เปลวไฟกามเทพ
เธอ...คือผู้ก่อสุมความแค้น
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
Tags: รักปนเศร้า

ตอน: ตอนที่ 6 ทาสชะตากรรม

ตอนที่ 6

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นความฝันสำหรับกันเกราที่จะได้เข้ามาเรียนที่นี่ วันนี้เป็นวันแรกที่ทางมหาวิทยาลัยฯ เปิดรับลงทะเบียนนักศึกษาใหม่ บัดนี้มีเหล่านักเรียนนักศึกษาจากหลายสถาบันทั้งชายและหญิงต่างยืนรอเรียงแถวเพื่อจะลงทะเบียนเป็นนักศึกษา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกันเกราที่ยืนมองเลยแถวของตัวเองไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส

ถึงแม้เงินจะถูกขโมยไป แต่แก้วกาญจน์ผู้เป็นพี่สาวก็ช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ และยิ่งเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของภาวสุทธิ์ด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็รีบยื่นมือเข้ามาช่วยเช่นกัน เพราะเขารู้ คนขยันและสู้ชีวิตอย่างกันเกราควรจะส่งเสริม และเมื่อยามตกยาก เขาก็ควรจะช่วยเหลือ

หลังจากที่ได้ลงทะเบียนในคณะที่เธอใฝ่ฝันเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็เดินมาหยุดอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ดวงตาคู่สวยเป็นประกายเจิดจ้าด้วยความดีใจ ก่อนจะก้มลงมองแผ่นกระดาษใบสีน้ำตาลเทาซึ่งมีรายวิชาและชั่วโมงเรียนของแต่ละวิชาพิมพ์อยู่ในนั้น บนหัวกระดาษคือรหัสนักศึกษาของเธอ พร้อมกับชื่อคณะที่บอกอย่างชัดเจน

“ในที่สุดฉันก็ได้เข้ามาเรียนในคณะนี้จนได้ ขอบคุณพี่แก้วมากๆ นะจ๊ะที่ช่วยให้ฉันสมหวัง ขอบคุณคุณภาวสุทธิ์นะจ๊ะที่คุณเข้าใจและช่วยเหลือฉัน ขอบคุณจริงๆ”

ประกายตาสดใสทอดมองไปข้างหน้า ภาพในสายตาของเธอบัดนี้มันคือตึกสีขาวสะอาดตา ที่ตั้งเด่นอยู่ในหมู่ร่มไม้อันร่มรื่น มันคือแผนกในความฝันของเธอ

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า มือหนาของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาคว้าลงที่หัวไหล่ของเธออย่างถือวิสาสะ ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มจะดังขึ้นใกล้ๆ

“เอ่อ ขอโทษครับ น้องใช่กันเกราหรือเปล่าครับ”

เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ถึงกับสะดุดต่อน้ำเสียงนั้น เธอค่อยๆ เบี่ยงกายหันกลับมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเปิดยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

“ชัช”

“เป็นเธอจริงๆ ด้วย กันเกรา”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน เมื่อเห็นว่าคนที่ตนมาทักนั้นเป็นคนที่เขาสงสัยตั้งแต่ยืนรอเข้าแถวลงทะเบียนจริงๆ เขาจูงมือหญิงสาวให้มานั่งลงที่ม้าหินอ่อน ข้างๆ เพื่อจะได้ซักถามกันอย่างถนัดกว่านี้

“แล้วนี่เธอได้มาเรียนแล้วหรือ คณะอะไรล่ะ”

“อือ ก็คณะที่ฉันฝันเอาไว้นั่นแหละ แล้วนายล่ะนายชัช ตั้งแต่วันนั้นเงียบหายไปเลยนะ แหม แต่งตัวแบบนี้ก็เท่ไปอีกแบบฉันแทบจะจำไม่ได้”

กันเกราเอ่ยบอกอย่างดีใจ ตั้งแต่จบจากชั้นม. 6 เพื่อร่วมห้องทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมด ส่วนเธอก็ต้องทำมาหากินอยู่ตั้งหนึ่งปีเพื่อจะเก็บเงินเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ข่าวคราวเรื่องเพื่อนๆ โดยเฉพาะชัชนันท์เพื่อชายที่สนิทที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะห่างหายไปเหมือนกัน

“เราหรือ เราเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ เรียนทั้งเขียนแบบ การออกแบบและอีกอะไรหลายๆ อย่าง ตอนแรกเราคิดว่าจะง่ายซะอีก แต่ที่ไหนได้ยากชะมัด”

ชัชนันท์ทำหน้ายู่เมื่อพูดถึงคณะในฝันของตัวเอง แต่เขาก็ยังมีความสุขเมื่อได้เรียนในสิ่งที่ตนใฝ่ฝันมาตลอด

“ยากนายก็ต้องตั้งใจสิ ให้นึกเสียว่าเรามีโอกาสแล้วก็ต้องเรียนให้ถึงที่สุด ไม่เหมือนกับใครอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสเรียนอย่างเรา”

หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เพราะคำว่า “โอกาส” นี้เองที่เธอเกือบจะไม่มี

“เออแฮะ ไม่เจอกันแค่ปีกว่าๆ เธอดูเป็นผู้ใหญ่ไปมากเลยนะกันเกรา”

“นายก็พูดไปนายชัช เพราะประสบการณ์ต่างหากที่สอนฉัน”

“จ้า แม่สาวผู้มากประสบการณ์” ชัชนันท์เอ่ยเป็นเชิงทีเล่นทีจริงแล้วหัวเราะ

“เฮ้อ แต่ก็ดีใจนะที่ได้เจอนายที่นี่ ฉันก็นึกว่าจะไม่มีเพื่อนแล้วซะอีก”

ทั้งสองหนุ่มสาวต่างหันหน้ามามองกันด้วยความรู้สึกดีใจแกมตื้นตันใจ หนึ่งปีเต็มๆ ที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน ดังนั้นจึงมีอีกหลายๆ เรื่องที่ทั้งสองต่างเล่าสู่กันฟัน ผสมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ถูกจุดขึ้น และนั่นก็พอจะทำให้เด็กสาวลืมเรื่องเศร้าไปได้บ้าง
****

ในช่วงเย็นของวันนั้นนางกระเพราก็เดินออกจากบ่อนพนันด้วยความอารมณ์ดี เพราะวันนี้เธอได้กำไรจากการลงทุนและรู้สึกว่ามันจะมากกว่าทุกวันเสียด้วยสิ หญิงกลางคนยิ้มแป้นกันเงินก้อนในมือของตัวเองแล้วก้มลงจูบมันด้วยอารมณ์ที่สุนทรีย์

“เงิน เงิน โอ้โฮวันนี้ทำไมดวงของนังกระเพรามันถึงดีอย่างนี้วะ ฮ่า ฮ่า”

มารดาของกันเกราเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ความตื้นตันในหัวอกมีมากจนมันกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดและเสียงหัวเราะอย่างสะใจในอารมณ์ หากแต่ความโชคดีมักจะมาพร้อมกับความทุกข์เสมอ ซึ่งข้อนี้หญิงกลางคนก็ไม่เคยคิดและอยากจะให้มันเกิดขึ้นสักนิด และเมื่อเดินมาถึงตรงแยกแห่งหนึ่งนางก็ต้องตกใจเมื่อมีใครคนหนึ่งยืนจังก้าขวางทางอยู่ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

“เสี่ยกำจร!!”

สองตาของนางกระเพราเบิกกว้าง ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ในบัญชีของคนที่นางอยากจะพบมากที่สุดในเวลานี้ นางจึงพยายามจะหลบสายตาและรีบยัดเงินเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อในทันที

“มันจะมาหา เชี่ย-อะไรวันนี้ว่ะ ไอ้เสี่ยเฒ่า” กระเพรานึกเอ็ดด่าอยู่ในใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นกิริยาที่ยิ้มแย้มออกมาในที่สุด

“แหะๆ เสี่ย หวัดดีจ๊ะ”

ยกมือไหว้เสี่ยเฒ่าอย่างอารมณ์ดี จนทำให้อีกฝ่ายเปิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า นังกระเพรา เป็นยังไงบ้างว่ะ วันนี้ดวงดีหรือเปล่า”

“ก็ พอๆ ไปได้ล่ะจ๊ะ”

เจอสายตาแกมขู่ของชายชรา นางก็ถึงกับติดอ่าง ก็สายตาของอีตาเฒ่ากำจรน่ะสิ วันนี้ดูเหมือนมันจะไม่มาเล่นๆ เสียแล้วล่ะ อีนังกระเพราเอ้ย

“แต่ข้าว่าวันนี้เอ็งจะได้ดีนะ ดูสง่าราศีที่มันจับหน้าของเอ็งสิ วิบวับเลยว่ะ ฮ่ะฮ่า”

เสี่ยเฒ่าพูดพร้อมสายตาที่ทอดมองร่างป้อมตรงหน้า ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงกระเป๋าอันเป็นตำแหน่งของเงินที่กระเพราเพิ่งยัดใส่ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“เสี่ยมองอะไรนะ อย่านะฉันไม่ใช่สาวๆ แล้ว ฉันมีลูกมีผัวแล้วนะ”

“ฮึๆ นังกระเพรา เอ็งนึกว่าข้าจะพิศวาสเอ็งนะรึ ไม่มีทางดอกเว้ย”

เสี่ยเฒ่าหงายหน้าขึ้นหัวเราะร่า หากแต่ก็ยังไม่วายย่างสามขุมตรงไปหานางกระเพรา พร้อมกับสายตาแกมดุที่มองอยู่ตรงจุดนั้นนิ่ง จนอีกฝ่ายถอยกรูดไปจนติดรั้วสังกะสีด้วยอาการตื่นกลัว อีกทั้งสับสนต่อปฏิกิริยาของไอ้เสียเฒ่าที่เดินเข้าหานางด้วยจุดประสงค์ร้ายมากกว่าดี

“อย่านะเสี่ย อย่านะฮือๆ”

ยกมือไหว้อย่างขอความเมตตา เมื่อเสี่ยกำจรตรงเข้าประชิดตัว ก่อนจะยื่นมือไปล้วงเอาเงินในกระเป๋าของอีกฝ่ายออกมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของนางกระเพรา

“ฮ่าๆ นังกระเพรา ไหนเอ็งว่าพอไปได้ยังไงล่ะว่ะ เนี้ยมันเรียกว่ามากโขเลยนะเว้ย”

เสี่ยกำจรชูเงินขึ้นนับท่ามกลางเสียงหัวเราะ “ข้าจะถือว่านี่เป็นดอกของเดือนที่แล้วที่เอ็งยังไม่ได้จ่ายก็แล้วกันนะ”

“ได้ไงล่ะเสี่ย เดือนที่แล้วฉันก็จ่ายให้เสี่ยแล้ว และก็วันก่อนฉันก็ใช้ให้เสี่ยจนหมดแล้ว ทำไมมันไม่หมดสักทีล่ะ”

“ยังไม่หมดเว้ย นั่นมันแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทีเอ็งมาเซ็นเอาไปจากข้าทำไมไม่คิดว่ะ มาโทษข้าได้ยังไง ข้าไม่ได้กดมือเอ็งเขียนสักหน่อย หรือว่าจะเอาหลักฐานข้าจะได้ให้ไอ้เมฆมันเอามาให้ดู”

เสี่ยเฒ่าเจ้าเล่ห์ยื่นไพ่ที่เหนือกว่าออกมา จนนางกระเพราก็พูดไม่ออกเช่นกัน จริงสิ หลักฐานที่นางเซ็นเชื่อเอาไว้ก็มีอย่างชัดเจนจนทำให้นางถูกโกงมาจนถึงบัดนี้ก็เพราะไอ้เสียกำจรมันไม่ยอมหักล้างหนี้ให้หล่อนสักที คิดแล้วก็เจ็บใจนัก

นางกระเพราได้แต่จ้องหน้าเสี่ยเฒ่าเขม็ง หากแต่นางก็ยังหมดหนทางที่จะต่อล้อต่อเถียงเพราะจนด้วยหลักฐาน ไอ้เสี่ยเฒ่าเจ้าเล่ห์เอ้ย เถียงกับแกไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะเข้าเนื้อเข้าตัวข้าไปก็เท่านั้น ฮึ!

เมื่อไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าคำว่ายอมนางกระเพราจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของความโง่ของตนต่อไป

กว่าจะปั้นหน้าให้ยิ้มอย่างเดิมได้ นางกระเพราก็ต้องสงบสติอารมณ์อยู่เป็นนาน แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทา

“เสี่ยแล้วคราวนี้ของฉันเหลือเท่าไรล่ะ แล้วเมื่อไรมันจะหมดสักที”

เสียงของอีกฝ่ายที่อ่อนลงทำให้เสี่ยเฒ่าพึงพอใจเป็นยิ่งนัก นั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นยอมเป็นเบี้ยล่างของตนแล้ว จะให้ทำอะไรคนอย่างนังกระเพรามันก็ทำได้หมดแหละ

“เอาอย่างนี้ดีไหม” เสี่ยกำจรเริ่มดำเนินแผน พร้อมกับรอยยิ้มหยัน “เห็นแต่ที่เอ็งกับข้าก็รู้จักกันมานมนาน ข้าจะช่วยให้เอ็งหมดหนี้กับข้าสักที”

เสี่ยเฒ่าเจ้าเล่ห์เอ่ยบอกอย่างมีแผนการที่เหนือชั้น สองตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหญิงกลางคนตรงหน้าที่หูผึ่งขึ้นมาในทันทีเมื่อประโยคบอกเล่าของตนจบลง ชายชราเห็นนางกระเพราเงยหน้าขึ้นแล้วกล้าที่จะสบตากับเขาอย่างมีความหวัง สังเกตจากประกายตาแล้วถูกฉาบเอาไว้ด้วยความดีใจอยู่ในที

“เสี่ยพูดจริงๆ นะ เสี่ยจะช่วยฉันจริงๆ ใช่มั้ย” นางรีบโผเข้าไปจับแขนของเสี่ยเฒ่าแล้วเขย่าเบาๆ เพื่อขอความเห็นใจ

“น่าสมเพชสิ้นดี นังกระเพราเอ้ย” เสี่ยกำจรนึกค่อนขอดอยู่ในใจ จุดประกายรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดต่อ “แต่มันก็ต้องมีข้อแม้”

นั่นประไร คนเจ้าเล่ห์อย่างมันถ้าไม่มีข้อแลกเปลี่ยนมันย่อมไม่ใช่ไอ้เสี่ยกำจรเด็ดขาด ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว นางกระเพราถากถางชายตรงหน้าด้วยสายตาก่อนจะปล่อยมือที่จับแขนของอีกฝ่ายแน่นออกในทันที

“อย่าเพิ่งกลัวหรือหมดหวังสิ ข้าเชื่อว่าสิ่งนี้เอ็งจะต้องทำได้อยู่แล้ว”

แววตาที่สิ้นหวังของอีกฝ่ายกลับมามีความหวังอีกครั้งเมื่อนางได้ยินเขาเอ่ยบอกเต็มสองหู ถึงเรื่องที่นางจะต้องทำได้ มันบอกว่าข้อแม้นี้กูจะทำได้ มันจะจริงไหมวะ แล้วข้อแม้นั้นมันคืออะไรล่ะ

“เสี่ยต้องการอะไร ไหนลองบอกมาสิจ๊ะ”

ถึงจะเคยสิ้นหวังและหมดศรัทธาในตัวของผู้ชายตรงหน้าไปนานแล้ว หากแต่ข้อเสนอที่มันยื่นให้กลับมีอิทธิพลมากว่า เช่นเดียวกับเสี่ยเฒ่าที่ยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมก่อนจะเอ่ยบอกจุดประสงค์ที่ตนต้องการมากที่สุด

“ข้าต้องการนังแก้วกาญจน์หรือไม่ก็นังกันเกราลูกสาวของเอ็ง ให้มันมาขัดทั้งต้นทั้งดอกของเอ็งให้หมด นังกระเพราข้าจะให้เอ็งลองตัดสินใจดูนะ ว่าจะเลือกลูกสาวคนใดของเอ็งให้มันได้สบายเมื่อมันมาอยู่กับข้า นังกระเพราเอ้ย ข้าก็ตกพุ่มม่ายมาหลายปีแล้ว ยังไม่มีใครมาดูแลหัวใจและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าเลย คิดดูนะ กับหนี้ของเอ็งที่กำลังจะหมดไปและความสุขสบายทั้งของเอ็งและของลูกสาวในอนาคต”

ว่าแล้วเสี่ยเฒ่าก็พาร่างกายอันเต็มไปด้วยความกักขฬะและความน่าสะอิดสะเอียนเดินจากไป ปล่อยให้ประโยคนั้นของมันดังก้องอยู่ในหูของนางกระเพรา ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างกาย

นางจะทำยังไงดี ในฐานะของคนเป็นแม่

*****
หลังจากกลับมาถึงบ้าน นางกระเพราจึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่หน้าบ้าน ความคิด ความกังวนต่างๆ หลามไหลเข้ามาให้นางได้พิจารณา

นางจะเลือกสิ่งใด ระหว่างหนี้กับลูกและความสุขสบาย หนี้อย่างนั้นหรือ ถ้าเลือกหนี้ ลูกของเธอไม่คนใดก็คนหนึ่งก็จะต้องเสียสละ แล้วใครล่ะ ระหว่างแก้วกาญจน์กับนังกันเกรา

หญิงกลางคนได้แต่นั่งนิ่งคิดอยู่เช่นนั้นจนเวลาเลยผ่าน นางก็ไม่สามารถหาคำตอบได้สักที แล้วนางจะทำยังไงดีเพื่อจะให้เรื่องมันจบๆ ไป และไม่ยืดยาวออกไปทุกที

สองตาของนางกระเพรามองทอดออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย สองหูได้ยินเสียงแว่วของเหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาในชุมชนแออัดแห่งนี้จนดูสับสนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เช่นเดียวกับภาพที่อยู่ในโฟกัสสายตาของนางในขณะนี้ก็มีภาพของคนหลายคนที่เดินผ่านไปมา ต่างเวลาและนาทีกัน นาทีหนึ่งคนหนึ่งเดินผ่านไป ประเดี๋ยวอีกนาทีหนึ่งอีกคนก็เดินสวนกลับมาอีก มันเป็นเช่นนี้ทุกวันจนนางคุ้นชินไปเสียแล้ว หากแต่วันนี้สิ นางกลับรู้สึกยังไงชอบกล คล้ายดั่งกับภาพของผู้คนตรงหน้าคือคนจากอีกโลกหนึ่ง

ใช่ ในเวลานี้นางคล้ายหลุดไปอีกโลกหนึ่งแล้ว โลกแห่งความคิด โลกแห่งความดำมืด มันไม่มีใครสามารถที่จะช่วยนางได้ เช่นเดียวกับตอนที่นางก้าวเข้าไปสู่วังวนของการพนัน นางก็ไม่ฟังใครเช่นกัน

กระเพราค่อยๆ หลุบเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน บัดนี้นางอ่อนล้าเต็มทีกับความคิดและความสับสนที่มันวิ่งวุ่นเข้ามา นางอยากจะหนีไปที่ไหนสักแห่ง หนีไปให้ไกลจากสถานที่บริเวณนี้ และหนีไปในที่ใดที่หนึ่ง ที่สงบสุขไม่วุ่นวายอย่างโลกปัจจุบัน

ที่ไหนล่ะ ที่มันเหมาะสมกับแกนังกระเพรา จู่ๆ จิตในม่านมือก็ขุดคุ้ยเอาคำถามที่นางไม่สามารถตอบได้สักน้อยนิด อยู่ที่นี่นั่นแหละนังกระเพราเอ้ย เมื่อเอ็งได้ชั่วแล้วก็จงชั่วร้ายให้สุดขั้วสิวะ ไม่มีที่ไหนที่จะให้คนชั่วอย่างเอ็งอยู่ได้นอกจากที่นี่อีกแล้ว

แล้วนางก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งอย่างตกใจ สองตาของนางเบิกกว้างเมื่อภาพตรงหน้าคือลูกสาวของนางที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อได้เดินเข้ามาพร้อมกับห่อของพะรุงพะรัง

“แม่ รอนานหิวมั้ยจ๊ะ”

เด็กสาวกันเกราในชุดนักศึกษา เธอเพิ่งเดินแยกจากชัชนันท์มาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เห็นมารดานั่งหน้างออยู่หน้าบ้านเธอจึงคิดที่จะหาวิธีเลี่ยงในการจะประทะคารมกับมารดาโดยการพูดด้วยประโยคที่เรียงร้อยด้วยคำดีๆ

“เออ”

คำตอบสั้นๆ หยุดอาการร่าเริงแจ่มใสของบุตรสาวลงไปในพริบตา ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นของผู้เป็นแม่ เด็กสาวจึงรีบรี่เข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วสอบถามอย่างเป็นห่วง

เถอะน่า ถามไปสิ ดูซิแม่เป็นอะไรไม่รู้ ทุกวันจะต้องด่าเธอฉอดๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่นั่งหน้าบูดเป็นขนมค้างคืนอยู่แบบนี้ หลังจากช่างใจด้วยท่าทีที่ละล้าละลังสักพัก ในที่สุดเด็กสาวก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่หัวไหล่ของมารดาเบาๆ ก่อนจะถาม

“แม่ นี่แม่เป็นอะไร”

“นังกันเกรา!!”

จู่ๆ ผู้เป็นมารดาก็หันมาทางบุตรสาวคนรองอย่างรวดเร็ว ความเป็นห่วงจากเบื้องลึกของหัวใจเกิดมามีอิทธิพลมากกว่า ที่ขอบตาทั้งสองข้างมีม่านน้ำใสๆ ฉาบคลออยู่ นั่นก็บ่งบอกว่าสามัญสำนึกของการเป็นแม่คนยังเหลืออยู่

“แม่เป็นอะไร บอกฉันมาเถอะนะจ๊ะ เผื่อฉันจะช่วยแม่ได้”

มันเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวรู้สึกหวิวๆ ในหัวใจ ในยามที่พูดคำนี้ออกไป หากแต่เธอก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร

“ช่วย” ให้ช่วยอย่างงั้นรึ ไม่นะนังกระเพรา เอ็งอย่าคิดเช่นนั้นเด็ดขาด นังกันเกรามันเป็นลูกของเอ็งนะ จิตใจในด้านดีที่เหลืออยู่น้อยนิดและใกล้จะขาดผึงพยายามต่อตีให้ถึงที่สุด

“ช่วย เอ็งจะช่วยข้าจริงๆ รึ” และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สิ้นสุดลง นางกระเพราจุดยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เถอะน่าเพื่อความสบายของมัน

“ใช่จ๊ะ ขอให้แม่บอกฉันมา ฉันยินดีทำทุกอย่าง”

เด็กสาวไม่มีทางรู้ หากเธอล่วงรู้ความคิดความรู้สึกของผู้เป็นมารดาในเวลานี้ เธอจะต้องไม่ยอมแน่ เพราะนั่นเป็นการทำลายอนาคตของเธอให้ขาดสะบั้นไปอย่างทารุณที่สุด

******
เวลาล่วงผ่านไปทั้งภาวสุทธิ์และแก้วกาญจน์ต่างก็เตรียมงานของตนให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่เลือกของชำร่วยที่จะแจกให้กับแขกที่มาร่วมงาน ของชำร่วยที่เขาและเธอพร้อมใจกันเลือกก็คือพวงกุญแจเซรามิก ตุ๊กตาในชุดแต่งงานของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยืนกอดกัน

ส่วนการ์ดแต่งงานก็เป็นการ์ดหอมลายสวยงามรูปหัวใจ พิมพ์ตัวนูนอย่างสวยงาม โดยด้านข้างมีรูปของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนกอดกันในชุดแต่งงานสะอาดตา

นับว่าคู่นี้สมกันจนทำให้ใครหลายๆ คนต่างอิจฉาไปตามๆ กัน

หลังจากที่ได้ของชำร่วยและการ์ดแต่งงานแล้ว ทั้งว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็จูงมือกันเข้าร้านเสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่เหมาะสมทั้งของเขาและเธอ

ขณะที่ทั้งสองหนุ่มสาวกำลังเตรียมงานแต่งด้วยใบหน้าที่ชื่นสุขนั้น อีกด้านหนึ่งนางกระเพราก็กำลังคิดเตรียมแผนการที่เลือดเย็นอำมหิต เย็นวันนี้นางลงทุนลงครัวเอง ก่อนจะจัดการปรุงอาหาร จนในบัดนี้กลิ่นอาหารลอยโชยไปทั่วบ้านเลยก็ว่าได้

เช่นเดียวกับในวันนี้กันเกราได้กลับมาจากการทำงาน เช่นทุกๆ วัน เด็กสาวเดินตามกลิ่นอาหารเข้ามาในบ้านอย่างสงสัย ว่าเหตุไฉนกลิ่นอาหารพวกนี้ถึงได้มาอยู่ในบ้านของเธอได้ จะว่าแก้วกาญจน์พี่สาวของเธอก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนเช้าพี่แก้วของเธอได้บอกด้วยสีหน้าดีใจกับเธอว่าวันนี้เธอจะไปเลือกชุดแต่งงานกับคุณภาวสุทธิ์ จะว่ามารดาก็ไม่น่าจะใช่อีกนั่นแหละก็เพราะที่ผ่านมาแม่ไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเองมาตั้งนานแล้ว ก็ตั้งแต่เจ้าผีพนันเข้าสิงนะแหละ

แล้วใครล่ะ คำถามนี้ผุดขึ้นมาให้เธอได้คิดอยู่ตลอดเวลาระหว่างการเดินเข้าไปในบ้านและตามกลิ่นเหล่านั้นไปจนสิ้นสุดที่ห้องครัว ก่อนจะได้รับคำตอบของเจ้าของกลิ่นตัวปัญหา เพราะบัดนี้คนๆ นั้นกำลังจัดเตรียมอาหารอยู่เหมือนกัน

“โอ้โฮ อาหารทั้งนั้น นี่แม่ทำรึ”

“เออ หอมไหมล่ะ”

นางกระเพราเอ่ยเสียงเรียบ และก็ยิ่งทำให้เด็กสาวเบิกตาโต จะให้เธอเชื่อได้ยังไงว่าแม่อุตส่าห์เข้าครัวทำเอง ไม่มีทาง

“นี่แม่ทำ หรือว่าซื้อเค้ามาล่ะ แล้วเอามาเนื่องในวันอะไร”

เธอเริ่มระแวง ก็จะอะไรอีกล่ะ ทุกวันแม่ของเธอเวลานี้น่าจะเฮโลอยู่ที่บ่อนไพ่นู้น ไม่ใช่มาอยู่หน้าเตาทำอาหารแบบนี้

“เอ็งไม่เชื่อรึว่าข้าทำ ไม่เป็นไร กินๆ ไปเถอะน่า ข้าอุตส่าห์ทำให้เอ็งเลยนะ”

“แล้วแม่ไม่ไปเล่น-” เด็กสาวเกือบจะหยุดคำนั้นออกไป แต่ก็ยั้งเอาไว้ได้ทัน ก็ดีเหมือนกัน วันนี้ผีพนันคงจะออกไปแล้วล่ะ “ช่างเถอะ ฉันหิวมากเลยไม่ได้กินฝีมือของแม่มานานแล้ว”

เธอไม่ได้คิดอะไรต่อ เมื่อมารดายื่นจานข้าวมาให้ก็เตรียมตัวเข้านั่งประจำที่ หากแต่ยังไม่ทันจะตักข้าวเข้าปากความรู้สึกเอะใจก็เข้ามาเยือนอีกครั้ง

“แล้วแม่ทำไมไม่กินล่ะ อาหารตั้งมากมายฉันกินไม่หมดหรอก”

“กินๆ ไปเถอะน่า ข้ายังไม่หิว ถ้าเหลือก็แบ่งเอาไว้ให้ข้าก็ได้ ข้าเหนื่อย จะไปพักผ่อนก่อน กินเสียนะโว้ยข้าอุตส่าห์ลงมือทำเอง”

ว่าแล้วก็ทำท่าว่าจะลุกจากไป หากแต่คำของบุตรสาวก็ได้หยุดท่าทีของมารดาเอาไว้ได้ทัน

“แม่ไม่กินฉันก็ไม่กินเหมือนกัน”

“ไม่ได้ เอ็งจะต้องกิน ข้าอุตส่าห์ใจดีทำให้เอ็งและลูกแก้วแล้วนะ”

ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นในทันที ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยอาการร้อนรนอยู่ในที

“ถ้าแม่อุตส่าห์ขนาดนั้น ทีหลังก็ไม่ต้องทำก็ได้ ฉันทำเองได้”

“นังกันเกรา”

จู่ๆ เสียงของผู้เป็นมารดาก็ดังขึ้นอย่างขัดใจ สงสัยอารมณ์คงจะขาดผึง นางจ้องนิ่งไปที่ใบหน้าของบุตรสาวเขม็งอยากจะกระโดดงับหัวนังลูกคนนี้นัก ที่บังอาจมาทำจองหองต่อผู้มีพระคุณอย่างนาง

“แม่กำลังทำอะไรอยู่ แม่คิดจะวางยาฉันใช่มั้ย”

หญิงสาวเอ่ยปากถามในสิ่งที่ค้างคาใจในทันที คำถามนี้ทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับชะงักกึก ใช่ นางกำลังจะทำอะไร นางกำลังแสดงพิรุธ เก็บเอาไว้สิ เก็บเอาไว้

“ไม่ ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรทั้งนั้น กินก็กิน ข้าจะแสดงให้เอ็งดูว่าข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”

เมื่อไม่อยากจะแสดงพิรุธไปให้มากกว่านั้น นางกระเพราจึงลงมือตักข้าวใส่จานแล้วมานั่งลงตรงข้ามกับบุตรสาว แล้วตักข้าวกินอย่างรวดเร็ว ขณะที่กันเกราก็เริ่มจะโล่งใจ เธอจึงตักข้าวกินตามบ้าง

“ทำแล้วมันจะทำให้เอ็งไม่ไว้ใจข้า รู้อย่างนี้ข้าไม่ทำให้เอ็งกินเด็ดขาดนังกันเกรา”

นางพูดอย่างน้อยใจ หากแต่ภายในดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววอะไรบางอย่างขึ้นมา ซึ่งเด็กสาวไม่อาจมองเห็นได้

หลังจากทานอาหารไปสักพัก กันเกราก็อิ่ม เธอลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำมาเทใส่แก้วก่อนจะยกขึ้นดื่มเพื่อไล่เม็ดข้าวให้มันไหลลงสู่กระเพราะได้อย่างง่ายดาย

วูบแรกเด็กสาวรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกายเมื่อน้ำหยดแรกแตะลิ้น และค่อยๆ ไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว เธอแลสายตามองมารดาเหมือนกับจะชั่งใจอะไรสักอย่าง หากแต่เธอก็ไม่พบพิรุธอะไรทั้งสิ้น จึงจัดการเทน้ำใส่แก้วแล้วดื่มเข้าไปอีก

“อาหารวันนี้ของแม่อร่อยที่สุดเลยจ๊ะ”

เด็กสาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารอีกครั้งก่อนจะนั่งจ้องมารดาที่ตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างอารมณ์ดี นางรู้ว่ากันเกราเป็นคนฉลาด การวางยาลงในอาหารให้มันกินนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนางจึงตัดสินใจวางยาลงในน้ำแทน เพราะเมื่อเห็นว่ามารดาร่วมกินอาหารร่วมโต๊ะด้วยกันเกรามันก็จะวางใจ ติดหลุมพรางได้ง่ายๆ

ในที่สุดกันเกราก็หลงกลของมารดาเข้าจนได้ เพราะความไว้ใจ และเพราะความประมาทนั่นเอง เด็กสาวจึงตกเป็นเหยื่อของผู้เป็นแม่ได้อย่างง่ายดาย

ไม่ถึงห้านาทีต่อจากนั้นกันเกราก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อภายในช่องท้องของเธอเกิดอาการปั่นป่วน พร้อมกับที่หัวก็รู้สึกคล้ายมันจะหมุนติ้ว เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่มันกระจายออกมาทางขอบตาและสองหู หนังตาที่เบิกมองเริ่มหนักอึ้ง ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนรางเต็มทีจนในเวลาต่อมาสติที่เหลืออยู่เพียงแค่น้อยนิดก็ดับวูบไป ร่างบางซบนิ่งอยู่บนโต๊ะท่ามกลางสายตาที่มองมาของมารดา

“นังกันเกรา นั่นเอ็งเป็นอะไร นังกันเกรา”

เพื่อให้แน่ใจนางกระเพราจึงเข้าไปเขย่าตัวของบุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง หากแต่ใบหน้าของนางนี่สิกลับเจือไปด้วยความพึงพอใจในผลงาน

“ข้าขอโทษด้วยนะกันเกรา เพื่อความสบายของเอ็งและของข้า ข้าจึงต้องทำแบบนี้”

รอยยิ้มเหี้ยมและเลือดเย็นผุดขึ้นที่มุมปาก นางมองร่างบางตรงหน้าแกมเป็นห่วงอยู่นิดหนึ่งก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที
****

ร่างบางค่อยๆ ถูกวางลงบนเตียงหนานุ่มด้วยฝีมือไอ้เมฆลูกน้องของเสี่ยกำจร หลังจากที่วางร่างของเด็กสาวเรียบร้อยแล้วมันจึงถอยมายืนมองร่างนั้นด้วยความหิวกระหายในรสกาม ทุกสัดส่วนบนเรือนกายของมันเต้นพรึบพรับจนมันอยากจะกระโจนเข้าไปขยี้ขย้ำร่างน้อยนั้นเสียเอง

ไอ้เมฆทำปากจิ๊จ๊ะ อย่างได้อารมณ์ก่อนจะรีบเก็บอารมณ์ทั้งหมดลงเมื่อร่างของเจ้านายก้าวเข้ามา

“เรียบร้อยใช่มั้ยไอ้เมฆ ลูกคนไหนกันว่ะที่ถูกของนังแพศยานั่นหักหลัง”

เสี่ยเฒ่าถามลูกน้องด้วยความอยากรู้ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้รับคำตอบจากลูกน้องคนสนิท

“นังเด็กกะโปโลที่มันเข็นรถอยู่แถวๆ ตลาดใหญ่ทุกเช้างั้นรึ”

“ใช่แล้วครับ”

“ฮ่ะฮ่า ดีเหมือนกัน วันนี้ข้าจะได้ลองเคี้ยวหญ้าอ่อนสักที ไอ้เมฆเอ็งออกไปรอข้างนอกกับไอ้พัด เดี๋ยวกูเรียบร้อยจะออกไป”

ได้ยินเจ้านายออกปากไล่เช่นนั้นมันจึงไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปจากห้องนั้นในทันที หลังลับร่างของลูกน้องไปแล้ว เสี่ยเฒ่าจึงรีบขยับเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงในทันทีด้วยท่าทีหื่นกระหาย

“ไหนลุง เอ้ย พี่ขอดูหน้าหน่อยสิจ๊ะ”

ชายชราบ้าตัณหาค่อยๆ เลื่อนมือไปลูบไล้ที่ผิวเนื้อนวลเนียนของเด็กสาว แล้วลากไล้ไปตามเนื้อตัวที่เต่งตึงของสาวน้อยในทันที ก่อนจะจับให้ใบหน้านั้นหันมามองตนอย่างชัดเจน ชายชราจุดรอยยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อกรอบหน้าสวยนั้นปรากฏต่อสายตา

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเด็กกะโปโลอย่างเอ็งจะซ่อนความสวยเอาไว้”

ว่าพร้อมกับไล้นิ้วมือลงไปที่ผิวหน้านั้นอีกรอบอย่างหลงใหล แล้วจึงโน้มใบหน้าอันน่าขยะแขยงนั้นลงไปจุมพิตที่แก้มนวลนั้น เสี่ยเฒ่าหื่นกามสูดกลิ่นจากกายสาวที่มันรัญจวน ทำให้ทุกสัดส่วนในร่างกายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ไม่ต้องให้รอช้าและให้จิตใจเสือเฒ่ากระเจิงไปมากกว่านี้ เสี่ยเฒ่าก็กระชากเสื้อตัวนั้นออกไปในทันที กางเกงผ้าแพรถูกถอดออกไปกองอยู่ที่ปลายเท้าเผยให้เห็นปราการสีชมพูชิ้นสุดท้ายที่ปิดเนินเนื้อส่วนสงวนเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

หัวใจของเสี่ยเฒ่าเต้นรัวและแรง เลือดกำเดาแทบกระฉูด มันใช้สายตาอันกักขฬะมองสำรวจทุกสัดส่วนตามส่วนโค้งเว้าของเด็กสาวอย่างได้อารมณ์ก่อนจะใช้มือหนาสากลูบไล้ไปตามต้นขาเรียวสวยก่อนจะไปหยุดอยู่ที่จุดกึ่งกลางบนร่างกายของเด็กสาว

ในเวลานั้นฤทธิ์ยาที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆ หมดลง ประกอบกับบนร่างกายของเธอในเวลานี้ถูกมือปริศนาล่วงล้ำอย่างถือสิทธ์ทำให้เธอตื่นตัวอย่างรวดเร็ว

“ไม่ ไม่...อึด อึด ชะ...ช่วย ช่วยด้วย”

เด็กสาวโพลงขึ้นอย่างตกใจเมื่อบัดนี้สองตาที่เบิกกว้างมีภาพของใครก็ไม่รู้กำลังจะทาบทับลงมาที่ตัวของเธอ ชั้นแรกหญิงสาวแค่นึกว่าความฝัน หากแต่เสียงหัวเราะที่ดังก้องนั้นกลับทำให้แน่ใจว่านี่คือความจริงทุกประการ ไม่ ไม่นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปให้มากกว่านั้น เธอก็ต้องคิดหาวิธีที่จะเอาตัวรอด สองเท้าถูกคู้ขึ้นแล้วยันเปรี้ยงลงตรงกลางหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่ จนเสี่ยกำจรกระเด็นห่างออกไปจนเกือบตกเตียง

โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว หญิงสาวจึงรีบคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างลวกๆ ส่วนสายตาก็มองหาอาวุธ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่แจกันใบเหมาะมือที่วางอยู่ที่หัวเตียง

“อย่า!!!”

เพล้ง!!!!

เสี่ยกำจรร้องได้แค่นั้น เสียงแจกันก็แตกตามมา ก่อนที่ร่างที่มีสติอยู่น้อยนิดจะดับวูบลงไปในทันที

“เกือบไปแล้วไหมล่ะนังกันเกรา”

เด็กสาวคิดอย่างเสียวไส้ ก่อนจะมีโอกาสหันมองสำรวจไปโดยรอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

เธอรู้สึกสะท้านเมื่อคิดถึงการกระทำอันเลือดเย็นของผู้เป็นมารดา ความเสียใจและน้อยเนื้อต่ำใจผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาอาบสองแก้ม

แต่ในเวลานั้นเธอกลับรีบกระชากความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอสำนึกได้ว่าบัดนี้เธออยู่ในที่ของศัตรู เธอยังไม่ปลอดภัยพอที่จะมาร่ำไห้คร่ำครวญอยู่แบบนี้ หนี ใช่เธอจะต้องหนีออกไปจากห้องนี้ให้ได้และจะต้องรวดเร็วด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเธอจึงรีบวิ่งตรงไปที่ประตูแล้วกระชากมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ต้องจำเป็นที่จะปิดมันกลับไปอีกครั้งก็เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชายอีกสองคนทำหน้าที่เหมือนคุมหน้าประตูนั้นอยู่และหันมา

เช่นเดียวกับไอ้พัดและไอ้เมฆมันทั้งสองต่างตกใจไม่แพ้กันที่เห็นเด็กสาวโผล่หน้าออกมา ไอ้เมฆร้องเฮ้ยอย่างตกใจก่อนจะกระโจนไปที่ประตูนั้นทันที

“เสี่ย เสี่ยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

กันเกราต้องยืนหลังพิงประตูเอาไว้ และก็ต้องข่มอารมณ์กลัวเมื่อเสียงทุบประตูจากข้างหลังมันดังขึ้นเรื่อยๆ เธอรีบมองหาทางออกอีกครั้ง สติทั้งหมดถูกรวบรวมมาอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาเหล่านั้นจะเลื่อนไปหยุดอยู่ที่พัดลมตั้งโต๊ะที่วางอยู่ไม่ห่างจากนั้นนัก

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเธอจึงยืนสูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอด สลัดความกลัวทั้งหมดให้ออกไปจนหมด ก่อนจะกระชากประตูเปิดออกและมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้เมฆที่ยืนรออยู่ก้าวเข้ามาพอดี จึงเป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กสาวกันเกราฟาดพัดลมลงมาที่หน้าของมันจนหงายหลังไปในทันที

“โอ้ย อีสัตว์”

มันสบถลั่น แต่ยังไม่ทันที่ได้ทำอะไร เท้าอันเขื่องของหญิงสาวก็ฝ่าด่านตามออกมา กันเกราผละนิดหนึ่งหลังจากที่จัดการกับไอ้คนแรก และกำลังจะหันไปทางอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ แทนที่อีกฝ่ายจะกระโจนเข้ามาจัดการหล่อนอย่างที่คิด แต่ไอ้พัดกลับรีบโบกมือเป็นเชิงบอกให้เธอรีบไป

ไม่ต้องให้บอกเป็นครั้งที่สองกันเกราจึงรีบถลาวิ่งออกไปทันที ไอ้เมฆกำลังจะตามไปแต่ไอ้พัดกลับเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทันเสียก่อน

“ปล่อยโว้ย ข้าจะไปจับนังนั่น”

“ใจเย็นๆ สิวะเพื่อน เอ็งไม่ห่วงเสี่ยเรอะ”

ไอ้พัดให้เหตุผลเพื่อนก่อนจะรีบเดินนำเข้าไปในห้อง ก่อนจะพบกับสภาพของเสี่ยเฒ่าที่พยุงตัวลุกขึ้นนั่งด้วยดวงตาเขียวปัด

“ไป้ ไปจับมันมาให้ได้”

เสี่ยเฒ่าเอ่ยเสียงกระชาก ลูบที่หัวของตัวเองปอยๆ ทั้งไอ้เมฆและไอ้พัดหลังได้รับคำสั่งแล้วก็รีบกระโจนตามออกไปในทันที

“แล้วแต่บุญแต่กรรมของเอ็งก็แล้วกัน ถ้าเอ็งหนีไปได้ก็นับว่าโชคดี ถ้าหนีไม่ได้เอ็งก็จะกลับมาเป็นเหยื่อของพวกข้าอีกครั้ง ข้าช่วยเอ็งได้แค่นี้แหละ”

ไอ้พัดได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆ และรีบตามไอ้เมฆไปในทันที

****

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”

กันเกราป้องปากร้องขอความช่วยเหลือตลอดทางพร้อมกับวิ่งออกมาที่ถนนใหญ่อย่างไร้ทิศทาง โดยมีไอ้เมฆวิ่งตามมาอย่างติดๆ

ผู้คนตามรายทางต่างเหลียวมองอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเห็นในมือของไอ้เมฆคนหน้าเหี้ยมนั้นมีมีดเล่มใหญ่อยู่ด้วย

ใครจะกล้าเสี่ยงตายเข้าไปช่วยล่ะ เกิดไอ้คนนั้นมันแทงมีดสวนกลับมาจนอกทะลุล่ะใครจะรับผิดชอบ หลายคนต่างคิดเช่นนั้นอย่างเห็นแก่ตัว ก่อนจะยืนเฉยมองฉากทารุณของเด็กสาวที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หากแต่พลเมืองดีก็ยังเหลืออยู่ในสังคมไทย ถึงจะไม่ยอมออกไปช่วยด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ยอมเสียเงินค่าโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจไปเรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็คงจะตามมา

ห่างจากนั้นไม่มากนั้นตรงจุดแยกไฟแดง มีรถติดอยู่อย่างยืดยาว รถของภาวสุทธิ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขาและแก้วกาญจน์เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวแจกการ์ดแต่งงาน หญิงสาวนั่งคุยกับชายหนุ่มมาตลอดทางจนมาหยุดกันที่ไฟแดงแห่งนี้ แต่ในเวลานั้นสายตาของหญิงสาวก็แลเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมุงดูอะไรอยู่ ด้วยความสงสัยจึงทำให้เธอสนใจตรงจุดนั้นเป็นพิเศษ

“กันเกรา”

เธอร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับมีชายหนุ่มคนหนึ่งถือมีดตามมาด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม

ถึงจะเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรแต่หญิงสาวก็แน่ใจ นั่นคือกันเกราอย่างแน่นอน เธอจึงรีบเปิดประตูจะลงไปในบัดนั้น หากแต่ภาวสุทธิ์ก็คว้ามือของเธอเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะทราบสาเหตุที่ทำให้แฟนสาวจะรีบถลาลงจากรถกลางคัน

“ใจเย็นๆ สิครับแก้ว เราต้องแจ้งตำรวจก่อน อีกอย่างบนถนนก็มีรถอยู่มาก คุณจะไปได้อย่างไร มันอันตรายนะครับ” เขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง

“แต่กันเกราอยู่ในอันตรายนะคะ ปล่อยเถอะค่ะ แก้วจะไปช่วยน้อง คนแถวนี้ช่างไร้น้ำใจกันจริงๆ ไม่มีใครไปช่วยน้องของฉันสักคน”

เธอพูดได้แค่นั้นก็ถลาลงจากรถในทันที ซึ่งภาวสุทธิ์ก็ไม่มีทางได้ทันทัดทาน จะตามลงไปก็เกรงว่ารถจะขวางทางคันจึงตัดสินใจจอดรอไฟแดงอยู่เช่นนั้นแล้วค่อยวกรถกลับไปหาหญิงสาว

*****
“อีสัตว์ มึงบังอาจเหยียบหน้ากู วันนี้แหละกูจะสั่งสอนมึงให้รู้ซะบ้างว่าคำว่าหยามหน้าและศักดิ์ศรีกันมันเป็นอย่างไร”

ไอ้เมฆย่างสามขุมตรงเข้าไปหากันเกราที่ทรุดอยู่กับพื้นตรงหน้าและพยายามกระถดถอยหนีด้วยใบหน้าที่ตื่นกลัว เธอพยายามหันไปเรียกผู้คนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ให้เข้ามาช่วย หากแต่พวกเขาก็ยังนิ่งเฉยไม่กล้าเข้ามาสักที

“ไม่มีใครเข้ามาช่วยมึงหรอก ไอ้พวกนั้นมันรู้อยู่ว่ากูเป็นใคร”

ไอ้เมฆหงายหน้าขึ้นหัวเราะอย่างสาแก่ใจ และได้ใจโดยไม่สำนึกถึงความเป็นจริงที่ว่าในตอนนี้มันกำลังรังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้คนหนึ่ง

“ไอ้บ้า ไอ้สารเลว แกมันชั่ว รังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิง ไอ้หน้าตัวเมียเอ้ย”

หญิงสาวพยายามใช้เสียงด่ามัน เพื่อที่จะให้มันหยุดและสำนึกบ้าง หากแต่ไม่เป็นผลแล้วเสียงด่าของเธอก็ยิ่งทำให้มันโกรธมากยิ่งขึ้น

“ฮ่ะ ฮ่า ถึงข้าจะชั่ว และสารเลวยังไง แต่มันก็ไม่เท่ากับความเลวทรามของแม่เอ็งหรอกที่ยอมขายเอ็งให้กับนายของข้า”

มันหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ขณะที่เด็กสาวไอ้แต่นิ่งอึ้งและเริ่มลำดับเรื่องราวได้อีกครั้ง

ไม่จริง แม่ขายเธออย่างนั้นหรือ ไม่จริง!!!

เด็กสาวไม่อยากจะคิดถึงความจริงข้อนี้เพราะมันเป็นการที่เลวร้ายมากไปไหมที่แม่ทำกับเธอได้ถึงเพียงนี้ เธอไม่อยากจะนึกเลยว่าแม่ของเธอจะยอมขายลูกให้กับใคร หากแต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทำให้หญิงสาวเริ่มลังเล

“กันเกรา”

แต่ก่อนที่สติของหญิงสาวจะหมดลงไปด้วยความอ่อนแอในหัวใจ การปรากฏตัวของแก้วกาญจน์พี่สาวทำให้กันเกราใจชื่นขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว” พี่สาวพยุงน้องสาวให้ลุกขึ้นและโอบกอดเอาไว้

“พี่แก้ว”

เด็กสาวซุกหน้าเข้ากับอ้อมกอดของพี่สาวทั้งน้ำตา เธอทั้งกลัวและหวาดผวากับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงภายนอกเธอจะดูเข้มแข็ง ใครจะรู้ว่าภายในของกันเกราเปราะบางแค่ไหน

“ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”

แก้วกาญจน์เอ่ยปลอบน้องสาว แล้วหันมาทางไอ้เมฆด้วยสายตาชนิดหนึ่ง

“นี่นาย ทำแบบนี้ทำไม ไม่อายคนอื่นหรือยังไงรังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิง”

“ไม่อายหรอกน้องสาว บอกตรงๆ ขนาดแม่ของมันยังไม่อายเลย ยอมขายลูกสาวของตัวเอง แล้วพี่เป็นผู้ซื้อ จะอายไปทำไมเล่าจ๊ะ หรือน้องอยากจะขายอีกคน ฮ่ะ ฮ่า” มันหงายหน้าขึ้นหัวเราะอย่างสมใจ

“หยาบคาย” แก้วกาญจน์เอ็ดด่าเสียงดังลั่น

“ทางที่ดีน้องไปกับพี่ดีกว่านะ บางทีเสี่ยอาจจะอภัย แล้วให้เงินค่าขนมมากกว่านี้”

“หมายความว่ายังไงกันเกรา พี่งงไปหมดแล้วนะ”

เธอหันมาทางน้องสาว เค้นเอาความจริง ประโยคของผู้ชายตรงหน้ามันหมายความว่ายังไงกันแน่

“แม่จ๊ะ แม่ขายฉัน” พูดได้แค่นั้นน้ำตาอุ่นๆ ก็รินไหลออกมาอีกครั้ง

มาถึงตอนนี้แก้วกาญจน์จึงเข้าใจ แม่ขายน้องสาวให้กับคนมีเงิน เพื่อจะเอาเงินมาเล่นการพนัน มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง กันเกรามันผิดอะไร ทำไมแม่ถึงได้กระทำการที่เลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้ เห็นทีกลับไปนี้ เธอคงจะต้องคุยเรื่องนี้กับแม่แล้วล่ะ

แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร มือสากของไอ้เมฆก็มากระชากแขนของเธอเพื่อจะให้ตามมันไป จนหญิงสาวต้องหลุดจากภวังค์อีกครั้งและรีบสะบัดแขนออกจากมันในทันที

“ปล่อยนะไอ้สารเลว”

แก้วกาญจน์รีบพาน้องสาวถอยหนีอย่างตื่นตระหนก และหวาดกลัวสุดขีด ขณะไอ้เมฆหงายหน้าขึ้นหัวเราะไม่สะทกสะท้านต่อเสียงบริภาษนั้นสักน้อยนิด ตรงข้ามมันกลับเดินเข้าหาเธอทั้งสองอีก

“ฮ่า ฮ่า ด่าเข้าไป แต่ขอบอกก่อนนะว่าแม่ของพวกเอ็งมันก็ชั่วช้าไม่แพ้ข้าหรอก” มันพูดย้ำเตือนคำเดิมอย่างบ้าคลั่ง

ในเวลานั้นนางกระเพราที่ออกมาเดินซื้อของและกำลังจะกลับบ้านบังเอิญมาเจอกับเหตุการณ์นั้นพอดี นางตกใจไม่แพ้กันที่เห็นแก้วกาญจน์ อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เช่นเดียวกับภาวสุทธิ์ที่หาที่จอดรถได้แล้วและก็กำลังวิ่งตรงมาหาแฟนสาวด้วยความเป็นห่วง

หากแต่มันก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อไอ้เมฆบันดาลโทสะพุ่งมีดมาที่ทั้งสอง จนทำให้คนทั้งหมดที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันร้องขึ้นอย่างตกใจไปกับเรื่องหน้าเสียวไส้นั้น



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2554, 17:11:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 เม.ย. 2554, 17:11:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1936





<< ตอนที่ 4 แรกพบเจอ ตอนที่ 5 ฝันสลาย   ตอนที่ 7 การสูญเสียกับความผิดบาปที่ตามมา >>
ปูจ้า 8 เม.ย. 2554, 18:30:08 น.
ใครจะช่วยทันล่ะนั่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account