ คน แล้วแบบนี้ เฮียเอกจะไม่ให้ตัวเล็กปวดใจได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวๆๆ นี่ตัวเล็กพูดเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาอำเฮียเล่น เพื่อหลอกยืมมือเฮียให้ไปจัดการกับคนที่ตัวเล็กไม่สบอารมณ์” เอกวิทย์หรี่ตา ถามเพื่อความแน่ใจ เขารู้จักนิสัยน้องทุกคนดีมากพอที่จะรู้ว่า แต่ละคนนิสัยเป็นยังไง อย่างสมฤดีน่ะ ถ้าโดนว่าแบบที่เล่าให้เขาฟัง เชื่อขนมกินได้เลยว่า ยายตัวเล็กต้องตอกกลับอีกฝ่ายจนหน้าหงายไปแล้ว ไม่มีทางมาทำท่าเซื่องซึมเหมือนแมวหงอยแบบนี้หรอก
สมฤดีทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ มองเอกวิทย์ตาคว่ำ เฮียเอกนะเฮียเอก คนเขาอุตส่าห์เล่าเรื่องจริงให้ฟัง ยังจะมาทำหน้าไม่เชื่อถืออีก ไหนบอกว่ารักน้องไง แล้วทำไมมาถามแบบนี้
“ตัวเล็กพูดความจริงค่ะ ไม่เชื่อถามเฮียภพก็ได้เพราะเฮียภพก็อยู่ในเหตุการณ์ แถมยังโดนเขาคนนั้นต่อยปากแตกอีกด้วยนะเฮีย”
“เฮ้ย!” เอกวิทย์ทำตาโตมองสมฤดีอย่างไม่เชื่อ แต่สมฤดีพยักหน้าหงึกหงักแล้วพูดต่อ
“ถ้าไม่เชื่อ เฮียเอกไปดูหน้าเฮียภพได้เลย ปากเฮียภพน่ะบวมเจ่อเชียว ท่าทางจะเจ็บน่าดูแต่ทำฟอร์มว่าไม่เจ็บแถมยังไม่ถือโกรธอีตาผู้ชายคนนั้นอีกด้วย”
“ไหนลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฮียฟังสิว่าเป็นยังไง เฮียจะได้จัดการถูก” เอกวิทย์ถามน้ำเสียงจริงจัง ส่งผลให้สมฤดียิ้มกริ่ม เพราะอยากให้เอกวิทย์ยื่นมือมาช่วยเหลือเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่ชายคนโตฟัง ตั้งแต่เรื่องไปเยี่ยมนลินที่โรงพยาบาลเรื่อยมาจนกระทั่งมาเจอกับพนาสิน พี่ชายของนลินที่หอพักจนเกิดมีปากเสียงกันท่ามกลางประชาชนชาวหอที่มามุงดูเหตุการณ์
“อืม..ฟังจากที่ตัวเล็กเล่า ท่าทางพี่ชายของคุณลินจะหวงน้องสาวมากและก็เหมือนจะไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่นะ” เอกวิทย์สรุปหลังจากฟังเรื่องจบแล้ว
“ไม่มีเหตุผลเลยต่างหากล่ะคะ ไม่ยอมฟังอะไรด้วย แถมยังมากล่าวหาต่อว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีแต่นิสัยแย่ที่สุดเท่าที่ตัวเล็กเคยเจอมาเลยล่ะค่ะ พูดแล้วของขึ้น” สมฤดีบอกเสียงห้วน เม้มปากอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกถึงพนาสิน
“โอ๋ๆๆ ไม่เอาน่า คนดีของเฮีย อย่าเพิ่งของขึ้น ช่วงนี้ของขึ้นหลายอย่างแล้ว ขืนตัวเล็กของขึ้นอีกคน เฮียกลัวว่าชาวบ้านจะเดือดร้อนกันมากกว่านี้” เอกวิทย์เอามือโยกหัวน้องสาวไปมาเบาๆ
“โหย..เฮียเอกอ่ะ มามุกนี้ ทำเอาตัวเล็กไปต่อไม่ถูกเลย” สมฤดีทำตาปริบๆ ก่อนหัวเราะออกมา
“ไง อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”
“ก็นิดหน่อยค่ะ พอได้เล่าแล้วมันรู้สึกดีขึ้น แต่ยังเคืองอยู่นะคะประมาณว่าถ้าพูดเรื่องนี้ทีไร จะเจ็บแปลบขึ้นมาทันที ปวดใจใช่ไหมแบบนี้” ท้ายประโยค สมฤดีครวญเป็นเพลงเบาๆ เอกวิทย์หัวเราะลั่น
“เอาน่า ถ้าตัวเล็กยังร้องเพลงได้หงิงๆ แบบนี้ล่ะก็ แสดงว่าอีกไม่นานก็จะหาย”
“ใช่ค่ะ อีกไม่นานก็จะหายแต่ไม่ลืมแน่นอน!”
“ท่าทางจะแค้นฝังหุ่นนะเรา”
“ใช่ค่ะ แค้นฝังหุ่นมาก!”
“ถามหน่อยสิ คุณพนาสินนี่หล่อมากไหม ถ้าเทียบกับเฮียและเจ้าภพแล้ว ใครหล่อกว่า”
คำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเอกวิทย์ ทำให้สมฤดีชะงักนิ่วหน้าเข้าหากันอย่างใช้ความคิด จะว่าไปแล้ว หากตัดอคติที่อยู่ในใจออก ต้องยอมรับว่าพนาสินหน้าตาดีมาก หล่อคมเข้มชวนมอง ส่วนเฮียเอกกับเฮียภพก็หล่อคมสัน น่ามองไปคนละแบบ ตอบยากแฮะ
“ว่าไงล่ะ ถามแค่นี้ทำไมคิดนานจัง หรือว่าตอบยาก”
“ก็ยังไงดีล่ะคะ คือเขาดูเข้มๆ น่าค้นหา ส่วนเฮียเอกกับเฮียภพก็หล่อใสน่ามอง เอาเป็นว่าตัวเล็กให้สูสีกันค่ะ” คำตอบของสมฤดี มีผลให้เอกวิทย์ยิ้มกว้าง ตัวเล็กมันดีอยู่ตรงนี้แหละ ถึงจะไม่ชอบใจใครแต่ก็แยกแยะออก ไม่ใช่เอาอคติมาบดบังจนมองไม่เห็นสิ่งดีของสิ่งที่ไม่ชอบเอาซะเลย
“แล้วเฮียเอก ถามเรื่องนี้ทำไมคะ”
“เปล๊า..ก็ถามไปอย่างงั้นแหละ แล้วนี่ตัวเล็กยังมีที่ว่างในท้องพอจะใส่อาหารมื้อเย็นอีกไหม เฮียไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียว” เอกวิทย์ปฏิเสธก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“โห ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ กระเพาะของตัวเล็กน่ะ จุได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะค่ะ” สมฤดียิ้มกว้างเข้ามาดึงมือเอกวิทย์ให้ลุกขึ้นยืน เอกวิทย์ลุกตามอย่างว่าง่าย พลางยิ้มกริ่มเมื่อนึกอะไรสนุกๆ ออก หึหึ เป็นพี่คนโตมันดีแบบนี้นี่เอง มีอะไรสนุกๆ ให้ทำตลอด
**************************************************************************
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ คุณสมภพไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือลวนลามอะไรหนูลินเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามหากไม่ได้คุณสมภพช่วยไว้ หนูลินอาจช็อคตายอยู่ในห้องโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นก็ได้ค่ะพี่กล้า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมเขาไม่โทรแจ้งข่าวให้คนที่บ้านของหนูลินรู้ เรื่องมันร้ายแรงขนาดนี้แต่เขากลับทำเฉยแถมยังจัดการเป็นธุระเรื่องโรงพยาบาลให้เสร็จสรรพเหมือนกับเป็นญาติสนิทก็ไม่ปาน ทำแบบนี้เหมือนต้องการจะมีบุญคุณไว้เพื่อทวงกับหนูลินในภายหลัง” พนาสินบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณสมภพไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะพี่กล้า เขาเป็นคนมีน้ำใจ และที่เขาไม่ได้โทรแจ้งให้ทางบ้านทราบเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเบอร์ที่บ้านของหนูลินต่างหากล่ะคะ”
“นั่นปะไร พี่กล้านึกไว้ไม่มีผิด พี่กล้าพูดแค่นี้ หนูลินก็ออกรับแทนมันซะแล้ว ถึงเขาจะไม่มีเบอร์หนูลิน แต่เด็กที่ชื่อส้มกับหญิงก็สนิทกับหนูลินไม่ใช่เหรอ สองคนนั้นน่าจะมีเบอร์ของหนูลินบ้างสิ หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็น่าจะไปขอกับผู้ดูแลหอ เพราะเขาน่าจะมีลงประวัติของผู้เข้าพักเอาไว้ อย่าบอกว่าไม่มีนะ”
“หนูลินไม่ได้แก้ตัวหรือรับแทนคุณสมภพ แต่หนูลินไม่ได้ให้เบอร์ของที่บ้านกับใครจริงๆ ค่ะ ส่วนประวัติของผู้เข้าพักน่ะ ที่นี่ไม่มีให้กรอกหรอกค่ะ” นลินแย้งเสียงเบา
“อะไรกัน ทำไมถึงไม่เก็บข้อมูลของลูกค้าไว้ล่ะ แบบนี้เวลาเกิดเรื่องกับคนเข้าพักขึ้นมาจะติดต่อญาติหรือใครก็ไม่ได้สิ ทำไมหนูลินไม่เลือกหอที่มีระบบเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ อย่างน้อยก็เซฟตัวเองเผื่อครอบครัวติดต่อสอบถามข่าวคราวได้ เลือกหอไม่ดีก็อันตรายแบบนี้ล่ะ ที่จริงถ้าหอมันหายากนักก็ลาออกจากงานแล้วกลับมาหางานแถวบ้านก็สิ้นเรื่อง ไม่รู้จะดื้อไปถึงไหน” พนาสินเริ่มพาล เพราะหาช่องโหว่มาเล่นงานสมภพไม่ได้
“พี่กล้าพูดอย่างกับว่างานหากันได้ง่ายๆ นะคะ อีกอย่างที่พี่กล้าบอกมาก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แบบนี้ถ้าหาหอพักใกล้ที่ทำงานไม่ได้ ทุกคนก็ต้องลาออกจากงานแล้วกลับไปหางานทำอยู่ที่บ้านกันหมดงั้นสิ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” นลินส่ายหัวเบาๆ
“อย่ามาส่ายหัวใส่พี่กล้านะ อะไรกัน นี่หนูลินมาอยู่ที่นี่แค่สามปีถึงกับกล้าเถียงพี่กล้าแถมยังทำกิริยาไม่น่ารักใส่พี่กล้าเหมือนกับยายเด็กขี้โรคน้องนายสมภพนั่นอีกด้วย” พนาสินโวยวายและแขวะไปถึงสมฤดี ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหน สำหรับพนาสินแล้ว สมฤดีก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้โรค เพราะดูผอมแห้ง ไร้ส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่หญิงสาวพึงมี ยังดีที่หน้าตาจิ้มลิ้มแต่ก็ยังไม่ดึงดูดใจมากพอสำหรับเขาที่เห็นสาวสวยมานับไม่ถ้วน
นลินถอนหายใจ มองพี่ชายอย่างเอือมระอา พี่กล้าน่ะอะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียว เวลาเข้าโหมดหวงน้องสาวแล้ว พี่กล้าจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลและพาลได้โล่มาก ดูสิ พูดเรื่องหอพักอยู่ดีๆ กลับพาลไปว่าน้องตัวเล็กเป็นเด็กขี้โรคซะงั้น เชื่อเขาเลย
“พี่กล้าไปเรียกน้องตัวเล็กว่ายายเด็กขี้โรคได้ยังไงกันคะ เขาชื่อสมฤดีค่ะ ถ้าเขามาได้ยินเข้าคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ แค่พี่กล้าไปว่าเขาหย่อนการอบรมเรื่องมารยาทแล้วเขาไม่ด่ากลับมาเป็นชุดก็นับว่าดีมากแล้ว ยังจะมาเรียกเขาลับหลังแบบนี้อีก ไม่น่ารักเลยค่ะ”
“หึ ก็ลองด่ากลับดูสิ”
“ทำไมคะ ถ้าน้องตัวเล็กด่าพี่กล้ากลับ พี่กล้าจะทำอะไรเขา พี่กล้าเคยบอกหนูลินว่า ผู้ชายที่ดีจะต้องไม่ทำร้ายร่างกายผู้หญิง แล้วจะมาทำซะเองหรือคะ”
“พี่กล้าไม่ได้คิดจะทำร้ายร่างกายเขาซะหน่อย แต่ถ้าเขายังอวดดีด่าพี่กล้าไม่เลิกล่ะก็ พี่กล้าก็จะเอาผ้าอุดปาก จับมัดมือมัดเท้าแล้วเอาไม้เรียวหวดก้นสักสามป้าบ จะได้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ เด็กอะไรซ่าชะมัด กล้ามาผลักพี่กล้าซึ่งตัวโตกว่าตั้งเยอะ สงสัยนึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่หญิง” พนาสินบ่นแล้วหันมามองนลิน พูดเสียงเข้ม
“หนูลินก็เหมือนกัน ถ้ายังเถียงหรือแถเพื่อออกรับแทนพี่น้องสองคนนั่นอีก พี่กล้าก็จะเอาไม้เรียวหวดก้นให้เจ็บเลยโทษฐานที่เห็นขี้ดีกว่าไส้!”
“หนูลินไม่ได้แถหรือเถียง แค่อธิบายให้ฟัง”
“จะใช้คำไหน ความหมายก็ไม่ต่างกันหรอก เอาล่ะ เอาเป็นว่าพี่กล้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่กล้าค่อยไปขอโทษสมภพแล้วกันที่เข้าใจเขาผิด แต่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ เรื่องอื่นไม่เกี่ยว”
“ขอบคุณพี่กล้ามากค่ะ”
“เฮอะ! พี่กล้าเป็นลูกผู้ชายพอนะ ถ้ารู้ว่าทำผิดก็ต้องขอโทษ แล้วหนูลินจะมาขอบคุณแทนทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกับสมภพสักหน่อย เอ๊ะ หรือว่าเป็น บอกมานะ!” พนาสินคาดคั้น ใบหน้าคมเข้มเริ่มบึ้งตึง
“ไม่ใช่ค่ะ หนูลินไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสมภพ แต่ที่ขอบคุณเพราะอย่างน้อยก็ทำให้คนที่หอไม่เข้าใจพี่กล้าผิดๆ หนูลินไม่อยากให้คนที่หอมองพี่ชายของหนูลินเป็นคนไม่ดีหรือเป็นคนไม่มีเหตุผลต่างหากล่ะคะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นหายห่วงได้เลย พี่กล้ารู้ว่าควรทำยังไง เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องหอของหนูลินดีกว่า” พนาสินพยักหน้าแล้ววกกลับมาเรื่องที่นลินกำลังนึกกลัว
“เอ่อ..เรื่องหอ ทำไมคะ”
“ยังจะมาถามอีก เกิดเรื่องกับหนูลินจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้ คิดว่าพี่กล้าจะยอมอยู่เฉยไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ ยิ่งมารู้เบื้องลึกว่าสาเหตุมาจากอะไร พี่กล้ายิ่งยอมไม่ได้ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป หนูลินอาจโดนลูกหลงจากคดีนี้จนตายไปจริงๆ ก็ได้” พนาสินพูดเสียงเข้ม มองน้องสาวอย่างเป็นห่วง
“หนูลินดูแลตัวเองได้ค่ะ อีกอย่าง..” นลินพูดไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้ง เมื่อพนาสินพูดขัดเสียงดัง
“อย่ามาพูดคำนี้ให้พี่กล้าได้ยินนะ! ขนาดดูแลตัวเองได้ ยังโดนผีส้มโอหลอกจนช็อคหมดสติต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลตั้งสองสามวัน นี่แค่วิญญาณส้มโออย่างเดียวหนูลินก็เกือบตายแล้ว ไหนจะคนร้ายที่ยังลอยนวลนั่นอีก ถ้าเกิดคนร้ายรู้ว่าวิญญาณส้มโอพยายามติดต่อหนูลินเพื่อขอให้ช่วย คิดบ้างไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น หึ! ถ้าคิดไม่ออกพี่กล้าจะบอกให้ ถ้าคนร้ายรู้ พนันได้เลยว่า มันไม่เก็บหนูลินไว้บูชาอยู่บนหิ้งหรอก แต่จะจัดการเก็บหนูลินให้มีสภาพเดียวกันกับที่ส้มโอเป็นนั่นแหละ!!”
“พี่กล้า!” นลินหน้าซีดเผือด เธอลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะมัวแต่ห่วงอยากช่วยวิญญาณส้มโอให้ไปสู่สุคติ จึงไม่ทันคิดเรื่องคนร้าย พอได้ยินพนาสินพูดขึ้นมา นลินก็ตกใจเพราะเรื่องที่พบศพของส้มโอในหอได้ออกข่าวทางโทรทัศน์ด้วย ถึงข่าวจะไม่ได้ระบุสาเหตุว่าพบศพได้อย่างไร แต่คนร้ายในคดีนี้คงจะสืบหาเบาะแสต้นตอของเรื่องนี้แน่ ทำไมเธอจึงคิดไม่ถึงนะ
พนาสินมองหน้าซีดเผือดของน้องสาวแล้วถอนหายใจ นึกไว้แล้วเชียวว่านลินต้องไม่คิดถึงเรื่องคนร้ายแน่ๆ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยน้องสาว รู้ว่านลินคงอยากช่วยวิญญาณของส้มโอให้หลุดพ้นจากการจองจำ แต่เรื่องแบบนี้มันอันตรายเกินไป ใครจะยอมให้น้องสาวตัวเองเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมให้นลินอยู่ที่นี่เด็ดขาด ต้องย้ายออกสถานเดียว คิดมาถึงตรงนี้พนาสินก็มีใบหน้าเคร่งเครียด
หากข้อสันนิษฐานของเขาใกล้เคียงล่ะก็..ป่านนี้คนร้ายคงกำลังหาวิธีจัดการกับนลินแน่ เพราะการฆาตกรรมและอำพรางศพโดยเก็บไว้ในห้องโดยไม่มีคนสงสัยนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคนในหอด้วย ซึ่งหมายความว่าฆาตกรอยู่ใกล้ๆ น้องสาวเขานี่เอง!
ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือให้นลินลาออกจากงานแล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องคดีก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจตามจับคนร้ายไป ซึ่งเชื่อว่าน่าจะหาเบาะแสได้ไม่ยากหรอก ขนาดเขาเป็นคนนอกยังพอจะมองออกรางๆ เลยว่า ใครเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยบ้าง
“เอาล่ะ หนูลินไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวคืนนี้นอนพักที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเก็บของแล้วคืนห้องเขาไปพอช่วงเย็นๆ ค่อยเดินทางกลับบ้านพร้อมพี่กล้า”
“กลับบ้าน!” นลินพูดอย่างตกใจ พนาสินพยักหน้าแล้วพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของน้องสาวแม้แต่น้อย
“ใช่! พี่กล้าตัดสินใจแล้วว่าจะให้หนูลินลาออกจากงานในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็กลับบ้านพร้อมพี่กล้า”
“พี่กล้าจะให้หนูลินลาออกจากงานปุบปับได้ไงกันคะ หนูลินทำไม่ได้หรอกค่ะ” นลินปฏิเสธ
“ทำไมจะทำไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไปยื่นใบลาออกตั้งแต่เช้า บอกไปว่ามีธุระด่วนต้องกลับบ้านไม่สามารถทำงานต่อได้ ให้หาคนใหม่มาแทนได้เลย ส่วนเรื่องเงินเดือนก็ไม่ต้องไปรับหรอก ที่บ้านจ่ายให้มากกว่านี้ได้อยู่แล้ว จากนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นที่หอ ตกเย็นก็นั่งรถไปกับพี่กล้า รุ่งเช้าก็ถึงบ้านแล้ว เห็นไหมง่ายจะตาย” พนาสินพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนทำกันเป็นปกติ แต่สำหรับนลินแล้ว ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดสักนิด
“พี่กล้าคะ ฟังหนูลินพูดบ้าง พี่กล้าจะให้หนูลินทิ้งงานไปดื้อๆ แบบนั้น หนูลินทำไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยควรให้เวลาบริษัทหาคนใหม่มารับช่วงต่องานจากหนูลินสักหน่อย เขาจะได้ไม่ด่าตามหลังว่าไม่มีความรับผิดชอบ เรื่องแบบนี้มันสำคัญต่อประวัติการทำงานของหนูลินมากนะคะ ไหนพี่กล้าเคยบอกว่า คนเราจะต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย แต่สิ่งที่พี่กล้าสั่งให้หนูลินทำนั้น มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล้าพร่ำสอนหนูลินมาตลอด” นลินแย้งน้ำเสียงจริงจัง ส่งผลให้พนาสินชะงักกึก หยุดฟังอย่างตั้งใจ
“พี่กล้าอยากให้หนูลินลาออกจากงาน หนูลินก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่าพี่กล้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในคดีของส้มโอ แต่อย่าบังคับให้หนูลินออกจากงานในวันพรุ่งนี้หรือเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หนูลินขอเวลาสะสางงานและส่งมอบงานให้คนใหม่สักสองเดือนนะคะ จากนั้นหนูลินสัญญาค่ะว่าจะกลับไปทำงานที่บ้านโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น พี่กล้าอย่าทำให้หนูลินกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบด้วยการทิ้งงานไปดื้อๆ แบบนี้เลยค่ะ”
พนาสินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด นลินลุกขึ้นมานั่งใกล้พี่ชายจากนั้นก็เอนตัวลงซบไหล่พร้อมพูดอ้อนเสียงหวาน
“นะคะพี่กล้า หนูลินขอเวลาสักสองเดือน จากนั้นหนูลินจะกลับไปทันที”
“สองเดือนนานไป พี่กล้าให้แค่เดือนเดียวแต่หนูลินต้องย้ายหอไปอยู่ที่อื่น ถ้าอยู่ที่เดิมพี่กล้าไม่วางใจ กลัวว่าวิญญาณของส้มโอจะตามมาติดต่อกับหนูลินให้ช่วยทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย ลำพังแค่ให้เจอศพก็ถือว่าได้ช่วยเหลือมากพอแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องปลดปล่อยวิญญาณอะไรด้วยเลย เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของหนูลิน”
“แต่..”
“อย่ามาต่อรองให้มากความ พี่กล้ายอมให้แล้วเรื่องงาน ฉะนั้นหนูลินต้องยอมพี่กล้าเรื่องหอพัก เราพบกันครึ่งทาง ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย หากหนูลินไม่ตกลง พรุ่งนี้ก็เก็บของกลับบ้านได้เลย” พนาสินขู่
“แต่หอพักใกล้ที่ทำงานก็หาไม่ได้ง่ายๆ นะคะพี่กล้า”
“ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ซื้อคอนโดใกล้ๆ ก็ได้นี่ พี่กล้าเห็นนะว่าใกล้ๆ กับที่ทำงานของหนูลินมีคอนโดอยู่ด้วย ถ้าห่วงเรื่องราคาพี่กล้าจ่ายให้เอง แค่นี้ไม่เดือดร้อนหรอก ขอแค่ย้ายออกมาจากหอนั่นก็พอ”
“โห..พี่กล้าลงทุนซื้อคอนโดเพียงเพื่อเรื่องแค่นี้เองเหรอคะ”
“หนูลินอาจจะมองว่าเรื่องแค่นี้เอง แต่พี่กล้ามองว่ามันคุ้มกว่าที่จะให้หนูลินไปเสี่ยงอยู่ในหอผีสิงแบบนั้น ไหนจะคนร้ายที่ยังลอยนวลอยู่อีก พี่กล้าถือคติ ความปลอดภัยของหนูลินมาก่อนสิ่งอื่น เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่กล้าเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอกจ้ะ แค่หนูลินเข้าใจว่าเพราะอะไรพี่กล้าถึงเป็นห่วงก็พอแล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ เดี๋ยวเราลงไปทานข้าวกัน จากนั้นหนูลินจะได้ขึ้นมานอนพักผ่อน เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาคงจะเพลียแย่” พนาสินลูบหัวน้องสาวเบาๆ นลินยิ้มกว้างพลางสั่นหัวสองสามครั้ง
“ไม่เพลียหรอกค่ะ ตอนอยู่โรงพยาบาลก็นอนพักซะเต็มที่ ขืนให้นอนพักบ่อยๆ ก็เป็นง่อยกันพอดี พี่กล้าคะ คืนนี้หนูลินขอกลับไปนอนที่หอได้ไหมคะ” นลินบอกก่อนจะยกมือห้ามเมื่อเห็นพี่ชายอ้าปาก
“คือตั้งแต่หนูลินเข้าโรงพยาบาล ส้มกับหญิงก็หยุดเรียนเพื่อไปเฝ้าหนูลิน ถ้าคืนนี้หนูลินไม่กลับไปนอนที่หอเกรงว่าสองคนนั้นจะเป็นห่วงค่ะ เพราะท่าทางที่พี่กล้าแสดงออกที่หอเมื่อกี้ชวนให้ใครต่อใครเข้าใจผิดได้ว่า พี่กล้าเป็นคนโหดร้าย ไม่มีเหตุผล หนูลินจึงอยากจะกลับไปอธิบายให้เข้าใจค่ะว่า จริงๆ แล้วพี่กล้าเป็นคนใจดี ไม่ได้ดุอย่างที่เห็น เพียงแต่เกิดการเข้าใจผิดนิดหน่อยค่ะ” นลินพูดยาวเหยียดแทบลืมหายใจ ภาวนาให้พี่ชายตอบตกลงเพราะหากกลับไปที่หอ เธอสามารถส่งข่าวให้สมภพรู้ว่าเธอปลอดภัยดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“.............”
“นะคะพี่กล้า ให้หนูลินกลับไปนอนที่หอนะคะ” นลินเขย่าแขนพี่ชายเบาๆ พลางมองด้วยตาขอร้อง พนาสินถอนหายใจ รู้สึกว่าน้องสาวชักจะต่อรองเก่งขึ้นทุกที สุดท้ายก็พยักหน้าตกลงอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ก็ยังไม่วายสำทับเสียงเข้ม
“กลับไปนอนหอก็ได้ แต่ห้ามออกจากห้องเป็นอันขาดจนกว่าจะเช้าเข้าใจไหม ต่อให้ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือใครมาเรียกก็ไม่ต้องออกไปดู พี่ไม่อยากเห็นหนูลินช็อครอบสองอีก”
“หนูลินสัญญาค่ะว่า จะนอนอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาเดินเล่นข้างนอกเด็ดขาด”
“ดีมาก งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ พี่หิวแล้ว”
“ค่ะ พี่กล้า”
พนาสินพานลินมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารเยื้องๆ กับโรงแรมที่เขาพักอยู่ สองพี่น้องคุยไปกินไปใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พนาสินจึงขับรถมาส่งนลินที่หอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษ
ส้มกับหญิงที่ยังไม่นอนและนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่ด้านล่างหอพักรีบเก็บหนังสือ เมื่อเห็นนลินก้าวลงมาจากรถพร้อมพนาสิน
“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ” นลินทักน้ำเสียงนุ่มนวล
“พอดีพรุ่งนี้มีสอบย่อยค่ะ ก็เลยเอาหนังสือมาอ่านข้างล่าง พี่ลินทานข้าวหรือยังคะ” หญิงตอบ
“เรียบร้อยแล้วจ้า เออ..ส้มกับหญิงจ๊ะ นี่พี่กล้า พี่ชายของพี่เองจ้ะ” นลินแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักพนาสินอย่างเป็นทางการ ส้มกับหญิงยกมือไหว้ทันที พนาสินยกมือรับพร้อมยิ้มให้แล้วหันมาพูดกับนลิน
“พรุ่งนี้เช้า พอประชุมเสร็จ พี่กล้าจะแวะมารับหนูลินไปดูคอนโดด้วยกัน จากนั้นจะได้ย้ายหอให้เสร็จในวันเดียวเลย พี่กล้าจะได้กลับบ้านอย่างหมดห่วง ตกลงตามนี้นะ”
ดูคอนโด! ย้ายหอ! ส้มกับหญิงอุทานลั่นอยู่ในใจพลางส่งสายตาคำถามไปที่นลิน ซึ่งนลินเพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ ก่อนจะพูดกับพนาสิน
“ค่ะ พี่กล้า”
พนาสินพยักหน้าหันมายิ้มให้ส้มกับหญิงที่ยืนอึ้งแล้วเดินออกจากหอไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า เมื่อลับร่างของพนาสิน ส้มกับหญิงหันมามองนลิน กำลังอ้าปากจะถาม นลินก็พูดขึ้นมาก่อน
“ไปคุยกันบนห้องเถอะจ้ะ”
“ค่ะ พี่ลิน” ส้มกับหญิงรับคำ เดินตามหลังนลินขึ้นไปที่ห้องอย่างว่าง่าย
ด้านพนาสิน เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับมีคนกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ จึงเหลียวมองไปรอบๆ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนออกมายืนนอกรถ เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนของหอพัก เขาเห็นจุดสีขาวเล็กๆ คล้ายฝ้าบนกระจกหน้าต่างบานหนึ่ง มันเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนขยายวงกว้างจนเต็มกระจก ดูคล้ายรูปใบหน้าคน
“หืม..” พนาสินครางเบาๆ มองสิ่งที่เห็นอย่างสนใจ ก่อนกระพริบตาถี่ๆ เมื่อสิ่งนั้นกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ จ้องมองลงมาที่เขาด้วยแววตานิ่งสงบ ดวงตาสีแดงก่ำ มองเห็นได้ชัดในความมืดดูเจิดจ้า พนาสินรู้โดยทันทีว่าผู้หญิงที่อยู่บนนั้นคือใคร
“ขอโทษนะ ผมให้นลินอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ แค่ที่น้องสาวผมช่วยให้คนเจอศพของคุณก็ถือว่าช่วยมากพอแล้ว แต่จะให้ถึงขั้นปลดปล่อยวิญญาณของคุณด้วย ดูเหมือนว่าจะมากไปหน่อย” พนาสินพูดเสียงเรียบ มองสบตาส้มโออย่างไม่กลัว มีผลให้ส้มโอเม้มปากแน่นก่อนสะอื้นเบาๆ
“คน..ไร้..น้ำ..ใจ” เสียงเยือกเย็นแผ่วเบาดังลอยมากระทบหูของพนาสิน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ หมุนตัวกลับขึ้นไปนั่งบนรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที
เสียงกรีดร้องโหยหวนเยือกเย็นประหนึ่งปานจะขาดใจดังแว่วมาตามลมกระทบโสตสัมผัสของพนาสินอย่างจัง แต่เขาไม่สนใจ ยังคงขับรถออกไปด้วยสีหน้าปกติ จะว่าเขาตกใจไหมตอนเห็นส้มโอ ยอมรับว่านิดหน่อยแต่ไม่มากพอที่จะทำให้คนจิตแข็งอย่างเขากลัวได้ อาจจะเหมือนเขาเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมให้นลินช่วยเหลือส้มโอ แต่เขาไม่ยอมเอาชีวิตน้องสาวคนเดียวมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นวิญญาณร้ายแค่ไหน เขาก็พร้อมจะชนทุกรูปแบบ!
พนาสินเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น ไม่นานก็ทิ้งห่างหอพักของนลินไว้เบื้องหลัง โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขา ทำให้ส้มโอเจ็บปวดขนาดไหน และอารมณ์เสียใจของส้มโอก็ทำให้ชาวหอที่พักอยู่ในชั้นเดียวกันกับห้อง 404 ไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับลงได้ เนื่องจากได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนสลับกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ตลอดคืน
*******************************************************************
“เอ่อ..พี่กล้าคะ”
“พี่กล้าไม่ชอบคุยเรื่องเครียดๆ ระหว่างขับรถนะหนูลิน” พนาสินพูดขึ้นมา โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากรถราจำนวนมากที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนส่งผลให้นลินนั่งเงียบไปตลอดทางไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่ง พนาสินเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่ง
“พี่กล้าพักที่นี่” พนาสินบอกแล้วเปิดประตูรถลงไป นลินรีบตามลงมา ไม่ช้าทั้งคู่ก็มานั่งบนเก้าอี้รับรองในห้องพักของพนาสิน โดยมีพันศักดิ์ที่กลับมาจากทานอาหารกับเพื่อนๆ นั่งร่วมวงด้วย
พนาสินชำเลืองมองพันศักดิ์ที่ทำทีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วพูดขึ้น
“พันศักดิ์!”
“อะไร” พันศักดิ์เอ่ยหน้าจากหนังสือพิมพ์พร้อมส่งยิ้มให้ พนาสินบุ้ยปากทำนองให้ออกไปนอกห้องแต่พันศักดิ์สั่นหัวพร้อมกับก้มหน้าพยักเพยิดมองหนังสือพิมพ์ ทำนองว่ายังอ่านหนังสือพิมพ์ไม่เสร็จ
พนาสินหรี่ตาลงมองเพื่อนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างฉุนกึก ไอ้นี่ วอนซะแล้ว
“ไอ้คุณพันศักดิ์!”
“อะไรล่ะ ฉันกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ไม่เห็นหรือไง เรียกอยู่นั่นแหละ” พันศักดิ์ทำน้ำเสียงรำคาญแต่ต้องกระโดดตัวลอยจากเก้าอี้แทบไม่ทัน เมื่อพนาสินเหวี่ยงกระเป๋าใส่เอกสารซัดตรงมา
“เฮ้ย! ไอ้บ้า จะฆ่ากันเรอะ!” พันศักดิ์โวยวายดังลั่นเมื่อกระเป๋าเฉียดร่างไปเส้นยาแดงผ่าแปด หันมามองพนาสินตาเขียวแต่ต้องสะดุ้งเมื่อพนาสินแยกเขี้ยวใส่
“ถ้าแกยังไม่ลุกออกจากเก้าอี้ไปนั่งข้างนอกอีก ฉันจะกัดคอแกให้ขาดเป็นสองท่อน!”
พันศักดิ์กลืนน้ำลายลงคอ หันมามองนลินที่นั่งเงียบอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นลินยิ้มจืดเจื่อนพร้อมส่ายหัวไปมาทำนองว่า ลำพังตัวเองก็ยังเอาไม่รอด เห็นดังนั้น พันศักดิ์จึงยิ้มแห้งๆ ฉวยหนังสือพิมพ์เดินออกจากห้องไปทันที
“เอาล่ะ ไหนหนูลินเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่กล้าฟังหน่อย ขอเนื้อๆ เน้นๆ ไม่เอาน้ำนะ” พนาสินสั่ง
นลินมองพนาสินด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ รู้สึกกลัวและลังเลอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พี่ชายก็จะยังคงเข้าใจสมภพผิดและมองอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี ซึ่งเธอยอมไม่ได้ที่จะให้เป็นแบบนั้นแต่ถ้าเล่าความจริงออกไปทั้งหมด พนาสินจะต้องพาเธอกลับบ้านแน่นอน เธอควรจะทำยังไงดี
“ว่ายังไงล่ะหนูลิน ทำไมเงียบไป ถ้าหนูลินบอกว่าพี่กล้าเข้าใจผิด หนูลินก็ควรจะบอกความจริงกับพี่กล้าว่าเรื่องราวที่ถูกต้องมันเป็นยังไง”
“...............”
“การนิ่งเงียบอาจใช้ได้ผลในบางสถานการณ์แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน ยิ่งหนูลินเงียบแบบนี้ พี่กล้าก็คิดว่าเรื่องมันคงจะร้ายแรงมากจนหนูลินไม่กล้าพูดออกมา ถ้าไม่พูดตอนนี้ พี่กล้าก็มีวิธีหาความจริงได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น จะเล่าตอนนี้หรือจะเล่าตอนที่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว” พนาสินมองน้องสาวที่นั่งบีบมือแน่นอยู่ตรงหน้าด้วยแววตานิ่งสงบ
“คือว่าเรื่องมันซับซ้อนค่ะ หนูลินลำดับเรื่องไม่ถูก” นลินบอกเสียงแห้ง พนาสินเลิกคิ้วสูงเดินมานั่งข้างนลิน มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยแล้วยิ้มให้
“เล่ามาตามความเป็นจริง อาจจะสับสนหรือวกวนไปบ้างก็ไม่เป็นไร พี่กล้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
นลินใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของพี่ชาย จึงพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา
“ค่ะ พี่กล้า เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้......”
ขณะที่นลินกำลังเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พนาสินฟัง อีกด้านหนึ่ง สมภพกับสมฤดีก็ขับรถกลับมาถึงบ้านเรียบร้อย เมื่อรถจอดสนิท สมฤดีก็เปิดประตูรถแล้ววิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในบ้าน ส่วนสมภพนั่งหน้าขรึมเคาะพวงมาลัยเบาๆ ไม่รู้คุณลินจะเป็นยังไงบ้าง ชายหนุ่มคิดพลางสะบัดหัว แม้จะมั่นใจว่าพนาสินคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับน้องสาวแต่ก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี เพราะดูจากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว หากรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาคิดว่าพนาสินคงจะพานลินกลับบ้านที่อยู่ทางใต้แน่นอน ซึ่งเรื่องนี้แหละที่เขากังวลใจ
สมภพถอนหายใจ ดูท่าอุปสรรคชิ้นใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ระยะทางซะแล้ว แต่น่าจะเป็นพนาสิน พี่ชายจอมหวงโหดนั่นมากกว่า!
เสียงรถที่เลี้ยวเข้าประตูรั้วมาทำให้สมภพชะงักความคิด หันไปมองทางประตู เมื่อเห็นรถโฟร์วิลสีดำของเอกวิทย์เลี้ยวเข้ามา ชายหนุ่มก็รีบหันมามองกระจกส่องหน้าในรถเพื่อดูหน้าตัวเองทันที เพราะเอกวิทย์ตาไวยิ่งกว่าอะไร หากเห็นรอยช้ำตรงมุมปากนี่ล่ะก็ มีหวังเขาคงได้ถูกซักถามชุดใหญ่และเรื่องมันคงไม่จบแค่นี้แน่
“ไม่ได้การ ขึ้นห้องก่อนดีกว่า” สมภพคิดแล้วรีบลงจากรถ แต่ยังทันได้ยินเสียงเอกวิทย์ตะโกนเรียก
“เฮ้ย เจ้าภพ เจอตัวพอดีเลย เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ค่อยคุยนะเฮีย พอดีผมปวดท้อง” สมภพเอามือกุมท้องแล้ววิ่งหายเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เอกวิทย์ยืนงง ไปกินอะไรผิดสำแดงมาล่ะ วิ่งจู๊ดๆ เชียว
เอกวิทย์ส่ายหัวเบาๆ พลางเดินผิวปากเข้ามาในบ้านอย่างสบายอารมณ์ คืนนี้ป๊ากับแม่ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมธุรกิจโรงแรมกว่าจะกลับก็คงดึก ตอนแรกป๊าชวนให้เขาไปด้วยแต่เขาปฏิเสธ เพราะหลังจากไปสืบเรื่องนลินที่โรงพยาบาลตามคำสั่งของป๊าแล้ว เขาก็มาสะสางเอกสารที่บริษัทก่อนจะออกไปข้างนอกวิ่งวุ่นติดต่อลูกค้าตลอดวันจึงรู้สึกเหนื่อยอยากกลับมานอนพักมากกว่า ดังนั้น พอคุยงานกับลูกค้ารายสุดท้ายเสร็จ เขาก็บึ่งรถกลับบ้านทันที
“เฮียเอกกลับมาแล้วเหรอคะ” สมฤดีโผล่หน้ามาจากในครัว วิ่งเข้ามากอดเอวพี่ชายคนโตอย่างประจบ
“จ้า กลับมาแล้วตัวเป็นๆ เป็นไง วันนี้เรียนเหนื่อยไหม” เอกวิทย์จับหัวน้องสาวโยกไปมาเบาๆ พลางเดินไปนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นวม
“วันนี้ตัวเล็กเรียนครึ่งวันค่ะ ไม่เหนื่อยสักนิดเดียวแต่ปวดใจมาก” สมฤดีบอกเสียงอ่อย มองพี่ชายคนโตตาละห้อย เอกวิทย์ครางหืมในลำคอเบาๆ ขยับตัวนั่งตรง ถามน้ำเสียงจริงจัง
“ปวดใจเป็นอะไรเหรอ ไหนบอกเฮียหน่อยสิ เผื่อจะช่วยได้”
สมฤดีลอบยิ้มในใจ นึกไว้แล้วเชียวว่า ลูกหยอดของเธอต้องได้ผล ดีล่ะ งานนี้เธอไม่ยอมให้โดนต่อว่าฟรีๆ แน่ อีตาลุงปากเสียคนนั้นจะต้องชดใช้ คิดแล้วสมฤดีก็ปั้นหน้าเศร้า พูดเสียงเครือ
“ตัวเล็กโดนผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีต่อว่าค่ะ เขากล่าวหาว่าตัวเล็กเป็นเด็กไม่มีสัมมาคาราวะ หย่อนการอบรมเรื่องมารยาท แถมยังไล่ให้ตัวเล็กเอาเวลาว่างไปเรียนวิชามารยาทเพิ่มเติมอีกด้วย คิดดูสิคะ โดนผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มายืนต่อว่าปาวๆ ต่อหน้าสาธารณชน มีคนยืนดูกันเป็นสิบๆ คน แล้วแบบนี้ เฮียเอกจะไม่ให้ตัวเล็กปวดใจได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวๆๆ นี่ตัวเล็กพูดเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาอำเฮียเล่น เพื่อหลอกยืมมือเฮียให้ไปจัดการกับคนที่ตัวเล็กไม่สบอารมณ์” เอกวิทย์หรี่ตา ถามเพื่อความแน่ใจ เขารู้จักนิสัยน้องทุกคนดีมากพอที่จะรู้ว่า แต่ละคนนิสัยเป็นยังไง อย่างสมฤดีน่ะ ถ้าโดนว่าแบบที่เล่าให้เขาฟัง เชื่อขนมกินได้เลยว่า ยายตัวเล็กต้องตอกกลับอีกฝ่ายจนหน้าหงายไปแล้ว ไม่มีทางมาทำท่าเซื่องซึมเหมือนแมวหงอยแบบนี้หรอก
สมฤดีทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ มองเอกวิทย์ตาคว่ำ เฮียเอกนะเฮียเอก คนเขาอุตส่าห์เล่าเรื่องจริงให้ฟัง ยังจะมาทำหน้าไม่เชื่อถืออีก ไหนบอกว่ารักน้องไง แล้วทำไมมาถามแบบนี้
“ตัวเล็กพูดความจริงค่ะ ไม่เชื่อถามเฮียภพก็ได้เพราะเฮียภพก็อยู่ในเหตุการณ์ แถมยังโดนเขาคนนั้นต่อยปากแตกอีกด้วยนะเฮีย”
“เฮ้ย!” เอกวิทย์ทำตาโตมองสมฤดีอย่างไม่เชื่อ แต่สมฤดีพยักหน้าหงึกหงักแล้วพูดต่อ
“ถ้าไม่เชื่อ เฮียเอกไปดูหน้าเฮียภพได้เลย ปากเฮียภพน่ะบวมเจ่อเชียว ท่าทางจะเจ็บน่าดูแต่ทำฟอร์มว่าไม่เจ็บแถมยังไม่ถือโกรธอีตาผู้ชายคนนั้นอีกด้วย”
“ไหนลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เฮียฟังสิว่าเป็นยังไง เฮียจะได้จัดการถูก” เอกวิทย์ถามน้ำเสียงจริงจัง ส่งผลให้สมฤดียิ้มกริ่ม เพราะอยากให้เอกวิทย์ยื่นมือมาช่วยเหลือเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่ชายคนโตฟัง ตั้งแต่เรื่องไปเยี่ยมนลินที่โรงพยาบาลเรื่อยมาจนกระทั่งมาเจอกับพนาสิน พี่ชายของนลินที่หอพักจนเกิดมีปากเสียงกันท่ามกลางประชาชนชาวหอที่มามุงดูเหตุการณ์
“อืม..ฟังจากที่ตัวเล็กเล่า ท่าทางพี่ชายของคุณลินจะหวงน้องสาวมากและก็เหมือนจะไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่นะ” เอกวิทย์สรุปหลังจากฟังเรื่องจบแล้ว
“ไม่มีเหตุผลเลยต่างหากล่ะคะ ไม่ยอมฟังอะไรด้วย แถมยังมากล่าวหาต่อว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีแต่นิสัยแย่ที่สุดเท่าที่ตัวเล็กเคยเจอมาเลยล่ะค่ะ พูดแล้วของขึ้น” สมฤดีบอกเสียงห้วน เม้มปากอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกถึงพนาสิน
“โอ๋ๆๆ ไม่เอาน่า คนดีของเฮีย อย่าเพิ่งของขึ้น ช่วงนี้ของขึ้นหลายอย่างแล้ว ขืนตัวเล็กของขึ้นอีกคน เฮียกลัวว่าชาวบ้านจะเดือดร้อนกันมากกว่านี้” เอกวิทย์เอามือโยกหัวน้องสาวไปมาเบาๆ
“โหย..เฮียเอกอ่ะ มามุกนี้ ทำเอาตัวเล็กไปต่อไม่ถูกเลย” สมฤดีทำตาปริบๆ ก่อนหัวเราะออกมา
“ไง อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”
“ก็นิดหน่อยค่ะ พอได้เล่าแล้วมันรู้สึกดีขึ้น แต่ยังเคืองอยู่นะคะประมาณว่าถ้าพูดเรื่องนี้ทีไร จะเจ็บแปลบขึ้นมาทันที ปวดใจใช่ไหมแบบนี้” ท้ายประโยค สมฤดีครวญเป็นเพลงเบาๆ เอกวิทย์หัวเราะลั่น
“เอาน่า ถ้าตัวเล็กยังร้องเพลงได้หงิงๆ แบบนี้ล่ะก็ แสดงว่าอีกไม่นานก็จะหาย”
“ใช่ค่ะ อีกไม่นานก็จะหายแต่ไม่ลืมแน่นอน!”
“ท่าทางจะแค้นฝังหุ่นนะเรา”
“ใช่ค่ะ แค้นฝังหุ่นมาก!”
“ถามหน่อยสิ คุณพนาสินนี่หล่อมากไหม ถ้าเทียบกับเฮียและเจ้าภพแล้ว ใครหล่อกว่า”
คำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเอกวิทย์ ทำให้สมฤดีชะงักนิ่วหน้าเข้าหากันอย่างใช้ความคิด จะว่าไปแล้ว หากตัดอคติที่อยู่ในใจออก ต้องยอมรับว่าพนาสินหน้าตาดีมาก หล่อคมเข้มชวนมอง ส่วนเฮียเอกกับเฮียภพก็หล่อคมสัน น่ามองไปคนละแบบ ตอบยากแฮะ
“ว่าไงล่ะ ถามแค่นี้ทำไมคิดนานจัง หรือว่าตอบยาก”
“ก็ยังไงดีล่ะคะ คือเขาดูเข้มๆ น่าค้นหา ส่วนเฮียเอกกับเฮียภพก็หล่อใสน่ามอง เอาเป็นว่าตัวเล็กให้สูสีกันค่ะ” คำตอบของสมฤดี มีผลให้เอกวิทย์ยิ้มกว้าง ตัวเล็กมันดีอยู่ตรงนี้แหละ ถึงจะไม่ชอบใจใครแต่ก็แยกแยะออก ไม่ใช่เอาอคติมาบดบังจนมองไม่เห็นสิ่งดีของสิ่งที่ไม่ชอบเอาซะเลย
“แล้วเฮียเอก ถามเรื่องนี้ทำไมคะ”
“เปล๊า..ก็ถามไปอย่างงั้นแหละ แล้วนี่ตัวเล็กยังมีที่ว่างในท้องพอจะใส่อาหารมื้อเย็นอีกไหม เฮียไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียว” เอกวิทย์ปฏิเสธก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“โห ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ กระเพาะของตัวเล็กน่ะ จุได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะค่ะ” สมฤดียิ้มกว้างเข้ามาดึงมือเอกวิทย์ให้ลุกขึ้นยืน เอกวิทย์ลุกตามอย่างว่าง่าย พลางยิ้มกริ่มเมื่อนึกอะไรสนุกๆ ออก หึหึ เป็นพี่คนโตมันดีแบบนี้นี่เอง มีอะไรสนุกๆ ให้ทำตลอด
**************************************************************************
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ คุณสมภพไม่ได้ทำร้ายร่างกายหรือลวนลามอะไรหนูลินเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามหากไม่ได้คุณสมภพช่วยไว้ หนูลินอาจช็อคตายอยู่ในห้องโดยที่ไม่มีใครรู้เห็นก็ได้ค่ะพี่กล้า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมเขาไม่โทรแจ้งข่าวให้คนที่บ้านของหนูลินรู้ เรื่องมันร้ายแรงขนาดนี้แต่เขากลับทำเฉยแถมยังจัดการเป็นธุระเรื่องโรงพยาบาลให้เสร็จสรรพเหมือนกับเป็นญาติสนิทก็ไม่ปาน ทำแบบนี้เหมือนต้องการจะมีบุญคุณไว้เพื่อทวงกับหนูลินในภายหลัง” พนาสินบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณสมภพไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะพี่กล้า เขาเป็นคนมีน้ำใจ และที่เขาไม่ได้โทรแจ้งให้ทางบ้านทราบเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเบอร์ที่บ้านของหนูลินต่างหากล่ะคะ”
“นั่นปะไร พี่กล้านึกไว้ไม่มีผิด พี่กล้าพูดแค่นี้ หนูลินก็ออกรับแทนมันซะแล้ว ถึงเขาจะไม่มีเบอร์หนูลิน แต่เด็กที่ชื่อส้มกับหญิงก็สนิทกับหนูลินไม่ใช่เหรอ สองคนนั้นน่าจะมีเบอร์ของหนูลินบ้างสิ หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็น่าจะไปขอกับผู้ดูแลหอ เพราะเขาน่าจะมีลงประวัติของผู้เข้าพักเอาไว้ อย่าบอกว่าไม่มีนะ”
“หนูลินไม่ได้แก้ตัวหรือรับแทนคุณสมภพ แต่หนูลินไม่ได้ให้เบอร์ของที่บ้านกับใครจริงๆ ค่ะ ส่วนประวัติของผู้เข้าพักน่ะ ที่นี่ไม่มีให้กรอกหรอกค่ะ” นลินแย้งเสียงเบา
“อะไรกัน ทำไมถึงไม่เก็บข้อมูลของลูกค้าไว้ล่ะ แบบนี้เวลาเกิดเรื่องกับคนเข้าพักขึ้นมาจะติดต่อญาติหรือใครก็ไม่ได้สิ ทำไมหนูลินไม่เลือกหอที่มีระบบเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ อย่างน้อยก็เซฟตัวเองเผื่อครอบครัวติดต่อสอบถามข่าวคราวได้ เลือกหอไม่ดีก็อันตรายแบบนี้ล่ะ ที่จริงถ้าหอมันหายากนักก็ลาออกจากงานแล้วกลับมาหางานแถวบ้านก็สิ้นเรื่อง ไม่รู้จะดื้อไปถึงไหน” พนาสินเริ่มพาล เพราะหาช่องโหว่มาเล่นงานสมภพไม่ได้
“พี่กล้าพูดอย่างกับว่างานหากันได้ง่ายๆ นะคะ อีกอย่างที่พี่กล้าบอกมาก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แบบนี้ถ้าหาหอพักใกล้ที่ทำงานไม่ได้ ทุกคนก็ต้องลาออกจากงานแล้วกลับไปหางานทำอยู่ที่บ้านกันหมดงั้นสิ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” นลินส่ายหัวเบาๆ
“อย่ามาส่ายหัวใส่พี่กล้านะ อะไรกัน นี่หนูลินมาอยู่ที่นี่แค่สามปีถึงกับกล้าเถียงพี่กล้าแถมยังทำกิริยาไม่น่ารักใส่พี่กล้าเหมือนกับยายเด็กขี้โรคน้องนายสมภพนั่นอีกด้วย” พนาสินโวยวายและแขวะไปถึงสมฤดี ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหน สำหรับพนาสินแล้ว สมฤดีก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กขี้โรค เพราะดูผอมแห้ง ไร้ส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่หญิงสาวพึงมี ยังดีที่หน้าตาจิ้มลิ้มแต่ก็ยังไม่ดึงดูดใจมากพอสำหรับเขาที่เห็นสาวสวยมานับไม่ถ้วน
นลินถอนหายใจ มองพี่ชายอย่างเอือมระอา พี่กล้าน่ะอะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียว เวลาเข้าโหมดหวงน้องสาวแล้ว พี่กล้าจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลและพาลได้โล่มาก ดูสิ พูดเรื่องหอพักอยู่ดีๆ กลับพาลไปว่าน้องตัวเล็กเป็นเด็กขี้โรคซะงั้น เชื่อเขาเลย
“พี่กล้าไปเรียกน้องตัวเล็กว่ายายเด็กขี้โรคได้ยังไงกันคะ เขาชื่อสมฤดีค่ะ ถ้าเขามาได้ยินเข้าคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ แค่พี่กล้าไปว่าเขาหย่อนการอบรมเรื่องมารยาทแล้วเขาไม่ด่ากลับมาเป็นชุดก็นับว่าดีมากแล้ว ยังจะมาเรียกเขาลับหลังแบบนี้อีก ไม่น่ารักเลยค่ะ”
“หึ ก็ลองด่ากลับดูสิ”
“ทำไมคะ ถ้าน้องตัวเล็กด่าพี่กล้ากลับ พี่กล้าจะทำอะไรเขา พี่กล้าเคยบอกหนูลินว่า ผู้ชายที่ดีจะต้องไม่ทำร้ายร่างกายผู้หญิง แล้วจะมาทำซะเองหรือคะ”
“พี่กล้าไม่ได้คิดจะทำร้ายร่างกายเขาซะหน่อย แต่ถ้าเขายังอวดดีด่าพี่กล้าไม่เลิกล่ะก็ พี่กล้าก็จะเอาผ้าอุดปาก จับมัดมือมัดเท้าแล้วเอาไม้เรียวหวดก้นสักสามป้าบ จะได้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ เด็กอะไรซ่าชะมัด กล้ามาผลักพี่กล้าซึ่งตัวโตกว่าตั้งเยอะ สงสัยนึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่หญิง” พนาสินบ่นแล้วหันมามองนลิน พูดเสียงเข้ม
“หนูลินก็เหมือนกัน ถ้ายังเถียงหรือแถเพื่อออกรับแทนพี่น้องสองคนนั่นอีก พี่กล้าก็จะเอาไม้เรียวหวดก้นให้เจ็บเลยโทษฐานที่เห็นขี้ดีกว่าไส้!”
“หนูลินไม่ได้แถหรือเถียง แค่อธิบายให้ฟัง”
“จะใช้คำไหน ความหมายก็ไม่ต่างกันหรอก เอาล่ะ เอาเป็นว่าพี่กล้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่กล้าค่อยไปขอโทษสมภพแล้วกันที่เข้าใจเขาผิด แต่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ เรื่องอื่นไม่เกี่ยว”
“ขอบคุณพี่กล้ามากค่ะ”
“เฮอะ! พี่กล้าเป็นลูกผู้ชายพอนะ ถ้ารู้ว่าทำผิดก็ต้องขอโทษ แล้วหนูลินจะมาขอบคุณแทนทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกับสมภพสักหน่อย เอ๊ะ หรือว่าเป็น บอกมานะ!” พนาสินคาดคั้น ใบหน้าคมเข้มเริ่มบึ้งตึง
“ไม่ใช่ค่ะ หนูลินไม่ได้เป็นอะไรกับคุณสมภพ แต่ที่ขอบคุณเพราะอย่างน้อยก็ทำให้คนที่หอไม่เข้าใจพี่กล้าผิดๆ หนูลินไม่อยากให้คนที่หอมองพี่ชายของหนูลินเป็นคนไม่ดีหรือเป็นคนไม่มีเหตุผลต่างหากล่ะคะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นหายห่วงได้เลย พี่กล้ารู้ว่าควรทำยังไง เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องหอของหนูลินดีกว่า” พนาสินพยักหน้าแล้ววกกลับมาเรื่องที่นลินกำลังนึกกลัว
“เอ่อ..เรื่องหอ ทำไมคะ”
“ยังจะมาถามอีก เกิดเรื่องกับหนูลินจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้ คิดว่าพี่กล้าจะยอมอยู่เฉยไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ ยิ่งมารู้เบื้องลึกว่าสาเหตุมาจากอะไร พี่กล้ายิ่งยอมไม่ได้ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป หนูลินอาจโดนลูกหลงจากคดีนี้จนตายไปจริงๆ ก็ได้” พนาสินพูดเสียงเข้ม มองน้องสาวอย่างเป็นห่วง
“หนูลินดูแลตัวเองได้ค่ะ อีกอย่าง..” นลินพูดไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้ง เมื่อพนาสินพูดขัดเสียงดัง
“อย่ามาพูดคำนี้ให้พี่กล้าได้ยินนะ! ขนาดดูแลตัวเองได้ ยังโดนผีส้มโอหลอกจนช็อคหมดสติต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลตั้งสองสามวัน นี่แค่วิญญาณส้มโออย่างเดียวหนูลินก็เกือบตายแล้ว ไหนจะคนร้ายที่ยังลอยนวลนั่นอีก ถ้าเกิดคนร้ายรู้ว่าวิญญาณส้มโอพยายามติดต่อหนูลินเพื่อขอให้ช่วย คิดบ้างไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น หึ! ถ้าคิดไม่ออกพี่กล้าจะบอกให้ ถ้าคนร้ายรู้ พนันได้เลยว่า มันไม่เก็บหนูลินไว้บูชาอยู่บนหิ้งหรอก แต่จะจัดการเก็บหนูลินให้มีสภาพเดียวกันกับที่ส้มโอเป็นนั่นแหละ!!”
“พี่กล้า!” นลินหน้าซีดเผือด เธอลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะมัวแต่ห่วงอยากช่วยวิญญาณส้มโอให้ไปสู่สุคติ จึงไม่ทันคิดเรื่องคนร้าย พอได้ยินพนาสินพูดขึ้นมา นลินก็ตกใจเพราะเรื่องที่พบศพของส้มโอในหอได้ออกข่าวทางโทรทัศน์ด้วย ถึงข่าวจะไม่ได้ระบุสาเหตุว่าพบศพได้อย่างไร แต่คนร้ายในคดีนี้คงจะสืบหาเบาะแสต้นตอของเรื่องนี้แน่ ทำไมเธอจึงคิดไม่ถึงนะ
พนาสินมองหน้าซีดเผือดของน้องสาวแล้วถอนหายใจ นึกไว้แล้วเชียวว่านลินต้องไม่คิดถึงเรื่องคนร้ายแน่ๆ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยน้องสาว รู้ว่านลินคงอยากช่วยวิญญาณของส้มโอให้หลุดพ้นจากการจองจำ แต่เรื่องแบบนี้มันอันตรายเกินไป ใครจะยอมให้น้องสาวตัวเองเข้าไปเสี่ยง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมให้นลินอยู่ที่นี่เด็ดขาด ต้องย้ายออกสถานเดียว คิดมาถึงตรงนี้พนาสินก็มีใบหน้าเคร่งเครียด
หากข้อสันนิษฐานของเขาใกล้เคียงล่ะก็..ป่านนี้คนร้ายคงกำลังหาวิธีจัดการกับนลินแน่ เพราะการฆาตกรรมและอำพรางศพโดยเก็บไว้ในห้องโดยไม่มีคนสงสัยนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคนในหอด้วย ซึ่งหมายความว่าฆาตกรอยู่ใกล้ๆ น้องสาวเขานี่เอง!
ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือให้นลินลาออกจากงานแล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องคดีก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจตามจับคนร้ายไป ซึ่งเชื่อว่าน่าจะหาเบาะแสได้ไม่ยากหรอก ขนาดเขาเป็นคนนอกยังพอจะมองออกรางๆ เลยว่า ใครเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยบ้าง
“เอาล่ะ หนูลินไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวคืนนี้นอนพักที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปเก็บของแล้วคืนห้องเขาไปพอช่วงเย็นๆ ค่อยเดินทางกลับบ้านพร้อมพี่กล้า”
“กลับบ้าน!” นลินพูดอย่างตกใจ พนาสินพยักหน้าแล้วพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของน้องสาวแม้แต่น้อย
“ใช่! พี่กล้าตัดสินใจแล้วว่าจะให้หนูลินลาออกจากงานในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็กลับบ้านพร้อมพี่กล้า”
“พี่กล้าจะให้หนูลินลาออกจากงานปุบปับได้ไงกันคะ หนูลินทำไม่ได้หรอกค่ะ” นลินปฏิเสธ
“ทำไมจะทำไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไปยื่นใบลาออกตั้งแต่เช้า บอกไปว่ามีธุระด่วนต้องกลับบ้านไม่สามารถทำงานต่อได้ ให้หาคนใหม่มาแทนได้เลย ส่วนเรื่องเงินเดือนก็ไม่ต้องไปรับหรอก ที่บ้านจ่ายให้มากกว่านี้ได้อยู่แล้ว จากนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นที่หอ ตกเย็นก็นั่งรถไปกับพี่กล้า รุ่งเช้าก็ถึงบ้านแล้ว เห็นไหมง่ายจะตาย” พนาสินพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนทำกันเป็นปกติ แต่สำหรับนลินแล้ว ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดสักนิด
“พี่กล้าคะ ฟังหนูลินพูดบ้าง พี่กล้าจะให้หนูลินทิ้งงานไปดื้อๆ แบบนั้น หนูลินทำไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยควรให้เวลาบริษัทหาคนใหม่มารับช่วงต่องานจากหนูลินสักหน่อย เขาจะได้ไม่ด่าตามหลังว่าไม่มีความรับผิดชอบ เรื่องแบบนี้มันสำคัญต่อประวัติการทำงานของหนูลินมากนะคะ ไหนพี่กล้าเคยบอกว่า คนเราจะต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย แต่สิ่งที่พี่กล้าสั่งให้หนูลินทำนั้น มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล้าพร่ำสอนหนูลินมาตลอด” นลินแย้งน้ำเสียงจริงจัง ส่งผลให้พนาสินชะงักกึก หยุดฟังอย่างตั้งใจ
“พี่กล้าอยากให้หนูลินลาออกจากงาน หนูลินก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเข้าใจว่าพี่กล้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในคดีของส้มโอ แต่อย่าบังคับให้หนูลินออกจากงานในวันพรุ่งนี้หรือเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หนูลินขอเวลาสะสางงานและส่งมอบงานให้คนใหม่สักสองเดือนนะคะ จากนั้นหนูลินสัญญาค่ะว่าจะกลับไปทำงานที่บ้านโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น พี่กล้าอย่าทำให้หนูลินกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบด้วยการทิ้งงานไปดื้อๆ แบบนี้เลยค่ะ”
พนาสินนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด นลินลุกขึ้นมานั่งใกล้พี่ชายจากนั้นก็เอนตัวลงซบไหล่พร้อมพูดอ้อนเสียงหวาน
“นะคะพี่กล้า หนูลินขอเวลาสักสองเดือน จากนั้นหนูลินจะกลับไปทันที”
“สองเดือนนานไป พี่กล้าให้แค่เดือนเดียวแต่หนูลินต้องย้ายหอไปอยู่ที่อื่น ถ้าอยู่ที่เดิมพี่กล้าไม่วางใจ กลัวว่าวิญญาณของส้มโอจะตามมาติดต่อกับหนูลินให้ช่วยทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย ลำพังแค่ให้เจอศพก็ถือว่าได้ช่วยเหลือมากพอแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องปลดปล่อยวิญญาณอะไรด้วยเลย เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของหนูลิน”
“แต่..”
“อย่ามาต่อรองให้มากความ พี่กล้ายอมให้แล้วเรื่องงาน ฉะนั้นหนูลินต้องยอมพี่กล้าเรื่องหอพัก เราพบกันครึ่งทาง ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย หากหนูลินไม่ตกลง พรุ่งนี้ก็เก็บของกลับบ้านได้เลย” พนาสินขู่
“แต่หอพักใกล้ที่ทำงานก็หาไม่ได้ง่ายๆ นะคะพี่กล้า”
“ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ซื้อคอนโดใกล้ๆ ก็ได้นี่ พี่กล้าเห็นนะว่าใกล้ๆ กับที่ทำงานของหนูลินมีคอนโดอยู่ด้วย ถ้าห่วงเรื่องราคาพี่กล้าจ่ายให้เอง แค่นี้ไม่เดือดร้อนหรอก ขอแค่ย้ายออกมาจากหอนั่นก็พอ”
“โห..พี่กล้าลงทุนซื้อคอนโดเพียงเพื่อเรื่องแค่นี้เองเหรอคะ”
“หนูลินอาจจะมองว่าเรื่องแค่นี้เอง แต่พี่กล้ามองว่ามันคุ้มกว่าที่จะให้หนูลินไปเสี่ยงอยู่ในหอผีสิงแบบนั้น ไหนจะคนร้ายที่ยังลอยนวลอยู่อีก พี่กล้าถือคติ ความปลอดภัยของหนูลินมาก่อนสิ่งอื่น เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่กล้าเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอกจ้ะ แค่หนูลินเข้าใจว่าเพราะอะไรพี่กล้าถึงเป็นห่วงก็พอแล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ เดี๋ยวเราลงไปทานข้าวกัน จากนั้นหนูลินจะได้ขึ้นมานอนพักผ่อน เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาคงจะเพลียแย่” พนาสินลูบหัวน้องสาวเบาๆ นลินยิ้มกว้างพลางสั่นหัวสองสามครั้ง
“ไม่เพลียหรอกค่ะ ตอนอยู่โรงพยาบาลก็นอนพักซะเต็มที่ ขืนให้นอนพักบ่อยๆ ก็เป็นง่อยกันพอดี พี่กล้าคะ คืนนี้หนูลินขอกลับไปนอนที่หอได้ไหมคะ” นลินบอกก่อนจะยกมือห้ามเมื่อเห็นพี่ชายอ้าปาก
“คือตั้งแต่หนูลินเข้าโรงพยาบาล ส้มกับหญิงก็หยุดเรียนเพื่อไปเฝ้าหนูลิน ถ้าคืนนี้หนูลินไม่กลับไปนอนที่หอเกรงว่าสองคนนั้นจะเป็นห่วงค่ะ เพราะท่าทางที่พี่กล้าแสดงออกที่หอเมื่อกี้ชวนให้ใครต่อใครเข้าใจผิดได้ว่า พี่กล้าเป็นคนโหดร้าย ไม่มีเหตุผล หนูลินจึงอยากจะกลับไปอธิบายให้เข้าใจค่ะว่า จริงๆ แล้วพี่กล้าเป็นคนใจดี ไม่ได้ดุอย่างที่เห็น เพียงแต่เกิดการเข้าใจผิดนิดหน่อยค่ะ” นลินพูดยาวเหยียดแทบลืมหายใจ ภาวนาให้พี่ชายตอบตกลงเพราะหากกลับไปที่หอ เธอสามารถส่งข่าวให้สมภพรู้ว่าเธอปลอดภัยดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“.............”
“นะคะพี่กล้า ให้หนูลินกลับไปนอนที่หอนะคะ” นลินเขย่าแขนพี่ชายเบาๆ พลางมองด้วยตาขอร้อง พนาสินถอนหายใจ รู้สึกว่าน้องสาวชักจะต่อรองเก่งขึ้นทุกที สุดท้ายก็พยักหน้าตกลงอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ก็ยังไม่วายสำทับเสียงเข้ม
“กลับไปนอนหอก็ได้ แต่ห้ามออกจากห้องเป็นอันขาดจนกว่าจะเช้าเข้าใจไหม ต่อให้ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือใครมาเรียกก็ไม่ต้องออกไปดู พี่ไม่อยากเห็นหนูลินช็อครอบสองอีก”
“หนูลินสัญญาค่ะว่า จะนอนอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาเดินเล่นข้างนอกเด็ดขาด”
“ดีมาก งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ พี่หิวแล้ว”
“ค่ะ พี่กล้า”
พนาสินพานลินมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารเยื้องๆ กับโรงแรมที่เขาพักอยู่ สองพี่น้องคุยไปกินไปใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พนาสินจึงขับรถมาส่งนลินที่หอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษ
ส้มกับหญิงที่ยังไม่นอนและนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่ด้านล่างหอพักรีบเก็บหนังสือ เมื่อเห็นนลินก้าวลงมาจากรถพร้อมพนาสิน
“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะ” นลินทักน้ำเสียงนุ่มนวล
“พอดีพรุ่งนี้มีสอบย่อยค่ะ ก็เลยเอาหนังสือมาอ่านข้างล่าง พี่ลินทานข้าวหรือยังคะ” หญิงตอบ
“เรียบร้อยแล้วจ้า เออ..ส้มกับหญิงจ๊ะ นี่พี่กล้า พี่ชายของพี่เองจ้ะ” นลินแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักพนาสินอย่างเป็นทางการ ส้มกับหญิงยกมือไหว้ทันที พนาสินยกมือรับพร้อมยิ้มให้แล้วหันมาพูดกับนลิน
“พรุ่งนี้เช้า พอประชุมเสร็จ พี่กล้าจะแวะมารับหนูลินไปดูคอนโดด้วยกัน จากนั้นจะได้ย้ายหอให้เสร็จในวันเดียวเลย พี่กล้าจะได้กลับบ้านอย่างหมดห่วง ตกลงตามนี้นะ”
ดูคอนโด! ย้ายหอ! ส้มกับหญิงอุทานลั่นอยู่ในใจพลางส่งสายตาคำถามไปที่นลิน ซึ่งนลินเพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ ก่อนจะพูดกับพนาสิน
“ค่ะ พี่กล้า”
พนาสินพยักหน้าหันมายิ้มให้ส้มกับหญิงที่ยืนอึ้งแล้วเดินออกจากหอไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า เมื่อลับร่างของพนาสิน ส้มกับหญิงหันมามองนลิน กำลังอ้าปากจะถาม นลินก็พูดขึ้นมาก่อน
“ไปคุยกันบนห้องเถอะจ้ะ”
“ค่ะ พี่ลิน” ส้มกับหญิงรับคำ เดินตามหลังนลินขึ้นไปที่ห้องอย่างว่าง่าย
ด้านพนาสิน เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ขณะที่กำลังจะสตาร์ทรถ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับมีคนกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ จึงเหลียวมองไปรอบๆ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนออกมายืนนอกรถ เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนของหอพัก เขาเห็นจุดสีขาวเล็กๆ คล้ายฝ้าบนกระจกหน้าต่างบานหนึ่ง มันเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อนขยายวงกว้างจนเต็มกระจก ดูคล้ายรูปใบหน้าคน
“หืม..” พนาสินครางเบาๆ มองสิ่งที่เห็นอย่างสนใจ ก่อนกระพริบตาถี่ๆ เมื่อสิ่งนั้นกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ จ้องมองลงมาที่เขาด้วยแววตานิ่งสงบ ดวงตาสีแดงก่ำ มองเห็นได้ชัดในความมืดดูเจิดจ้า พนาสินรู้โดยทันทีว่าผู้หญิงที่อยู่บนนั้นคือใคร
“ขอโทษนะ ผมให้นลินอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ แค่ที่น้องสาวผมช่วยให้คนเจอศพของคุณก็ถือว่าช่วยมากพอแล้ว แต่จะให้ถึงขั้นปลดปล่อยวิญญาณของคุณด้วย ดูเหมือนว่าจะมากไปหน่อย” พนาสินพูดเสียงเรียบ มองสบตาส้มโออย่างไม่กลัว มีผลให้ส้มโอเม้มปากแน่นก่อนสะอื้นเบาๆ
“คน..ไร้..น้ำ..ใจ” เสียงเยือกเย็นแผ่วเบาดังลอยมากระทบหูของพนาสิน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ หมุนตัวกลับขึ้นไปนั่งบนรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที
เสียงกรีดร้องโหยหวนเยือกเย็นประหนึ่งปานจะขาดใจดังแว่วมาตามลมกระทบโสตสัมผัสของพนาสินอย่างจัง แต่เขาไม่สนใจ ยังคงขับรถออกไปด้วยสีหน้าปกติ จะว่าเขาตกใจไหมตอนเห็นส้มโอ ยอมรับว่านิดหน่อยแต่ไม่มากพอที่จะทำให้คนจิตแข็งอย่างเขากลัวได้ อาจจะเหมือนเขาเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมให้นลินช่วยเหลือส้มโอ แต่เขาไม่ยอมเอาชีวิตน้องสาวคนเดียวมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นวิญญาณร้ายแค่ไหน เขาก็พร้อมจะชนทุกรูปแบบ!
พนาสินเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น ไม่นานก็ทิ้งห่างหอพักของนลินไว้เบื้องหลัง โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขา ทำให้ส้มโอเจ็บปวดขนาดไหน และอารมณ์เสียใจของส้มโอก็ทำให้ชาวหอที่พักอยู่ในชั้นเดียวกันกับห้อง 404 ไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับลงได้ เนื่องจากได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนสลับกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ตลอดคืน
*******************************************************************
thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2563, 13:34:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2563, 13:35:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 505
<< ตอนที่ 13 |
thongyod 11 ส.ค. 2563, 13:38:12 น.
สวัสดีค่ะ ไม่แน่ใจว่ายังจำกันได้ไหม หายไปนานมากเกือบสิบปีเลยทีเดียวกับนิยายเรื่องนี้ ที่หายไปเพราะภารกิจส่วนตัวและปัญหาสุขภาพ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้าง ทำให้นึกถึงนิยายที่ค้างเอาไว้ ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยไล่เขียนส่วนที่ค้างให้จบค่ะ เพราะไม่อยากทิ้งงานให้ค้างคาใจ มันรู้สึกไม่ดีค่ะ สำหรับเรื่องนี้จะอัพให้จบค่ะ ตอนนี้พอมีสต็อคอยู่บ้าง ช่วงแรกอาจจะมาได้แค่อาทิตย์ละตอนนะคะ ขอเวลาสักนิด แต่จะปั่นและอัพจนจบค่ะ ่ขอโทษอีกครั้งค่ะที่หายไปนานจริงๆ
สวัสดีค่ะ ไม่แน่ใจว่ายังจำกันได้ไหม หายไปนานมากเกือบสิบปีเลยทีเดียวกับนิยายเรื่องนี้ ที่หายไปเพราะภารกิจส่วนตัวและปัญหาสุขภาพ ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้าง ทำให้นึกถึงนิยายที่ค้างเอาไว้ ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยไล่เขียนส่วนที่ค้างให้จบค่ะ เพราะไม่อยากทิ้งงานให้ค้างคาใจ มันรู้สึกไม่ดีค่ะ สำหรับเรื่องนี้จะอัพให้จบค่ะ ตอนนี้พอมีสต็อคอยู่บ้าง ช่วงแรกอาจจะมาได้แค่อาทิตย์ละตอนนะคะ ขอเวลาสักนิด แต่จะปั่นและอัพจนจบค่ะ ่ขอโทษอีกครั้งค่ะที่หายไปนานจริงๆ