Valensole ลาเวนเดอร์...ที่รัก
ความรักระหว่าง 'วาลองโซล' หนุ่มฝรั่งเศสผู้ไม่เคยแพ้
กับ 'ลาเวนเดอร์' หรือ 'น้องลา' สาวญี่ปุ่น ผู้หญิงขี้แพ้

วาลองโซล คือ ดินแดนแห่งการเดินทางของลาเวนเดอร์
ที่ที่ลาเวนเดอร์บานสะพรั่งสวยงามแต่งแต้มผืนดิน
เป็นสีม่วงคราม...งดงามจับใจ
Tags: แต่งก่อนจีบ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ รักแท้

ตอน: บทที่ 1 รับน้องสยองขวัญ

เกียวโตเคยเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น เป็นเมืองเก่าแก่
อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก มีแม่น้ำใหญ่ตัดผ่านใจกลางเมือง
ฟากแม่น้ำฝั่งหนึ่งคือ เมืองเก่า มีวัดและโบราณสถาน
ที่ถูกบันทึกให้เป็นมรดกโลกมากมาย เช่น วัดทอง วัดคิโยมิสึ
และยังมีชุมชนหมู่บ้านเก่าแก่ที่ยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี
เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม จึงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่น...

ส่วนอีกฟากของแม่น้ำคือเมืองใหม่ มีตึกรามบ้านช่องแบบสมัยใหม่...
มีถนนตัดผ่านเป็นใยแมงมุม เป็นชุมทางรถไฟทุกสาย...รถราเต็มท้องถนน
ผู้คนเดินกวักไกว่ไปมามากมายไม่เคยขาด...เป็นแหล่ง
ชอปปิ้งของบรรดาวัยรุ่นและมีสถานบันเทิงเริงรมย์
ร้านอาหารนานนชาติให้เลือกมากมาย...มีสะพานใหญ่ข้ามฟาก
เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่ระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ....
เป็นภาพความต่างทีมีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลย...

หญิงสาวผู้ไร้ราก ไร้สัญชาติ ที่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ จะเจ็บจะป่วยหนักก็ไม่ได้
ต้องระมัดระวัง เพราะเธอไม่สามารถเข้ารับการรักษากับทางโรงพยาบาลทั่วไปได้
ไม่มีแม้แต่โอกาสได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาของที่นี่
แม้ว่าเธอจะเกิดที่นี่ โตที่นี่ อยู่ที่นี่มาจนอายุ 19 ปีแล้ว จะไม่เคยเป็นพลเมืองของดินแดนใดเลย
นอกจากพลเมืองของดินแดนนี้ หากเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับสัญชาติหรือแม้แต่บัตรแจ้งเกิด
บัตรประจำตัวประชาชนใดๆเธอก็ไม่มี ไม่มีแม้แต่บิดาและมารดา เธอรู้ความก็พบว่าตัวเอง
อยู่ตามซากปรักหักพัง แล้วหลบๆซ่อนๆตัวตามมัสยิด และ ศาสนสถานต่างๆที่นี่
ซึ่งมีคนใจดีคอยเอื้อเฟื้อเธอ

มีพวกยากุซ่าเคยนำเธอไปเลี้ยงดู ใช่ เธอเคยผ่านหลักสูตรของพวกยากุซ่ามา
และหนีออกมา หลบ ๆ ซ่อน ๆ รับจ้างทำงานในร้านอาหารและที่ที่รับเด็กไร้รากอย่างเธอทำ

และด้วยเพราะเธอพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากเคยได้รับการดูแลจากโสเภณีชาวไทย
ที่เดินทางมาค้าประเวณีที่ดินแดนนี้อยู่ช่วงนึงของชีวิต
ทำให้เธอสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้คล่อง

ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกร้านอาหารไทย เพราะว่าคุ้นเคยกับอาหารไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย...
เลยไปสมัครเป็นสาวเสริฟ ที่ร้านอาหารไทยในเขตฟากเมืองใหม่
ซึ่งร้านอาหารไทยดังกล่าวจะอยู่ลึกเข้าไปในถนนเส้นหลัก
มีต้นซากุระที่ยังไม่ออกดอกตลอดแนว ที่สำคัญเป็นร้านอาหารหรูติดริมแม่น้ำ...
ตอนไปสัมภาษณ์เขาตอบรับในทันทีเลย...เพียงแต่ขอให้ทำช่วงเสาร์อาทิตย์

เธอไม่ได้คิดลึกหรือคิดมากอะไร เลยตอบรับด้วยเพราะตาโตกับก้อนเงินที่จะได้เป็นเหตุ
ซึ่งเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงกลางคนชาวญี่ปุ่นได้บอกให้ไปช่วยงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่น
ที่อยู่อีกฟากแม่น้ำตรงเขตเมืองเก่าในช่วงเที่ยง พอช่วงใกล้ค่ำค่อยมา
ช่วยงานที่ร้านอาหารไทยต่อจนร้านปิด ซึ่งร้านจะปิดตอนแขกคนสุดท้ายออกจากร้าน...
และก่อนหน้านั้นต้องเก็บกวาดล้างจานเสร็จหมดแล้วจึงสามารถกลับได้

โดยจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน ชั่วโมงละ 800 เยน
โดยทำที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่ 11โมง ไปจนถึงบ่ายสามโมง คิดเป็น 4 ชั่วโมง
ส่วนที่ร้านอาหารไทย เริ่ม 5 โมงเย็นไปจนถึงแขกคนสุดท้ายออกจากร้าน
ก็ราวๆเที่ยงคืน คิดเป็น 7 ชั่วโมง
สมองคำนวนไม่นานจึงพบว่า วันนึงเธอทำงาน 11 ชั่วโมง
ได้เงินรวม 8,800 เยน แล้วทำแค่ช่วงเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
คิดๆแล้วก็ตกประมาณอาทิตย์ละ 17,000 เยน เดือนนึงมี 4 สัปดาห์
ก็เท่ากับทำงานเดือนนึง 8 วัน แต่ได้เงินคิดเป็น 70,400 เยน

นับว่า พอประทังชีวิตได้ในระดับนึง เพราะบ้านที่เธออาศัยอยู่ในตอนนี้ไม่ต้องเสียค่าเช่า
เพราะเป็นบ้านร้างที่คนญี่ปุ่นอนุญาตให้เธอเข้าไปอาศัยได้ แค่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง

และนี่แหละ...คือการเปิดฉากของเรื่องราวสยองขวัญในชีวิตเธอ...
มันทำให้เธอต้องลังเลใจว่าจะเลือกเงินโดยการเลือกทำงานที่นี่ต่อไป
หรือจะรีบลาออกไปในทันทีทันใด...



วันแรกของการทำงาน..เริ่มต้นที่ร้านอาหารญี่ปุ่น
เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในเขตเมืองเก่า ก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณ
ชื่อเมนูเกือบร้อยเมนูที่วันนั้นหญิงสาวต้องรีบไปก่อนเวลาปกติสองชั่วโมง
เพื่อจดจำชื่อเมนูและหน้าตาของมันจากกุ๊ก
แต่มันเป็นไปแทบไม่ได้ที่จะจำได้หมดในเวลาแค่นั้น

วันนั้นจึงทำงานพลาด ส่งผิดโต๊ะ และ...คิดเงินพลาด
โดนตำหนิจนแทบอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี...
แต่ก็ได้รับการให้อภัย เพราะน้องชายเจ้าของร้านดูจะใจดีกว่าพี่สาว
เลยเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยและให้หญิงสาวเอาเมนูทั้งหมดพร้อมราคาแต่ละเมนู
กลับไปท่องจำที่บ้าน...แนะนำในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆที่จำเป็นต้องมี
ในการทำงาน...

กว่าจะผ่านงานวันแรกมาได้เกือบหมดแรง นี่แค่ยกแรกของวัน
ยังเหลืออีกยกใหญ่รออยู่ข้างหน้า...

ขณะรอทำงานในช่วงค่ำ...จึงไปนั่งริมแม่น้ำ กินข้าวปั้นสาหร่ายที่พกมาจากบ้าน
นั่งมองคนเดินไปมาแล้วก็ส่งกำลังใจให้ตัวเองไปพลางท่องชื่อเมนูอาหารไปพลาง...

จนถึงเวลาเริ่มงานที่ร้านอาหารไทยจึงเดินข้ามสะพานไปอีกฟาก...

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว แทบจะหาตะวันไม่เจอด้วยซ้ำว่าตอนนี้มันใกล้จะตกดินรึยัง
รู้แค่ว่าความมัวๆของบรรยากาศรอบๆตัวกำลังเปลี่ยนไป ความมืดกำลังโรยตัวลงมา...
นกเหยี่ยวตัวนึงที่บินอยู่เหนือหัวยังคงกระพือปีกบินว่อนไปมา...ไม่ยอมกลับรังเหมือนเธอ...
ที่ต้องหากินต่อ...

ขณะเดินไปใกล้จะถึงร้านแล้ว เจ้าของร้านกลับโทรมาบอก
ให้ช่วยเอาของที่ร้านอาหารญี่ปุ่นไปไว้ที่ร้านอาหารไทยให้ด้วย...
เลยต้องกลับไปเอา แล้วก็เดินกลับไปยังร้านอย่างรีบเร่งเพื่อไม่ให้เข้างานสาย...
ขณะนั้นเอง ความมืดสลัวๆรางของยามโพล้เพล้...
ได้หอบเอาสายลมหอบใหญ่พัดวนไปมารอบๆตัวจนรู้สึกหนาวยะเยือก
เลยกระชับผ้าพันคอกับเสื้อโค้ทให้แนบชิดแล้วรีบสาวเท้า ก้มหน้าเพื่อลดแรงปะทะกับลม...

พอถึงทางเข้าตรงมุมตึกจึงเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินแคบๆที่ทอดตัวจนไปสุดริมแม่น้ำ
โดยตึกซ้ายมือคือตึกที่ตั้งของร้านอาหารสองชั้น...
ด้านขวาเป็นตึกที่พักคนงาน เมื่อเลี้ยวเข้ามุมตึกปุ๊บก็เห็นเจ้าแมวดำ ดำสนิทเชียว...
วิ่งปาดหน้าไป แล้ววิ่งนำหน้าไปทางประตูทางเข้าร้าน...

แวบแรกที่เห็นแมวดำรู้สึกดีใจเพราะชอบแมว ไม่เคยอคติกับสีของมัน...
เลยสาวเท้าเร็วๆตามแมวนั่นไป...ตามเส้นทาง แต่แล้วอยู่ๆแมวดำตัวนั้น
มันก็หักเลี้ยวหลบตรงมุมตึกซึ่งเป็นช่วงต่อกับประตูทางเข้าร้านสำหรับพนักงาน
หญิงสาวยิ้มเพราะคิดว่ายังไงๆมันก็คงหนีไม่รอด เพราะตรงนั้นน่ะทางตัน
นอกจากจะมีคนเปิดประตูทางเข้าร้านให้มันเท่านั้น

แล้วใครจะเปิดให้มันได้ ในเมื่อเราเพิ่งได้กุญแจ
มาจากน้องเจ้าของร้านเมื่อกี้นี้เอง...

ทว่าพอก้าวยาว ๆ ไปถึง...กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่เจอแมวแม้แต่เงา...
ทั้ง ๆ ที่ละสายตาจากมันแค่เสี้ยววินาทีเอง ประตูก็ปิดสนิท...
ตอนนั้นเองที่อยู่ ๆ ลมหอบใหญ่ก็พัดใส่ร่างจนแทบปลิว
ทำให้ต้องหันสายตาไปทางที่มาของลมหอบใหญ่นั่น
ซึ่งก็คือพุ่มไม้ใหญ่ที่มีโคมไฟส่องขึ้นข้างบนทำให้ไฟเกิดเป็นแสงสีเขียวเมื่อต้องสีของใบไม้
ในความมืดสลัวราง

ขณะนั้นเองที่สายตาพลันแลเห็นร่างใหญ่ยักษ์ยืนผงาดเป็นเงาสีดำทมึนทาทาบอยู่บนพุ่มไม้ใหญ่
สะกดสายตาให้มองนิ่ง แล้วต้องหันกลับไปมองเบื้องหลังของตน
เพื่อหวังว่าจะมีร่างของมนุษย์ร่างสูงเกินสองเมตรสักคนยืนอยู่ข้างหลังเธอ
จนสะท้อนเป็นเงาดำตกกระทบบนพุ่มไม้ใหญ่นั่น

แต่ก็ไม่พบร่างของมนุษย์หน้าไหนสักคนเดียว มีแต่เสียงลมหวีดหวิวกับเสียงใบไม้ดัง
ตอนกระทบกระทั่งกันประสานกับ เสียงกระดิ่งหน้าร้านตรงประตูทางเข้าร้านสำหรับลูกค้า
หญิงสาวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าขนาดยืนจ้องเงาดำนั่นอยู่นาน
เพื่อหาคำตอบว่ามันคืออะไร? และตัวเองตาฝาดรึเปล่า..
แล้วก็พยักหน้าให้กับตัวเองว่า ช่างมัน! จะอะไรก็ช่าง...บอกตัวเองว่าต้องไปต่อ...
อะไรจะเกิดก็ต้องไปต่อ...ห้ามถอยหลังวิ่งหนีเด็ดขาด
แล้วจึงเดินไปเปิดประตูร้านทางเข้าสำหรับพนักงาน...

เปิดเข้าไป...ไม่พบใคร...แต่ก็ไม่แปลก...เพราะว่า
เธอมีหน้าที่เคลียร์ร้าน ทำความสะอาดร้านก่อนเปิดรอบค่ำ

หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ใจกล้าหน้าด้านหน้าทนขนาดนั้น
มันมีพลังส่งให้กล้า คาดว่าน่าจะเป็น 'พลังงานจน' ที่คอยผลักดันให้ใจกล้า

พอเข้าไปแล้วก็รีบขึ้นไปข้างบน เพราะวันที่มาสัมภาษณ์งานที่ร้านแห่งนี้
ทางเจ้าร้านได้พาเดินชมร้านทุกซอกทุกมุมและอธิบายสิ่งต่างๆให้เข้าใจหมดแล้ว...

ชั้นล่างไฟสว่างโร่อยู่ก่อนแล้ว ยกเว้นส่วนของลูกค้านั่งจะเป็นไฟสีส้ม...สลัว ๆ
แต่ชั้นบนมีเพียงดวงไฟสีส้มดวงน้อยตรงเชิงบันไดที่จะขึ้นไปชั้นบนเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น

เลยขึ้นไปเปิดไฟทีละดวงๆๆ แล้วเข้าห้องแต่งตัวสำหรับพนักงาน
หญิงสาววางกระเป๋าสะพายไว้ที่นั่น ความเยือกเย็นของห้อง
ยังไม่ส่งผลกับคนที่กำลังทำเวลาเพื่อแข่งกับนาฬิกา

เพราะฤดูหนาวย่อมหนาวทุกที่นั่นแหละ...

ขนลุกขนพองบ้างมันก็ไม่เห็นจะแปลก ก็มันหนาว

พอไม่คิดมากชีวิตมันก็ก้าวต่อไปง่ายขึ้น...เปลี่ยนชุดเสร็จลงมาชั้นล่าง...
เดินไปหยิบผ้าเช็ดโต๊ะ แล้วเดินไปยังอ่างล้างจานที่อยู่ติดกับเครื่องล้างจาน ...

พอเปิดก๊อกน้ำ เสี้ยววินาทีแรกได้ยินเสียงลมออกมา
แต่น้ำไม่ยอมออกตามมาติด ๆ อย่างที่คิด...จึงก้มลงไปสำรวจดูว่าทำไมน้ำไม่พุ่งออกมาสักที..
จึงได้ยินเสียงลมเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวน...ของ 'ผู้หญิง'

เสียงแหลมบาดแก้วหูจนเผลอตัวเอาหูเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
เสียงนั้นยังไม่ยอมหยุดลง ยังคงส่งเสียงหวิวหวีดร้องราวกับว่ากำลังเจ็บปวดสุดแสน

และเพราะไม่ค่อยปักใจเชื่ออะไรง่ายๆนัก เลยพยายามตั้งใจฟังให้แน่ใจ

แต่ให้ตายเถอะ มันไม่สามารถโกหกตัวเองว่าไอ้เสียงที่ได้ยินคือ เสียงลมที่ออกมาจากก็อกน้ำ...

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น วินาทีนั้นเอง ตอนที่พยายามจะมองเข้าไปในก็อก
เป็นหญิงสาวที่ส่งเสียงกรีดร้องสุดเสียงแล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือมาสะกิดหลัง...

แล้วตามมาด้วยเสียงกุ๊กสองพี่น้องหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าพนักงานคนใหม่
ที่หันไปมองทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

ทั้งสองเพิ่งมาถึง...กุ๊กถามขึ้นว่า

"เป็นอะไร ทำไมใจลอยจัง แล้วก๊อกนั่นมันน่ามองมากเลยเหรอ
ถึงได้ชะเง้อคอเข้าไปส่องซะขนาดนั้น"

หญิงสาวไม่พูดอะไร เพราะคางแข็งไปแล้ว...
กุ๊กเลยตบบ่าเบาๆพร้อมกับพูดว่า...

"เจอดีเข้าแล้วล่ะสิแม่คุณ....ยินดีด้วยนะสมาชิกใหม่
มันเป็นธรรมเนียมของที่นี่...ใครมาใหม่ก็ต้องโดนรับน้องใหม่กันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องปกติ อยู่ ๆ ไปเดี่ยวก็ชินไปเอง...
และไม่ต้องเล่าหรอก ไม่ค่อยอยากรู้สักเท่าไหร่ รู้แล้วพลอยไม่สบายใจเปล่า ๆ"

ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าแววตายิ้ม ๆ แล้วชักชวนให้หญิงสาวทำงานต่อ...
ส่วนตนก็สะกิดผู้เป็นน้องสาวที่มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยกุ๊กเข้าประจำตำแหน่ง

จากนั้นหญิงสาวก็ยุ่งกับการทำความสะอาดและรับลูกค้าที่เข้าร้านไม่ขาดสาย
เล่นเอายุ่งจนแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องสยองนั่นหลงเหลือในหัวอีกเลย

จนกระทั่ง...แขกคนสุดท้ายออกจากร้านตอนใกล้เที่ยงคืนแล้ว...
พอส่งแขกเสร็จก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุด กุ๊กเรียกให้อยู่กินข้าวด้วยกันก็ไม่อยากอยู่แล้ว
เพราะมันดึกมาก กลัวไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย....
รีบสะพายกระเป๋าแล้วร่ำลากุ๊กทั้งสอง...แต่กุ๊กส่งเสียงไล่หลังมาเตือนว่า

"ระวังตัวด้วย...รับน้องใหม่มันไม่ใช่ว่าจะจบง่าย ๆ หรอกน่า"

หญิงสาวเลยหันไปยิ้มให้กุ๊กเพราะคิดว่าแกคงหาเรื่องแกล้งให้กลัวเล่น
เลยตอบแกกลับไปว่า

"อย่ามาอำกันเลย ถ้าหนูขี้ขลาดตาขาว หนูคงมาไม่ถึงจุดนี้หรอกค่ะ"
กุ๊กได้แต่ยิ้มแล้วพูดย้ำเน้น ๆ ว่า

"ยังไงก็ระวังตัวด้วย..."

"ขอบคุณค่ะ...แล้วเจอกันพรุ่งนี้..."

ยิ้มแล้วโบกมือลาทั้งสอง

พอเปิดประตูบานบานเดียวกับตอนที่เปิดเข้ามาทำงานในนี้เท่านั้นแหละ
ลมหอบใหญ่ก็พัดตีแสกหน้าเต็มๆจนหน้าหงาย รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ....

เมื่อยื่นเท้าออกไปข้างนอกเท่านั้นแหละ...

เสียงลมโหยหวน ต้นไม้พัดเอนไหว พุ่มไม้น้อยใหญ่พร้อมใจกันโยกโบกสะบัด
สายตาตวัดหันไปมองยังที่ที่เคยพบเงาดำยืนอยู่ก่อนหน้านี้บัดนี้ไม่พบ
มีเพียงเสียงลมกับเสียงใบไม้ จึงกระชับเสื้อโค้ทแล้วก้มหน้าก้าวยาวๆไปตามทางเดิน
แล้วเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายรองเพื่อจะเดินไปยังถนนสายหลักโดยระยะทางราวๆหนึ่งกิโลเมตร

ก้าวสั้นรีบย่ำเดินเพื่อไปให้ถึงยังแสงสีระยิบระยับราวกับแสงของหิ่งห้อยของรถราในเมืองใหญ่
ที่แลเห็นอยู่ไกลๆเพื่อแข่งกับเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา...

สายลมยังคงพัดไม่หยุดไปตลอดเส้นทาง
เดินมาได้สักพักจึงสังเกตว่ารอบตัวไร้ผู้คน ไร้สิ่งมีชีวิต
ไร้เสียงเพลงและเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งๆที่ตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน
คือย่านสถานบันเทิงในยามค่ำคืน

ใบไม้พัดวนรอบๆตัวกับเสียงสายลมสะอื้นกรีดร้องบาดหัวใจ
ราวกับกำลังเดินอยู่ในเมืองร้าง ความโดดเดี่ยว หนาวเย็นจู่โจมกลางใจจนสั่นสะท้าน

ตอนนั้นหญิงสาวไม่คิดจะหันไปมองหรือนึกย้อนกลับไปหากุ๊กอีกแล้ว...
เพราะกลับไปอาจไม่เจอทั้งสองหรืออาจเจออะไรที่ไม่อยากเจอ...

จึงตัดสินใจวิ่งไม่คิดชีวิตด้วยรองเท้าบูทส้นสูงโดยลืมว่าส้นอาจจะพลิกด้วยซ้ำ
ในใจเพียงหวังที่จะฝ่าความกลัวเพื่อวิ่งไปยังถนนสายหลัก
ซึ่งตรงมุมถนนจะมีทางลงไปยังสถานรถไฟฟ้า
แล้วเธอก็ทำได้ในที่สุดเมื่อสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในรถไฟขบวนสุดท้ายได้ทันเวลา...

หันมองก็พบผู้คนมากมายที่ร่วมขบวนไปด้วยกัน จึงนั่งลงบนที่นั่งอย่างอ่อนแรง
ผสมกับโล่งอก ยกมือขึ้นกุมหน้าอกที่หัวใจยังเต้นแรง

แต่เพราะความหนาวจึงทำให้การวิ่งหนึ่งกิโลแทบไม่พบเหงื่อใหลซึมออกมาให้เห็น

ตอนนั้นคิดในใจว่ารอดแล้ว...มันผ่านมาแล้ว...เธอผ่านมันมาได้แล้วล่ะ

ตอนนั่งในรถไฟฟ้าสังเกตเห็นว่าไม่มีใครมานั่งข้างๆเลยทั้งซ้ายขวา
ไม่รู้เขาจะเว้นที่ไว้ทำไม ถึงไม่นั่งกัน จึงเรียกคนที่ยืนให้นั่งลงยังที่ว่างข้างๆ
เขาก็ทำหน้างงๆ มองเธอแปลกๆ แต่ไม่ยอมนั่งด้วย
จึงคิดว่าเขาคงรังเกียจคนอย่างเธอจึงไม่อยากนั่งข้างๆ

หญิงสาวนั่งไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีที่จะลงโดยที่พักของเธออยู่ห่างจากสถานีไกล
เข้าไปในซอกหลืบ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้สุสานที่เก็บกระดูกคนตาย

พอรถไฟฟ้าจอด มีผู้โดยสารหลายคนออกมาจากขบวนพร้อมๆกันกับหญิงสาว
แล้วลงมาตามทางบันไดด้วยความเร่งรีบจนตีตั๋วออกมายืนรอข้ามถนนตรงทางม้าลายหน้าสถานี
มีหลายคนข้ามถนนไปพร้อมกันกับเธอ แต่เพราะไม่มีใครรู้จักใคร จึงไม่มีใครพูดจากัน
ต่างคนต่างมุ่งสู่เป้าหมายของตัวเอง เธอเองก็เลี้ยวขวา ส่วนคนอื่นเหมือนจะเลี้ยวซ้ายกันหมด..

เดินมาได้ไม่กี่ก้าวจึงหันกลับไปแล้วมองรอบๆตัวกลับไม่พบมนุษย์มนา
แม้แต่หมาหรือแมวสักตัวก็ไม่มีให้เห็น

ทุกอย่างเงียบสงัด เสียงลมหรือเสียงใดๆไม่มี มีแต่เสียงรองเท้าบูทส้นสูงของเธอนี่แหล่ะ
ที่ดังไปมาในหัว...และมันก็ยิ่งดังถี่ขึ้น เร็วขึ้นเมื่อเดินผ่านที่เก็บศพคนตาย...
กลิ่นศพอบอวนในบรรยากาศก่อนจะโชยเข้าจมูกเต็ม ๆ จนต้องยกมือปิดจมูก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติเสียแล้วยามเมื่อต้องเดินผ่านตรงนี้
เพียงแต่ครั้งนี้กลิ่นมันออกจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง
จึงไม่คิดจะหันไปมองยังตัวอาคารที่กรุกระจกแม้แต่น้อย...
เลยหันไปมองเส้นทางเบื้องหน้าแทน...

แล้วจึงพบว่ามีร่าง ๆ นึงเป็นจุดเล็กๆอยู่ไกล ๆ สุดสายตา

จากที่คิดว่าบนถนนเส้นนี้ร้างผู้คนกลับอุ่นใจขึ้นมาหน่อยนึง
ที่อย่างน้อยๆก็มีผู้ร่วมเส้นทาง แม้จะห่างออกไปไกลก็ตาม

ตอนนั้นหญิงสาวเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงบ้านพักไวๆเพราะไม่ไว้ใจสถานการณ์โดยรอบ
กลัวโจร กลัวผู้ร้ายจะโผล่มา....แล้วเรียกหาใครไม่ได้...

ตาก็ยังจดจ้องร่างเงาดำที่เห็นอยู่ไกล ๆ นั่น...

และแทนที่จะพบว่าจุดนั้นจะค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ
แต่กลับพบว่ามันเริ่มใหญ่ขึ้น ชัดขึ้นเรื่อย ๆ
เหมือนร่างนั้นกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เธอด้วยอัตราความเร็ว
ที่ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง

จุดเล็ก ๆ ที่ว่ากลายเป็นเงาร่างดำที่ค่อย ๆ เด่นชัดในดวงตาขึ้นทุกขณะ

ตอนนั้นรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...มันตามเธอมา!!!

เพื่ออะไรไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้เธอต้องชิงกับมันว่าระหว่างขาของเธอกับมันของใครจะเร็วกว่ากัน

ตอนนั้นลืมไปสนิทว่าสวมรองเท้าแบบไหน เพราะใจนั้นคิดถึงประตูบ้านพัก
อยากไปให้ถึงประตูนั่น เพราะอีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงทางแยก
เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางไปยังบ้านพักบนเนินของเธอแล้ว...

หญิงสาวกำลังจะพ้นไปจากถนนเส้นนี้แล้ว เงาดำนั่นก็เหมือนจะเข้าใกล้เรื่อย ๆ

เธอเลิกมองเงานั่นแล้ววิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาขึ้นสู่เนินเพื่อไปให้ถึงประตูบ้านพัก

พอถึงประตูเธอก็รีบหยิบกุญแจไขห้อง ไม่ลืมให้สลามมาลาอิกะห์ กับให้สลามนบี

เมื่อเข้าห้องได้ก็รีบกล่าว 'บิสมิลละฮ์' แล้วรีบปิดประตูบานนั้นลง...

ทรุดร่างลงตรงนั้น เพราะเหมือนเรี่ยวแรงจะหมดลงในฉับพลัน...

พอตั้งสติได้จึงถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นวางรองเท้า
แล้วลุกขึ้นเปิดไฟหน้าห้อง แล้วหยิบรีโมทเปิดเครื่องทำความร้อนหรือฮิตเตอร์
เพื่อขับไล่ความหนาวภายในห้องที่ร้างคนมาครึ่งค่อนวัน

กลิ่นต่างๆที่ติดตัวติดเสื้อและติดผมมาอบอวนชวนให้รู้สึกไม่ดี
จึงรีบอาบน้ำสระผมและซักชุดนั้นซะเลย

พออาบน้ำอุ่น ๆ สบายตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้านั่งเป่าผมจนแห้ง
จึงลุกเดินไปยังหน้าต่างกรุด้วยแก้วใส แหวกม่านสองชั้นออกมองออกไปยังข้างนอก
พบเพียงความเงียบสงัดและมืดมิด...

ปิดฉากความสยองลงตรงนั้น...

เมื่อร่างกายหมดแรง...เพราะเพลียจึงสิ้นท่าหลับสนิททั้งคืน

หญิงสาวรู้ตัวเสมอว่า....ช่วงเวลาที่ประจำเดือนมามักจะเจออะไรทำนองนี้ประจำ
แม้จะแตกต่างกันไปตามแต่สถานที่ แต่ก็ได้สัมผัสกับอะไรทำนองนี้...ในช่วงวันนั้นของเดือน...

และที่น่าฉงนไปกว่านั้นก็คือ คนที่พักอยู่บ้านพักใกล้ๆกันกับเธอก็มักจะอยู่ไม่พ้นเดือน
จนเธอจำหน้าคนมาเช่าบ้านหลังนั้นไม่เคยได้เพราะว่าเปลี่ยนคนบ่อยมาก

ก็ไม่เคยถามว่าทำไมคนพวกนั้นถึงยอมทิ้งเงินประกันแสนแพงไปเสียเฉยๆ
เพราะคิดว่ารู้ รู้ว่าพวกเขาสู้ไม่ไหว...

บ้านร้างที่เปิดให้คนมาเช่าหลังนั้นก็ไม่ต่างจากบ้านที่เธออยู่นักหรอก

แต่มันเพราะอะไรน่ะสิ....

แล้วทำไมที่ร้านอาหารไทยจึงมีการรับน้องแบบนี้ด้วย...

วันรุ่งขึ้นเธอจะไปลาออกจากงานที่ร้านหรือเลือกจะอยู่ทำงานต่อดีนะ

เธอเลือกได้หรอ คนอย่างเธอยังเลือกอะไรได้เหมือนคนทั่วไปด้วยหรอ


........................โปรดติดตามตอนต่อไป.....................................

ฝากเรื่องนี้ไว้อีกสักเรื่องนะคะ หายไปนานมากๆ มาเปิดๆเรื่องไว้ก็หายไปอีก
ชีวิตไม่ค่อยลงตัวค่ะ ตารางต่างๆก็ไม่ลงตัว ตอนนี้กลับมาก็จะพยายามทำให้เต็มที่ค่ะ
เป็นกำลังใจให้เต่าด้วยนะคะ

รักและคิดถึงชาวเวบเลิฟค่ะ

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2566, 21:28:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2566, 21:28:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 167





<< คำโปรย   บทที่ 2 เจ้าของที่ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account