สาวสุดเซอร์ฯ: Special Chapter
ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไป บนเส้นทางของความรักของหนุ่มสาวสองคนที่แตกต่าง วันหนึ่งเมื่อรอยร้าวมันเกิดขึ้น ในที่สุดก็ถึงจุดที่ต้องเลือก
Tags: สิรินดา, สาวสุดเซอร์, นรี, คีตา

ตอน: เส้นขนาน

... Naree part…

การดูแลคนป่วยตัวยักษ์ ที่น้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัมไม่ได้ยากอย่างที่คิด เป็นเพราะเขาให้ความร่วมมือทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพยายามกินอาหารให้มากที่สุดในทุก ๆ มื้อ การฝึกทำกายภาพบำบัด เพื่อให้เดินหรือทำอะไรเล็กน้อยได้เอง ฉันก็แค่คอยอยู่ใกล้ ๆ ทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้ ก็เท่านั้น

ความยากของมันคือการที่รู้สึกว่าสายตาของคนป่วยที่แอบมองอยู่บ่อย ๆ แต่เวลาที่ฉันหันไปหา เขากลับทำเฉไฉ ทำโน่นทำนี่ เหมือนไม่ได้สนใจกัน

ดูเหมือนคนป่วยไม่ได้ปิดบังความรู้สึกทางสายตา แต่...มันก็แค่นั้น ยังไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องอดีต โดยเฉพาะเรื่องที่มันครบกำหนดวันที่เขาตกลงจะเซ็นใบหย่ามากว่าเดือนแล้ว

“กินบะหมี่เกือบทุกมื้อ ไม่เบื่อหรือไง” ผ่านไปเกือบอาทิตย์ เขาก็เอ่ยถามฉัน

“ไม่รู้จะทำอะไรกิน” ฉันตอบ

“โทรสั่งมาก็ได้”

ระยะหลังฉันไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นัก กินให้มันจบ ๆ ไปก็เท่านั้น มีอะไรใส่ปากได้ที่พอเป็นอาหาร ก็จัดการไป บางทีก็แอปเปิลลูกเดียว นมอุ่นหนึ่งแก้ว ก็พอ

“อยากกินอะไร”

ฉันชะงักส้อมที่กำลังพันบะหมี่

“จะสอนให้ เผื่อไปอยู่ที่ไหนจะได้ทำอะไรกินเองได้ สเต๊กไหม มีหมูฟรีซไว้ยังไม่ได้ทำ ทำไม่ยากหรอก”

ฉันสะบัดหน้า “ไม่” พูดจบก็ลุกขึ้น เดินเอาชามบะหมี่ไปเก็บแล้วออกมานั่งอ่านหนังสือ ส่วนคนป่วยก็เปิดทีวีนอนดูไปเรื่อย จนมาหยุดที่รายการทำอาหารรายการโปรด

ฉันเงยหน้าขึ้นไปดูบ้าง เพราะเชฟบรรยายเมนูอาหารได้น่าสนใจ ภาพสเต๊กจานใหญ่เตะตา ไหนจะสลัดผักสดนั่นอีก เห็นแล้วหิว แถมภาพบรรยากาศเก่า ๆ ที่มีคนทำให้กินก็ย้อนกลับมาในความคิด

“เอาหมูออกมาจากช่องฟรีซแล้ววางไว้ข้างนอกนะ อีกสักครึ่งชั่วโมงรอให้คลายตัวค่อยหมัก” คนบนเตียงพูดลอย ๆ

“...”

“นะ”

ฉันแกล้งถอนหายใจ แล้วก็วางหนังสือ

“อยากกินเดี๋ยวโทรสั่งมาให้”

จบเรื่อง



หลังจากคุณคีตากลับมาอยู่บ้านได้ราวสองอาทิตย์....

เสียงเปิดประตูรั้ว และรถเก๋งคันหรูสีเทาเข้มขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ฉันชะโงกหน้ามองออกไป ผู้หญิงที่เป็นตัวตั้งตัวตีทำให้ฉันต้องมาดูแลคนป่วยก้าวลงจากรถพร้อมกับลูกสาวและลูกชาย ส่วนไรอันหลังจากก้าวลงจากรถก็เดินไปเปิดท้ายรถหยิบถุงพลาสติกและถุงกระดาษสองสามใบออกมา และเดินตามเข้าบ้าน

“ภูกับเพลง” ฉันอมยิ้ม เปิดแขนออกกว้าง

“เราเพิ่งกลับมาจากอเมริกากัน เลยตกลงกันว่าจะมาเยี่ยมคีด้วยกัน” คนพูดจูงลูกเข้าบ้าน กวาดตามองห้องรับแขกถูกปรับแต่งเป็นห้องพักฟื้น เตียงเล็กๆ สำหรับคนป่วย และของใช้จำเป็นสำหรับการทำกายภาพบำบัดตั้งอยู่ไม่ไกล

“จัดบ้านใหม่เหรอ อื้ม...สมเป็นอินทีเรีย ห้องคนป่วยจัดได้น่าอยู่มาก ต้นไม้น่ารัก ห้องโปร่ง ดูสบายตาดี”

ตอนนี้เครื่องเรือนเดิมหลายชิ้นถูกย้ายออก ทำให้ห้องโล่งขึ้นมาก หลังจากเพิ่มต้นไม้แบบเหมาะจะปลูกในบ้าน มันก็ดูสดชื่นสบายตาขึ้นทันที พี่เก๋หันกลับไปที่เตียง คนป่วยตื่นแล้ว และกำลังพยายามพยุงตัวเองให้นั่ง

“โอ้โฮ...คีนั่งได้แล้วเหรอ”

คนป่วยพยักหน้า ยกมือลูบผมเกรียน ๆ ของตัวเอง “เดินได้แล้วถ้าไม่ไกลมาก”

“ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม”

คนฟังยักไหล่ “ไม่แล้ว”

“ดีจริง ลุกได้เร็วอย่างนี้” คนพูดมองตามฉันที่เดินไปพยุงคนบนเตียงเอาหมอนพิงหลังให้นั่งสบาย แล้วอมยิ้ม

“จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนคนดู” เขาตอบ

ฉันเม้มปาก หันไปหาเด็ก ๆ “นรีพาเด็ก ๆ ไปกินขนมในครัวก่อนดีกว่านะคะ พี่เก๋คุยตามสบายเลย” จากนั้นก็จูงมือสองหลาน “อามีขนมหลายอย่าง นมด้วย มีคนเอามาเยี่ยมอาคี แต่อาดื้อ ไม่ค่อยกิน ภูกับเพลงมากินแทนดีกว่า มีไอติมที่ซื้อไว้ด้วย”

พวกเราพากันเข้าครัว ปล่อยให้พี่เก๋และไรอันได้คุยกับคนป่วย พักใหญ่เธอก็เดินมาในครัว เด็ก ๆ กำลังสนุกกับการตกแต่งไอติมด้วยเม็ดช็อกโกแลตหลากสีในขวดโหล

“ไม่นึกว่านรีมีของพวกนี้ด้วยนะเนี่ย”

“ได้มาฟรีค่ะ” ฉันวางเม็ดช็อกโกแลตเคลือบน้ำตาลไว้บนยอดสุดบอก “ยี่ห้อนี้เพื่อนนรีไปทำโฆษณาให้ เลยส่งมาให้กิน อร่อยดี เก็บไว้กินตอนที่หิว ๆ แช่ตู้เย็นไว้นานแล้ว ไอติมนี่เพิ่งสั่งมา เผื่อคนป่วยอยากกินอะไรหวาน ๆ ”

ภูกับเพลงตักไอติมเข้าปาก ส่วนคนแม่ชิมไปหนึ่งช้อน

“คีเป็นไงบ้าง”

“ก็อย่างที่พี่เห็น อาการดีขึ้นเร็วมากจนนักกายภาพยังแปลกใจ น้ำหนักขึ้นนิดหน่อยแล้ว หมอเริ่มให้ทานอาหารปกติได้แล้วค่ะ”

“นรีก็เก่งนะ ดูแลคีดี”

“ไม่ได้เก่งค่ะ เขาดีขึ้นเอง นรีเสียอีกที่คอยหาเรื่องทะเลาะ”

“อ้าว...ยังไม่ดีกันอีกเหรอ” หลังจากเงียบไปนานพี่เก๋ก็เอ่ยถามขึ้นตรงไปตรงมา

“พี่เก๋ นรีรับปากพี่เพื่อมาดูแลคุณคีนะคะ ไม่ได้มาเพื่อจะคืนดี”

พี่เก๋ส่ายหน้า “โอเค ๆ พี่ขอโทษ ไม่คืนดี ไม่พูดถึงเรื่องเก่าแล้ว งั้นมาช่วยกันจัดของว่างให้หนุ่ม ๆ กันดีกว่า”

ระหว่างที่เรากำลังพูดคุยและเตรียมของว่าง ไรอันพยุงคุณคีตาเดินออกมานั่งเล่นในสวนเล็ก ๆ ข้างบ้าน ตอนที่ฉันกำลังจะยกน้ำและของว่างไปให้ ก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่โดยบังเอิญ

“ฉันได้วันแต่งงานแล้วนะ อีกสองเดือน” ชายหนุ่มร่างสูงเชื้อสายอเมริกันเอ่ยเสียงไม่เบานัก

“ดีใจด้วย ในที่สุดเก๋เขายอมตกลง”

ไรอันพยักหน้า ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนหน้านั้นเขาเพียรขอพี่เก๋แต่งงานนั้นมาหลายปี เธอยอมคบกับเขา ให้เข้าออกบ้าน แต่ไม่ยอมขยับความสัมพันธ์ไปมากกว่านั้นทั้ง ๆ ที่ลูกทั้งสองคนก็ยอมรับไรอันอย่างไม่มีเงื่อนไข

ฉันเดาว่าพี่เก๋คงยังลืมพี่ชายของฉันไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะคิดว่าเร็วไป

“ดีใจด้วยจริง ๆ ขอแสดงความยินดีไว้ตรงนี้ละกัน เผื่อฉันไม่ได้ไป”

คนฟังเลิกคิ้ว “...หมายความว่ายังไงวะ นายกับนรีต้องไปสิ ถ้าไม่มีนายฉันคงไม่เจอเขา”

คุณคีตาไม่ตอบ เลื่อนสายตาลง “ต่อไปก็ฝากดูแลเธอกับลูกแทนฉันที ให้ความรักกับเธอให้มากพอ เก๋ก็เหมือนครอบครัวของฉัน ฉันไม่อยากให้เธอเสียใจทีหลัง”

“นายก็รู้ ฉันรักเธอมาก และไม่คิดจะรักใครได้อีก”

ตอนนั้นฉันเห็นคนป่วยยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นตบบ่าคนร่างสูง “ดี ฉันจะได้หมดห่วง ถ้าอย่างนั้นนายช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”

“อะไร”

“ฉันอยากย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาล หรือสถานพักฟื้นก็ได้ แล้วหาคนมาเช่าบ้านนี้ให้ที”

ไรอันมองหน้าคนพูด “แล้วนรีล่ะ”

คนถูกถามชะงัก เงยหน้ามองไรอันแล้วก็หลบตา

“เราผู้ชายด้วยกัน มองตาแค่นี้ก็รู้ว่านายยังรักนรีอยู่” ไรอันบอกเสียงเรียบ “ไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นนายถึงมีอีกคน แต่ว่า...ถ้าตอนนี้นายเคลียร์ตัวเองแล้ว แถมยังรักนรีมากอย่างนี้ ทำไมไม่หาทางคืนดีกัน”

คุณคีตาส่ายหน้า “เวลาของฉันไม่เหลือแล้วล่ะไรอัน”

“หะ...อะไรนะ”

“ฉันไม่อยากพูดอะไรมาก”

จากนั้นเขาก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรอีก





- - Ketaa part- -

“เวลาของฉันไม่เหลือแล้วล่ะไรอัน”

ประโยคที่ผมพูดกับไรอันก่อนที่นรีจะยกของว่างยามบ่ายเข้ามาหาเราสองคน หวังว่าเธอจะไม่ได้ยินประโยคนั้น

สองวันก่อน ถึงวันกำหนดไปฟังผลการผ่าตัดและนัดตรวจอาการเพิ่มเติม ผมขอคุยกับหมอเป็นการส่วนตัว หมอบอกว่าเนื้องอกในสมองของผมเป็นประเภทที่ไม่ได้ผ่าตัดครั้งเดียวแล้วจะหาย และการผ่าตัดครั้งที่สองอาจต้องทำเร็ว ๆ นี้ แถมอันตรายกว่าครั้งแรกมาก

เรื่องที่ผมเพิ่งรู้ ทำให้ผมคิดจะส่งนรีไปอเมริกาก่อนกำหนด อย่างน้อย ก็ไม่อยากให้เธอเห็นตอนที่ร่างกายผมทรุดไปมากกว่านี้ บางทีจากกันทั้ง ๆ ที่ยังเกลียดจะดีกว่า

เก๋และไรอันมาตั้งแต่บ่าย อยู่กินข้าวเย็นด้วย กว่าจะกลับก็เย็นมากแล้ว

“เก๋บอกว่าเดือนหน้า นรีจะไปทำงานต่างประเทศเหรอ” ผมถามเมื่อนรีพยุงผมถึงหน้าห้องน้ำ ตอนนี้ผมอาบน้ำเองได้แล้ว แต่การเดินยังไม่ปกตินัก นรีมักจะคอยพยุง หรือไม่ก็เดินตามห่าง ๆ เสมอ

คำถามนั้นทำให้นรีชะงักนิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้า

“ไปอยู่ที่โน่น จะอยู่ยังไงคนเดียว มันไม่ใช่ง่ายๆ ไหนจะภาษา ไหนจะผู้คน พี่คิดว่า...” ผมรู้ว่า สำหรับนรีแล้ว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

“ฉันคิดได้เอง ไม่ต้องห่วง” เธอตอบ

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ

“พรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการเรื่องเอกสาร เตรียมอาหารเช้าแล้วจะออกไปนะ”

นรีเลือกไปทำธุระพรุ่งนี้ คงเพราะเป็นวันที่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทั้งวัน ผมจึงไม่ต้องอยู่คนเดียว

“ตามสบาย อยู่ได้”

จริง ๆ ผมช่วยตัวเองได้มากแล้ว ไม่เจ็บแผล มีปวดหัวบ้างแต่ก็น้อยมาก หรือไม่ได้สนใจมันนัก การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง ผมมองโลกเปลี่ยนไป และมีความสุขกับทุกวันที่เหลือได้มากขึ้น แถมตอนนี้แทบไม่แคร์อะไรเลยกับการที่ตัวเองจะจากไป

เพราะผมได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อย และได้ทำทุกเรื่องที่อยากทำแล้ว



นรีออกจากบ้านไปตอนสาย ๆ และกลับมาเย็นมากแล้ว กลับมาเธอก็ไม่พูดไม่จา เดินขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดนอนแล้วก็ลงมานั่งเงียบ ๆ ที่หน้าโทรทัศน์ พลางก้มหน้าอ่านนิยายออนไลน์ หรือไม่ก็วาดภาพผ่านไอแพดของเธออย่างที่ทำเป็นประจำ

“ฉันจะดื่มนมอุ่น อยากดื่มด้วยไหม” ราวสองทุ่มครึ่ง จู่ ๆ เธอก็วางของเงยหน้าขึ้นถาม

ผมละสายตาจากหนังสืออ่านเล่น ยิ้มบาง ๆ พยักหน้า

“ได้”

นรีเดินเข้าครัว คงไปอุ่นนม ผมก้าวลงจากเตียงเดินช้า ๆ เข้าไปในครัวด้วย

“เข้ามาทำไม เดี๋ยวยกไปให้”

“…” ผมไม่ตอบนั่งลงที่โต๊ะตัวเล็กมุมห้อง มองไปรอบ ๆ คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ

เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้ว สำหรับเราสองคน

พักหนึ่งนรีวางแก้วนมอุ่นตรงหน้า พร้อมกับขวดน้ำผึ้ง ผมเทน้ำผึ้งประมาณหนึ่งช้อนช้าลงนมอุ่นแล้วคนให้เข้ากัน กลิ่นหอม ๆ ของน้ำผึ้งลอยมาเตะจมูก เราจิบนมกันเงียบ ๆ

“เอกสารเรียบร้อยดีไหม” ผมเอ่ยขึ้นในที่สุด จริงๆ แล้วอยากจะเปลี่ยนจุดสนใจให้ตัวเองมากกว่า วันนี้นรีสวมชุดนอนหลายหมีตัวโคร่ง ดูน่ารักมากมายในความคิดของผม นั่งใกล้กันอย่างนี้อยากดึงคนร่างเล็กเข้ามานั่งตักแล้วฟัดแก้มสองข้างแบบที่เคยทำ

คนฟังพยักหน้า “ค่ะ”

“ไปเมื่อไหร่”

“อยากให้ไปมากนักเหรอ”

ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับเธออย่างจังก่อนจะเบือนหน้าออก แล้วยกแก้วนมขึ้นดื่ม ไม่ตอบ

เราดื่มนมกันเงียบ ๆ อีกพักใหญ่ ในที่สุดนรีก็ลุกขึ้นก่อน

“ฉันจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้เลยก็ได้ สบายใจหรือยัง”

“ไม่นะ” อย่างที่ไม่ได้คิดไว้ก่อน ผมลุกขึ้นเอื้อมมือไปดึงข้อมือของนรีและรวบตัวเธอไว้ในอ้อมกอด กลิ่นกายคุ้นเคย เสื้อผ้าตัวเก่า และเราคงไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกแล้ว

“ปละ...ปล่อย”

ผมหลับตา ส่ายหน้า “ขออยู่แบบนี้พักหนึ่งได้ไหม”

ร่างบางไม่ตอบ แต่ยืนนิ่งไม่เบี่ยงตัวหลบ ผมรู้สึกว่าเธอตัวสั่นน้อย ๆ

“ขอให้ไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีนะ พี่...ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”

“...” นรีเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดเธอก็ผละตัวออกนิด แล้วเงยหน้ามองผมด้วยน้ำตากบตา “แบบนี้มันดีที่สุดแล้วใช่ไหมคะ” คนพูดเอาหลังมือป้ายน้ำตาออกจากข้างแก้ม “คิดว่าทำแบบนี้ดีที่สุดใช่ไหม”

ใจผมสั่นไหว แต่ก็ต้องกลั้นไว้ แอบตอบในใจว่า ใช่...มันดีที่สุดแล้ว

“วันนี้นรีไปคุยกับบีมา”

ผมชะงัก

“รู้เรื่องหมดแล้ว” คนพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ส่วนนรีเดินไปหยิบแก้วใส่นมสองใบไปใส่ไว้ที่ล้างจาน แล้วเดินผ่านหน้าผมซึ่งชะงักทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม

นรีเดินถึงประตูห้องครัวก่อนจะหันมาหาผม “ถ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วมันดีที่สุด นรีไม่ต้องรู้อะไร เป็นคนโง่ที่คุณคีอยากให้ไปอยู่ไกล ๆ นรีก็จะไปค่ะ”

“นรี! ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันแบบไหนล่ะ” นรีเอ่ยเสียงสูง น้ำตากบตา “คิดว่านรีจะไม่เจ็บปวดงั้นหรือคะ คุณเป็นใครถึงมาตัดสินอะไรแทนกัน...แค่นี้นะคะ จะไปนอนแล้ว” พูดจบคนพูดก็วิ่งตึง ๆ ขึ้นบันไดไปห้องนอน

- นรี รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว -

- คุณเป็นใครถึงมาตัดสินอะไรแทนกัน -

สิบห้านาทีหลังจากนั้นผมก็เดินถึงหน้าห้องนอนบนชั้นสอง สภาพร่างกายที่ยังไม่กลับมาเต็มร้อยทำให้ผมต้องค่อย ๆ พยุงตัวเดินขึ้นบันได กว่าจะ เดินถึงหน้าประตูห้องนอนก็เล่นเอาหอบนิด ๆ

ผมได้ยินเสียงนรีร้องไห้ 

เสียงที่ผมไม่อยากได้ยิน

และภาวนาว่าตัวเองจะไม่ได้ยิน

ผมเคาะประตู เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“นรี พี่เข้าไปนะ”

“ไม่ต้อง ออกไป!”

ผมไม่รอคำตอบ หมุนลูกบิดประตูเข้าไป พบว่านรีผุดลุกนั่งและเช็ดน้ำตาอยู่ที่มุมเตียงด้านใน

“ขึ้นมาทำไม บันไดมันชัน” ไม่บอกก็รู้ว่าคนตัวเล็กยังห่วงผม

“เราต้องคุยกันนะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคุย นรีรู้เรื่องหมดแล้ว” คนพูดสะอื้น “ถ้าคุณคีเลือกแบบนั้น ก็ตามใจ นรีจะไปแล้ว ขอร้องเถอะ...อย่ามาอยู่ใกล้ ๆ กัน ตอนนี้นรียังทำใจไม่ได้ แล้ว...ถ้าเป็นไปได้ ก็เซ็นใบหย่าให้ด้วย” คนพูดหันหน้าหนีไหล่บางสั่น “เป็นเมียมันไม่เคยต้องรู้อะไร ก็ไม่ต้องเป็นก็แล้วกัน!”

ผมเคยคิดว่าตัวเองจะทนได้

ผมเคยคิดว่าตัวเองจะรับได้ ถ้าต้องจากนรีกันจริง ๆ

ผมเพิ่งรู้ว่าคิดผิด

ผมอาจทนได้ ถ้าไม่ต้องเห็นเธอร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจแบบนี้ ร่างสูงของผมทรุดลงบนเตียง ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดคว้าตัวนรีมากอดไว้

นรีดิ้นแต่ยังไม่หยุดร้องไห้ เธออันมาเอามือทุบผม พยายามจะผละตัวเองออก แต่ผมไม่ยอมคลายอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่ผมควรจะกลับมากอดนับแต่คืนแรกที่เธอเห็นพบกับบีที่คอนโดแห่งนั้น....แต่ผมก็ไม่ได้ทำ

“ทุบพี่มาก ๆ เดี๋ยวพี่สมองกระทบกระเทือนนะ” ผมแกล้งบอก จริง ๆ อยากหาเหตุผลอะไรสักอย่างให้เธอหยุด

และ...เราจะได้คุยกันเสียที

คุยในเรื่องที่ผมหลบเลี่ยงจะคุยด้วยมาตลอด

.

.

.



สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2565, 21:27:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2565, 21:27:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 453





<< ไม่ใช่...ไม่รัก   มากกว่า...คำว่ารัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account