เมื่อคุณชายมารักฉัน
จู่ๆ ชีวิตเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ของฉันก็มีอันผันแปร เมื่อมีหนุ่มสมบูรณ์แบบ รูปหล่อ ร่ำรวย ชาติตระกูลดี มีอิทธิพล มาบอกให้ฉันรับผิดชอบชีวิตเขาด้วยการเป็นภรรยา ความจริงแล้วมันก็ความฝันสำหรับหญิงสาวหลายๆคนที่อยากจะเกิดมาเป็นซินเดอเรล่า...ทว่าอาโปมีความฝันของตัวเอง ความฝันที่ ...ยังไงเธอก็ไม่ยอมให้มันพังทลายด้วยการแต่งงานที่มีความสัมพันธ์แบบคลุมเคลือเด็ดขาด
Tags: อาโป
ตอน: ตอนแรก
1
เบื้องหน้าคือตึกใหญ่สูงระฟ้า...สูงมากถึงขนาดที่อาโปจะต้องแหงนเงยจนคอตั้งบ่า...บริษัทที่เธอทำงานถึงแม้จะเป็นบริษัทใหญ่หุ้นส่วนหลักเป็นของชนข้ามชาติ แต่ก็ยังต้องเช่าสถานที่บนตึกแห่งนี้ในการประกอบกิจการ เพราะกฎหมายของประเทศระบุไว้ ห้ามการเข้าครอบครองที่ดินสิ่งปลูกสร้างโดยชนต่างชาติ ทว่าถึงกฎหมายของประเทศจะไม่เอื้อให้ต่างชาติถือครองที่ดินจนไม่อาจสร้างอาคารสำนักงานเป็นของตัวเอง...นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบหลีก มีช่องทางอยู่มากหากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับนี้จะทำ แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่สาขาใหญ่สุด โอกาสที่จะโยกย้ายฐานประกอบธุรกิจมีได้ทุกเมื่อ การเช่าอาคารสำนักงานจึงดูเหมือนจะคุ้มทุนมากกว่า และยิ่งเป็นสำนักงานที่มีเจ้าของตึกถือครองหุ้นส่วนหนึ่ง แม้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด แต่เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกัน มูลค่าหุ้นของเจ้าของคนไทยคนนี้ค่อนข้างสูงกว่าใคร จึงไม่แปลกที่บริษัทจะถูกดึงความสนใจให้มาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำสาขาประเทศไทย ณ ตึกสูงระฟ้าแห่งนี้
“มัวมองอะไรอยู่ฮึอาโป...อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลางานแล้วนะวันนี้มีประชุมใหญ่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
เสียงทักทายทางด้านหลังไม่ทำให้อาโปสะดุ้งได้เท่าฝ่ามือที่ตีเพี๊ยะ! ลงบนไหล่ น้ำหนักมือที่กระแทกลงมาทีเผลอทำเอาหญิงสาวถึงกับเซไปข้างหน้า ก่อนจะหันไปทำตาเขียวใส่
“ถามจริงเถอะ มือหรือเท้ายะที่สะกิดไหล่ฉันเมื่อครู่นี้...โธ่...จะทักทายดีหน่อยไม่ได้ไงยัยไอยรา”อาโปบ่นทั้งลูบไหล่ปอย ๆ
“ไอรดาย่ะ...เรียกให้มันถูกๆ หน่อย”คนเรียกด้วยความหมายว่าช้างค้อนหน้าคว่ำ
“แหม...ก็มือหนักอย่างกะเท้าช้างมันสมควรไหมล่ะ” อาโปว่าพลางจับข้อมือเพื่อนขึ้นเขย่า
“เอาเถอะฉันให้อภัย...ยังไงตอนนี้ก็ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวลี้มกโช้วจะงับหัวจมเขี้ยว...”ลี้มกโช้วที่ไอรดาพูดถึงก็คือคุณไพลินผู้ช่วยผู้จัดการสาวใหญ่ ที่มีดวงตาทั้งสวย คม ดุ ทั้งเฮี้ยบ และโหดไม่ต่างจากตัวละครเอกจากวรรณกรรมจีนกำลังภายในอันลือลั่นที่ทั้งสองสาวชอบดูนอกจากเธอจะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่แล้ว เธอยังพ่วงตำแหน่งรักษาการเลขานุการของผู้จัดการอีกหนึ่งจึงไม่ต่างกับเสือติดปีกให้ใครต่อใครต้องย่ำเกรง
“จะกลัวไปทำไม เราไม่ได้มาสายสักหน่อยเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที” อาโปเอ่ย ทั้งยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันรำคาญ...” สีหน้าเหนื่อยหน่ายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนจะแปรเปลี่ยนตกกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้“เออจริงสิ...ได้ข่าวมาว่าผู้จัดการใหญ่คนใหม่จากสาขาลอนดอนจะย้ายเข้ามาทำงานวันนี้ด้วยนะ จะเป็นฝรั่งหล่อๆ ผมสีทองประกายระยิบระยับหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงมีการแนะนำตัวกันในที่ประชุม และที่สำคัญไม่เกินสามวันเราก็จะมีลาภปากครั้งใหญ่ในงานเลี้ยงต้อนรับท่านผู้จัดการ...ไปกันเถอะ เร็วเข้า”
ข้อมือเล็กๆ ของอาโปถูกคว้าหมับ ทั้งลากกึ่งจูงให้เดินแกมวิ่งผ่านประตูกระจกสีชาบานใหญ่เข้าไปสู่ห้องโถงกว้างที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ เพราะความเร่งรีบโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาอาโปต้องเดินสะดุดเท้าตัวเองแทบล้มหัวคะมำเสียหลายครั้ง
“เดี๋ยวสิไอซ์ ช้าๆ หน่อยฉันขาสั้นกว่าเธอ ฉันตามไม่ทัน” อาโปประท้วง แต่สุดท้าย ไอรดาเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากที่ร่ำเรียนเขียนอ่านด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยก็พาเธอมาหยุดหอบหายใจอยู่ที่หน้าลิฟต์ซะแล้ว
สายตาหลายคู่ของพนักงานที่กำลังขึ้นลิฟต์ต่างพุ่งตรงมายังสองสาวพร้อมๆ กันก่อนจะเบนความสนใจไปยังตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนแถบบอกระดับชั้น พอลิฟต์เปิดอาโปรอให้ทุกคนเข้าไปก่อนเพราะเห็นแก่ที่ว่าเธอมาท้ายสุด
“เข้ามาสิอาโป”ไอรดาที่ขยับหาที่ยืนจนถูกกลืนเข้าไปด้านในกวักมือเรียกเพื่อน
ทว่าพอเธอก้าวเท้าเข้าไปเหยียบเต็มสองเท้าเสียงเตือนน้ำหนักเกินก็ดังขึ้น อาโปจำต้องรีบถอยออกไปภายนอกด้วยความอาย ก็สายตาของแต่ละคนที่จ้องมองมานี่สิ จ้องมาราวกับว่าเธอมีน้ำหนักร่วมร้อยกิโลซะงั้น
“ขึ้นไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันรอเที่ยวต่อไป” เธอบอกพนักงานชายที่กดปุ่มบังคับประตูให้เปิดรอทั้งหันไปสบตาเพื่อนส่งยิ้มให้พลางขยับปากบอกว่าไม่ต้องห่วง
ประตูลิฟต์ปิดลง แยกอาโปกับไอรดาออกจากกันโดยปริยาย หมายเลขชั้นเลื่อนไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูงอาโป ได้แต่ถอนหายใจปลงกับชีวิต ที่วันนี้เธออาจต้องเข้าทำงานสายกว่าปกติ
“ลิฟต์ไปแล้วเหรอครับ”
น้ำเสียงปนหอบดังขึ้นทางด้านหลังให้หญิงสาวหันกลับไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าผู้มาใหม่ หน้าตาของเขาจัดว่าดีมาก แต่งกายสุภาพเหมือนเช่นพนักงานออฟฟิศทั่วไปทว่าดูภูมิฐานไม่น้อยและไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด เขาอาจจะมาติดต่องานหรืออาจเป็นพนักงานคนใหม่ของบริษัทใด บริษัทหนึ่งที่เช่าตึกแห่งนี้ทำการอยู่ อาโปยิ้มบางๆ อย่างน้อยวันนี้เธอก็มีโอกาสได้อาหารตาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าต้องตาต้องใจมากๆถึงหนึ่งคน แม้คนนี้จะหล่อเหลาสูสีกับคนบนรถไฟฟ้า ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมากรี๊ดกร๊าดให้ความสนใจเป็นเด็กสาววัยรุ่น
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับลิฟต์ต่อ ถอน
หายใจทั้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้งมีเวลาเพียงห้านาที ที่จะลงเวลาทำงานโดยไม่ถูกขีดเส้นแดง
“คุณยืนรอนานแล้วเหรอครับ”
ชายคนนั้นเอ่ยเหมือนชวนคุยฆ่าเวลาท่าทีสุภาพและแสดงออกถึงความเป็นมิตร ทำให้อาโปไม่อาจทำเมินเฉยได้อย่างที่ตั้งใจ“ฉันมาทันลิฟต์รอบที่แล้วค่ะ แต่พอดีว่าน้ำหนักเกินเลยต้องรอรอบต่อไป” รู้สึกเหมือนกันว่าเธอตอบไม่ค่อยจะตรงคำถามสักเท่าไหร่
ชายหนุ่มพลิกมองนาฬิกาที่ข้อมือ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแสดงสีหน้ากังวลเด่นชัด แม้อาโปไม่ได้ถาม แต่เขาก็เอ่ยออกมาให้รู้โดยไม่ปิดบัง “ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่วันนี้เป็นวันแรก...รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องมาสายตั้งแต่วันเริ่มต้นทำงาน”
“ยังมีเวลาเหลือค่ะ อย่ากังวลเลยแต่หากคุณรีบมาก ก็น่าจะพิจารณาบันไดนะคะ” หญิงสาวแนะนำ
อาโปคิดว่าเขาคงไม่ทำตามคำแนะนำที่แสนเหนื่อยนั้นแน่นอนหากบริษัทที่เขาเข้าทำงานไม่ได้อยู่ต่ำกว่าสามชั้น ใครบ้างที่อยากจะมีเหงื่อโทรมตัวในเช้าวันแรกของการทำงาน ซึ่งต่างจากเธอที่หากเจอสถานการณ์เช่นนี้อาโปจะเลือกใช้บันได ถึงห้องทำงานจะอยู่ชั้นห้ายังไงก็น่าจะเร็วกว่าต้องรอลิฟต์รอบต่อไป ทว่าครั้งนี้เธอขอบายความคิดนั้นเพราะรู้สึกปวดข้อเท้าจากที่ต้องเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนเมื่อครู่ เธอไม่อยากใช้งานมันหนักเกินจำเป็น เพราะถ้ามันระบมขึ้นเรื่องยุ่งยากก็คงตามมา
“อืม...ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางนะครับแต่...ผมว่าเราคงไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะ ลิฟต์ลงมาถึงพอดี”
หนุ่มนิรนามส่งยิ้มขอบคุณมาให้แต่...เขาใช้คำว่า เรา พูดยังกะว่า ถ้าเขาตัดสินใจจะเดินขึ้นบันไดจริงๆ แล้ว เธอจะต้องเดินไปเป็นเพื่อนเขาอย่างนั้นแหละ
ประตูลิฟต์เปิดออกร่างสูงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญสุภาพสตรีให้เข้าไปก่อนเขาค่อยก้าวตาม “ชั้นไหนครับ”คำถามยังสุภาพตามแบบฉบับบุคลิกที่ปรากฏ
“ชั้นห้าค่ะ”เธอตอบพลางเมินมองไปทางอื่นที่ไม่ร่างสูงของผู้ชายดูดีที่คอยแต่จะเหลือบมองด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ จะยิ้มอะไรกันนักหนานะ...
“อาโป...มาถึงซะที เร็วเข้าเถอะนางมารลี้มกโช้ว รองาบหัวเธออยู่เนี่ย เร็วเข้ารีบเอาแฟ้มงานที่เตรียมประชุมไปให้หล่อนเดี๋ยวนี้เลย” ไอรดาตรงดิ่งเข้ามาคว้าข้อมือเพื่อนรักทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดทั้งจูงแกมลากไปยังแผนกที่เธอทำงานโดยไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจเจ้าของแววตาคมกล้าที่กำลังส่งสายตาแวววับตามหลังสองสาวไปจนลับสายตา
“แล้วเจอกันนะครับ”เสียงแผ่วดังลอดริมฝีปากที่ขยับเพียงเล็กน้อยก่อนจะก้าวตามออกมาพ้นประตูลิฟต์ที่ปิดตัวลงในเวลาต่อมา
ณ ห้องประชุมประจำสำนักงาน...
ผู้เข้าร่วมประชุมในวาระสำคัญวันนี้มีเฉพาะหัวหน้าแผนกและผู้เกี่ยวข้องเพียงสิบกว่าคน สองในนั้นก็มีอาโปและไอรดาร่วมอยู่ด้วยในฐานะผู้ประสานงาน
วาระการประชุมนอกเหนือจากสรุปผลการประกอบการตามไตรมาสแล้ว อีกประเด็นสำคัญก็คือการแนะนำตัวเข้ารับตำแหน่งของท่านผู้จัดการคนใหม่ และท่านผู้จัดการคนนี้ก็ทำเอาอาโปสะดุ้งจนเกือบตกเก้าอี้ทันทีที่เขาเดินเข้ามาหยุดยืนในตำแหน่งประธานของที่ประชุม
“ไหนแกว่าเป็นฝรั่งผมทองไง” หญิงสาวหันไปกระซิบถามเพื่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่เจอหน้าลิฟต์มิน่าถึงได้บอกว่าเพิ่มมาทำงานที่นี่เป็นครั้งแรก
“ฉันแค่เดาเอาน่ะ...ก็เห็นบอกว่าย้ายมาจากสาขาลอนดอน...แต่...เป็นคนไทยก็ดีแล้ว จะได้ไม่เมื่อลิ้น” ไอรดาตอบพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้เพื่อน
“บ้า...ลามก”
“อะไร...ฉันหมายถึงไม่ต้องพูดอังกฤษให้เมื่อลิ้นต่างหาก นี่แกคิดไปถึงไหนเนี่ย”
“เงียบๆ หน่อยสองคนนั่นน่ะ นี่ห้องประชุมนะ ไม่ใช่ห้องเรียน”
เสียงแหลมทะลวงแก้วหูดังขึ้น หยุดการสนทนาที่ยังหาสาระไม่เจอนั้นลงในทันที แต่ไม่อาจหยุดความคิดของอาโปที่เธอเห็นว่า คุณไพลินน่าจะไปสมัครเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองซะจริงๆ
“สวัสดีครับ ผมชื่อวสันต์ เรืองวรวัฒน์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ”ชายหนุ่มมาดดี ยิ้มกว้างพลางกวาดสายตาทักทายสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนกระทั่งไปหยุดนิ่งที่ใบหน้าสวยใสของคนคนหนึ่งซึ่งทำให้เขาเปิดยิ้มกว้างขึ้นดั่งว่าเจอคนรู้จัก
“คุณวสันต์ เรืองวรวัฒน์ ท่านย้ายมาจากสาขาที่ลอนดอนจุดประสงค์ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานในสาขาประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสาขาทางยุโรปและอเมริกาดิฉันหวังว่าทุกคนคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”เสียงดังกังวานของไพลินเหมือนจะดังกว่าการพูดผ่านเครื่องขยายเสียงเสียอีก แต่ก็ดึงดูดความสนใจจากสมาชิกที่ประชุมได้ไม่เท่าใบหน้าคมคายของหัวหน้าคนใหม่
“โห...หัวหน้าคนใหม่นี่หล่อใช่เล่นเลยนะ...ว่าไหม”ไอรดาอดยื่นหน้ามากระซิบกระซาบแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนไม่ได้
“อืม...”
“ฮะ! ขานรับแค่นี้นี่นะ...” คิ้วเรียวของไอรดาขมวดหมุนไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบที่ได้สักเท่าไหร่
“เงียบน่า เดี๋ยวก็ถูกฝ่ามือเบญจพิษหรอกแกไม่เห็นสายตานางมารลี้มกโช้วของแกเหรอ” อาโปเตือนเบาๆ ทั้งก้มหน้าหลบสายตา ทว่าไม่ใช่หลบสายตาของไพลินที่กำลังส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่เธอกำลังหลบหัวหน้าคนใหม่ก็ไม่รู้จะยิ้มอะไรกันนักกันหนานั่นต่างหาก
ไอรดาเองเมื่อเหลือบตาขึ้นมองไปยังสาวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างประธานของที่ประชุมก็ได้แต่ทำหน้าแหยๆ ยืดตัวตรงทำทีสนใจรับฟังวาระต่อ
“เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องงานกันต่อเลย ส่วนเรื่องของผมนั้น อนาคต...ไว้เราค่อยหาเวลาและโอกาสทำความรู้จักกันให้มากขึ้นต่อไปนะครับ”
คำพูดแกมรอยยิ้มพริ้มพรายที่เหมือนจะโปรยปรายให้กับทุกคนจนได้รับทั่วหน้า ทว่าสายตาของผู้จัดการหนุ่มก็ยังวกกลับมาหยุดลงที่อาโปเป็นที่สุดท้ายเสมอ...เธอรู้สึกได้...นี่เธอควรจะดีใจหรือเสียใจล่ะทีนี้ที่มีโอกาสได้รู้จักกับท่านผู้จัดการคนใหม่ก่อนใคร แต่ไหงความรู้สึกมันถึงได้ดูก้ำๆ กึ่งๆ ยังไงบอกไม่ถูกกันแบบนี้นะ...
ณ ภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังในย่านธุรกิจ...
ภัตตาคารแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีอาหารเลิศรสมากมายให้เลือกอันเป็นของที่หารับประทานยาก และมีราคาแพง ทว่าในเวลาใกล้จะถึงเที่ยงวันบรรดาลูกค้าไฮโซขาประจำต่างก็ค่อยทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันไม่ขาดสาย แม้มากหน้าหลายตาแต่ก็ไร้ความรู้สึกพลุกพล่านชวนให้ผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารอย่างสงบต้องเสียอารมณ์ กระนั้นความพลุกพล่านที่ชวนให้รู้สึกดูเหมือนว่าจะเกิดจากพนักงานของร้านเสียมากกว่า จนแขกบางรายที่คุ้นเคยกับทางร้านอดที่จะเอ่ยปากถามถึงสาเหตุไม่ได้
“มีอะไรเหรอ...ทำไมดูวุ่นวายกันจัง”
“มีแขกคนสำคัญจองห้องวีไอวีของทางร้านครับ”พนักงานตอบตามตรง ขณะวางอาหารลงบนโต๊ะของลูกค้า
“ก็แค่แขกที่จองห้องวีไอพีสำคัญมากแค่ไหนเชียว ทำยังกะมีราชนิกูลให้เกียรติมาใช้บริการซะงั้นแหละ”น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความรู้สึกไม่ชอบใจชัดเจน
“ตระกูลนรานุรักษ์น่ะครับ”
แค่คำตอบที่ได้รับจากบริกร ก็ทำให้แขกผู้อยากรู้อยากเห็นเงียบกริบ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักตระกูลนรานุรักษ์ ตระกูลเก่าแก่ที่มีความร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยความร่ำรวยอาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีมากมายหลายตระกูลทั้งเศรษฐีเก่าและใหม่ต่างมีความร่ำรวยอยู่มากมายหลายตระกูล ทว่าตระกูลนรานุรักษ์นั้นต่างออกไปด้วยคำว่าร่ำรวยแถมพ่วงด้วยการมีอิทธิพลทางธุรกิจ เป็นตระกูลที่แทบจะทุกวงการให้ความย่ำเกรง ไม่ว่าจะเป็นวงการธุรกิจหรือการเมืองจึงไม่แปลกที่วันนี้ ทางร้านดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับลูกค้าระดับเพชรที่สั่งเปิดห้องวีไอพีและสั่งอาหารชุดใหญ่ในราคาเรือนหมื่นการบริการจึงเป็นได้ด้วยความพิเศษเพื่อให้เกิดความประทับใจที่สุดของที่สุดซึ่งอาจส่งผลให้พวกเขาได้ทิปกระเป๋าตุง
และนอกเหนือจากความต้องการสมนาคุณเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องการให้บริการแล้ว ในอีกสิ่งหนึ่งอันเป็นที่เฝ้ารอของเหล่าบริกรสาวๆ นั่นคือทุกคนต่างอยากเห็นหน้าทายาทตระนรานุรักษ์แบบตัวเป็นๆ ทายาทผู้เป็นเจ้าของคุณสมบัติอันสุดแสนสมบูรณ์แบบ ทั้งสูงส่ง สง่างาม หล่อเหลา ร่ำรวยเด่นทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติจนยากจะหาใครมาทาบรัศมีได้
แต่ก็น่าแปลกอยู่มากที่คนผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้จะยังครองตัวเป็นโสดมาจนอายุย่างเข้าวัยสามสิบสอง นั่นจึงเป็นเหตุทำให้เกิดข่าวลือหนาหูจนผู้เป็นใหญ่ที่สุดแห่งตระกูลอดรนทนไม่ไว้ จำต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตระกูลเอาไว้มิให้ด่างพร้อย
“คุณเดี่ยวมาถึงแล้วครับคุณท่าน”เสียงที่เอ่ยอย่างสุภาพ ทำได้เพียงให้หญิงชราพยักหน้าตอบรับก่อนจะหยิบชาถ้วยเล็กขึ้นจิบ
“ขอโทษนะครับที่ให้คุณย่ารอ”ชายหนุ่มเอ่ยทั้งโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังก้าวอี้ข้างกัน
“ก็ยังอยู่ในเวลาที่กำหนดอีกอย่างฝ่ายโน้นยังเดินทางมาไม่ถึง ก็ไม่ถือว่ามาสายหรอก” หญิงวัยเจ็บสิบปลายๆ ทว่าสุภาพยังดูแข็งแรงกว่าอายุเอ่ย แหมสีหน้าจะดูเรียบเฉยแต่แววตายังฉายความพอใจเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
“ครับ...” ชายหนุ่มตอบ แล้วก้มหน้าเงียบจมปลักอยู่กับความคิดที่ไม่มีใครสามารถเข้าแทรกแซงได้
“เสื้อเลอะอะไร...เมื่อเช้าออกจากบ้านก็ยังดูดีอยู่นี่”ผู้เป็นย่าขยับแว่นหันมามองหลานชายเต็มตา ทั้งขมวดคิ้วเป็นปม
“อุบัติเหตุนิดหน่อยระหว่างทางครับไม่มีอะไรมาก” ชลธิศเอ่ย
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ...ความผิดของกระผมเองขอครับนายท่านที่ไม่ตรวจสภาพรถให้ดีทำให้คุณชายต้องไปยืนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ในขบวนรถไฟฟ้า” ถวิลที่ยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ รีบออกตัวขอโทษขอโพยด้วยเม็ดเหงื่อที่เริ่มจะซึมออกทางหน้าผาก เมื่อพบสายตาคาดโทษที่ทำให้เขาถึงกับเย็นวาบไปทั้งสันหลัง
“ชลธิศต้องขึ้นรถไฟฟ้าเหรอ”เสียงถามนั้นแหลมปรี๊ด
“ขอรับ”
“แกไม่เคยบกพร่องเรื่องแบบนี้นี่ถวิลดูท่าแกจะแก่เกินไปแล้ว...”
“อา...คุณท่านครับ...ได้โปรดเถอะครับ ให้อภัยผมด้วยรับรองว่าครั้งต่อไปผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
จากเหงื่อที่ชื้นไปทั้งหน้าผาก บวกกับใบหน้าที่ซีดเผือดชวนให้รู้สึกสงสารคนเก่าคนแก่คนนี้อยู่ไม่น้อยหากจะถูกทำโทษด้วยการไล่ออก แต่ชลธิศรู้ดี ถึงคุณย่าจะเป็นคนดุและเข้มงวดแต่ก็ใช่ว่าจะใจร้ายโดยไร้เหตุผลอันควร
“ช่างเถอะครับถึงยังไงผมก็มาทันเวลาอย่างที่คุณย่าบอกแล้วการแต่งตัวของผมก็สุภาพพอที่จะไม่ทำให้คุณย่าขายหน้าใคร”
ถวิลเหลือบมองเจ้านายหนุ่มด้วยความซาบซึ้ง ในสายตาของเขาแล้ว การแต่งตัวของคุณชายไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะ หรือสถานการณ์ไหน ๆ คุณชายของเขาก็ยังคงหล่อ เท่ สมาร์ท ดูดี ยากจะหาใครเปรียบปาน
“แต่รอยลิปสติกที่เสื้อแก จะทำให้ย่าขายหน้า”
“ถ้าเช่นนั้น มื้อนี้ผมขออนุญาต...”
ชลธิศกะใช้โอกาสนี้ปฏิเสธเข้าร่วมกินเลี้ยงที่ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระและชวนให้เสียเวลาอย่างมาก...ทว่าคุณหญิงกัลยากลับปิดโอกาสของเขาลงทันทีอย่างรู้ทัน
“ก็ได้ ย่าจะยกโทษให้สักครั้งแต่มีข้อแม้นะ...”
ถึงให้เดาก็เดาถูกว่าคุณย่าของเขาต้องการอะไร...แต่จะให้รับปากเลยนั่นก็ไม่ใช่คนอย่างชลธิศจะทำถึงเขาจะไม่ชอบขัดใจใคร แต่ก็ใช่จะทำตามทุกอย่างหากสมองสั่งการว่าไม่แล้วยังไงคำตอบก็คือไม่อยู่ดี ในสภาวการณ์เช่นนี้ ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
“เอ่อ...คุณหญิงมารศรีกับคุณหนูธิตามาถึงแล้วครับ”
เสียงผู้ติดตามของคุณย่าเป็นดั่งระฆังหมดยกปิดฉากเรื่องราวที่สนทนากันอยู่ เมื่อความสนใจทั้งหมดของท่านได้หันเหไปยังหญิงต่างวัยสองนางที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาด้วยอาการยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะคุณย่าหญิงสวัสดีค่ะคุณชลธิศ...กราบสวัสดีคุณหญิงย่าสิลูก แล้วนั่นก็คุณพี่ชลธิศหลานชายคนเดียวของคุณหญิงย่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยทักทายเป็นลำดับแรกก่อนจะแนะนำให้ผู้เป็นบุตรสาวได้รู้จัก
“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า”หญิงสาวพนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อยงดงามสมกับใบหน้าท่าทางที่ทั้งสวยและอ่อนหวานเอื้อให้ผู้ใหญ่ได้รู้สึกเอ็นดู ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งเงียบอยู่ใกล้ๆ “สวัสดีค่ะพี่ชลธิศ”
น้ำเสียง สีหน้า ท่าทางไม่ต่างกันกับตอนที่เธอไหว้ทักทายคุณย่า ทว่าสิ่งที่แตกต่างคงจะเป็นรอยยิ้มที่เพิ่มความหวานลงไปอีกหลายเท่า ก่อนจะเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อเลื่อนสายตาลงไปเห็นรอยลิปสติกเด่นชัดตรงอกเสื้อด้านซ้ายนั่น ก็ไหนใครต่อใครบอกว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงไง...แล้วรอยนั่นมันมาจากไหน
ธิตาเลื่อนสายตาขึ้นส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอีกรอบ เห็นอีกฝ่ายตอบรับคำทักทายเพียงแค่พยักหน้า แล้วเมินไปสนใจอย่างอื่นแทน ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่า สาวสวยทรงเสน่ห์จากตระกูลเก่าแก่ที่มีเชื้อเจ้าอย่างเธอที่หนุ่มไหนก็ใคร่อยากทำความรู้จัก จะถูกเมินได้ราวกับไร้ตัวตนแบบนี้
“อืม...กิริยางดงามน่ารัก...คุณหญิงนี่เลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆ ขนาดส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาตั้งแต่อายุไม่กี่สิบขวบก็ยังคงความเป็นกุลสตรีไทยเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่เหมือนคนบางคนที่ไปแค่ไม่ถึงปี กลับมาพูดไทยปนฝรั่งให้คนฟังเขาขบขันเป็นตัวตลก”
“หนูเอื้อยเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ หัวอ่อน ขี้อาย ว่านอนสอนง่าย” ผู้เป็นมารดาได้ทีก็ทำคะแนนไม่ยั้ง นี่ถือเป็นวาสนาอย่างที่สุด ยิ่งกว่าบุญหล่นทับ ที่คนของตระกูลใหญ่อย่างนรานุรักษ์เห็นความสำคัญของครอบครัวนางถึงขั้นเชื้อเชิญให้มาทำความรู้จักกับทายาทคนเดียวของตระกูล งานนี้นางพร้อมโปรโหมดเต็มที่
เมื่อพิธีดูตัวเริ่มขึ้น การสนทนาก็เป็นไปอย่างออกรสออกชาติ ทว่าถวิลยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนายน้อยเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก จนน่าใจหาย นายน้อยจะเอ่ยก็ต่อเมื่อมีคำถามและจะตอบคำถามก็เพียงคำตอบสั้นๆ คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าคุณหนูธิตาจะผ่านด่านความเย็นชานี้ไปได้หรือไม่
................
ดีใจที่ยังมีสมาชิกเหลืออยู่บ้าง...ถึงจะน้อย แต่ก็อุ่นใจ... ^_^
เบื้องหน้าคือตึกใหญ่สูงระฟ้า...สูงมากถึงขนาดที่อาโปจะต้องแหงนเงยจนคอตั้งบ่า...บริษัทที่เธอทำงานถึงแม้จะเป็นบริษัทใหญ่หุ้นส่วนหลักเป็นของชนข้ามชาติ แต่ก็ยังต้องเช่าสถานที่บนตึกแห่งนี้ในการประกอบกิจการ เพราะกฎหมายของประเทศระบุไว้ ห้ามการเข้าครอบครองที่ดินสิ่งปลูกสร้างโดยชนต่างชาติ ทว่าถึงกฎหมายของประเทศจะไม่เอื้อให้ต่างชาติถือครองที่ดินจนไม่อาจสร้างอาคารสำนักงานเป็นของตัวเอง...นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบหลีก มีช่องทางอยู่มากหากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับนี้จะทำ แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่สาขาใหญ่สุด โอกาสที่จะโยกย้ายฐานประกอบธุรกิจมีได้ทุกเมื่อ การเช่าอาคารสำนักงานจึงดูเหมือนจะคุ้มทุนมากกว่า และยิ่งเป็นสำนักงานที่มีเจ้าของตึกถือครองหุ้นส่วนหนึ่ง แม้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมด แต่เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกัน มูลค่าหุ้นของเจ้าของคนไทยคนนี้ค่อนข้างสูงกว่าใคร จึงไม่แปลกที่บริษัทจะถูกดึงความสนใจให้มาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำสาขาประเทศไทย ณ ตึกสูงระฟ้าแห่งนี้
“มัวมองอะไรอยู่ฮึอาโป...อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลางานแล้วนะวันนี้มีประชุมใหญ่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
เสียงทักทายทางด้านหลังไม่ทำให้อาโปสะดุ้งได้เท่าฝ่ามือที่ตีเพี๊ยะ! ลงบนไหล่ น้ำหนักมือที่กระแทกลงมาทีเผลอทำเอาหญิงสาวถึงกับเซไปข้างหน้า ก่อนจะหันไปทำตาเขียวใส่
“ถามจริงเถอะ มือหรือเท้ายะที่สะกิดไหล่ฉันเมื่อครู่นี้...โธ่...จะทักทายดีหน่อยไม่ได้ไงยัยไอยรา”อาโปบ่นทั้งลูบไหล่ปอย ๆ
“ไอรดาย่ะ...เรียกให้มันถูกๆ หน่อย”คนเรียกด้วยความหมายว่าช้างค้อนหน้าคว่ำ
“แหม...ก็มือหนักอย่างกะเท้าช้างมันสมควรไหมล่ะ” อาโปว่าพลางจับข้อมือเพื่อนขึ้นเขย่า
“เอาเถอะฉันให้อภัย...ยังไงตอนนี้ก็ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวลี้มกโช้วจะงับหัวจมเขี้ยว...”ลี้มกโช้วที่ไอรดาพูดถึงก็คือคุณไพลินผู้ช่วยผู้จัดการสาวใหญ่ ที่มีดวงตาทั้งสวย คม ดุ ทั้งเฮี้ยบ และโหดไม่ต่างจากตัวละครเอกจากวรรณกรรมจีนกำลังภายในอันลือลั่นที่ทั้งสองสาวชอบดูนอกจากเธอจะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่แล้ว เธอยังพ่วงตำแหน่งรักษาการเลขานุการของผู้จัดการอีกหนึ่งจึงไม่ต่างกับเสือติดปีกให้ใครต่อใครต้องย่ำเกรง
“จะกลัวไปทำไม เราไม่ได้มาสายสักหน่อยเหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที” อาโปเอ่ย ทั้งยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันรำคาญ...” สีหน้าเหนื่อยหน่ายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนจะแปรเปลี่ยนตกกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้“เออจริงสิ...ได้ข่าวมาว่าผู้จัดการใหญ่คนใหม่จากสาขาลอนดอนจะย้ายเข้ามาทำงานวันนี้ด้วยนะ จะเป็นฝรั่งหล่อๆ ผมสีทองประกายระยิบระยับหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงมีการแนะนำตัวกันในที่ประชุม และที่สำคัญไม่เกินสามวันเราก็จะมีลาภปากครั้งใหญ่ในงานเลี้ยงต้อนรับท่านผู้จัดการ...ไปกันเถอะ เร็วเข้า”
ข้อมือเล็กๆ ของอาโปถูกคว้าหมับ ทั้งลากกึ่งจูงให้เดินแกมวิ่งผ่านประตูกระจกสีชาบานใหญ่เข้าไปสู่ห้องโถงกว้างที่เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ เพราะความเร่งรีบโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาอาโปต้องเดินสะดุดเท้าตัวเองแทบล้มหัวคะมำเสียหลายครั้ง
“เดี๋ยวสิไอซ์ ช้าๆ หน่อยฉันขาสั้นกว่าเธอ ฉันตามไม่ทัน” อาโปประท้วง แต่สุดท้าย ไอรดาเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากที่ร่ำเรียนเขียนอ่านด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยก็พาเธอมาหยุดหอบหายใจอยู่ที่หน้าลิฟต์ซะแล้ว
สายตาหลายคู่ของพนักงานที่กำลังขึ้นลิฟต์ต่างพุ่งตรงมายังสองสาวพร้อมๆ กันก่อนจะเบนความสนใจไปยังตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนแถบบอกระดับชั้น พอลิฟต์เปิดอาโปรอให้ทุกคนเข้าไปก่อนเพราะเห็นแก่ที่ว่าเธอมาท้ายสุด
“เข้ามาสิอาโป”ไอรดาที่ขยับหาที่ยืนจนถูกกลืนเข้าไปด้านในกวักมือเรียกเพื่อน
ทว่าพอเธอก้าวเท้าเข้าไปเหยียบเต็มสองเท้าเสียงเตือนน้ำหนักเกินก็ดังขึ้น อาโปจำต้องรีบถอยออกไปภายนอกด้วยความอาย ก็สายตาของแต่ละคนที่จ้องมองมานี่สิ จ้องมาราวกับว่าเธอมีน้ำหนักร่วมร้อยกิโลซะงั้น
“ขึ้นไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันรอเที่ยวต่อไป” เธอบอกพนักงานชายที่กดปุ่มบังคับประตูให้เปิดรอทั้งหันไปสบตาเพื่อนส่งยิ้มให้พลางขยับปากบอกว่าไม่ต้องห่วง
ประตูลิฟต์ปิดลง แยกอาโปกับไอรดาออกจากกันโดยปริยาย หมายเลขชั้นเลื่อนไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูงอาโป ได้แต่ถอนหายใจปลงกับชีวิต ที่วันนี้เธออาจต้องเข้าทำงานสายกว่าปกติ
“ลิฟต์ไปแล้วเหรอครับ”
น้ำเสียงปนหอบดังขึ้นทางด้านหลังให้หญิงสาวหันกลับไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าผู้มาใหม่ หน้าตาของเขาจัดว่าดีมาก แต่งกายสุภาพเหมือนเช่นพนักงานออฟฟิศทั่วไปทว่าดูภูมิฐานไม่น้อยและไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด เขาอาจจะมาติดต่องานหรืออาจเป็นพนักงานคนใหม่ของบริษัทใด บริษัทหนึ่งที่เช่าตึกแห่งนี้ทำการอยู่ อาโปยิ้มบางๆ อย่างน้อยวันนี้เธอก็มีโอกาสได้อาหารตาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าต้องตาต้องใจมากๆถึงหนึ่งคน แม้คนนี้จะหล่อเหลาสูสีกับคนบนรถไฟฟ้า ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมากรี๊ดกร๊าดให้ความสนใจเป็นเด็กสาววัยรุ่น
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับลิฟต์ต่อ ถอน
หายใจทั้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้งมีเวลาเพียงห้านาที ที่จะลงเวลาทำงานโดยไม่ถูกขีดเส้นแดง
“คุณยืนรอนานแล้วเหรอครับ”
ชายคนนั้นเอ่ยเหมือนชวนคุยฆ่าเวลาท่าทีสุภาพและแสดงออกถึงความเป็นมิตร ทำให้อาโปไม่อาจทำเมินเฉยได้อย่างที่ตั้งใจ“ฉันมาทันลิฟต์รอบที่แล้วค่ะ แต่พอดีว่าน้ำหนักเกินเลยต้องรอรอบต่อไป” รู้สึกเหมือนกันว่าเธอตอบไม่ค่อยจะตรงคำถามสักเท่าไหร่
ชายหนุ่มพลิกมองนาฬิกาที่ข้อมือ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแสดงสีหน้ากังวลเด่นชัด แม้อาโปไม่ได้ถาม แต่เขาก็เอ่ยออกมาให้รู้โดยไม่ปิดบัง “ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่วันนี้เป็นวันแรก...รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องมาสายตั้งแต่วันเริ่มต้นทำงาน”
“ยังมีเวลาเหลือค่ะ อย่ากังวลเลยแต่หากคุณรีบมาก ก็น่าจะพิจารณาบันไดนะคะ” หญิงสาวแนะนำ
อาโปคิดว่าเขาคงไม่ทำตามคำแนะนำที่แสนเหนื่อยนั้นแน่นอนหากบริษัทที่เขาเข้าทำงานไม่ได้อยู่ต่ำกว่าสามชั้น ใครบ้างที่อยากจะมีเหงื่อโทรมตัวในเช้าวันแรกของการทำงาน ซึ่งต่างจากเธอที่หากเจอสถานการณ์เช่นนี้อาโปจะเลือกใช้บันได ถึงห้องทำงานจะอยู่ชั้นห้ายังไงก็น่าจะเร็วกว่าต้องรอลิฟต์รอบต่อไป ทว่าครั้งนี้เธอขอบายความคิดนั้นเพราะรู้สึกปวดข้อเท้าจากที่ต้องเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนเมื่อครู่ เธอไม่อยากใช้งานมันหนักเกินจำเป็น เพราะถ้ามันระบมขึ้นเรื่องยุ่งยากก็คงตามมา
“อืม...ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางนะครับแต่...ผมว่าเราคงไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะ ลิฟต์ลงมาถึงพอดี”
หนุ่มนิรนามส่งยิ้มขอบคุณมาให้แต่...เขาใช้คำว่า เรา พูดยังกะว่า ถ้าเขาตัดสินใจจะเดินขึ้นบันไดจริงๆ แล้ว เธอจะต้องเดินไปเป็นเพื่อนเขาอย่างนั้นแหละ
ประตูลิฟต์เปิดออกร่างสูงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญสุภาพสตรีให้เข้าไปก่อนเขาค่อยก้าวตาม “ชั้นไหนครับ”คำถามยังสุภาพตามแบบฉบับบุคลิกที่ปรากฏ
“ชั้นห้าค่ะ”เธอตอบพลางเมินมองไปทางอื่นที่ไม่ร่างสูงของผู้ชายดูดีที่คอยแต่จะเหลือบมองด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ จะยิ้มอะไรกันนักหนานะ...
“อาโป...มาถึงซะที เร็วเข้าเถอะนางมารลี้มกโช้ว รองาบหัวเธออยู่เนี่ย เร็วเข้ารีบเอาแฟ้มงานที่เตรียมประชุมไปให้หล่อนเดี๋ยวนี้เลย” ไอรดาตรงดิ่งเข้ามาคว้าข้อมือเพื่อนรักทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดทั้งจูงแกมลากไปยังแผนกที่เธอทำงานโดยไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจเจ้าของแววตาคมกล้าที่กำลังส่งสายตาแวววับตามหลังสองสาวไปจนลับสายตา
“แล้วเจอกันนะครับ”เสียงแผ่วดังลอดริมฝีปากที่ขยับเพียงเล็กน้อยก่อนจะก้าวตามออกมาพ้นประตูลิฟต์ที่ปิดตัวลงในเวลาต่อมา
ณ ห้องประชุมประจำสำนักงาน...
ผู้เข้าร่วมประชุมในวาระสำคัญวันนี้มีเฉพาะหัวหน้าแผนกและผู้เกี่ยวข้องเพียงสิบกว่าคน สองในนั้นก็มีอาโปและไอรดาร่วมอยู่ด้วยในฐานะผู้ประสานงาน
วาระการประชุมนอกเหนือจากสรุปผลการประกอบการตามไตรมาสแล้ว อีกประเด็นสำคัญก็คือการแนะนำตัวเข้ารับตำแหน่งของท่านผู้จัดการคนใหม่ และท่านผู้จัดการคนนี้ก็ทำเอาอาโปสะดุ้งจนเกือบตกเก้าอี้ทันทีที่เขาเดินเข้ามาหยุดยืนในตำแหน่งประธานของที่ประชุม
“ไหนแกว่าเป็นฝรั่งผมทองไง” หญิงสาวหันไปกระซิบถามเพื่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่เจอหน้าลิฟต์มิน่าถึงได้บอกว่าเพิ่มมาทำงานที่นี่เป็นครั้งแรก
“ฉันแค่เดาเอาน่ะ...ก็เห็นบอกว่าย้ายมาจากสาขาลอนดอน...แต่...เป็นคนไทยก็ดีแล้ว จะได้ไม่เมื่อลิ้น” ไอรดาตอบพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้เพื่อน
“บ้า...ลามก”
“อะไร...ฉันหมายถึงไม่ต้องพูดอังกฤษให้เมื่อลิ้นต่างหาก นี่แกคิดไปถึงไหนเนี่ย”
“เงียบๆ หน่อยสองคนนั่นน่ะ นี่ห้องประชุมนะ ไม่ใช่ห้องเรียน”
เสียงแหลมทะลวงแก้วหูดังขึ้น หยุดการสนทนาที่ยังหาสาระไม่เจอนั้นลงในทันที แต่ไม่อาจหยุดความคิดของอาโปที่เธอเห็นว่า คุณไพลินน่าจะไปสมัครเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองซะจริงๆ
“สวัสดีครับ ผมชื่อวสันต์ เรืองวรวัฒน์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ”ชายหนุ่มมาดดี ยิ้มกว้างพลางกวาดสายตาทักทายสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนกระทั่งไปหยุดนิ่งที่ใบหน้าสวยใสของคนคนหนึ่งซึ่งทำให้เขาเปิดยิ้มกว้างขึ้นดั่งว่าเจอคนรู้จัก
“คุณวสันต์ เรืองวรวัฒน์ ท่านย้ายมาจากสาขาที่ลอนดอนจุดประสงค์ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานในสาขาประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสาขาทางยุโรปและอเมริกาดิฉันหวังว่าทุกคนคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”เสียงดังกังวานของไพลินเหมือนจะดังกว่าการพูดผ่านเครื่องขยายเสียงเสียอีก แต่ก็ดึงดูดความสนใจจากสมาชิกที่ประชุมได้ไม่เท่าใบหน้าคมคายของหัวหน้าคนใหม่
“โห...หัวหน้าคนใหม่นี่หล่อใช่เล่นเลยนะ...ว่าไหม”ไอรดาอดยื่นหน้ามากระซิบกระซาบแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนไม่ได้
“อืม...”
“ฮะ! ขานรับแค่นี้นี่นะ...” คิ้วเรียวของไอรดาขมวดหมุนไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบที่ได้สักเท่าไหร่
“เงียบน่า เดี๋ยวก็ถูกฝ่ามือเบญจพิษหรอกแกไม่เห็นสายตานางมารลี้มกโช้วของแกเหรอ” อาโปเตือนเบาๆ ทั้งก้มหน้าหลบสายตา ทว่าไม่ใช่หลบสายตาของไพลินที่กำลังส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่เธอกำลังหลบหัวหน้าคนใหม่ก็ไม่รู้จะยิ้มอะไรกันนักกันหนานั่นต่างหาก
ไอรดาเองเมื่อเหลือบตาขึ้นมองไปยังสาวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างประธานของที่ประชุมก็ได้แต่ทำหน้าแหยๆ ยืดตัวตรงทำทีสนใจรับฟังวาระต่อ
“เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องงานกันต่อเลย ส่วนเรื่องของผมนั้น อนาคต...ไว้เราค่อยหาเวลาและโอกาสทำความรู้จักกันให้มากขึ้นต่อไปนะครับ”
คำพูดแกมรอยยิ้มพริ้มพรายที่เหมือนจะโปรยปรายให้กับทุกคนจนได้รับทั่วหน้า ทว่าสายตาของผู้จัดการหนุ่มก็ยังวกกลับมาหยุดลงที่อาโปเป็นที่สุดท้ายเสมอ...เธอรู้สึกได้...นี่เธอควรจะดีใจหรือเสียใจล่ะทีนี้ที่มีโอกาสได้รู้จักกับท่านผู้จัดการคนใหม่ก่อนใคร แต่ไหงความรู้สึกมันถึงได้ดูก้ำๆ กึ่งๆ ยังไงบอกไม่ถูกกันแบบนี้นะ...
ณ ภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังในย่านธุรกิจ...
ภัตตาคารแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีอาหารเลิศรสมากมายให้เลือกอันเป็นของที่หารับประทานยาก และมีราคาแพง ทว่าในเวลาใกล้จะถึงเที่ยงวันบรรดาลูกค้าไฮโซขาประจำต่างก็ค่อยทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันไม่ขาดสาย แม้มากหน้าหลายตาแต่ก็ไร้ความรู้สึกพลุกพล่านชวนให้ผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารอย่างสงบต้องเสียอารมณ์ กระนั้นความพลุกพล่านที่ชวนให้รู้สึกดูเหมือนว่าจะเกิดจากพนักงานของร้านเสียมากกว่า จนแขกบางรายที่คุ้นเคยกับทางร้านอดที่จะเอ่ยปากถามถึงสาเหตุไม่ได้
“มีอะไรเหรอ...ทำไมดูวุ่นวายกันจัง”
“มีแขกคนสำคัญจองห้องวีไอวีของทางร้านครับ”พนักงานตอบตามตรง ขณะวางอาหารลงบนโต๊ะของลูกค้า
“ก็แค่แขกที่จองห้องวีไอพีสำคัญมากแค่ไหนเชียว ทำยังกะมีราชนิกูลให้เกียรติมาใช้บริการซะงั้นแหละ”น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความรู้สึกไม่ชอบใจชัดเจน
“ตระกูลนรานุรักษ์น่ะครับ”
แค่คำตอบที่ได้รับจากบริกร ก็ทำให้แขกผู้อยากรู้อยากเห็นเงียบกริบ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักตระกูลนรานุรักษ์ ตระกูลเก่าแก่ที่มีความร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยความร่ำรวยอาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีมากมายหลายตระกูลทั้งเศรษฐีเก่าและใหม่ต่างมีความร่ำรวยอยู่มากมายหลายตระกูล ทว่าตระกูลนรานุรักษ์นั้นต่างออกไปด้วยคำว่าร่ำรวยแถมพ่วงด้วยการมีอิทธิพลทางธุรกิจ เป็นตระกูลที่แทบจะทุกวงการให้ความย่ำเกรง ไม่ว่าจะเป็นวงการธุรกิจหรือการเมืองจึงไม่แปลกที่วันนี้ ทางร้านดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับลูกค้าระดับเพชรที่สั่งเปิดห้องวีไอพีและสั่งอาหารชุดใหญ่ในราคาเรือนหมื่นการบริการจึงเป็นได้ด้วยความพิเศษเพื่อให้เกิดความประทับใจที่สุดของที่สุดซึ่งอาจส่งผลให้พวกเขาได้ทิปกระเป๋าตุง
และนอกเหนือจากความต้องการสมนาคุณเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องการให้บริการแล้ว ในอีกสิ่งหนึ่งอันเป็นที่เฝ้ารอของเหล่าบริกรสาวๆ นั่นคือทุกคนต่างอยากเห็นหน้าทายาทตระนรานุรักษ์แบบตัวเป็นๆ ทายาทผู้เป็นเจ้าของคุณสมบัติอันสุดแสนสมบูรณ์แบบ ทั้งสูงส่ง สง่างาม หล่อเหลา ร่ำรวยเด่นทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติจนยากจะหาใครมาทาบรัศมีได้
แต่ก็น่าแปลกอยู่มากที่คนผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้จะยังครองตัวเป็นโสดมาจนอายุย่างเข้าวัยสามสิบสอง นั่นจึงเป็นเหตุทำให้เกิดข่าวลือหนาหูจนผู้เป็นใหญ่ที่สุดแห่งตระกูลอดรนทนไม่ไว้ จำต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตระกูลเอาไว้มิให้ด่างพร้อย
“คุณเดี่ยวมาถึงแล้วครับคุณท่าน”เสียงที่เอ่ยอย่างสุภาพ ทำได้เพียงให้หญิงชราพยักหน้าตอบรับก่อนจะหยิบชาถ้วยเล็กขึ้นจิบ
“ขอโทษนะครับที่ให้คุณย่ารอ”ชายหนุ่มเอ่ยทั้งโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังก้าวอี้ข้างกัน
“ก็ยังอยู่ในเวลาที่กำหนดอีกอย่างฝ่ายโน้นยังเดินทางมาไม่ถึง ก็ไม่ถือว่ามาสายหรอก” หญิงวัยเจ็บสิบปลายๆ ทว่าสุภาพยังดูแข็งแรงกว่าอายุเอ่ย แหมสีหน้าจะดูเรียบเฉยแต่แววตายังฉายความพอใจเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
“ครับ...” ชายหนุ่มตอบ แล้วก้มหน้าเงียบจมปลักอยู่กับความคิดที่ไม่มีใครสามารถเข้าแทรกแซงได้
“เสื้อเลอะอะไร...เมื่อเช้าออกจากบ้านก็ยังดูดีอยู่นี่”ผู้เป็นย่าขยับแว่นหันมามองหลานชายเต็มตา ทั้งขมวดคิ้วเป็นปม
“อุบัติเหตุนิดหน่อยระหว่างทางครับไม่มีอะไรมาก” ชลธิศเอ่ย
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ...ความผิดของกระผมเองขอครับนายท่านที่ไม่ตรวจสภาพรถให้ดีทำให้คุณชายต้องไปยืนเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ในขบวนรถไฟฟ้า” ถวิลที่ยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ รีบออกตัวขอโทษขอโพยด้วยเม็ดเหงื่อที่เริ่มจะซึมออกทางหน้าผาก เมื่อพบสายตาคาดโทษที่ทำให้เขาถึงกับเย็นวาบไปทั้งสันหลัง
“ชลธิศต้องขึ้นรถไฟฟ้าเหรอ”เสียงถามนั้นแหลมปรี๊ด
“ขอรับ”
“แกไม่เคยบกพร่องเรื่องแบบนี้นี่ถวิลดูท่าแกจะแก่เกินไปแล้ว...”
“อา...คุณท่านครับ...ได้โปรดเถอะครับ ให้อภัยผมด้วยรับรองว่าครั้งต่อไปผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
จากเหงื่อที่ชื้นไปทั้งหน้าผาก บวกกับใบหน้าที่ซีดเผือดชวนให้รู้สึกสงสารคนเก่าคนแก่คนนี้อยู่ไม่น้อยหากจะถูกทำโทษด้วยการไล่ออก แต่ชลธิศรู้ดี ถึงคุณย่าจะเป็นคนดุและเข้มงวดแต่ก็ใช่ว่าจะใจร้ายโดยไร้เหตุผลอันควร
“ช่างเถอะครับถึงยังไงผมก็มาทันเวลาอย่างที่คุณย่าบอกแล้วการแต่งตัวของผมก็สุภาพพอที่จะไม่ทำให้คุณย่าขายหน้าใคร”
ถวิลเหลือบมองเจ้านายหนุ่มด้วยความซาบซึ้ง ในสายตาของเขาแล้ว การแต่งตัวของคุณชายไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะ หรือสถานการณ์ไหน ๆ คุณชายของเขาก็ยังคงหล่อ เท่ สมาร์ท ดูดี ยากจะหาใครเปรียบปาน
“แต่รอยลิปสติกที่เสื้อแก จะทำให้ย่าขายหน้า”
“ถ้าเช่นนั้น มื้อนี้ผมขออนุญาต...”
ชลธิศกะใช้โอกาสนี้ปฏิเสธเข้าร่วมกินเลี้ยงที่ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระและชวนให้เสียเวลาอย่างมาก...ทว่าคุณหญิงกัลยากลับปิดโอกาสของเขาลงทันทีอย่างรู้ทัน
“ก็ได้ ย่าจะยกโทษให้สักครั้งแต่มีข้อแม้นะ...”
ถึงให้เดาก็เดาถูกว่าคุณย่าของเขาต้องการอะไร...แต่จะให้รับปากเลยนั่นก็ไม่ใช่คนอย่างชลธิศจะทำถึงเขาจะไม่ชอบขัดใจใคร แต่ก็ใช่จะทำตามทุกอย่างหากสมองสั่งการว่าไม่แล้วยังไงคำตอบก็คือไม่อยู่ดี ในสภาวการณ์เช่นนี้ ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
“เอ่อ...คุณหญิงมารศรีกับคุณหนูธิตามาถึงแล้วครับ”
เสียงผู้ติดตามของคุณย่าเป็นดั่งระฆังหมดยกปิดฉากเรื่องราวที่สนทนากันอยู่ เมื่อความสนใจทั้งหมดของท่านได้หันเหไปยังหญิงต่างวัยสองนางที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาด้วยอาการยิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะคุณย่าหญิงสวัสดีค่ะคุณชลธิศ...กราบสวัสดีคุณหญิงย่าสิลูก แล้วนั่นก็คุณพี่ชลธิศหลานชายคนเดียวของคุณหญิงย่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยทักทายเป็นลำดับแรกก่อนจะแนะนำให้ผู้เป็นบุตรสาวได้รู้จัก
“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า”หญิงสาวพนมมือไหว้อย่างอ่อนช้อยงดงามสมกับใบหน้าท่าทางที่ทั้งสวยและอ่อนหวานเอื้อให้ผู้ใหญ่ได้รู้สึกเอ็นดู ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งเงียบอยู่ใกล้ๆ “สวัสดีค่ะพี่ชลธิศ”
น้ำเสียง สีหน้า ท่าทางไม่ต่างกันกับตอนที่เธอไหว้ทักทายคุณย่า ทว่าสิ่งที่แตกต่างคงจะเป็นรอยยิ้มที่เพิ่มความหวานลงไปอีกหลายเท่า ก่อนจะเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อเลื่อนสายตาลงไปเห็นรอยลิปสติกเด่นชัดตรงอกเสื้อด้านซ้ายนั่น ก็ไหนใครต่อใครบอกว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงไง...แล้วรอยนั่นมันมาจากไหน
ธิตาเลื่อนสายตาขึ้นส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอีกรอบ เห็นอีกฝ่ายตอบรับคำทักทายเพียงแค่พยักหน้า แล้วเมินไปสนใจอย่างอื่นแทน ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่า สาวสวยทรงเสน่ห์จากตระกูลเก่าแก่ที่มีเชื้อเจ้าอย่างเธอที่หนุ่มไหนก็ใคร่อยากทำความรู้จัก จะถูกเมินได้ราวกับไร้ตัวตนแบบนี้
“อืม...กิริยางดงามน่ารัก...คุณหญิงนี่เลี้ยงลูกสาวได้ดีจริงๆ ขนาดส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาตั้งแต่อายุไม่กี่สิบขวบก็ยังคงความเป็นกุลสตรีไทยเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่เหมือนคนบางคนที่ไปแค่ไม่ถึงปี กลับมาพูดไทยปนฝรั่งให้คนฟังเขาขบขันเป็นตัวตลก”
“หนูเอื้อยเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ หัวอ่อน ขี้อาย ว่านอนสอนง่าย” ผู้เป็นมารดาได้ทีก็ทำคะแนนไม่ยั้ง นี่ถือเป็นวาสนาอย่างที่สุด ยิ่งกว่าบุญหล่นทับ ที่คนของตระกูลใหญ่อย่างนรานุรักษ์เห็นความสำคัญของครอบครัวนางถึงขั้นเชื้อเชิญให้มาทำความรู้จักกับทายาทคนเดียวของตระกูล งานนี้นางพร้อมโปรโหมดเต็มที่
เมื่อพิธีดูตัวเริ่มขึ้น การสนทนาก็เป็นไปอย่างออกรสออกชาติ ทว่าถวิลยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนายน้อยเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก จนน่าใจหาย นายน้อยจะเอ่ยก็ต่อเมื่อมีคำถามและจะตอบคำถามก็เพียงคำตอบสั้นๆ คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าคุณหนูธิตาจะผ่านด่านความเย็นชานี้ไปได้หรือไม่
................
ดีใจที่ยังมีสมาชิกเหลืออยู่บ้าง...ถึงจะน้อย แต่ก็อุ่นใจ... ^_^
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2564, 04:16:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.พ. 2564, 04:16:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 412
<< จุดเริ่มต้นเรื่องราว | ตอนที่2 >> |