วานวาสนา: ร่มเกศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เรื่องย่อ:
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
เมื่อทุกอย่างสูญสิ้น ‘น้อย’ ชายหนุ่มชีวิตอาภัพ จำต้องออกเดินทางจากบ้านสู่พระนครที่ห่างไกล เพื่อตามหาหญิงสาวอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคและความผิดหวังซ้ำๆ ‘เพชราวสี’ คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ เป็นแก้วมณีที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝัน แต่ก็ต้องฝันสลาย เพราะแก้วมณีดวงนี้ได้ถูกจองให้แก่ ‘หม่อมเจ้าภาณุมาศ’ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างคงจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น หากโลกไม่หมุนคนที่แตกต่างทั้งสองคนให้มาพบเจอกัน
หนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับแววตาอ่อนหวานละไมของเธอ เป็นดั่งแสงสว่างนำพาชายหนุ่มที่สิ้นหวังก้าวไปสู่โลกอีกใบที่ไม่เคยค้นพบ จากความประทับใจ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อเอาชนะคำดูถูกของทุกคน การหาคำตอบว่าตัวเองเป็นใครจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางปริศนา ปมความรักต่างชนชั้น เรื่องราวเลวร้ายมากมายที่เขาจะต้องเผชิญและจับมือฝ่าฝันอุปสรรคไปพร้อมกันกับเธอ
. . . . . . . . . . . . . .
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "ร่มเกศ" เป็นหนึ่งในนิยายจากโครงการ "ช่องวันอ่านเอา" ที่ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง One31 และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 50% ของเรื่องนะคะ
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่ม
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.ผ่าน www.plaipakkabooks.com หรือ inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 600 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 409฿ จากราคาปก 454฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 454฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 479฿)
ค่าจัดส่ง Kerry 65฿ (รวมเป็น 474฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket และ NaiinPann***
Tags: พีเรียด โรแมนติก ดราม่า ละคร ช่องวัน อ่านเอา
ตอน: บทที่ 21 ใจปั่นป่วน (100%)
สุภาวดีรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาหันไปมองที่เตียง เห็นเพชราวสีกำลังลืมตาขึ้นช้าๆ ทั้งสองรีบกรูเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความดีใจ
“วสี เธอเป็นยังไงบ้าง ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่เลยนะรู้ไหม” สุภาวดีกุมมือเพื่อนรักเอาไว้แน่น พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความเป็นห่วงสุดใจ
เพชราวสีได้พักผ่อนเต็มที่ หลับไปนานเป็นวันๆ รู้สึกดีขึ้นมากจากตอนแรก รีบลุกขึ้นนั่งแต่ยังรู้สึกมึนอยู่ไม่หาย
“ยัยสุ...พี่เดช...” เธอครางเรียกทั้งสอง กวาดสายตามองไปรอบๆ เธอกำลังนั่งอยู่ในห้องและปลอดภัยแล้ว แต่ไม่เห็นชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธออยู่ข้างๆ เพชราวสีสติแตก กลัวน้อยจะจากเธอไป “แล้วน้อยล่ะ น้อยเป็นยังไงบ้าง เขาบาดเจ็บหรือเปล่า”
ทั้งสองเห็นแล้วอึ้ง เหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงชายผู้นั้นมากเหลือเกิน เพราะทันทีที่ตื่น เธอก็ถามถึงน้อยทันที
“เธอใจเย็นๆ ก่อนนะ น้อยถูกยิง กระสุนแค่ถากๆ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
เพชราวสีพรูลมหายใจออกมาช้าๆ อย่างโล่งอกเมื่อได้รับข่าวดีนั้น
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ทำไมเธอถึงได้มีสภาพสะบักสะบอมแบบนี้” สุภาวดีถามเสียงเข้ม
เพชราวสีมองหน้าเพื่อนรักสลับกับญาติสนิทไปมาอย่างสับสน ก่อนจะถอนใจเล่าว่า
“ฉันกำลังขี่ม้าเที่ยวชมไร่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืน แล้วฉันก็พลัดตกลงมาจากหลังม้า แล้วก็มีโจรจากที่ไหนไม่รู้ มัดมือมัดเท้าฉันไว้ มันขู่จะขืนใจฉัน แต่น้อยก็เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ถ้าไม่ได้เขาฉันคงถูกปู้ยี่ปู้ยำไปนานแล้ว”
เจ้าของไร่ได้ฟังถึงกับผงะ
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในไร่ด้วยหรือกระหม่อม”
“ค่ะ พวกมันมากันสองคน มันคล่องแคล่วมาก และน้องก็รู้สึกเหมือนมีคนตามน้องมาสักระยะแล้ว แต่ไม่ได้เอะใจอะไร แถมพวกมันยังรู้ชื่อน้องด้วยนะคะ” เธอบอกไปตรงๆ
“ตายจริง! ฉันว่าต้องมีใครสักคน ตั้งใจจ้างพวกมันให้มาทำร้ายเธอแน่ๆ” สุภาวดีร้องตกใจ
เพชราวสีหันไปมองเพื่อนสาวแล้วใจเสีย
“ทำร้ายอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหนเสียหน่อย”
“ก็ศัตรูที่มองไม่เห็นไง เธอน่ะ ใจดี ทำดีกับคนไปทั่ว มันอาจจะมีใครบางคนที่คอยอิจฉาเธอ แต่ไม่แสดงออก เหมือนยัยพิมนั่นก็ได้”
กฤติเดชไตร่ตรองดู ตั้งแต่อยู่ที่ไร่นี้มาก็ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้มาก่อน จะว่าเป็นคนงานในไร่ก็ไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้ก็อยู่กันสงบสุขดี แต่พอเพชราวสีมา เรื่องนี้ก็เกิดขึ้น... มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แล้วถ้าเป็นอย่างที่สุภาวดีพูดจริงๆ นั่นก็แสดงว่าตอนนี้เพชราวสีกำลังตกอยู่ในอันตราย
ไม่ได้การละ! เขาจะต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณสุว่าจริง กระหม่อมว่ารีบไปแจ้งความดีกว่า ถ้าพวกมันยังอยู่ในไร่ ท่านหญิงก็ยังไม่ปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วงนะกระหม่อม กระหม่อมสัญญาทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” เขาให้คำมั่น
สองสาวพยักหน้าเชื่อมั่นในตัวกฤติเดช ก่อนที่เขาจะรีบไปแจ้งความที่โรงพัก ไม่นานรถตำรวจก็แล่นเข้ามาในไร่หลายคัน พวกคนงานที่ไม่รู้เรื่องต่างแตกตื่น หวาดกลัวกันไปหมด เพชราวสีบอกเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบและให้ข้อมูลรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายไป เจ้าหน้าที่ก็วางกำลังเข้าตรวจค้นในไร่ทันที
ตำรวจใช้เวลาตรวจสอบนานหลายชั่วโมงจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ไม่เห็นวี่แววของผู้ร้ายทั้งสองในไร่แห่งนี้ ตำรวจคาดการณ์ว่าพวกมันคงไหวตัวทัน จึงรีบหนีหายไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง แม้คนร้ายจะออกจากไร่ไปแล้ว แต่กฤติเดชก็ยังไม่วางใจ...เห็นทีผ่านพ้นคืนนี้ไปเขาอาจจะต้องรีบส่งเพชราวสีและเพื่อนๆ กลับพระนครโดยเร็วเสียแล้ว
***********************
ช่วงค่ำอากาศเริ่มเย็นลง ตั้งแต่เธอตื่นจากความฝันอันยาวนาน ไม่เห็นน้อยจะโผล่มาหาเธอบ้างเลย
เพชราวสีนึกบางอย่างได้ หยิบกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าออกมา ตามด้วยถุงผ้าที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าอีกชั้น มือบางล้วงสร้อยวิรุณวงษ์ออกมามอง เพชราวสีคิดว่าสร้อยเส้นนี้อยู่กับเธอนานเกินไป คงถึงเวลาแล้วละ ที่มันควรถูกส่งกลับคืนเจ้าของที่แท้จริงเสียที
ด้านน้อยที่เดินผ่านมาบริเวณสนามหญ้ากว้าง มีลานนั่งกลางแจ้งค่อนข้างหรูหรา หากแต่ยังได้กลิ่นอายธรรมชาติอยู่...
น้อยเห็นกลุ่มเพื่อนของกฤติเดชกำลังปาร์ตี้สังสรรค์เสียงดังตามประสาหนุ่มสาวสมัยใหม่ เห็นชาติชายปิ้งย่างบาร์บีคิวอยู่ที่เตา ส่วนอรอนงค์ ไพลิน และปรีชา ก็นั่งชนแก้วกันอยู่ที่โต๊ะพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮา โดยไม่มี กฤติเดชและสุภาวดีเข้าไปร่วมวงด้วย
น้อยมองเฉยไม่ได้สนใจอะไรคนกลุ่มนั้นอยู่แล้ว เขากำลังจะเดินผ่านไป ทว่าสะดุดกับคำพูดหนึ่งของคนในกลุ่มนั้น จนเขาต้องเหลียวกลับไปมอง
“นี่ๆ ตอนที่พวกนายไปเจอท่านหญิงกับไอ้ใบ้ ตอนนั้นพวกนายเห็นโจรกันไหม” อรอนงค์เริ่มเปิดประเด็น เพราะตอนที่เจ้าหน้าที่เข้ามาในไร่ กฤติเดชบอกพวกเธอว่ามีโจรบุกทำร้ายเพชราวสี แล้วน้อยก็เข้าไปช่วยไว้ ไม่ใช่อย่างที่ทั้งสองหนุ่มโพนทะนาให้ทุกคนฟัง
ชาติชายกับปรีชาหันมามองหน้ากัน
“เออ...ไม่อะ” ปรีชาสั่นหน้า
“สงสัยพวกโจรมันคงถูกอัดจนเละ สลบคาพื้นอยู่มั้ง” ชาติชายออกความเห็น
แต่คำพูดของอรอนงค์น่าคิด ไพลินอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมบ้าง “แต่ฉันแปลกใจอยู่อย่าง พวกเธอลองคิดดูสิ ท่านหญิงขี่ม้าไปน้ำตก แล้วจู่ๆ ไอ้ใบ้ก็ตามไป เหมือนนัดแนะกันเลย”
“เออ จริงด้วย” ปรีชาตาลุก ก่อนเสริม...“ไม่งั้นไอ้ใบ้จะรู้ได้ยังไงว่าท่านหญิงถูกโจรฉุด จริงไหม”
“ฉันว่าเรื่องนี้มันชักจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” ชาติชายยกยิ้มที่มุมปาก เห็นเพื่อนในกลุ่มโต้ตอบกันไปมา พอเปิดประเด็นเรื่องชาวบ้านขึ้นมาทีไร หาทางจบไม่ได้ทุกที
“นี่นายอย่าบอกนะ ว่าท่านหญิงกับไอ้ใบ้...แอบเข้าไปพลอดรักกันในป่า” อรอนงค์ตาโต
“ว้าย! บัดสีบัดเถลิง” ไพลินอุทานเสียงหลง
“เป็นถึงหม่อมเจ้าแทนที่จะเลือกคนดีๆ อย่างท่านชายภาส แต่กลับตาต่ำไปคว้าเอาคนบ้าใบ้มาแทนซะงั้น ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน” ปรีชาส่ายหน้า
“แต่เห็นเขาว่ากันว่าท่านชายภาสนอกใจหล่อน ไปคว้าเอาคนรับใช้ไม่ใช่รึ” ชาติชายหันมาพูดบ้าง
“หล่อนก็เลยต้องไปคว้าเอาคนบ้าใบ้มาแก้หน้ายังไงละจ๊ะ” คำพูดเหน็บแนมสนุกปากของอรอนงค์ พาเพื่อนๆ ในกลุ่มหัวเราะเสียงดังลั่น
คำพูดวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ส่งผลให้ใจดวงโตบีบรัดจนเจ็บหนึบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาคงไม่เจ็บใจมากขนาดนี้ ถ้าคนพวกนั้นไม่พูดถึงเพชราวสีเสียๆ หายๆ เขาได้ยินคำเย้ยหยันมาตั้งแต่เด็กจนโต ความรู้สึกในส่วนนั้นแทบจะตายด้านไปหมดแล้ว แต่กับเพชราวสีเธอคือหัวใจ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เธอจะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าถูกนินทา มีข่าวในเชิงชู้สาวกับไอ้คนบ้าใบ้อย่างเขา
ภาพในหัวเมื่อตอนเกิดเรื่องกับพิมที่ท่าเตาย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง น้อยยังจดจำช่วงเวลาโหดร้ายนั้นได้ไม่เคยลืม กลัวเหลือเกินว่าเพชราวสีจะรังเกียจเขาเหมือนอย่างที่พิมทำกับเขาไปอีกคน และถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะทำอย่างไร ในเมื่อไม่มีใครอีกแล้วที่ดีกับเขาได้เท่าเธอ น้อยหลับตาลงครู่หนึ่งไม่อยากเก็บคำพูดของคนพวกนั้นมารกสมอง และไม่อาจทนอยู่ตรงนี้ได้นาน จึงรีบเดินออกไปจากตรงนั้นในที่สุด
เมื่อน้อยก้าวออกไป ก็เผยให้เห็นหญิงสาวข้างหลังที่ถูกร่างหนาบังเอาไว้จนมิด...
เพชราวสีอ่อนใจ เธอพอจะรู้ว่าทำไมเขาถึงเดินหนีไป เธอยอมรับว่าเสียใจตอนที่ถูกคนพวกนั้นวิพากษ์วิจารณ์ แต่รู้สึกสงสารน้อยมากกว่า ไปช่วยเธอออกมาจากป่าแท้ๆ แถมยังได้รับบาดเจ็บอีก แทนที่จะมีคนยกย่องสรรเสริญในความดีที่ทำ กลับไม่มีใครเห็นค่าความดีเหล่านั้น ซ้ำยังกล่าวหาสร้างเรื่องมากมายทำให้เธอกับเขาต้องปวดหัว
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
“วสี เธอเป็นยังไงบ้าง ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่เลยนะรู้ไหม” สุภาวดีกุมมือเพื่อนรักเอาไว้แน่น พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความเป็นห่วงสุดใจ
เพชราวสีได้พักผ่อนเต็มที่ หลับไปนานเป็นวันๆ รู้สึกดีขึ้นมากจากตอนแรก รีบลุกขึ้นนั่งแต่ยังรู้สึกมึนอยู่ไม่หาย
“ยัยสุ...พี่เดช...” เธอครางเรียกทั้งสอง กวาดสายตามองไปรอบๆ เธอกำลังนั่งอยู่ในห้องและปลอดภัยแล้ว แต่ไม่เห็นชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธออยู่ข้างๆ เพชราวสีสติแตก กลัวน้อยจะจากเธอไป “แล้วน้อยล่ะ น้อยเป็นยังไงบ้าง เขาบาดเจ็บหรือเปล่า”
ทั้งสองเห็นแล้วอึ้ง เหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงชายผู้นั้นมากเหลือเกิน เพราะทันทีที่ตื่น เธอก็ถามถึงน้อยทันที
“เธอใจเย็นๆ ก่อนนะ น้อยถูกยิง กระสุนแค่ถากๆ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
เพชราวสีพรูลมหายใจออกมาช้าๆ อย่างโล่งอกเมื่อได้รับข่าวดีนั้น
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ทำไมเธอถึงได้มีสภาพสะบักสะบอมแบบนี้” สุภาวดีถามเสียงเข้ม
เพชราวสีมองหน้าเพื่อนรักสลับกับญาติสนิทไปมาอย่างสับสน ก่อนจะถอนใจเล่าว่า
“ฉันกำลังขี่ม้าเที่ยวชมไร่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืน แล้วฉันก็พลัดตกลงมาจากหลังม้า แล้วก็มีโจรจากที่ไหนไม่รู้ มัดมือมัดเท้าฉันไว้ มันขู่จะขืนใจฉัน แต่น้อยก็เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ถ้าไม่ได้เขาฉันคงถูกปู้ยี่ปู้ยำไปนานแล้ว”
เจ้าของไร่ได้ฟังถึงกับผงะ
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในไร่ด้วยหรือกระหม่อม”
“ค่ะ พวกมันมากันสองคน มันคล่องแคล่วมาก และน้องก็รู้สึกเหมือนมีคนตามน้องมาสักระยะแล้ว แต่ไม่ได้เอะใจอะไร แถมพวกมันยังรู้ชื่อน้องด้วยนะคะ” เธอบอกไปตรงๆ
“ตายจริง! ฉันว่าต้องมีใครสักคน ตั้งใจจ้างพวกมันให้มาทำร้ายเธอแน่ๆ” สุภาวดีร้องตกใจ
เพชราวสีหันไปมองเพื่อนสาวแล้วใจเสีย
“ทำร้ายอะไรกัน ฉันก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหนเสียหน่อย”
“ก็ศัตรูที่มองไม่เห็นไง เธอน่ะ ใจดี ทำดีกับคนไปทั่ว มันอาจจะมีใครบางคนที่คอยอิจฉาเธอ แต่ไม่แสดงออก เหมือนยัยพิมนั่นก็ได้”
กฤติเดชไตร่ตรองดู ตั้งแต่อยู่ที่ไร่นี้มาก็ไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้มาก่อน จะว่าเป็นคนงานในไร่ก็ไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้ก็อยู่กันสงบสุขดี แต่พอเพชราวสีมา เรื่องนี้ก็เกิดขึ้น... มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แล้วถ้าเป็นอย่างที่สุภาวดีพูดจริงๆ นั่นก็แสดงว่าตอนนี้เพชราวสีกำลังตกอยู่ในอันตราย
ไม่ได้การละ! เขาจะต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณสุว่าจริง กระหม่อมว่ารีบไปแจ้งความดีกว่า ถ้าพวกมันยังอยู่ในไร่ ท่านหญิงก็ยังไม่ปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วงนะกระหม่อม กระหม่อมสัญญาทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” เขาให้คำมั่น
สองสาวพยักหน้าเชื่อมั่นในตัวกฤติเดช ก่อนที่เขาจะรีบไปแจ้งความที่โรงพัก ไม่นานรถตำรวจก็แล่นเข้ามาในไร่หลายคัน พวกคนงานที่ไม่รู้เรื่องต่างแตกตื่น หวาดกลัวกันไปหมด เพชราวสีบอกเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบและให้ข้อมูลรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายไป เจ้าหน้าที่ก็วางกำลังเข้าตรวจค้นในไร่ทันที
ตำรวจใช้เวลาตรวจสอบนานหลายชั่วโมงจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ไม่เห็นวี่แววของผู้ร้ายทั้งสองในไร่แห่งนี้ ตำรวจคาดการณ์ว่าพวกมันคงไหวตัวทัน จึงรีบหนีหายไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง แม้คนร้ายจะออกจากไร่ไปแล้ว แต่กฤติเดชก็ยังไม่วางใจ...เห็นทีผ่านพ้นคืนนี้ไปเขาอาจจะต้องรีบส่งเพชราวสีและเพื่อนๆ กลับพระนครโดยเร็วเสียแล้ว
***********************
ช่วงค่ำอากาศเริ่มเย็นลง ตั้งแต่เธอตื่นจากความฝันอันยาวนาน ไม่เห็นน้อยจะโผล่มาหาเธอบ้างเลย
เพชราวสีนึกบางอย่างได้ หยิบกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าออกมา ตามด้วยถุงผ้าที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าอีกชั้น มือบางล้วงสร้อยวิรุณวงษ์ออกมามอง เพชราวสีคิดว่าสร้อยเส้นนี้อยู่กับเธอนานเกินไป คงถึงเวลาแล้วละ ที่มันควรถูกส่งกลับคืนเจ้าของที่แท้จริงเสียที
ด้านน้อยที่เดินผ่านมาบริเวณสนามหญ้ากว้าง มีลานนั่งกลางแจ้งค่อนข้างหรูหรา หากแต่ยังได้กลิ่นอายธรรมชาติอยู่...
น้อยเห็นกลุ่มเพื่อนของกฤติเดชกำลังปาร์ตี้สังสรรค์เสียงดังตามประสาหนุ่มสาวสมัยใหม่ เห็นชาติชายปิ้งย่างบาร์บีคิวอยู่ที่เตา ส่วนอรอนงค์ ไพลิน และปรีชา ก็นั่งชนแก้วกันอยู่ที่โต๊ะพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮา โดยไม่มี กฤติเดชและสุภาวดีเข้าไปร่วมวงด้วย
น้อยมองเฉยไม่ได้สนใจอะไรคนกลุ่มนั้นอยู่แล้ว เขากำลังจะเดินผ่านไป ทว่าสะดุดกับคำพูดหนึ่งของคนในกลุ่มนั้น จนเขาต้องเหลียวกลับไปมอง
“นี่ๆ ตอนที่พวกนายไปเจอท่านหญิงกับไอ้ใบ้ ตอนนั้นพวกนายเห็นโจรกันไหม” อรอนงค์เริ่มเปิดประเด็น เพราะตอนที่เจ้าหน้าที่เข้ามาในไร่ กฤติเดชบอกพวกเธอว่ามีโจรบุกทำร้ายเพชราวสี แล้วน้อยก็เข้าไปช่วยไว้ ไม่ใช่อย่างที่ทั้งสองหนุ่มโพนทะนาให้ทุกคนฟัง
ชาติชายกับปรีชาหันมามองหน้ากัน
“เออ...ไม่อะ” ปรีชาสั่นหน้า
“สงสัยพวกโจรมันคงถูกอัดจนเละ สลบคาพื้นอยู่มั้ง” ชาติชายออกความเห็น
แต่คำพูดของอรอนงค์น่าคิด ไพลินอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมบ้าง “แต่ฉันแปลกใจอยู่อย่าง พวกเธอลองคิดดูสิ ท่านหญิงขี่ม้าไปน้ำตก แล้วจู่ๆ ไอ้ใบ้ก็ตามไป เหมือนนัดแนะกันเลย”
“เออ จริงด้วย” ปรีชาตาลุก ก่อนเสริม...“ไม่งั้นไอ้ใบ้จะรู้ได้ยังไงว่าท่านหญิงถูกโจรฉุด จริงไหม”
“ฉันว่าเรื่องนี้มันชักจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” ชาติชายยกยิ้มที่มุมปาก เห็นเพื่อนในกลุ่มโต้ตอบกันไปมา พอเปิดประเด็นเรื่องชาวบ้านขึ้นมาทีไร หาทางจบไม่ได้ทุกที
“นี่นายอย่าบอกนะ ว่าท่านหญิงกับไอ้ใบ้...แอบเข้าไปพลอดรักกันในป่า” อรอนงค์ตาโต
“ว้าย! บัดสีบัดเถลิง” ไพลินอุทานเสียงหลง
“เป็นถึงหม่อมเจ้าแทนที่จะเลือกคนดีๆ อย่างท่านชายภาส แต่กลับตาต่ำไปคว้าเอาคนบ้าใบ้มาแทนซะงั้น ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน” ปรีชาส่ายหน้า
“แต่เห็นเขาว่ากันว่าท่านชายภาสนอกใจหล่อน ไปคว้าเอาคนรับใช้ไม่ใช่รึ” ชาติชายหันมาพูดบ้าง
“หล่อนก็เลยต้องไปคว้าเอาคนบ้าใบ้มาแก้หน้ายังไงละจ๊ะ” คำพูดเหน็บแนมสนุกปากของอรอนงค์ พาเพื่อนๆ ในกลุ่มหัวเราะเสียงดังลั่น
คำพูดวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ส่งผลให้ใจดวงโตบีบรัดจนเจ็บหนึบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาคงไม่เจ็บใจมากขนาดนี้ ถ้าคนพวกนั้นไม่พูดถึงเพชราวสีเสียๆ หายๆ เขาได้ยินคำเย้ยหยันมาตั้งแต่เด็กจนโต ความรู้สึกในส่วนนั้นแทบจะตายด้านไปหมดแล้ว แต่กับเพชราวสีเธอคือหัวใจ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เธอจะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าถูกนินทา มีข่าวในเชิงชู้สาวกับไอ้คนบ้าใบ้อย่างเขา
ภาพในหัวเมื่อตอนเกิดเรื่องกับพิมที่ท่าเตาย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง น้อยยังจดจำช่วงเวลาโหดร้ายนั้นได้ไม่เคยลืม กลัวเหลือเกินว่าเพชราวสีจะรังเกียจเขาเหมือนอย่างที่พิมทำกับเขาไปอีกคน และถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะทำอย่างไร ในเมื่อไม่มีใครอีกแล้วที่ดีกับเขาได้เท่าเธอ น้อยหลับตาลงครู่หนึ่งไม่อยากเก็บคำพูดของคนพวกนั้นมารกสมอง และไม่อาจทนอยู่ตรงนี้ได้นาน จึงรีบเดินออกไปจากตรงนั้นในที่สุด
เมื่อน้อยก้าวออกไป ก็เผยให้เห็นหญิงสาวข้างหลังที่ถูกร่างหนาบังเอาไว้จนมิด...
เพชราวสีอ่อนใจ เธอพอจะรู้ว่าทำไมเขาถึงเดินหนีไป เธอยอมรับว่าเสียใจตอนที่ถูกคนพวกนั้นวิพากษ์วิจารณ์ แต่รู้สึกสงสารน้อยมากกว่า ไปช่วยเธอออกมาจากป่าแท้ๆ แถมยังได้รับบาดเจ็บอีก แทนที่จะมีคนยกย่องสรรเสริญในความดีที่ทำ กลับไม่มีใครเห็นค่าความดีเหล่านั้น ซ้ำยังกล่าวหาสร้างเรื่องมากมายทำให้เธอกับเขาต้องปวดหัว
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2565, 21:51:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2565, 21:51:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 310
<< บทที่ 21 ใจปั่นป่วน (40%) | บทที่ 22 สารภาพ (35%) >> |