ม่านมนตกานต์: รางนาก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ญาตาวี เสน่ห์จันทน์’ ดาราเจ้าบทบาทแถวหน้าของเมืองไทย
เธอประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน
แต่! กลับล้มเหลวในชีวิตรักอย่างยับเยิน

เธอหอบร่างกายบอบช้ำและหัวใจที่แหลกสลายกลับมายัง ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’
ที่นี่เธอได้พบกับ ‘นางฟ้าน้อย’ พรายกุมารที่คอยช่วยเหลือ และปลอบโยนเธอจากความเศร้า
หัวใจของเธอได้รับการเยียวยาจนได้พบกับ ‘สารวัตรเขมินทร์’ 
ผู้ชายที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของหญิงสาวไปตลอดกาล

ทว่า...เงื่อนงำในเรือนเสน่ห์จันทน์ยังคงเป็นปริศนา!!!

ชีวิตของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย 
รอวันร่วงหล่นลงขุม ‘อวิชชา’ เลวร้าย

เธอและเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่...

**************

นิยายเรื่องนี้แต่งโดย รางนาก(สะมะเรีย) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ เล่มจบของซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ค่ะ เปิดเปลือยชีวิตของทุกตัวละคร เฉลยทุกปมฆาตกรรมที่ยังค้างคา และจุดจบของยายเจิมจันทร์กับเรือนเสน่ห์จันทน์ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ห้ามพลาดเด็ดขาด!

*******************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก, ร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

สั่งซื้อม่านมนตกานต์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)

ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ม่านมนตกานต์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และเลื่อมลายพรายจันทร์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***

**************

หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)

*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป

(ม่านมนตกานต์ เป็นเรื่องราวของหนึ่งในหลานสาวบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 -100%

นางเอกสาวขับรถมาหยุดอยู่หน้าบ้าน ‘เสน่ห์จันทน์’ จอดดูจนแน่ใจว่าไม่มีนักข่าวซุ่มอยู่แถวนั้น จึงบีบแตรเรียกคนในบ้าน เพียงไม่นานประตูไม้สักขนาดใหญ่ก็เปิดออก พร้อมร่างกำยำของสมคิด...คนสวนหนุ่มประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างเป็นกันเอง ญาตาวีไม่คิดเอ่ยทักทายอีกฝ่ายกลับไป สมคิดเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่บ้านเก่าแก่ที่นี่ เกิดและเติบโตภายใต้ชายคาเรือนเสน่ห์จันทน์ โตขึ้นมาก็เป็นคนสวนที่มีหน้าตาดี ถึงแม้สติปัญญาจะไม่สัมพันธ์กับหน้าตาเท่าใดนัก แต่สาวน้อยสาวใหญ่ละแวกนี้ก็ล้วนหมายตาสมคิด อยากจับจองไปเป็นสามี แต่ชายหนุ่มดูจะไม่สนใจใครนอกจากต้นไม้ วันๆ เอาแต่ก้มหน้าถางหญ้า พรวนดิน โดยไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหนเลย

ญาตาวีกดเลื่อนกระจกรถลง ขณะที่ขับรถผ่านประตูรั้วเข้ามาปล่อยให้ลมเย็นที่พัดผ่านป่าประดู่สัมผัสใบหน้าของเธอ หลังรั้วสูงใหญ่เป็นถนนโรยกรวดซึ่งถูกรายล้อมด้วยป่าประดู่สูงแน่นขนัด ปิดบังเรือนเสน่ห์จันทน์จากสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนภายนอก ขับเรื่อยเข้ามาก็จะพบกับรั้วชั้นที่สอง เป็นรั้วอิฐเก่าแก่ที่ปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยรกครึ้ม

เมื่อพ้นจากรั้วอิฐก็เผยให้เห็นบ้านเรือนไทยเก่าแก่น่าครั่นคร้ามทว่ายังงดงามเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่หลายสิบไร่ ต้นไม้สูงใหญ่อายุนับร้อยปีแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา เมื่อหญิงสาวขับรถเข้าไปในอาณาบริเวณของบ้าน ลมเย็นก็พัดแรงจนต้นไม้ไหวลู่ราวกับต้อนรับการกลับมาของเธอ

วินาทีแรกที่ก้าวลงจากรถ ญาตาวีถึงกับเซแทบทรงตัวไม่อยู่ ลมแรงขนาดนี้เหมือนจะมีพายุ แต่ท้องฟ้ากลับยังคงสว่างสดใสไม่มีเค้าลางของเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย...น่าแปลก

หญิงสาวถอดรองเท้าที่ตีนบันไดจะก้าวขึ้นไปบนตัวบ้าน แล้วต้องชะงัก ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนกระซิบที่ข้างหู

‘ออกไป! ออกไปจากที่นี่! ไป!’

ขนอ่อนลุกพรึ่บตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ทว่าหญิงสาวกลับมิได้มีท่าทีตกใจกับสิ่งนั้น อาจเป็นเพราะเธอเคยชินกับอาการขนลุกชัน และเสียงแว่วคล้ายกับมีใครพยายามกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูมาตั้งแต่เด็กแล้ว

ญาตาวียอมรับเลยว่าตอนเป็นเด็กเธอกลัวและมักจะร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องเดินผ่านตีนบันไดหน้าบ้าน บางครั้งเธอถึงกับเดินอ้อมไปหลังเรือนเพื่อขึ้นบันไดสำหรับคนใช้ แต่วันคืนที่ผ่านไป ความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคยชิน

เธอก้าวขึ้นบันไดไปหยุดยืนอยู่กลางลานกว้างที่มีต้นปีบขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาขึ้นกลางบ้าน อีกทั้งยังออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมร่วงโรยเต็มพื้น ยังจำได้ดีว่าตอนเด็กๆ ยายเคยสอนให้เธอนำดอกปีบพวกนี้มาถักเป็นมาลัยถวายพระเสมอๆ เป็นการฝืนทำด้วยน้ำตา เพราะเธออยากวิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่ยายกลับไม่เคยคิดเช่นนั้น...ท่านมีความคิดผิดแผกจากผู้ปกครองคนอื่นเสมอ

เรือนเสน่ห์จันทน์เป็นเรือนไทยยกพื้นสูงสร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง มีขนาดใหญ่ตามแบบเรือนหมู่คหบดี ประกอบด้วยหมู่เรือนเชื่อมต่อกันทั้งหมดหกหลังตั้งเรียงกันเป็นตัวยู บริเวณลานกว้างกลางเรือนเสน่ห์จันทน์จึงมีศาลาเปิดโล่งยกพื้นสูงเป็นตั่งอยู่ ซึ่งเจิมจันทร์มักมานั่งเพื่อดูความเป็นไปของทุกคนภายในบ้าน อันที่จริงด้วยความสวยงามทรงคุณค่าของเรือนไทยหลังนี้ทำให้เคยมีผู้จัดละครและผู้ผลิตภาพยนตร์สนใจเข้ามาขอเช่าสถานที่ถ่ายทำอยู่บ่อยๆ แต่นอกจากประมุขของบ้านอย่างเจิมจันทร์จะไม่อนุญาตแล้ว ยังไล่ตะเพิดกลับไปอย่างไม่มีดียังกับโกรธเกลียดคนเหล่านั้นเสียเหลือเกิน

ดาราสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนเสน่ห์จันทน์แล้วก็รังแต่จะมีภาพความทรงจำที่ไม่น่าประทับใจเต็มไปหมด มันยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่

หากเลือกได้เธอแทบไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่อีก

แต่เพราะเธอเลือกไม่ได้...

“คุณหนู คุณหนูยาหยี!”

เสียงเรียกที่ดังแว่วมาก่อนตัว เรียกความสนใจจากญาตาวีเหลียวมอง เจ้าของเสียงนั้นคือ สายพิณ...แม่บ้านเก่าแก่ซึ่งกำลังเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา เพราะเพิ่งกลับมาจากทำธุระข้างนอกพอดี ท่าทางไม่สู้ดีนัก

ญาตาวีหันไปเอ่ยด้วยว่า “แม่พิณจ๊ะ ไม่ว่าใครมาถามหาฉันให้บอกว่าฉันไม่ได้มาที่นี่ โดยเฉพาะนักข่าว”

“ได้ค่ะคุณหนู ว่าแต่ เอ่อ คุณหนูมีปัญหากับสามีเหรอคะ” สายพิณอดไม่ได้ที่จะไถ่ถามตามประสา น้ำเสียงและท่าทางนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่คุณหนูกลับเงียบไป แม่บ้านวัยกลางคนจึงเอื้อมมือไปจับมือเรียวนุ่มของเจ้านายสาวแล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

สายพิณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้อ่านข่าวฉาวของญาตาวี ได้เห็นคลิปในโลกโซเชียลที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง แม้คุณหนูของเธอจะสวมแว่นกันแดดและหมวกใบใหญ่ แต่เธอก็เห็นชัดว่าใบหน้าของญาตาวีบวมช้ำน่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว

“คุณหนูจะมาพักที่นี่เหรอคะ”

“ใช่จ้ะแม่พิณ ว่าแต่...คุณยายอยู่บ้านไหมจ๊ะ” หญิงสาวหันมองไปรอบๆ อีกครั้ง ปกติยายเจิมจันทร์มักนั่งกึ่งนอนเอนกายไปกับหมอนอิงอยู่ที่ศาลากลางเรือน คอยสอดส่องดูความเรียบร้อยของบ้านตลอดเวลา

“คุณท่านออกไปธุระข้างนอกค่ะ เอ่อ...” สายพิณเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มีท่าทางอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด “...อย่าหาว่าพิณละลาบละล้วงเลยนะคะคุณหนู แต่พิณว่าคุณหนูไปพักที่อื่นเถอะนะคะ ที่นี่ทั้งเงียบทั้ง...” สายพิณเอ่ยแค่นั้นก็หุบปากฉับอย่างเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรพูด

“ทำไมเหรอแม่พิณ”

“เอ่อ...ก็คุณหนูคนอื่นๆ ย้ายออกไปกันเกือบหมดแล้วนี่คะ แล้วคุณหนูยาหยีจะกลับมาอยู่ที่นี่ทำไม”

“ฉันมาอยู่แค่ช่วงสั้นๆ ไม่นานหรอกแม่พิณ ว่าแต่มิ้งค์ก็ยังอยู่ที่นี่กับคุณยายใช่ไหม” ญาตาวีเอ่ยถึงลูกพี่ลูกน้องที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอกับดมิสาไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใดนัก เพราะดมิสาเก่ง สวย ฉลาดไปเสียทุกอย่าง แม้แต่บิดายังให้ความสำคัญกับหลานอย่างดมิสามากกว่าบุตรสาวอย่างเธอ

เมื่อตอนญาตาวีและดมิสาอายุสิบสามปี บิดาหยิบยื่นงานถ่ายโฆษณารองเท้านักเรียนให้ดมิสาแทนที่จะให้เธอซึ่งเป็นบุตรสาว ทั้งๆ ที่บิดารู้ว่าเธออยากเข้าวงการบันเทิงมากแค่ไหน แต่ท่านก็มองผ่านราวกับเธอไม่มีตัวตน เธอต้องตะเกียกตะกายเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยตัวเองโดยที่บิดาไม่เคยแม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เธอพานเกลียดดมิสา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าดมิสาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย แต่ยิ่งนานวันความสัมพันธ์ของเธอกับดมิสาก็ยิ่งแย่ลง ทั้งที่เติบโตที่เรือนเสน่ห์จันทน์มาด้วยกันแท้ๆ

“ท่าทางคุณหนูมิ้งค์คงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วละค่ะ” สายพิณมีสีหน้าปั้นยาก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับแบกความทุกข์ไว้เต็มสองบ่าก็ไม่ปาน

“ทำไมมิ้งค์ถึงจะไม่กลับมาล่ะ ก็ในเมื่อมิ้งค์เปิดคลินิกที่นี่ มิ้งค์รักคลินิกนี้จะตายไป” ญาตาวีหมายถึงคลินิกรักษาฟรีที่อยู่หน้าบ้าน ซึ่งดมิสาเปิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีรายได้ คิดแค่เฉพาะค่ายาและวัคซีนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้คุณยายคัดค้าน แต่ดมิสาทั้งฉลาดและดื้อดึงจนคุณยายจนใจที่จะห้ามปราม

“เรื่องนั้นก็ใช่ค่ะคุณหนู...แต่คุณหนูมิ้งค์ไม่กลับมาแน่ๆ” สายพิณยังคงยืนยันอย่างมั่นใจ ก็เหตุการณ์แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกับดมิสา...ร้ายแรงเกินกว่าที่จะยอมกลับมาที่นี่อีกแน่ๆ! ก่อนหน้านี้ญาตาวีมัวแต่ทำงานกับไปมีความสุขอยู่กับสามีที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน คงไม่รู้เรื่องราวของพี่น้องคนอื่นๆ เท่าใดนักหรอก

หากรู้...สายพิณมั่นใจว่าคุณหนูยาหยีต้องไม่คิดกลับมาที่บ้านหลังนี้อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้แน่ๆ!

“แม่พิณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจเลย ไหนช่วยอธิบายให้ฉันฟังอย่างละเอียดหน่อยได้ไหมว่า ทำไมมิ้งค์ถึงจะไม่กลับมาที่นี่”

“ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่หรอกค่ะ”

“ในกรณีพี่โตฉันเข้าใจนะ ที่ไม่กลับมาเพราะพี่โตลำบากใจ ในเมื่อภรรยาของพี่โตไม่กินเส้นกับคุณยายชัดเจนขนาดนั้น” ญาตาวีคิดถึงญาติผู้พี่ดีเลิศ ชายหนุ่มอนาคตไกลซึ่งทำงานอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ

หลานที่ยายรักมากจนเรียกได้ว่าลำเอียง ยกดีเลิศไว้อยู่เหนือพี่น้องคนอื่นๆ แต่น้องๆ ก็ไม่มีใครโกรธเคืองหรือแม้แต่จะน้อยใจ นั่นเพราะดีเลิศเป็นพี่ชายที่แสนดี น่ารักกับน้องๆ เสมอ แต่บทผู้ชายเรียบร้อยจะดื้อ ก็ดื้อได้อย่างแสบสัน เมื่อดีเลิศแต่งงานกับบัวบุษบาทั้งที่ยายไม่เห็นด้วย เพราะบัวบุษบาเป็นลูกหลานของบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งทะเลาะเบาะแว้งกันมายาว นาน

“ส่วนยิหวาก็แต่งงานไปกับอัคนี น้องเขยฉันเป็นคนเงียบๆ สมถะไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไรก็คงจะอยากสร้างครอบครัวแยกออกไปตามประสาผัวเมีย หรือว่ามิ้งค์จะแต่งงานแยกครอบครัวออกไปอีกคน” วูบหนึ่งแววตาของญาตาวีดีใจไปกับญาติสาว แต่ก็เพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อคิดได้ว่าชีวิตดมิสาช่างดีงามไปเสียทุกเรื่อง ในขณะที่ชีวิตของเธอช่างห่วยแตกและบัดซบไม่มีดี! มันก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจและแอบอิจฉาชีวิตของดมิสา

ดมิสานอกจากจะหน้าตาสวย เรียนเก่งแล้ว ยังโชคดีเรื่องความรักด้วยหรือนี่...

“เอ่อ...” สายพิณมีท่าทีอึดอัด อยากจะบอก อยากจะเตือนเสียเหลือเกิน แต่ก็รู้ดีว่าหากตนพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ภัยจะมาถึงตัว

“ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่ฉันเข้าใจไม่ใช่เหรอ หรือว่ามีอะไรนอกจากนั้น”

“เอ่อ...” สายพิณยังจำได้ดีว่าการอาเจียนออกมาเป็นหนอนยั้วเยี้ยน่าขยะแขยงนั้นน่าหวาดกลัวสักเพียงไร แม้จะรักและห่วงคุณหนูยาหยี แต่เธอก็รักชีวิตของตนเอง ไหนจะสามีและบุตรชายที่ทำงานอยู่ในบ้านหลังนี้ หากความหวังดีของเธอนำมาซึ่งความวิบัติฉิบหายของครอบครัว เธอก็จำต้องยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว

เตือนได้เท่าที่เตือน มากกว่านี้คงไม่ก้าวก่าย สุดแท้แต่เวรกรรมจะนำพาไป...

“ว่ายังไงแม่พิณ มีอะไรก็พูดออกมาสิ” ญาตาวีมั่นใจว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ แต่มันเรื่องอะไรล่ะ ทำไมสายพิณถึงต้องทำท่าทางหวาดกลัวถึงเพียงนั้น เกิดอะไรขึ้นที่นี่ช่วงที่เธอไม่อยู่อย่างนั้นเหรอ...

สายพิณเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างคิดไม่ตก แต่แล้วทันใดนั้น ก็เหลือบไปเห็นคนที่กำลังนึกหวั่นกลัวที่สุดโผล่พ้นตีนบันไดบ้านขึ้นมา! แม่บ้านร่างท้วมรีบหลุบเปลือกตาลงต่ำ ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“พะ...พิณขอตัวนะคะคุณหนู ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะคะ” สายพิณพูดเร็วๆ แล้วเดินหนีลงเรือนไปดื้อๆ

“ลมอะไรหอบแกมาที่นี่!”

เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง ญาตาวีสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปประนมมือไหว้ยายเจิมจันทร์ด้วยกิริยาอ่อนช้อย ยายฝึกหัดหลานๆ ทุกคนเรื่องการไหว้ การนั่งพับเพียบ ต้องงดงามสมกับเป็นลูกหลานตระกูลเสน่ห์จันทน์ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่สืบเชื้อสายมายาวนานตั้งแต่กรุงเก่า

“สวัสดีค่ะคุณยาย”

“ฉันละเบื่อแกเต็มทน นี่ทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้อีกล่ะถึงได้ซมซานกลับมา” ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์ หญิงสูงวัยผู้ยังคงสวยสง่า น่าเกรงขามปราดเข้าหาหลานสาวด้วยท่าทางกราดเกรี้ยว นางกำลังโมโหเรื่องดมิสาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอกลับมาพบว่าหลานสาวอีกคนทำงามหน้าฉาวโฉ่ให้นางต้องอับอาย นางก็โกรธจนแทบคุมสติไม่อยู่

‘คุณหนูยาหยีทะเลาะตบตีกับสามีเจ้าค่ะแม่นาย ทั้งโดนตบ โดนกระทืบจนหน้าบวมช้ำ หัวแตกจนสลบต้องเข้าโรงหมอ แถมมีคลิปโดนทำร้ายหลุดว่อนไปทั่ว พวงเห็นนังพิณมันดูข่าวคุณหนูยาหยีในทีวีเมื่อวันก่อนเจ้าค่ะ เป็นข่าวดังที่ชาวบ้านกำลังสนใจกันมาก’

มีเพียงเจิมจันทร์ที่ได้ยินเสียงกระซิบจากผีอีพวง ซึ่งหมอบกราบอยู่แทบเท้าด้วยความจงรักภักดี คอยรายงานเรื่องราวความเป็นไปในบ้าน เรียกได้ว่าบ้านนี้ไม่เคยมีความลับ เจิมจันทร์รู้หมดทุกเรื่องสุดแท้แต่ว่าจะพูดออกมาหรือไม่เท่านั้น!

“หนู...” ญาตาวีกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อยายกระชากหมวกปีกกว้างของเธอออก ตามด้วยแว่นตาราคาแพงกระเด็นตกลงบนพื้นจนขาแว่นหัก

“นี่แกโง่ขนาดยอมเป็นกระสอบทรายให้มันซ้อมขนาดนี้เชียวเหรอ หา! นังยาหยี! ไหนแกปากดีบอกกับฉันว่ามันดีอย่างงู้น ดีอย่างงี้ มันรักแก จะสร้างครอบครัวกับแก แล้วนี่อะไร!” เจิมจันทร์ชี้ไปตามรอยช้ำบนใบหน้าและลำตัวหลานสาวอย่างสุดจะทน “ตอบฉันมา!”

“หนูไม่คิดว่าคุณธนวัชร์จะ...”

“แล้วตอนฉันเตือนแก แกเคยฟังฉันบ้างไหม หน้าหนาๆ ของแกมันมียางอายบ้างไหม แกไม่อายแต่ฉันอาย ฉันอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านจนไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหนแล้ว ตั้งแต่แกก้าวขาไปเป็นดาราดาวยั่วอะไรนั่น แกก็มีแต่เรื่องเสื่อมเสียไม่เว้นแต่ละวัน จะให้ฉันช่วยนับไหมว่าแกมีผัวมากี่คนแล้ว! แล้วพอเลิกกับไอ้ไฮโซนี่ ผู้หญิงอย่างแกก็ต้องมีผัวใหม่อีกจนได้ เพราะอะไรรู้ไหม”

“...” ญาตาวีนิ่งเงียบด้วยความเจ็บช้ำใจ หากเลือกได้ใครเล่าจะอยากมีรักหลายๆ ครั้ง ในเมื่อทุกครั้งที่ความรักจบลงล้วนนำมาซึ่งความเจ็บปวดเจียนตาย เธอก็อยากมีชีวิตที่สวยงามเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ มีคนที่รักและพร้อมจะสร้างครอบครัวไปด้วยกันจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันนั้น ผู้หญิงไร้ค่าอย่างเธอไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข...

“...ก็เพราะแกมันแรด! ร่าน! ขาดผู้ชายไม่ได้แบบนี้ไงล่ะ! ไม่รู้เวรกรรมอะไรของฉันถึงต้องมีหลานแรดๆ อย่างแกด้วย” เจิมจันทร์มองหลาน สาวด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งญาตาวีโง่และอ่อนแอมากเท่าไร นางก็ยิ่งคิดถึงจิรัญญา...บุตรสาวคนสุดท้องของนาง บุตรสาวที่ล้มเหลวในชีวิตรักจนผูกคอตาย ถ้ามันตายไปคนเดียวนางคงไม่ต้องปวดหัวอย่างนี้ แต่นี่มันกลับทิ้งผลผลิตโง่ๆ เอาไว้ให้เป็นภาระของนางอีก

“แกนี่มันแรดเหมือนแม่แกไม่มีผิด!”

เจิมจันทร์กัดฟันกรอด ยังจำความอับอายเมื่อครั้งนังลูกสาวตัวดีสร้างเรื่องเอาไว้ได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จิรัญญาริอ่านมีผัวตั้งแต่เพิ่งแตกเนื้อสาว ถ้าได้ผัวเป็นผู้ลากมากดีนางก็คงไม่คัดค้าน แต่นี่กลับไปคว้าผู้ชายเต้นกินรำกินในผับ ผู้ชายพรรค์นั้นก็คงขายตัวให้พวกสาวทึนทึกร้างผัวมาซื้อกิน แต่นังลูกสาวตัวดีกลับไปคว้ามาอยู่กินยกย่องฉันผัวเมีย ทำเอานางอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าญาติพี่น้อง

แล้วในที่สุดไอ้แมงดานั่นก็ออกลาย นางหมายใจจะจับจิรัญญาใส่ตะกร้าล้างน้ำให้กับบุตรชายท่านผู้ว่าฯ แต่จิรัญญากลับฉีกหน้านางด้วยการไปคว้าพนักงานกระจอกๆ ยังความคับแค้นใจให้เจิมจันทร์จนอกจะแตกออก เป็นเสี่ยงๆ นางยังจำได้ดีว่าโกรธบุตรสาวคนเล็กจนหน้ามืด จับบุตรสาวมัดไว้กับเสากลางบ้าน เฆี่ยนตีจนหลังลายเลือดแดงชาดอาบเต็มหลัง ถ้าสายพิณไม่ห้ามไว้นางคงได้ตีบุตรสาวคนเล็กตายคามืออย่างแน่นอน

ที่ดูดีพอจะถูกใจนางก็เห็นจะมีแต่วิญญู เจ้าของสถานีโทรทัศน์ ชายหนุ่มอนาคตไกล แต่ด้วยความโง่เง่าของจิรัญญาอีกนั่นแหละที่ไม่สามารถรั้งผัวเอาไว้ได้ จนผัวต้องไปมีเมียเล็กเมียน้อย ต้องหย่าร้างกันในที่สุด

‘ก่อนตาย! กูขอสาปแช่งมึง และลูกหลานโคตรเหง้าของมึงทุกตัว ไอ้อีไหนที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับมึงขอให้พบแต่ความวิบัติฉิบหาย อย่าได้สมหวังในความรัก ให้ทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็นสมกับที่มึงพรากความรักไปจากกู’

วูบหนึ่งเจิมจันทร์คิดไปถึงคำสาปแช่งของผู้หญิงที่นางเกลียดชัง แต่ก็ปัดทิ้งไป สายตาพร่ามัวจ้องมองญาตาวีเขม็ง บัดนี้นางรู้สึกว่าญาตาวีคือความอัปยศอดสูในชีวิตของนาง หลานสาวคนนี้ดำเนินรอยตามผู้เป็นแม่ชนิดที่เรียกว่าแรดไม่แตกแถวเลยทีเดียว

“การมีแกกับแม่ของแกร่วมสายเลือด ช่างเป็นเสนียดแก่วงศ์ตระกูลจริงๆ” เจิมจันทร์เค้นเสียงลอดไรฟัน ถลึงตามองราวกับอยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายไปเสีย

ญาตาวีรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าราวกับถูกตบก็ไม่ปานเมื่อยายด่าทอต่อว่าความผิดพลาดของเธอ โดยดึงมารดาผู้ล่วงลับลงมาด่าสาดเสียเทเสียด้วย!

“คุณแม่ไม่เกี่ยว ถ้าหนูจะเลวจะแรด หนูก็เลวด้วยตัวเอง”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว แกแต่งงานมาสองครั้งแล้ว ครั้งที่สามแกคงได้ผูกคอตายเหมือนแม่ของแก!” ยิ่งด่าเจิมจันทร์ก็ยิ่งโมโหพานเส้นเลือดในสมองจะแตกตายลงสักวัน ทำไมนะทำไมลูกหลานถึงไม่ได้ดั่งใจนางเลยสักคน!

ญาตาวีจับความรู้สึกตัวเองไม่ได้เลยว่ากำลังโกรธหรือกำลังเสียใจกันแน่ นั่นเพราะไม่กี่วันมานี้เธอต้องพบเจอกับเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาแทบไม่เว้นแต่ละวัน การฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองถูกตบจนสลบต้องหามส่งโรงพยาบาล มีผ้าพันศีรษะ ตามร่างกายบอบช้ำจากการถูกทำร้ายนับว่าแย่และทำให้หดหู่ใจจนถึงขีดสุด

โดนทำร้ายร่างกายว่าเจ็บแล้ว...แต่การโดนทำร้ายจิตใจนั้นเจ็บยิ่งกว่าเอาคมมีดเถือลงบนหัวใจเสียอีก

“ไปเลย! แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีหลานแบบแก!”

เจิมจันทร์ตวาดไล่ ชี้นิ้วไปที่บันไดบ้านพร้อมกับเหลือกตาใส่หลานสาวจนดวงตาแทบถลน



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2563, 14:58:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2563, 14:58:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 347





<< บทนำ (ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์)   บทที่ 2 -60% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account