แรกรักพันใจ: มาสฬฎา (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
มีมารดาเลี้ยงใจร้าย บวกกับพี่สาวใจยักษ์ ชีวิตดูน่ารันทดนัก
แต่ ‘วรีวาฏิกา’ สาวชื่อยาวยิ่งกว่าแม่น้ำไนล์ก็หาได้แคร์ไม่
แต่พอคนที่เธอคิดว่าเป็นพี่ชาย...จากที่เคยอบอุ่นน่ารักเอาใจ กลายเป็นเย็นชาหมางเมินใส่ เธอก็เลยต้องเริ่มจะแคร์
เจอกันตอนเด็กๆ เธอคิดว่า ‘ภควัตน์’ ช่างเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนมีเมตตา
เจอกันช่วงวัยรุ่น วรีวาฏิกาก็ยังคิดว่าเขาเป็นพี่ชายที่หล่อเหลาและแสนดี
เจอกันอีกครั้งในวัยทำงาน...
ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปชั่วร้ายได้ขนาดนี้เล่า!
นี่ถ้าเมื่อก่อนเธอไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง ภควัตน์ก็เสแสร้งตลบตะแลงเก่งเกินไปแล้ว!
“ชื่อเล่นผม มีไว้ให้คนสนิทกันเรียก และนั่นไม่ใช่คุณ!”
ประโยคเดียวเบิกเนตรจนวรีวาฏิกาต้องหันกลับมามองท่านรองประธานเสียใหม่
ในเมื่อเขาไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนก็ไม่เป็นไร
เจอกันคราวต่อไป ก็อย่าหวังให้เธอเห็นใจก็แล้วกัน!
*******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "มาสฬฎา" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ค่ะ ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก คอมเมดี้ ที่รับประกันเลยว่าทั้งสนุก ตลก น่ารัก และฟินมากกกกกก ได้ปาความเครียดทิ้งไปแน่นอน! เพราะพี่พาร์ค พระเอกของเรื่องแม้จะเป็นบอสสายเย็นชา แต่(แอบ)รักนางเอกสุดหัวใจ ส่วนนางเอกก็เป็นน้องมึนที่เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ 5555 #รับประกันความสนุก!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 458 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ 4 ตอนรวด)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 350฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
แต่ ‘วรีวาฏิกา’ สาวชื่อยาวยิ่งกว่าแม่น้ำไนล์ก็หาได้แคร์ไม่
แต่พอคนที่เธอคิดว่าเป็นพี่ชาย...จากที่เคยอบอุ่นน่ารักเอาใจ กลายเป็นเย็นชาหมางเมินใส่ เธอก็เลยต้องเริ่มจะแคร์
เจอกันตอนเด็กๆ เธอคิดว่า ‘ภควัตน์’ ช่างเป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนมีเมตตา
เจอกันช่วงวัยรุ่น วรีวาฏิกาก็ยังคิดว่าเขาเป็นพี่ชายที่หล่อเหลาและแสนดี
เจอกันอีกครั้งในวัยทำงาน...
ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปชั่วร้ายได้ขนาดนี้เล่า!
นี่ถ้าเมื่อก่อนเธอไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง ภควัตน์ก็เสแสร้งตลบตะแลงเก่งเกินไปแล้ว!
“ชื่อเล่นผม มีไว้ให้คนสนิทกันเรียก และนั่นไม่ใช่คุณ!”
ประโยคเดียวเบิกเนตรจนวรีวาฏิกาต้องหันกลับมามองท่านรองประธานเสียใหม่
ในเมื่อเขาไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนก็ไม่เป็นไร
เจอกันคราวต่อไป ก็อย่าหวังให้เธอเห็นใจก็แล้วกัน!
*******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "มาสฬฎา" และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ค่ะ ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นนิยายรักโรแมนติก คอมเมดี้ ที่รับประกันเลยว่าทั้งสนุก ตลก น่ารัก และฟินมากกกกกก ได้ปาความเครียดทิ้งไปแน่นอน! เพราะพี่พาร์ค พระเอกของเรื่องแม้จะเป็นบอสสายเย็นชา แต่(แอบ)รักนางเอกสุดหัวใจ ส่วนนางเอกก็เป็นน้องมึนที่เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ 5555 #รับประกันความสนุก!
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 458 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ 4 ตอนรวด)
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 350฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 364฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 389฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann**
Tags: เลขา บอส พระเอกเย็นชา แม่เลี้ยง ลูกเลี้ยง ตลก
ตอน: บทที่ 8 -100%
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เรื่องเล่าลือระหว่างเธอและภควัตน์ก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเขายังคงดุเธอเหมือนเดิม ท่าทางก็โหดร้ายน่ากลัวเหมือนเดิม คนที่เอาเรื่องไปเมาท์กันเลยเริ่มจะคิดได้ว่ากะอีแค่ภาพถ่ายภาพเดียวนั่น อาจจะไม่ได้เป็นแบบที่คิดๆ กันก็ได้ เสียงเมาท์ในที่ทำงานเลยเงียบหายไปในที่สุด
แต่พอเรื่องสงบ วรีวาฏิกาได้หายใจหายคอคล่องไม่ทันไร เรื่องใหม่ก็มาเยือน วันเสาร์หน้าเป็นวันเกิดของบิดาเธอ และด้วยความที่เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปี งานปีนี้เลยจัดใหญ่กว่าทุกครั้ง จากที่แค่เป็นงานเล็กๆ ในครอบครัวแบบทุกปี จะจัดเป็นงานเลี้ยงขนาดกลางที่มีแขกมาร่วมงานเกือบร้อยคน
ทุกปีนั้น วรีวาฏิกาหลบได้เป็นหลบ หลีกได้เป็นหลีก
เธอแค่ส่งของขวัญไปให้บิดาเท่านั้น แทบไม่เคยอยู่ร่วมงานวันเกิดท่านเลย จะอยู่ให้แสลงใจไปทำไม ในเมื่อตลอดเวลาที่กินข้าวกัน ยังไงบิดาก็สนใจแต่มารดาเลี้ยงและพี่สาวเธออยู่ดี ฉะนั้นไปหรือไม่ไปก็เหมือนกัน แถมไม่ไปยังน่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายมากกว่า เธอไม่อึดอัด บิดาเธอก็ไม่ต้องอึดอัด วรีวาฏิกาเลยสามารถเลี่ยงงานวันเกิดบิดาได้แทบทุกปีโดยที่ท่านเองก็ไม่เคยทักท้วง
แต่ทว่าปีนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น...
อาจเพราะเป็นงานใหญ่ คุณย่าเลยบังคับให้เธอต้องมาร่วมงานด้วย! รวมไปถึงครอบครัวของภควัตน์ ที่คุณย่าออกปากเชิญด้วยตนเองเนื่องด้วยสองตระกูลเคยเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่เลยทีเดียว
วรีวาฏิกาไม่อยากไปงาน เรื่องนั้นทั้งเธอทั้งมารดารู้กันอยู่เต็มอก ถ้าหน้าผากสามารถแสดงความในใจได้ ป่านนี้คงขึ้นข้อความว่า ‘ไม่อยากไปงาน!’ เป็นตัวหนา ขนาดเจ็ดสิบสองนิ้ว เขียนไว้กลางหน้าผากเธอ
แต่ไม่อยากไปก็ส่วนไม่อยากไป คำสั่งคุณย่าก็ส่วนคำสั่งคุณย่า
สุดท้ายเพื่อไม่ให้หญิงสูงวัยผู้เป็นที่รักต้องเสียใจ วรีวาฏิกาเลยยอมไปอย่างเสียมิได้
งานวันเกิดของบิดาเธอในปีนี้ จัดขึ้นที่โรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางเมือง โดยปิดห้องจัดเลี้ยงห้องหนึ่งของโรงแรมที่ขนาดพอเหมาะสำหรับงานที่มีแขกไม่เกินร้อยคน งานจัดในรูปแบบ Sit Down Dinner จัดโต๊ะเรียงยาวเป็นรูปตัวยู โดยมีคุณย่า บิดา มารดาเลี้ยง และพี่สาว นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าสุดซึ่งเป็นมุมเชื่อมสองขีดที่เท่ากันของตัวยู ที่นั่งหัวโต๊ะเรียงกันฝั่งซ้ายติดกับคุณย่า เริ่มด้วยบิดา มารดาของภควัตน์ และภควัตน์ ส่วนวรีวาฏิกาได้ที่นั่งไกลสุดขอบอยู่ปลายโต๊ะของรูปตัวยู
เมื่อเห็นการจัดโต๊ะและป้ายชื่อแขกตามที่นั่ง เธอก็ได้เห็นคุณย่าโกรธเป็นครั้งแรกในรอบปี ก่อนจะดุด่าว่ากล่าวบิดาและมารดาเลี้ยงเสียงดัง ที่ให้เธอไปนั่งเสียไกลปืนเที่ยง ในขณะที่วิกานดากลับได้นั่งโต๊ะหน้าสุดซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับคนในครอบครัว
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ และวรีวาฏิกาก็หาได้อยากนั่งโต๊ะหน้ากับมารดาเลี้ยงใจยักษ์เสียเมื่อไหร่ เธอเลยไปกระซิบกับคุณย่าว่าขอนั่งที่เดิม คุณย่าโอนอ่อนผ่อนตามในที่สุดหลังจากเธอเกลี้ยกล่อมอยู่นาน แต่ยังไม่วายด้วยความเป็นห่วงจึงย้ายให้เธอมานั่งข้างภควัตน์แทน!
ก่อนจะเดินออกไปรับแขกหน้างาน คุณย่าหันมาตำหนิมารดาเลี้ยงให้พนักงานเสิร์ฟที่เร่งมือจัดโต๊ะได้ยินกันทั่วหน้าว่า
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่านี่เป็นฝีมือเธอนะ วิภาวรรณ!”
แต่สันดานมารดาเลี้ยงเธอก็เหมือนเดิม พอโดนคุณย่าดุก็แสร้งบีบน้ำตา เล่นเป็นนางเอกละครที่ถูกรังแกแล้วไปยืนหลบอยู่หลังบิดาเธอ ปากก็พร่ำพูดขอโทษคุณย่า พร้อมแก้ตัวว่าตัวเองหารู้เรื่องไม่ แลดูน่าสงสารยิ่งนัก ภาพที่ทุกคนเห็นตอนนี้เหมือนคุณย่ารังแกลูกสะใภ้ยังไงยังงั้น วรีวาฏิกาเลยไปกระซิบข้างหูเตือนคุณย่าว่าแขกเริ่มทยอยมาแล้ว คุณย่าจึงปลีกตัวไปรับแขกในที่สุด
ช่วงเวลาต้อนรับแขก...กินเวลานานพอสมควร วรีวาฏิกาผู้ไม่รู้จะทำอะไรเลยสบโอกาสนั้นหลบออกมาเดินเล่นที่ล็อบบี้โรงแรมไปพลางๆ สำรวจเมนูอาหารของห้องอาหารโรงแรมแล้วมาดหมายในใจว่า ถ้าวันนี้กินที่งานไม่อิ่ม เธอก็จะลงมาฝากท้องต่อตามห้องอาหารพวกนี้แล
ระหว่างที่กำลังดูเมนูอย่างเพลิดเพลินหน้าห้องอาหารญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณล็อบบี้เท่าไรนัก เสียงมารด้านหลังก็ลอยมาทักเธอ
“ในงานก็มีอาหารให้คุณกินเยอะแยะ ยังจะมาหาของกินเพิ่มอีกเหรอ จะกินก็ให้มันบันยะบันยังหน่อย กินมากเข้า ระวังเก้าอี้ที่ออฟฟิศจะรับน้ำหนักคุณไม่ไหว”
ปากร้ายแบบนี้จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่เจ้านายชั่วๆ ของเธอ!
พอหันหลังกลับไป วรีวาฏิกาก็เห็นหนุ่มหล่อตาสีเทาเข้ม เค้าหน้าเข้มคมดุจคนตะวันตกเพราะเลือดลูกเสี้ยวสเปนที่ไหลอยู่ในกาย แต่สีผมกลับดำจัดแบบคนไทย ใส่สูทสีดำเต็มยศหล่อลากดินยืนอยู่ข้างหลัง
เออะ ถ้าเขาจะแต่งตัวเต็มขนาดนี้ งานวันนี้เธอดูแต่งตัวแย่สุดๆ ไปเลย
วรีวาฏิกาในคืนนี้เพียงคว้าชุดเดรสยาวสีเรียบๆ แต่เป็นแบรนด์ดังมาใส่ เครื่องประดับมีเพียงต่างหูเพชรเม็ดเล็ก ในขณะที่บรรดาแขกที่มาร่วมงานแต่งจริงจังกว่าเธอหลายขุม แล้วให้เธอมานั่งข้างคนที่แต่งสูทเต็มขนาดนี้ จะไม่ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเกินไปหรือไง!
พอเห็นอย่างนั้น วรีวาฏิกาก็ทดท้อใจ ถอนหายใจออกมา หนุ่มหล่อตรงหน้าจึงทักขึ้นอีกว่า
“แค่เห็นผมวันเสาร์ ถึงกับต้องถอนหายใจเลยหรือไงคุณ”
อันที่จริงเรื่องนี้เธอก็อยากจะถอนหายใจเหมือนกัน พูดอีกก็ถูกอีกเลยไม่อยากจะแย้งเขาได้แต่ไหว้สวัสดีตามมารยาทก่อนจะเดินนำออกไปแล้วหันไปบอกเขาว่า
“ทางเข้างานอยู่ทางนี้ค่ะคุณภควัตน์”
วรีวาฏิกาพาเขาเดินมายังส่วนต้อนรับแขกของงาน
ภควัตน์เร่งฝีเท้าตามมาเดินเคียงข้างเธอได้อย่างรวดเร็ว และตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากที่ดูท่าจะเป็นคำบ่นว่าเธออีกตามเคย วิกานดาพี่สาวเธอก็โผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะพอดี ไม่รู้ว่าที่โผล่เข้ามา เพราะเห็นเธอหรือเห็นหนุ่มหล่อข้างๆ ก่อนกันแน่
ไม่ต้องเสียเวลาเดา วิกานดารีบปรี่มาทักเธอประหนึ่งรักใคร่น้องสาวเสียเหลือเกิน ก่อนจะชม้อยชม้ายชายตาให้วรีวาฏิกาแนะนำผู้ชายที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ
“นี่คุณภควัตน์ค่ะ เจ้านายวา”
ถึงแม้สองตระกูลจะสนิทสนมกัน แต่ภควัตน์อยู่เมืองนอกเสียส่วนใหญ่ ขนาดเธอยังจำเขาไม่ได้เลย แถมตอนเด็กๆ ก็ได้เจอกันแค่ครั้งสองครั้ง นับประสาอะไรกับวิกานดาที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับภควัตน์โดยสิ้นเชิง เพราะถ้ามี ป่านนี้หนึ่งในรายชื่อผู้หญิงที่คอยพยายามแวะเวียนมาหาเขาถึงออฟฟิศจะต้องมีพี่สาวเธอติดอยู่ในนั้นแน่นอน!
หลังจากแนะนำให้รู้จักกัน วิกานดาก็เอาแต่สนทนาด้วยเรื่องที่ส่วนใหญ่คุยกันอยู่แค่สองคนระหว่างตนเองกับภควัตน์ วรีวาฏิกาเลยว่าจะหลบออกไปเดินเล่นต่อ ทว่าภควัตน์คว้าแขนเธอไว้แล้วบอกว่า
“ผมยังไม่ได้ไปไหว้คุณย่า รบกวนคุณพาผมไปหน่อย”
ขาก็มี ไปเองไม่เป็นหรือไง!
แต่ยังไม่ทันจะปฏิเสธ วิกานดาก็พูดขึ้นมาทันทีเหมือนกันว่า
“ดูท่าน้องสาววิน่าจะมีธุระยุ่งนะคะ วิพาคุณพาร์คไปได้ค่ะ ว่าแต่ วา วันนี้แต่งตัวเรียบไปหรือเปล่าจ๊ะ คุณพ่อจะขายหน้าเอาได้ พี่ให้ยืมชุดเอาไหม เดี๋ยวจะอายแขกในงานเสียเปล่าๆ”
วิกานดาอดไม่ได้ที่จะหันมาจิกกัดน้องสาว แต่คนโดนจิกกัดยักไหล่แบบหาได้สนใจอะไรไม่ “วาคงไม่รบกวนพี่วิหรอกค่ะ วาชอบชุดคอลเลกชั่นใหม่ของ Valentino ที่วาใส่อยู่ เรียบแต่หรู ถูกใจวา ถูกใจคุณย่าด้วย วาไม่ชอบแต่งเยอะจนเกินงามค่ะ”
ประโยคหลังเธอกัดพี่สาวเต็มๆ ที่ประโคมเพชรเสียวูบวาบไปทั้งตัวแต่ที่ไม่อยากเชื่อคือ ชายหนุ่มด้านหลังดันช่วยเธอเอออออย่างออกนอกหน้า
“ผมก็ว่าชุดวาวันนี้ก็น่ารักดี สมวัย กำลังดี คงไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ ผมชอบแบบนี้”
‘ผม-ชอบ-แบบ-นี้!’
เออะ เธอก็พอจะรู้ว่าวันนี้ภควัตน์มีหน้าที่คอยดูแลเธอตามที่คุณย่าขอไว้ แต่จะช่วยเธอเพราะเห็นแก่คุณย่าก็น้อยๆ หน่อยพ่อคุณ พูดแบบนี้ พี่สาวเธอก็เข้าใจผิดกันพอดี นั่นไง เธอคิดผิดที่ไหน วิกานดามองมาด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายจริงๆ ด้วย
วรีวาฏิกาไม่อยากเปิดศึกกับพี่สาวในงานวันเกิดบิดา เลยตัดสินใจลากภควัตน์ออกมาเพื่อพาไปไหว้คุณย่าตามที่เขาต้องการ ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันว่า
“ขอบคุณนะคะ แต่คราวหลังขอน้อยกว่านี้หน่อย รอบนี้เว่อร์ไป พี่วิจับได้กันพอดี!”
*****************
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน บิดาเธอดูมีความสุขกับการที่มีวิภาวรรณและวิกานดาคอยเอาอกเอาใจอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า ส่วนวรีวาฏิกาก็มีความสุขอยู่กับจานอาหารตรงหน้าแบบไม่สนใจสถานการณ์รอบตัวใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยคนที่ออกสื่อกับบิดาอยู่เนืองๆ คือมารดาเลี้ยงและพี่สาว แถมด้วยตำแหน่งที่นั่งก็พอจะทำให้แขกทั้งงานเข้าใจได้ว่าทั้งสองคนนั้นคือภรรยาและบุตรีสุดรักสุดหวงของหม่อมหลวงวาริตธีร์ บิดาของเธอ
แต่ทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า บิดาและมารดาของเธอนั้น...ยังไม่ได้หย่ากัน
การแก้แค้นครั้งสุดท้ายและเป็นการแก้แค้นเดียวของมารดาเธอ คือท่านไม่ยอมหย่าให้คนทรยศทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างเป็นสุข ครั้นบิดาเธอจะฟ้องหย่าก็ทำไม่ได้ เพราะคนที่ทำผิดคบชู้คือตัวท่านเอง วิภาวรรณจึงทำได้แค่ย้ายเข้ามาอยู่ตึกเล็ก แต่ก็ยังโดนคุณย่าห้ามใช้นามสกุลอยู่ดี รวมถึงวิกานดาคุณย่าก็ห้าม และไม่ให้บิดาจดรับรองบุตรด้วย ถ้านักข่าวจะสังเกตเวลาเขียนข่าวสักนิด มารดาเลี้ยงและพี่สาวเธอไม่เคยเอ่ยนามสกุล และพี่วิไม่ได้ใช้ชื่อ ‘วรี’ นำหน้า อย่างที่ปฏิบัติกันมาตามธรรมเนียมสกุลอัครากร
แต่อย่างว่า เรื่องจริงก็ส่วนเรื่องจริง เรื่องที่คนอื่นรู้ก็อีกเรื่อง ในเมื่อไม่มีใครรู้ วรีวาฏิกาถึงได้มานั่งที่นั่งซึ่งอยู่ไกลออกไป และรับประทานอาหารอย่างมีความสุข โดยหามีใครรู้ไม่ว่าทายาทคนเดียวที่ได้ใช้นามสกุลอัครากรไม่ได้นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุดอย่างที่ควรจะเป็น
ในงาน ถึงแม้บิดาจะเอาใจมารดาเลี้ยงและพี่สาวเธออย่างออกนอกหน้า แต่วรีวาฏิกาก็ไม่ได้เหี่ยวเฉาเสียทีเดียว เธอทำใจเรื่องนั้นได้นานแล้ว หัวใจเมื่อด้านชา ความรู้สึกเสียใจก็ยากที่จะเข้าแทรกแซง แต่ด้วยครอบครัวของภควัตน์ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวที่รู้ตื้นลึกหนาบางและนั่งอยู่ข้างๆ เธอ มีจิตใจที่ดีงามยิ่ง ทั้งบิดาและมารดาของภควัตน์ชวนเธอคุยเรื่องสัพเพเหระไม่หยุดหย่อน ส่วนภควัตน์ก็ไม่ได้หาเรื่องเธอตามเช่นที่เคยทำยามปกติ เกือบตลอดงานเธอเลยนั่งทานอาหารด้วยสีหน้าผ่อนคลายแบบคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
มารดาของภควัตน์คุยสนุก คุณภีรดาเล่าเรื่องความซนของภควัตน์ในวัยเด็กได้อย่างคล่องปาก ตั้งแต่ปีนไปเล่นซ่อนหากับพี่เลี้ยงบนต้นจามจุรี ยันปีนกำแพงหนีเรียนตอนเป็นนักเรียนประจำที่อังกฤษจนเกือบโดนไล่ออก เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้มากมาย ในขณะที่ลูกชายคุณภีรดาเริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ไม่กล้าแย้งอะไรมารดา
จวบจนงานเลี้ยงใกล้เลิก บิดาของเธอลุกขึ้นกล่าวขอบคุณแขกในงาน วรีวาฏิกาถึงเพิ่งรู้ว่าหัวใจที่เธอเคยคิดว่าด้านชา บางทีก็ไม่ได้ด้านชาเท่าที่ควรจะเป็น
“ผมต้องขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับที่ให้เกียรติมางานวันเกิดผมในวันนี้ ตัวผมถึงแม้จะแก่ขึ้นอีกหนึ่งปีก็ยังขอยืนยันว่าฝีมือและกำลัง พัตต์ไม้ในสนามกอล์ฟไม่ย่อหย่อนกว่าตอนสมัยหนุ่มๆ แน่นอน”
ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากแขกได้พอสมควร
“มีทั้งภรรยาแสนดีอย่างคุณวิภาวรรณคอยหาอาหารบำรุงกำลังให้ คอยดูแลบ้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังมีลูกสาวคนสวยดุจแสงตะวันในใจผมอย่างวิกานดาทั้งคน ชีวิตนี้ผมจะต้องการอะไรอีกล่ะครับ ทุกคนว่าจริงไหม”
สิ้นประโยคนั้น ประโยคอื่นๆ วรีวาฏิกาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เธอได้ยินประโยคที่บิดาชื่นชมภรรยาใหม่และพี่สาวซ้ำๆ วนในหัวหลายร้อยรอบ ทุกประโยคที่บิดาเอ่ยมาไม่มีชื่อเธอ ไม่เคยมีเธอไปอยู่ในนั้น เหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน เหมือนเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวบิดาเลยแม้แต่น้อย น้ำตาไหลเอ่อออกมาตอนไหนเธอก็ไม่รู้ เมื่อรู้ตัว วรีวาฏิกาจึงเงยหน้าให้น้ำตาไหลย้อนกลับไป เธอจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เธอจะให้มารดาเลี้ยงและพี่สาวเห็นไม่ได้ว่าเธอยังเจ็บ เธอยังแคร์!
หลังจากฝืนกล้ำกลืนน้ำตาหยดนั้นกลับเข้าไปได้ในที่สุด วรีวาฏิกาก็พยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ ด้วยการตักของหวานอย่างไอศกรีมซอร์เบต์เมลอน และผลไม้สดที่วางอยู่บนจานของหวานขึ้นมากินต่อ ก่อนจะกินผลไม้ทุกชิ้นที่เหลืออยู่บนจานทีละคำ ทีละคำ กล้ำกลืนกินผลไม้ทีละชิ้น ทั้งๆ ที่ปกติเธอไม่ชอบกินผลไม้เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ละคำที่เธอกลืนเข้าไป เหมือนกลืนน้ำตาที่เจียนจะไหลลงไป เก็บไว้แต่ในใจตัวเอง
แต่พอเรื่องสงบ วรีวาฏิกาได้หายใจหายคอคล่องไม่ทันไร เรื่องใหม่ก็มาเยือน วันเสาร์หน้าเป็นวันเกิดของบิดาเธอ และด้วยความที่เป็นวันเกิดครบรอบห้าสิบปี งานปีนี้เลยจัดใหญ่กว่าทุกครั้ง จากที่แค่เป็นงานเล็กๆ ในครอบครัวแบบทุกปี จะจัดเป็นงานเลี้ยงขนาดกลางที่มีแขกมาร่วมงานเกือบร้อยคน
ทุกปีนั้น วรีวาฏิกาหลบได้เป็นหลบ หลีกได้เป็นหลีก
เธอแค่ส่งของขวัญไปให้บิดาเท่านั้น แทบไม่เคยอยู่ร่วมงานวันเกิดท่านเลย จะอยู่ให้แสลงใจไปทำไม ในเมื่อตลอดเวลาที่กินข้าวกัน ยังไงบิดาก็สนใจแต่มารดาเลี้ยงและพี่สาวเธออยู่ดี ฉะนั้นไปหรือไม่ไปก็เหมือนกัน แถมไม่ไปยังน่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายมากกว่า เธอไม่อึดอัด บิดาเธอก็ไม่ต้องอึดอัด วรีวาฏิกาเลยสามารถเลี่ยงงานวันเกิดบิดาได้แทบทุกปีโดยที่ท่านเองก็ไม่เคยทักท้วง
แต่ทว่าปีนี้ ไม่เป็นเช่นนั้น...
อาจเพราะเป็นงานใหญ่ คุณย่าเลยบังคับให้เธอต้องมาร่วมงานด้วย! รวมไปถึงครอบครัวของภควัตน์ ที่คุณย่าออกปากเชิญด้วยตนเองเนื่องด้วยสองตระกูลเคยเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่เลยทีเดียว
วรีวาฏิกาไม่อยากไปงาน เรื่องนั้นทั้งเธอทั้งมารดารู้กันอยู่เต็มอก ถ้าหน้าผากสามารถแสดงความในใจได้ ป่านนี้คงขึ้นข้อความว่า ‘ไม่อยากไปงาน!’ เป็นตัวหนา ขนาดเจ็ดสิบสองนิ้ว เขียนไว้กลางหน้าผากเธอ
แต่ไม่อยากไปก็ส่วนไม่อยากไป คำสั่งคุณย่าก็ส่วนคำสั่งคุณย่า
สุดท้ายเพื่อไม่ให้หญิงสูงวัยผู้เป็นที่รักต้องเสียใจ วรีวาฏิกาเลยยอมไปอย่างเสียมิได้
งานวันเกิดของบิดาเธอในปีนี้ จัดขึ้นที่โรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางเมือง โดยปิดห้องจัดเลี้ยงห้องหนึ่งของโรงแรมที่ขนาดพอเหมาะสำหรับงานที่มีแขกไม่เกินร้อยคน งานจัดในรูปแบบ Sit Down Dinner จัดโต๊ะเรียงยาวเป็นรูปตัวยู โดยมีคุณย่า บิดา มารดาเลี้ยง และพี่สาว นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าสุดซึ่งเป็นมุมเชื่อมสองขีดที่เท่ากันของตัวยู ที่นั่งหัวโต๊ะเรียงกันฝั่งซ้ายติดกับคุณย่า เริ่มด้วยบิดา มารดาของภควัตน์ และภควัตน์ ส่วนวรีวาฏิกาได้ที่นั่งไกลสุดขอบอยู่ปลายโต๊ะของรูปตัวยู
เมื่อเห็นการจัดโต๊ะและป้ายชื่อแขกตามที่นั่ง เธอก็ได้เห็นคุณย่าโกรธเป็นครั้งแรกในรอบปี ก่อนจะดุด่าว่ากล่าวบิดาและมารดาเลี้ยงเสียงดัง ที่ให้เธอไปนั่งเสียไกลปืนเที่ยง ในขณะที่วิกานดากลับได้นั่งโต๊ะหน้าสุดซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับคนในครอบครัว
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ และวรีวาฏิกาก็หาได้อยากนั่งโต๊ะหน้ากับมารดาเลี้ยงใจยักษ์เสียเมื่อไหร่ เธอเลยไปกระซิบกับคุณย่าว่าขอนั่งที่เดิม คุณย่าโอนอ่อนผ่อนตามในที่สุดหลังจากเธอเกลี้ยกล่อมอยู่นาน แต่ยังไม่วายด้วยความเป็นห่วงจึงย้ายให้เธอมานั่งข้างภควัตน์แทน!
ก่อนจะเดินออกไปรับแขกหน้างาน คุณย่าหันมาตำหนิมารดาเลี้ยงให้พนักงานเสิร์ฟที่เร่งมือจัดโต๊ะได้ยินกันทั่วหน้าว่า
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่านี่เป็นฝีมือเธอนะ วิภาวรรณ!”
แต่สันดานมารดาเลี้ยงเธอก็เหมือนเดิม พอโดนคุณย่าดุก็แสร้งบีบน้ำตา เล่นเป็นนางเอกละครที่ถูกรังแกแล้วไปยืนหลบอยู่หลังบิดาเธอ ปากก็พร่ำพูดขอโทษคุณย่า พร้อมแก้ตัวว่าตัวเองหารู้เรื่องไม่ แลดูน่าสงสารยิ่งนัก ภาพที่ทุกคนเห็นตอนนี้เหมือนคุณย่ารังแกลูกสะใภ้ยังไงยังงั้น วรีวาฏิกาเลยไปกระซิบข้างหูเตือนคุณย่าว่าแขกเริ่มทยอยมาแล้ว คุณย่าจึงปลีกตัวไปรับแขกในที่สุด
ช่วงเวลาต้อนรับแขก...กินเวลานานพอสมควร วรีวาฏิกาผู้ไม่รู้จะทำอะไรเลยสบโอกาสนั้นหลบออกมาเดินเล่นที่ล็อบบี้โรงแรมไปพลางๆ สำรวจเมนูอาหารของห้องอาหารโรงแรมแล้วมาดหมายในใจว่า ถ้าวันนี้กินที่งานไม่อิ่ม เธอก็จะลงมาฝากท้องต่อตามห้องอาหารพวกนี้แล
ระหว่างที่กำลังดูเมนูอย่างเพลิดเพลินหน้าห้องอาหารญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณล็อบบี้เท่าไรนัก เสียงมารด้านหลังก็ลอยมาทักเธอ
“ในงานก็มีอาหารให้คุณกินเยอะแยะ ยังจะมาหาของกินเพิ่มอีกเหรอ จะกินก็ให้มันบันยะบันยังหน่อย กินมากเข้า ระวังเก้าอี้ที่ออฟฟิศจะรับน้ำหนักคุณไม่ไหว”
ปากร้ายแบบนี้จะเป็นใครได้ ถ้าไม่ใช่เจ้านายชั่วๆ ของเธอ!
พอหันหลังกลับไป วรีวาฏิกาก็เห็นหนุ่มหล่อตาสีเทาเข้ม เค้าหน้าเข้มคมดุจคนตะวันตกเพราะเลือดลูกเสี้ยวสเปนที่ไหลอยู่ในกาย แต่สีผมกลับดำจัดแบบคนไทย ใส่สูทสีดำเต็มยศหล่อลากดินยืนอยู่ข้างหลัง
เออะ ถ้าเขาจะแต่งตัวเต็มขนาดนี้ งานวันนี้เธอดูแต่งตัวแย่สุดๆ ไปเลย
วรีวาฏิกาในคืนนี้เพียงคว้าชุดเดรสยาวสีเรียบๆ แต่เป็นแบรนด์ดังมาใส่ เครื่องประดับมีเพียงต่างหูเพชรเม็ดเล็ก ในขณะที่บรรดาแขกที่มาร่วมงานแต่งจริงจังกว่าเธอหลายขุม แล้วให้เธอมานั่งข้างคนที่แต่งสูทเต็มขนาดนี้ จะไม่ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเกินไปหรือไง!
พอเห็นอย่างนั้น วรีวาฏิกาก็ทดท้อใจ ถอนหายใจออกมา หนุ่มหล่อตรงหน้าจึงทักขึ้นอีกว่า
“แค่เห็นผมวันเสาร์ ถึงกับต้องถอนหายใจเลยหรือไงคุณ”
อันที่จริงเรื่องนี้เธอก็อยากจะถอนหายใจเหมือนกัน พูดอีกก็ถูกอีกเลยไม่อยากจะแย้งเขาได้แต่ไหว้สวัสดีตามมารยาทก่อนจะเดินนำออกไปแล้วหันไปบอกเขาว่า
“ทางเข้างานอยู่ทางนี้ค่ะคุณภควัตน์”
วรีวาฏิกาพาเขาเดินมายังส่วนต้อนรับแขกของงาน
ภควัตน์เร่งฝีเท้าตามมาเดินเคียงข้างเธอได้อย่างรวดเร็ว และตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากที่ดูท่าจะเป็นคำบ่นว่าเธออีกตามเคย วิกานดาพี่สาวเธอก็โผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะพอดี ไม่รู้ว่าที่โผล่เข้ามา เพราะเห็นเธอหรือเห็นหนุ่มหล่อข้างๆ ก่อนกันแน่
ไม่ต้องเสียเวลาเดา วิกานดารีบปรี่มาทักเธอประหนึ่งรักใคร่น้องสาวเสียเหลือเกิน ก่อนจะชม้อยชม้ายชายตาให้วรีวาฏิกาแนะนำผู้ชายที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ
“นี่คุณภควัตน์ค่ะ เจ้านายวา”
ถึงแม้สองตระกูลจะสนิทสนมกัน แต่ภควัตน์อยู่เมืองนอกเสียส่วนใหญ่ ขนาดเธอยังจำเขาไม่ได้เลย แถมตอนเด็กๆ ก็ได้เจอกันแค่ครั้งสองครั้ง นับประสาอะไรกับวิกานดาที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับภควัตน์โดยสิ้นเชิง เพราะถ้ามี ป่านนี้หนึ่งในรายชื่อผู้หญิงที่คอยพยายามแวะเวียนมาหาเขาถึงออฟฟิศจะต้องมีพี่สาวเธอติดอยู่ในนั้นแน่นอน!
หลังจากแนะนำให้รู้จักกัน วิกานดาก็เอาแต่สนทนาด้วยเรื่องที่ส่วนใหญ่คุยกันอยู่แค่สองคนระหว่างตนเองกับภควัตน์ วรีวาฏิกาเลยว่าจะหลบออกไปเดินเล่นต่อ ทว่าภควัตน์คว้าแขนเธอไว้แล้วบอกว่า
“ผมยังไม่ได้ไปไหว้คุณย่า รบกวนคุณพาผมไปหน่อย”
ขาก็มี ไปเองไม่เป็นหรือไง!
แต่ยังไม่ทันจะปฏิเสธ วิกานดาก็พูดขึ้นมาทันทีเหมือนกันว่า
“ดูท่าน้องสาววิน่าจะมีธุระยุ่งนะคะ วิพาคุณพาร์คไปได้ค่ะ ว่าแต่ วา วันนี้แต่งตัวเรียบไปหรือเปล่าจ๊ะ คุณพ่อจะขายหน้าเอาได้ พี่ให้ยืมชุดเอาไหม เดี๋ยวจะอายแขกในงานเสียเปล่าๆ”
วิกานดาอดไม่ได้ที่จะหันมาจิกกัดน้องสาว แต่คนโดนจิกกัดยักไหล่แบบหาได้สนใจอะไรไม่ “วาคงไม่รบกวนพี่วิหรอกค่ะ วาชอบชุดคอลเลกชั่นใหม่ของ Valentino ที่วาใส่อยู่ เรียบแต่หรู ถูกใจวา ถูกใจคุณย่าด้วย วาไม่ชอบแต่งเยอะจนเกินงามค่ะ”
ประโยคหลังเธอกัดพี่สาวเต็มๆ ที่ประโคมเพชรเสียวูบวาบไปทั้งตัวแต่ที่ไม่อยากเชื่อคือ ชายหนุ่มด้านหลังดันช่วยเธอเอออออย่างออกนอกหน้า
“ผมก็ว่าชุดวาวันนี้ก็น่ารักดี สมวัย กำลังดี คงไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ ผมชอบแบบนี้”
‘ผม-ชอบ-แบบ-นี้!’
เออะ เธอก็พอจะรู้ว่าวันนี้ภควัตน์มีหน้าที่คอยดูแลเธอตามที่คุณย่าขอไว้ แต่จะช่วยเธอเพราะเห็นแก่คุณย่าก็น้อยๆ หน่อยพ่อคุณ พูดแบบนี้ พี่สาวเธอก็เข้าใจผิดกันพอดี นั่นไง เธอคิดผิดที่ไหน วิกานดามองมาด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายจริงๆ ด้วย
วรีวาฏิกาไม่อยากเปิดศึกกับพี่สาวในงานวันเกิดบิดา เลยตัดสินใจลากภควัตน์ออกมาเพื่อพาไปไหว้คุณย่าตามที่เขาต้องการ ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันว่า
“ขอบคุณนะคะ แต่คราวหลังขอน้อยกว่านี้หน่อย รอบนี้เว่อร์ไป พี่วิจับได้กันพอดี!”
*****************
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน บิดาเธอดูมีความสุขกับการที่มีวิภาวรรณและวิกานดาคอยเอาอกเอาใจอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า ส่วนวรีวาฏิกาก็มีความสุขอยู่กับจานอาหารตรงหน้าแบบไม่สนใจสถานการณ์รอบตัวใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยคนที่ออกสื่อกับบิดาอยู่เนืองๆ คือมารดาเลี้ยงและพี่สาว แถมด้วยตำแหน่งที่นั่งก็พอจะทำให้แขกทั้งงานเข้าใจได้ว่าทั้งสองคนนั้นคือภรรยาและบุตรีสุดรักสุดหวงของหม่อมหลวงวาริตธีร์ บิดาของเธอ
แต่ทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ว่า บิดาและมารดาของเธอนั้น...ยังไม่ได้หย่ากัน
การแก้แค้นครั้งสุดท้ายและเป็นการแก้แค้นเดียวของมารดาเธอ คือท่านไม่ยอมหย่าให้คนทรยศทั้งสองได้ครองคู่กันอย่างเป็นสุข ครั้นบิดาเธอจะฟ้องหย่าก็ทำไม่ได้ เพราะคนที่ทำผิดคบชู้คือตัวท่านเอง วิภาวรรณจึงทำได้แค่ย้ายเข้ามาอยู่ตึกเล็ก แต่ก็ยังโดนคุณย่าห้ามใช้นามสกุลอยู่ดี รวมถึงวิกานดาคุณย่าก็ห้าม และไม่ให้บิดาจดรับรองบุตรด้วย ถ้านักข่าวจะสังเกตเวลาเขียนข่าวสักนิด มารดาเลี้ยงและพี่สาวเธอไม่เคยเอ่ยนามสกุล และพี่วิไม่ได้ใช้ชื่อ ‘วรี’ นำหน้า อย่างที่ปฏิบัติกันมาตามธรรมเนียมสกุลอัครากร
แต่อย่างว่า เรื่องจริงก็ส่วนเรื่องจริง เรื่องที่คนอื่นรู้ก็อีกเรื่อง ในเมื่อไม่มีใครรู้ วรีวาฏิกาถึงได้มานั่งที่นั่งซึ่งอยู่ไกลออกไป และรับประทานอาหารอย่างมีความสุข โดยหามีใครรู้ไม่ว่าทายาทคนเดียวที่ได้ใช้นามสกุลอัครากรไม่ได้นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุดอย่างที่ควรจะเป็น
ในงาน ถึงแม้บิดาจะเอาใจมารดาเลี้ยงและพี่สาวเธออย่างออกนอกหน้า แต่วรีวาฏิกาก็ไม่ได้เหี่ยวเฉาเสียทีเดียว เธอทำใจเรื่องนั้นได้นานแล้ว หัวใจเมื่อด้านชา ความรู้สึกเสียใจก็ยากที่จะเข้าแทรกแซง แต่ด้วยครอบครัวของภควัตน์ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวที่รู้ตื้นลึกหนาบางและนั่งอยู่ข้างๆ เธอ มีจิตใจที่ดีงามยิ่ง ทั้งบิดาและมารดาของภควัตน์ชวนเธอคุยเรื่องสัพเพเหระไม่หยุดหย่อน ส่วนภควัตน์ก็ไม่ได้หาเรื่องเธอตามเช่นที่เคยทำยามปกติ เกือบตลอดงานเธอเลยนั่งทานอาหารด้วยสีหน้าผ่อนคลายแบบคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ
มารดาของภควัตน์คุยสนุก คุณภีรดาเล่าเรื่องความซนของภควัตน์ในวัยเด็กได้อย่างคล่องปาก ตั้งแต่ปีนไปเล่นซ่อนหากับพี่เลี้ยงบนต้นจามจุรี ยันปีนกำแพงหนีเรียนตอนเป็นนักเรียนประจำที่อังกฤษจนเกือบโดนไล่ออก เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้มากมาย ในขณะที่ลูกชายคุณภีรดาเริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์แต่ก็ไม่กล้าแย้งอะไรมารดา
จวบจนงานเลี้ยงใกล้เลิก บิดาของเธอลุกขึ้นกล่าวขอบคุณแขกในงาน วรีวาฏิกาถึงเพิ่งรู้ว่าหัวใจที่เธอเคยคิดว่าด้านชา บางทีก็ไม่ได้ด้านชาเท่าที่ควรจะเป็น
“ผมต้องขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับที่ให้เกียรติมางานวันเกิดผมในวันนี้ ตัวผมถึงแม้จะแก่ขึ้นอีกหนึ่งปีก็ยังขอยืนยันว่าฝีมือและกำลัง พัตต์ไม้ในสนามกอล์ฟไม่ย่อหย่อนกว่าตอนสมัยหนุ่มๆ แน่นอน”
ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะจากแขกได้พอสมควร
“มีทั้งภรรยาแสนดีอย่างคุณวิภาวรรณคอยหาอาหารบำรุงกำลังให้ คอยดูแลบ้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังมีลูกสาวคนสวยดุจแสงตะวันในใจผมอย่างวิกานดาทั้งคน ชีวิตนี้ผมจะต้องการอะไรอีกล่ะครับ ทุกคนว่าจริงไหม”
สิ้นประโยคนั้น ประโยคอื่นๆ วรีวาฏิกาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เธอได้ยินประโยคที่บิดาชื่นชมภรรยาใหม่และพี่สาวซ้ำๆ วนในหัวหลายร้อยรอบ ทุกประโยคที่บิดาเอ่ยมาไม่มีชื่อเธอ ไม่เคยมีเธอไปอยู่ในนั้น เหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน เหมือนเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวบิดาเลยแม้แต่น้อย น้ำตาไหลเอ่อออกมาตอนไหนเธอก็ไม่รู้ เมื่อรู้ตัว วรีวาฏิกาจึงเงยหน้าให้น้ำตาไหลย้อนกลับไป เธอจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เธอจะให้มารดาเลี้ยงและพี่สาวเห็นไม่ได้ว่าเธอยังเจ็บ เธอยังแคร์!
หลังจากฝืนกล้ำกลืนน้ำตาหยดนั้นกลับเข้าไปได้ในที่สุด วรีวาฏิกาก็พยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ ด้วยการตักของหวานอย่างไอศกรีมซอร์เบต์เมลอน และผลไม้สดที่วางอยู่บนจานของหวานขึ้นมากินต่อ ก่อนจะกินผลไม้ทุกชิ้นที่เหลืออยู่บนจานทีละคำ ทีละคำ กล้ำกลืนกินผลไม้ทีละชิ้น ทั้งๆ ที่ปกติเธอไม่ชอบกินผลไม้เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ละคำที่เธอกลืนเข้าไป เหมือนกลืนน้ำตาที่เจียนจะไหลลงไป เก็บไว้แต่ในใจตัวเอง
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ธ.ค. 2563, 16:33:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ธ.ค. 2563, 16:33:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 364
<< บทที่ 8 -40% | บทที่ 9 -30% + วางขาย eBook >> |