เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 16 คือเธอ

เป็นอีกครั้งที่ครอบครัวของขุนพลถูกเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลอาทิตยะที่จัดอย่างหรูหรา
และมีแขกมาร่วมงานนับพัน บีลกีสและดุจมณีจึงแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่ปองขวัญเป็นผู้จัดหามาให้เรียบร้อย
ไม่ให้เดือดร้อนเงินในกระเป๋าของครอบครัวนี้ เมื่อถึงเวลาของอาหารเย็น แขกเหรื่อร่วมทานอาหารหลายสิบอย่างที่ทางเจ้าภาพนำมาเลี้ยงอย่างมากมาย ผู้มาร่วมงานต่างออกปากและสนทนากันถึงเรื่องความวิจิตรหรูหรา
ของงาน สถานที่และอาหารที่มีรสชาติเลิศล้ำ บีลกีสที่อิ่มกับอาหารมื้อเย็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึง
ชุมชนที่ตนเคยอาศัยอยู่ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเด็กที่บ้านเด็กกำพร้าที่เธอเคยไปที่นั่นบ่อยๆ

เธอจึงเดินวนเวียนรอบๆในส่วนที่เลี้ยงอาหารและพบว่ามีอาหารและขนมอยู่บริเวณนึงที่แทบไม่มีใคร
ตักมันเลย จวบจนงานใกล้จะเลิกแล้วก็ยังเห็นมันยังไม่ถูกแตะต้องจากมือใด

"มีไรรึเปล่าครับ" ฆินทร์ ที่ถูกเชิญมางานเลี้ยงนี้อดไม่ได้ที่จะสังเกตุเห็นว่าหญิงสาวมีอาการแปลกๆ

"เปล่าค่ะ ว่าแต่คุณฆินทร์มีอะไรรึเปล่าคะ"

"ผมอยากขอคำยืนยันจากคุณเรื่องงานน่ะครับ ว่าคุณสนใจจะร่วมงานด้วยมั้ย"

"ฉันปรึกษากับคุณไนค์เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณไนค์ไม่ว่าอะไรนะคะ แค่ห้ามกลับบ้านดึก
ให้กลับถึงบ้านก่อนตะวันตกดิน และถ้าจำเป็นจะต้องไปค้างคืน เค้าต้องไปด้วยค่ะ"

"สามีคุณนี่เข้มงวดดีนะครับ"

"ใช่ค่ะ แต่ฉันชอบค่ะ มันทำให้รู้สึกว่าเขาห่วงและหวงฉันค่ะ" บีลกีสยิ้มกว้างแววตาเป็นระกาย
เมื่อเอ่ยถึงสามี ทำเอาคู่สนทนาถึงกับหน้าหุบ

"สำหรับฉัน คุณไนค์เป็นสามีที่ใจกว้างมากๆแล้วค่ะ เค้าไม่ถูกกับคุณ แต่ก็ไม่ห้ามถ้าฉันจะร่วมงานกับคุณ
ฉันว่า เค้าใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ค่ะ" ประโยคนี่อีกเช่นกันที่ทำให้คนที่ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับใบหน้า
อยู่เสมอถึงกับหน้าบึ้งตึง

"แต่ถ้าคุณไม่โอเคกับเงื่อนไขนี้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็คงเสียดายงาน แต่ก็ยอมรับว่าสามีฉันก็มีเหตุผล
ในการตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมาค่ะ" คนฟังลอบถอนหายใจ ทำไมเขาต้องรู้สึกแย่ในยามที่ได้รับรู้ว่าคนอย่าง
ขุนพล คู่แค้นได้รับสิ่งที่ดีๆในชีวิตแบบนี้ด้วย เพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่เคยมีความรู้สึกยินดี
กับขุนพลได้เลยสักครั้ง แต่ครั้นจะสาแก่ใจตอนที่ได้รับรู้ถึงความวิบัติที่เกิดขึ้นกับขุนพลก็มิได้รู้สึกสะใจ
ลึกๆเขาก็อยากช่วยขุนพลไม่ทางใดก็ทางนึง ซึ่งแน่นอนว่า เหตุผลที่เขาหยิบยื่นงานให้ภรรยาของขุนพล
ไม่ใช่แค่เพราะเธอมีฝีมือเท่านั้น แต่เพราะเธอคือ ภรรยาของขุนพลด้วยนี่แหละ เขาถึงสนใจเธอมากกว่า
ศิลปินคนอื่นๆ

"รู้สึกว่านายจะชอบมายุ่งกับภรรยาฉันอยู่เรื่อยเลยนะ มีอะไรข้องใจก็บอกมาตรงๆ" เสียงขุนพลขัดขึ้น
พร้อมกับท่าทางสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจขณะเดินมาหาเขาที่ยืนอยู่กับบีลกีส

"ฉันก็แค่จะถามเค้าเรื่องงาน ว่าสรุปแล้วเขาสนใจจะร่วมงานด้วยรึเปล่า"

"แล้วเค้าว่าไงล่ะ"

"เค้าก็บอกว่านายอนุญาตพร้อมเงื่อนไขที่ฉันรู้สึกว่านายไม่ไว้ใจฉันและครอบครัวฉันเลย"

"นายไม่เคยมีเมีย คงไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอกมั้ง" คนฟังรู้สึกเหมือนถูกขยี้จุดเจ็บเข้าอย่างจัง
ถึงกับกำหมัดแน่นทีเดียว

"แต่มันก็ดูจะเกินไปมั้ยกับเงื่อนไขพวกนั้น"

"แล้วเมียฉันเขาไม่พอใจกับเงื่อนไขนั่นรึเปล่า หรือว่ามีแค่นายที่ไม่พอใจกันแน่"
คนฟังกัดฟันกรอด

"ทำไมนายต้องไม่พอใจกับเงื่อนไขนั่นล่ะ ในเมื่อเมียฉันเค้าก็โอเค ไม่ขัดข้องอะไร"

"โอเคขุนพล แล้วนายจะได้รู้จักฉันในฐานะที่สนิทกว่านี้ในอีกไม่ช้า คอยดูไปสิ ฮึๆ
คนอย่างฉัน อยากได้อะไรก็ต้องได้ นานแค่ไหนฉันก็รอได้ รอวันที่จะได้มาครอบครอง"

คนพูดกระตุกมุมปากยิ้ม ฉายแววตาที่มีนัยแอบแฝงจนขุนพลเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมา

"แล้วเจอกันนะครับคุณกีส" หนุ่มใหญ่บอกลาพร้อมโบกมือ

"ค่ะ" หญิงสาวได้แต่พูดอะไรไม่ออก นอกจากยิ้มให้เท่านั้น

"ที่คุณฆินทร์เค้าพูดเมื่อกี้หมายความว่าไงคะ เค้าต้องการอะไร อะไรที่เค้าอยากได้จากคุณหรอคะ"

ขุนพลหันมาทางบีลกีสและตอบสั้นๆว่า

"ไอซ์ ไอ้บ้านั่นมันต้องการยัยไอซ์" บีลกีสจึงหันไปทางดุจมณีในชุดสีขาวสวยราวเจ้าหญิง
ซึ่งกำลังยื่นคุยอยู่กับครอบครัวของปองขวัญ

"น้องไอซ์สวยออกขนาดนั้น แถมยังยิ้มสดใส ดูร่าเริงมีความสุข มีเสน่ห์
ผู้ชายที่ไหนก็ปรารถนาค่ะ ฉันว่า ไม่แปลกที่คุณฆินทร์จะสนใจ"

"มันแปลกสิ แปลกตรงที่ มันกัดไม่ปล่อย ไอซ์ไม่เคยสนใจ ปฏิเสธไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เคยปฏิเสธออกสื่อด้วยซ้ำ"

"เค้าอยากเอาชนะหรอคะ"

"มันแค้น"

นั่นคือ คำตอบที่ทำเอาบิลกีสถึงกับหนักอกหนักใจขึ้นมา เธอว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไร
ผู้ชายคนนั้นมีหน้าตา มีตำแหน่งทางสังคม แต่กลับมายุ่งวุ่นวายกับคนที่ไม่มีอะไรอย่างเธอ
มันน่าจะมีอะไรซ่อนเร้นอำพรางมากกว่า แค่ต้องการให้เธอร่วมงานด้วยเฉยๆแน่นอน

"ถ้าคุณไม่สบายใจ ฉันไม่ร่วมงานกับเขาและครอบครัวเขาก็ได้นะคะ"

"ไม่เป็นไรหรอก ผมมีวิธีจัดการมัน คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมรู้จักมันดี ไส้ทุกขดของมัน
เป็นไงผมรู้หมด"

"แต่เค้ามีอำนาจบารมีนะคะ"

"ผมไม่ยอมให้มันเอาไอซ์ไปย่ำยีเล่นหรอก"

เมื่องานเลี้ยงจบลง ผู้คนต่างทยอยกันกลับ ทางเจ้าภาพก็กล่าวกับแขกว่า ใครจะนำอาหาร
ในส่วนที่ยังไม่มีแขกคนใดแตะต้องนี้กลับไป เขาจะตกแบ่งและแพ็คให้อย่างดี แต่ปรากฏว่า
ไม่มีใครสนใจมันเลย เพราะอาหารถาดนั้นดูไร้คลาสที่สุดในงาน บีลกีสจึงตัดสินใจบอกทาง
เจ้าภาพไปว่า

"ฉันขอเอากลับไปเองค่ะ" แล้วทางเจ้าภาพก็ให้พนักงานจัดการตักอาหารและขนม
รวมทั้งผลไม้เหล่านั้นใส่แพ็คให้เธอจนเกือบเต็มท้ายรถ ขุนพลจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า

"คุณจะเอาอาหารพวกนี้ไปไหนหรอกีส มันเยอะมากๆเลยนะ"

"คุณช่วยขับพาฉันไปที่ชุมชนที่ฉันเคยอาศัยหน่อยนะคะ นี่ยังไม่ทันค่ำ น่าจะยังทันอาหารมื้อค่ำ
ของพวกเขาค่ะ"

"พี่ไอซ์จะเอาอาหารพวกนี้ไปแจกหรอคะ" ดุจมณีถามเมื่อเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

"ใช่ค่ะ"

ขุนพลเลยขับรถไปยังชุมชนที่ภรรยาของเขาเคยอาศัย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่แห่งนี้
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ภรรยาของตนเคยอาศัยที่ไหน มีชีวิตความเป็นอยู่ยังไง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
เธอกับคนในชุมชนมีความสัมพันธ์แบบไหน จนในวันนี้ที่ได้มาเห็นกับตาตนเอง

ที่นี่คือ ชุมชนแออัด ที่มีมุสลิมอาศัยกันอย่างหนาแน่นทีเดียว ทางเข้าชุมชนมีมัสยิดหลังใหญ่
และต้องจอดรถไว้ตรงหน้ามัสยิด ก่อนจะช่วยกันสามคนขนอาหารเหล่านี้เข้าไปในชุมชนแห่งนี้
เลยค่อนข้างทุลักทุเลไม่น้อยเลย

หญิงสาวจึงเริ่มเคาะประตูบ้านพร้อมกล่าวสลามกับเจ้าของบ้านทุกหลังที่เธอแวะเอาอาหารให้
จนกระทั่งถึงหลังสุดท้าย ที่อยู่ข้างในสุด หญิงสาวเคาะประตูบ้านหลังน้อยที่ค่อนไปทางผุพัง
บอกเจ้าของบ้านว่า

"หนูเอาอาหารมาแจกค่ะ"

ทันใดนั้น ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก มีสตรีคลุมศีรษะมิดชิดออกมาพร้อมลูกสาวตัวน้อยๆของนาง
พร้อมยื่นมือมารับอาหารที่เธอนำมา แล้วนางก็ดุอาอ์ให้กับเธอ ขุนพล และดุจมณี
พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกายแห่งความดีใจอย่างปิดไม่มิด
จากนั้นนางก็ปิดประตูด้วยความดีใจที่ได้รับมัน

เมื่อทั้งสามเดินห่างออกมาเพื่อจะกลับไปที่รถ เดินห่างออกมาจากบ้านของนางไม่เท่าใดนัก
ทั้งสามก็ได้ยินเสียงลูกสาวตัวน้อยๆของนางตะโกนออกมาด้วยความดีใจสุดขีดว่า

"มีเนื้อด้วย มีเนื้อด้วย มีเนื้อด้วย"

"มีเค้ก มีทุเรียน มีสตรอเบอรี่ด้วย"

ทั้งสามหยุดชะงักเท้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ยืนฟังเสียงตะโกนซ้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมานั้น
ของหนูน้อยด้วยความดีใจสุดขีดนั้น

เสียงนั้น ทำให้น้ำตาของทั้งสามพรั่งพรูออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายกันมา
ทำให้ขุนพลหันไปมองบีลกีสผู้เป็นภรรยาที่กำลังยกมือขึ้นซับน้ำตาตัวเอง
อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงสภาพปกติของครอบครัวนี้ว่าอดอยากและแร้นแค้นอย่างที่สุดขนาดไหน
และย้อนไปถึงสภาพปกติของชีวิตคนที่มีอันจะกินอย่างเขาและสังคมที่เขาอยู่มา

วันนี้ภรรยาของเขาทำให้เขาตระหนักได้ว่า

"เราจะต้องนำริสกีที่อัลลอฮ์ประทานมาให้เราที่เกินความจำเป็นเอามาดูแลคนจนให้ได้มากที่สุด"

บีลกีสกับดุจมณีกระชับมือของขุนพลไว้และพูดออกมาพร้อมกันว่า

"อินชาอัลลอฮ์"


........โปรดติดตามตอนต่อไป........................




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2566, 14:09:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2566, 14:09:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 232





<< บทที่ 15 รางวัล   บทที่ 17 วีรกรรมที่ถูกลืม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account