เวทีกามเทพ
การประกวดเดอะเธียเตอร์ ปรินเซส นำพาให้มนัญชยาได้ร่วมงานกับกีรดิตดารา นักร้องหนุ่มในดวงใจ ทั้งยังชักนำแรงใจมาให้ยศวันต์พี่ชายของเธอถึงข้างเวทีมวย

แต่เมื่อกีรดิตดูเหมือนจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทั้งกฤตินีที่ยศวันต์หลงรักแต่แรกพบก็คบหากับถิรเจตดาราหนุ่มร่วมค่ายของพี่ชาย อะไรต่ออะไรเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด
Tags: กมลภัทร นักร้อง นักแสดง ละครเวที นักมวย

ตอน: ตอนที่ 3

ชายหนุ่มผิวขาว ร่างสันทัดในชุดสูทลำลองสีเทาเข้ม สวมทับเสื้อยืดคอกลมสีดำหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวทั้งห้าสิบคน เขามีใบหน้าทรงกลม คิ้วเข้ม ผิวเหลืองอย่างคนที่มีเชื้อสายจีน คิ้วเข้มดก ดวงตาค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแต่ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าตาตี่ จมูกแม้จะไม่โด่งเป็นสันแต่ก็ได้รูป ริมฝีปากเล็กบาง

ลักษณะเช่นนี้อาจโดดเด่นสะดุดตานักทว่าการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูมีราคาและเข้ากับบุคลิกเรียบนิ่ง ดูสุภาพ รวมถึงประกายมุ่งมั่นในดวงตาก็ทำให้เขาดูน่าสนใจขึ้นในสายตาของผู้หญิงหลาย ๆ คน

บุตรชายคนเดียวของผู้ก่อตั้งบริษัททีโอพี เอ็นเตอร์เทนเมนท์สนใจในธุรกิจบันเทิงเช่นเดียวกับบิดา หากเขาไม่หยุดอยู่ที่การปั้นศิลปินนักร้องเท่านั้น ตั้งบริษัททีโอพี เทเลวิชั่นขึ้นเป็นบริษัทลูกดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโทรทัศน์ทั้งรายการเพลง และละครโทรทัศน์ ด้วยความรู้ทางด้านการกำกับการแสดงและบริหารธุรกิจซึ่งเรียนจบมาผนวกกับประสบการณ์จากการได้เรียนรู้จากผู้ให้กำเนิด พิธานจึงนำทีโอพี เทเลวิชั่น ทะยานไกลและเมื่อถึงเวลามองหาสิ่งใหม่ให้กับทีโอพี เขาก็มาหยุดที่ละครเวทีซึ่งกำลังเริ่มได้รับการตอบรับในวงกว้างมากขึ้น

ด้วยความที่สำเร็จการศึกษาสองปริญญามาจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบสามปีก็กลับมาช่วยพ่อต่อยอดบริษัททันที พิธานจึงถือว่าเป็นผู้อำนวยการผลิตและผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งที่อายุยังน้อยอยู่มาก เท่าที่มนัญชยาทราบเขาน่าจะอ่อนกว่ากีรดิตปีสองปีเสียด้วยซ้ำ และจะว่าไปแล้วนักข่าว สื่อมวลชนในสายบันเทิงต่างก็ให้ความสนใจกับชายหนุ่มวัยสามสิบเศษคนนี้ราวกับว่าเขาเป็นดารานักร้องดังคนหนึ่งเลยทีเดียว

หนุ่มมาดดีขยับฐานยึดไมโครโฟนเล็กน้อยเพื่อทดสอบเสียงก่อนเริ่มกล่าว

“สวัสดีครับทุกคน ผมในฐานะผู้อำนวยการผลิตรายการ เดอะเธียเตอร์ ปรินเซส ขอต้อนรับผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งห้าสิบคนเข้าสู่การคัดเลือกรอบที่สองของรายการ ซึ่งเราจะเริ่มกันทันทีในวันนี้”

สิ้นคำพูดของพิธาน หญิงสาวหลายคนก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ

“ไม่ต้องตกใจกันไปครับ การคัดเลือกที่ผมกล่าวถึงนั้นจะไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดสอบเพียงครั้งเดียวเหมือนกับรอบแรก แต่เราจะทำการเก็บคะแนนในการเรียนร้องเพลง ซึ่งจะเริ่มต้นในบ่ายวันนี้”

ชายหนุ่มยิ้มทำให้ตาที่ค่อนข้างเล็กอยู่แล้วหยีลงเล็กน้อย หากรอยยิ้มของพิธานนั้นทำให้เขาดูเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดและจากเสียงสูดลมหายใจของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลัง มนัญชยาก็รู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่คิดเช่นนั้น

“ทุก ๆ กิริยาท่าทาง ทุก ๆ สิ่งที่คุณทำให้ห้องเรียนร้องเพลงซึ่งจะแบ่งออกเป็นห้าห้องจะมีส่วนนำมาพิจารณาในการคัดเลือกทั้งหมด และในรอบเรียนร้องเพลงเราจะพิจารณาคัดคนออกครึ่งหนึ่ง”

จำนวนของผู้ที่จะถูกคัดออกทำให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้เข้าแข่งขัน หากผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเธอรักษาอาการได้เป็นอย่างดี เขายังคงยิ้มก่อนกล่าวต่อ

“ขอให้พวกคุณโชคดีนะครับ ผมในฐานะผู้อำนวยการผลิตรายการ และผู้กำกับละครเวทีเรื่องแรกของทีโอพีหวังว่าคุณคงจะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเรียนร้องเพลง แล้วเจอกันในวันตัดสินคัดเลือกผู้เข้ารอบครับ”

“คุณพิธานดูดีจังเลยนะ”

เสียงใครคนหนึ่งแว่วเข้าหูมนัญชยา หากไม่ทันได้มีใครตอบคำพูดนั้นเพราะทีมงานเดินเข้ามาชี้แจงเรื่องการเข้าเรียนร้องเพลงในช่วงบ่ายของวัน ส่วนเวลาในช่วงเช้าที่เหลือทีมงานจะแบ่งเวลาสำหรับบันทึกเทปการสัมภาษณ์ประวัติและความรู้สึกของผู้เข้าแข่งขัน



เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องสัมภาษณ์หน้ากล้อง มนัญชยาก็เดินหาห้องน้ำเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งหนึ่งและหญิงสาวคนอื่น ๆ ก็คงจะคิดไม่ต่างกัน หน้ากระจกตรงกับอ่างล้างหน้าทั้งสามอ่างจึงมีคนยืนอยู่ครบ

ลูกสาวเจ้าของค่ายมวยยืนรออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะมีคนผละจากหน้ากระจก เธอกำลังจะก้าวเข้าไปแทนที่แต่แล้วใครคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาก็แทรกเข้าแทนที่เสียก่อน มนัญชยากอดอกถอนใจหนักหน่วงเมื่อคิดว่าการไม่มีกล้องคอยจับดูเหมือนจะทำให้คนบางคนพร้อมที่จะแสดงนิสัยแท้จริง

“นี่คุณ ฉันรออยู่ก่อนนะคะ”

“เหรอ...ฉันไม่เห็น ขอโทษด้วยนะ”

คนบอกขอโทษวางกระเป๋าสะพายลงบนแผ่นหินหน้าอ่างล้างหน้า หยิบเอากระเป๋าเครื่องสำอางออกมาก่อนลงมือปัดแก้ม

“พี่คะ” หญิงสาวซึ่งดูน่าจะอายุยังไม่ถึงยี่สิบผู้กำลังยืนหวีผมอยู่หน้ากระจกถัดไปทางซ้ายมือหันมาเอ่ยกับมนัญชยา “เดี๋ยวต่อหนูก็ได้ค่ะ หนูใกล้เสร็จแล้ว”

มนัญชยายิ้มให้หากไม่เดินไปยืนรอหลังคนที่บอกเธอแต่ขยับไปเบียดคนที่แซงคิว

“เอ๊ะ...คุณทำอะไรคะ”

“ฉันยืนรอตรงนี้ก่อน และควรจะได้ยืนตรงนี้ค่ะ ส่วนคุณเดี๋ยวน้องเขาก็เสร็จแล้ว”

“ก็ไม่น่าจะต้องมีปัญหานี่คะ” ผู้หญิงหน้าสวยหันขวับมาพูดเสียงหวานแต่สายตาที่ไม่มีใครอื่นเห็นนั้นมองมนัญชยาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ข้าวของอะไรฉันก็ไม่เห็นคุณเตรียมมาสักอย่าง ไม่จำเป็นต้องมาส่องกระจกให้เสียเวลาเลยนะคะ”

“ฉันจะส่องกระจกหรือไม่ส่องกระจก ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาให้ความเห็น แต่ที่คุณควรจะมีก็คือมารยาทต่างหากล่ะคะ”

“พี่คะ หนูเสร็จแล้วค่ะ พี่เขยิบมาแทนที่หนูตรงนี้ก็ได้”

จบคำของเด็กสาว ผู้หญิงคนที่มนัญชยากำลังมีปากเสียงด้วยดึงกระเป๋าไปแทนที่ทางด้านซ้ายทันที ผู้หญิงอีกคนที่แต่งหน้าเสร็จก็รีบตามเด็กสาวออกไปจากห้องน้ำ มองมาทางหน้ากระจกอย่างหวาดกลัวว่าจะมีเรื่อง

เมื่ออยู่กันเพียงลำพังคนที่แต่งหน้าอยู่ก็เอ่ยขึ้นทันที น้ำเสียงอ่อนหวาน วาจาที่พยายามพูดให้มีเหตุผลเมื่อครู่เหมือนจะออกจากห้องน้ำตามคนอื่นไปหมดแล้วเหลือเพียงน้ำเสียงกระด้าง วาจาเย้ยเยาะ

“หน้าตาก็งั้น ๆ แต่งซะอ่อนซีดอย่างกับศพ แล้วไม่รู้จักจะพกอะไรมาเติมมาแต่ง ได้เข้ามาถึงรอบนี้ก็คงจะไกลเกินฝันแล้วล่ะมั้ง”

มนัญชยาฟังแล้วรู้ว่าตนถูกกระทบกระเทียบ หากเธอไม่ได้ตอบโต้ลูบผมส่วนที่เห็นว่าอาจจะดูไม่เป็นระเบียบไปสักหน่อยก่อนเปิดน้ำล้างมือปรายตาไปมองผู้หญิงข้างตัวจนเห็นทางที่จะเอาคืน เมื่ออีกฝ่ายเก็บแปรงปัดแก้มลงกระเป๋าเครื่องสำอางและหยิบลิปสติกขึ้นมา

หญิงสาวรีบดึงกระดาษมาเช็ดมือรอจังหวะที่แท่งลิปสติกจรดกับริมฝีปากก่อนหันขวับเบียดเข้าไปที่ข้อศอกของรายที่กำลังจะทาปาก ก่อนจะผละออกมาจากห้องน้ำทันที แม้กระนั้นก็ทันได้ยินเสียงโวยวายอย่างโกรธเกรี้ยว

เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับหมี่เกี๊ยว...เชอะ...สมน้ำหน้า ทำมาว่าเราแต่งหน้าอ่อน ตัวเองล่ะแต่งซะจัด เข้มอีกหน่อยก็ไปเล่นละครลิงได้แล้ว



มนัญชยาผ่านการสัมภาษณ์และครึ่งวันของการเรียนร้องเพลงไปได้โดยตรงพยายามสงบสติอารมณ์อยู่หลายครั้งเพราะเธอโชคร้ายได้เรียนร้องเพลงกลุ่มเดียวกับผู้หญิงคนที่เธอมีเรื่องด้วยในห้องน้ำ รายนั้นแต่งหน้าแต่งตาออกจากห้องน้ำมาได้ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวคิดว่าที่อีกฝ่ายไม่โวยวายอะไรคงเพราะเกรงว่าสาเหตุของการปะทะกันในห้องน้ำจะถูกขุดคุ้ย

การบันทึกเทปทำให้หลายคนเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสำหรับมนัญชยาเธอไม่มีเวลามาคิดตื่นเต้นกับการถูกบันทึกภาพและเสียงเพราะปริศนาคอยแต่จะหาเรื่องกวนใจเธอตลอด เช่นทำเบ้ปากใส่ตอนที่ครูให้มนัญชยาลองร้องเพลงที่คิดว่าจะร้องและสื่ออารมณ์ได้ดีที่สุด ยืน นั่ง เดินบังหน้ากล้องที่กำลังจับภาพมนัญชยาทุกครั้งที่สบโอกาส

หญิงสาวไม่ถือสาหาความ พยายามไม่มีเรื่องต่อหน้ากล้องและคิดแล้วว่าการบันทึกภาพในห้องเรียนห้าห้องในช่วงนี้คงถูกตัดไปออกอากาศไม่มากเท่าไรนักแต่ก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายต้องการจะแกล้งเธอหรือว่าอยากให้ตัวเองมีเวลาได้ออกอากาศมากกว่าใครกันแน่

ยัยซื่อบื้อ...จึงกลายเป็นชื่อที่มนัญชยาใช้เรียกปริศนาในใจ

ที่จริงปริศนาก็เป็นหญิงสาวที่จัดว่าสวยคนหนึ่ง แม้จะแต่งหน้าเข้มทว่าเน้นส่วนเด่นลบส่วนด้อยเป็นเครื่องหน้าจึงดูงดงามไปเสียทุกส่วน เสียงร้องก็ไพเราะ ทั้งยังวางตัวต่อหน้ากล้องได้ราวกับเป็นคนละคนกับที่มนัญชยามีเรื่องด้วยหน้ากระจกในห้องน้ำ

หญิงสาวถอนใจเมื่อนึกถึงว่าการเรียนร้องเพลงรวมกลุ่มจะต้องดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายสี่สัปดาห์ หากยังโชคดีที่การเรียนนี่ดำเนินไปเพียงสัปดาห์ละหนึ่งครั้งก่อนที่จะตัดสินผู้เข้ารอบในสัปดาห์ที่สี่

มนัญชยาได้การบ้านจากครูฝึกสอนร้องเพลงและจะต้องปรับปรุงในจุดที่ได้รับคำติติงมา แม้จะไม่สามารถทำได้สมบูรณ์แต่เธอตั้งใจว่าจะต้องทำให้ดีขึ้น อย่างน้อยการมีพัฒนาการในจุดที่ได้รับคำแนะนำน่าจะช่วยให้คะแนนจากครูผู้สอนและคณะกรรมการมากพอที่จะได้เข้ารอบต่อไป

หนึ่งสัปดาห์สำหรับการแก้ไขจุดบกพร่องผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับหญิงสาว การฝึกซ้อมร้องเพลงไม่ต้องทำอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากผู้เป็นพ่ออีกแล้ว คนในครอบครัวจึงได้ฟังหญิงสาวฝึกร้อง แม้จะไม่มีใครสามารถชี้แนะอะไรได้หากทุกคนก็ให้กำลังใจเธอเป็นอย่างดีโดยเฉพาะโชคชัยนั้นเอ่ยชื่นชมลูกสาวออกนอกหน้า แม้ว่าปกติจะไม่ใช่คนที่นิยมการฟังเพลงเท่าใดนักก็ตาม



สัปดาห์ที่สองของการเข้าเรียนร้องเพลง หญิงสาวได้รับคำชมจากครูว่าร้องได้ดีขึ้นและพัฒนาในจุดที่ได้รับคำแนะนำได้ดี ทำให้มนัญชยายิ้มออกและคงยิ้มได้กว้างกว่าที่เป็นหากไม่เพราะใบหน้าเย้ยหยันและท่าทีของปริศนาที่แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้เห็นด้วยกับครู แน่นอน...รายนั้นรู้มุมกล้องเป็นอย่างดีทั้งยังมองซ้ายมองขวาก่อนแล้วด้วยว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น

ทันทีที่มีคนหันไปมองปริศนาก็ทำสีหน้าได้เป็นปกติอย่างที่สุด เพียงสองสัปดาห์ที่ได้เจอกันปริศนาเปลี่ยนจาก ‘ยัยซื่อบื้อ’ เป็น ‘ยัยปลากิ้งก่าซื่อบื้อ’ อย่างสมบูรณ์แบบในความคิดของมนัญชยา

นี่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าฉายาจะยาวขึ้นแค่ไหน นึก ๆ ไปแล้วอย่าได้อยู่ด้วยกันนานนักเลยจะดีกว่า และทางที่ดีคนที่ควรจะเป็นฝ่ายไปต้องไม่ใช่เธอ แต่น่าจะเป็น...

“ปลาขอโทษนะคะ พอดีปลาไม่ค่อยเข้าใจที่ครูบอกไว้ตรงนี้น่ะค่ะ”

ปริศนาเดินถือกระดาษที่จดอะไรยิก ๆ ไว้ตรงเข้ามาหาครูสอนร้องเพลงที่กำลังแนะนำอะไรกับมนัญชยาอยู่และกล้องก็กำลังจับภาพมาที่ครูในขณะนั้น

“อุ๊ย...ขอโทษนะคะ ไม่ทันรู้ว่าครูกำลังคุยกับ....เอ่อ...” สาวหน้าสวยรวยมารยาทำท่าเหมือนนึกชื่อของมนัญชยา “ขอโทษนะคะ ชื่ออะไรนะคะ ปลาจำไม่ได้เสียแล้ว”

“หมี่เกี๊ยวไงจ๊ะ ชื่อเขาออกจะแปลก ครูได้ยินครั้งเดียวยังจำได้เลย”

ครูสอนร้องเพลงวัยราวสี่สิบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หากมนัญชยาลอบมองสีหน้าของปริศนาแล้วรู้ว่าอีกครูสาวกำลังงับเหยื่อล่อเข้าเต็มเปา

“จริงสิคะ ปลาก็ลืมนึกไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ตอนได้ยินครั้งแรกยังสงสัยเลยค่ะ ว่าใช่ชื่อเล่นของหมี่เกี๊ยวเขาจริง ๆ รึเปล่าหรือว่าคิดขึ้นใหม่จะได้มีชื่อแปลก ๆ สะดุดหูคน”

นั่นปะไร...ตั้งใจมาแขวะเรื่องชื่อเล่นกันโดยเฉพาะเลยใช่ไหมเนี่ย ลงทุนจริง ๆ นะยะ

“ชื่อเล่นนี่จริง ๆ นะคะคุณปลา หมี่เกี๊ยวแล้วพี่ชายของเกี๊ยวก็ชื่อแหนมทอดค่ะ คุณพ่อคุณแม่ตั้งตามของที่คุณแม่ชอบกินตอนที่ท้อง” มนัญชยายิ้มตอบเมื่อเห็นว่ากล้องกำลังจับมาที่ตนและไมโครโฟนชนิดซูมเสียงก็ลอยอยู่เหนือศีรษะของทั้งสาม “นี่ถ้าเกี๊ยวมีชื่อเล่นพื้น ๆ แบบคุณปลา ก็คงไม่มีใครมาสงสัยนะคะครู ว่าชื่อเล่นนี่ตั้งใหม่ให้แปลกหูรึเปล่า ฟังแล้วก็ผ่านไปเลยไม่ไปสะดุดหูหรือสะกิดใจใคร”

ผู้ฝึกสอนร้องเพลงหัวเราะตามมนัญชยาเพราะหญิงสาวใส่ความใสซื่อไปในการพูดจาไม่แพ้ปริศนา ภาพที่ออกมาจึงดูเป็นเรื่องหยอกล้อกันไป ขณะที่คนถูก ‘หยอก’ กลับก็เหมือนจะจำใจหัวเราะตามออกมาเบา ๆ

เสร็จจากการเรียนในวันนั้นมนัญชยาและผู้เข้าแข่งขันบางส่วนต้องอยู่ต่อเพราะทีมงานนัดหมายให้อยู่รอเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่างซึ่งเธอต้องนำเรื่องนั้นไปปรึกษากับพ่อ ลุงและพี่ชายเมื่อกลับไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน



“อะไรนะ เขาจะมาสัมภาษณ์เอ็งที่ค่ายมวยเราเหรอ” โชคชัยวางช้อมส้อม โวยขึ้นทันทีเมื่อลูกสาวแจ้งถึงสิ่งที่ทีมงานบอกเอาไว้ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ “มันจะเหมาะเหรอเจ้าเกี๊ยว”

“เหมาะไม่เหมาะเขาก็จะมาแหละจ๊ะพ่อ มันเป็นส่วนหนึ่งของรายการ คนอื่นเขาก็ต้องให้ทีมงานไปสัมภาษณ์ที่บ้านเหมือนกันเพราะเขาจะได้เก็บข้อมูลเรื่องพื้นฐานครอบครัวอะไรพวกนี้เอาไว้ด้วยเผื่อว่าจำเป็นต้องใช้”

“เผื่อไปตัดต่อให้มันดูเป็นละครชีวิตล่ะมั้ง” ยศวันต์ซึ่งเคยผ่านตารายการเรียลลิตี้โชว์มาบ้างให้ความเห็น “เห็นบางคนน่ะชีวิตเศร้ายิ่งกว่าละครอีก เรียกคะแนนโหวตได้จมหู”

“โอ๊ย...อย่างนั้นคนเขาก็ดูถูกเจ้าเกี๊ยวมันแย่น่ะสิ ไม่ได้ ๆ” โชคชัยว่า “เจ้าเกี๊ยว...เอ็งพอจะมีเพื่อนที่เขามีบ้านสวย ๆ ให้เราไปยืมเป็นบ้านหน่อยไหมล่ะ”

“ไม่มีหรอกพ่อ ใครเขาจะให้ไปถ่ายได้ล่ะ อีกอย่างเกี๊ยวก็บอกเขาไปแล้วด้วยจ๊ะว่าเกี๊ยวอยู่ในค่ายมวย ช.โชคชัย”

“หมดกัน”

“ไม่หมดหรอกไอ้โชค” บุญช่วยซึ่งนั่งเงียบอยู่นานโพล่งขึ้น เรียกให้สามคนพ่อลูกหันไปมองเป็นตาเดียว เมื่อกลายเป็นจุดสนในของคนอื่นแล้ว หนุ่มใหญ่ก็กระแอมออกมาเบา ๆ “ที่จริงข้าว่าที่รายการเขาจะมาสัมภาษณ์ที่ค่ายก็ดีออกนา ถ้าเจ้าเกี๊ยวมันจับพลัดจับผลูได้เข้ารอบไปจนเขาเอาเทปไปออกอากาศ คนเขาก็จะได้รู้จักค่ายมวยเรามากขึ้น”

“รู้ว่าเป็นค่ายมวยที่มีนักมวยในค่ายชกชนะน้อยที่สุดเทียบกับค่ายอื่น ๆ ในตอนนี้น่ะเหรอลุง”

“บ๊ะ...ไอ้แหนม เอ็งอย่ามาชักใบให้เรื่องเสียสิวะ” ลุงหันมายกกำปั้นใส่หลานชาย “ให้เป็นที่รู้จักไว้ก่อน คนเขาจะได้สนใจ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังโว้ย ให้มีคนเขาคุ้นหูค่ายเราหน่อยก็ยังดี พวกที่อยากเป็นนักมวยจะได้รู้จักว่ามีชื่อค่ายนี้อยู่”

“รายการบันเทิงกับคนอยากเป็นนักมวยคงไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่หรอกจ๊ะลุง”

มนัญชยาเอ่ยพลางจับสังเกตพ่อว่ามีท่าทางเคร่งเครียดบ้างหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าผู้ให้กำเนิดจะสนใจแต่เรื่องลูกสาว

“ลูกสาวเจ้าของค่ายมวยกับรายการบันเทิงมันก็ไม่ค่อยเข้ากันเหมือนกันนะพ่อว่า”

“ไม่เกี่ยวกันหรอกจ๊ะพ่อ เกี๊ยวไม่ได้เป็นนักมวยซะหน่อย”

“ผมคิดอะไรออกแล้ว” ยศวันต์เสนอ “ผมว่าลุงกับพ่อน่าจะสอนมวยพวกเด็ก ๆ นะ ทำเหมือนเป็นโรงเรียนไง เรียนมวยไทยง่าย ๆ เด็กที่สนใจน่าจะเยอะอยู่นา”

“ไอ้แหนม เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะมีรายการโทรทัศน์มาสัมภาษณ์ไอ้เกี๊ยวมัน อยู่ดี ๆ มาพูดถึงเรื่องอะไรของเอ็งวะ มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย” โชคชัยตำหนิ “แทนที่จะช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้น้องไม่อายใครเขา”

มนัญชยาหันไปมองสบตาพี่ชายอย่างเข้าใจความคิด

“เกี๊ยวไม่อายใครหรอกจ๊ะพ่อ แล้วที่พี่แหนมพูดมา มันก็เกี่ยวกับเรื่องที่รายการเขาจะมาสัมภาษณ์เกี๊ยวแบบเต็ม ๆ เลยล่ะ แต่พ่อกับลุงไม่ต้องทำอะไรนะจ๊ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเกี๊ยวกับพี่แหนมสองคนก็พอ แล้ววันมะรืนพ่อกับลุงต้องแต่งตัวให้หล่อ ๆ ด้วยนะจ๊ะ”

สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างมั่นใจ ขณะที่ผู้เป็นลุงและพ่อมองหน้ากันอย่างสงสัย บุญช่วยยักไหล่กับน้องชายก่อนจะหยิบช้อนส้อมขึ้นมาลงมือรับประทานอาหารเย็นต่อ



วันประกาศผลผู้เข้ารอบสองของการแข่งขันค้นหานักร้องนักแสดงสาวหน้าใหม่หลังจากการเรียนร้องเพลงสิ้นสุดลงแล้วเป็นวันเดียวกับที่รายการเดอะเธียเตอร์ ปรินเซสจะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ โชคชัย บุญช่วยเดินมาส่งมนัญชยาที่หน้าค่ายมวย

หญิงสาวกำลังสวมหมวกนิรภัยเตรียมตัวจะขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ยศวันต์เพิ่งจะไปดาวน์มาได้ยังไม่ถึงสัปดาห์ ผู้เป็นพ่อเอ่ยกำชับกับลูกชาย

“ขี่รถดี ๆ ด้วยล่ะไอ้แหนม”

“มือชั้นนี้แล้วพ่อไม่ต้องห่วง รับรองพาน้องไปถึงที่หมายปลอดภัย”

“เอ่อ ๆ โชคดีนะเจ้าเกี๊ยว แล้วเย็นนี้เรามาดูเอ็งออกทีวีด้วยกัน ลุงล่ะตื่นเต้นจริงเหลือเกิน”

“พ่อจะรอฟังข่าวดีเย็นนี้นะ”

“ขอบคุณจ๊ะลุง” หญิงสาวยกมือไหว้ทั้งลุงและพ่อก่อนก้าวขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เอ่ยกับพี่ชายที่กดปุ่มติดเครื่องยนต์ด้วยมือรอไว้แล้ว “ไปเลยพี่แหนม เกี๊ยวพร้อมลุยแล้ว”

การเดินทางจากค่ายมวยช.โชคชัยไปยังอาคารของบริษัททีโอพีด้วยจักรยานยนต์นั้นประหยัดเวลากว่าการเดินทางโดยรถประจำทางมาก ยศวันต์พาน้องสาวลัดเลาะไปตามซอกซอยลัดเส้นทางจนไปถึงที่หมายก่อนเวลานัดหมายกับทีมงานร่วมครึ่งชั่วโมงกระนั้นก็ยังมีผู้เข้าแข่งขันบางคนมาถึงก่อนแล้ว

“จะให้มารับกี่โมงดี”

“ไม่ต้องมารับหรอกพี่แหนม ไม่รู้จะเสร็จกี่โมงเลย เดี๋ยวจะมารอนานเสียเปล่า” หญิงสาวถอดหมวกนิรภัยส่งให้พี่ชาย อีกฝ่ายเปิดช่องเก็บใต้เบาะ “พี่แหนมขี่รถกลับบ้านระวังด้วยล่ะ”

มนัญชยาหันหลังให้พี่ชายเดินไปสมทบกับเพื่อนผู้เข้าแข่งขันรุ่นราวคราวเดียวกันที่พอจะได้พูดคุยทำความรู้จักกันบ้าง เธอคนนั้นยืนรอเข้าไปในอาคารพร้อมกันยิ้มทัก

“แฟนมาส่งเหรอ”

“ไม่ใช่แฟน พี่ชายน่ะ”

“แล้วพี่เขารออะไรอยู่เหรอ”

หญิงสาวขมวดคิ้วหันหลังกลับไปมองเห็นยศวันต์กำลังยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ที่รถ จึงเอ่ยขอตัวกับเพื่อนผู้เข้าแข่งขันแล้วเดินกลับไปหาพี่ชาย

“อะไรพี่แหนม ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ”

“พี่ปวดท้อง สงสัยอาหารเช้าจะทำพิษย่อยเร็วกว่ากำหนด” ยศวันต์เอ่ยแล้วสูดปาก อย่างคนที่กำลังพยายามจะระงับอาการปวดหนัก “ไปแวะปั๊มไหนก็ไม่ทันแน่”

“งั้นมานี่เลย ขี่รถเข้าไปจอดใต้ตึก เดี๋ยวเกี๊ยวไปขอยามให้ แป๊บนึงเขาคงไม่ว่าอะไรหรอก”



มนัญชยายืนยิ้มขันพี่ชายเมื่อยศวันต์วิ่งแนบเข้าไปในห้องน้ำชาย แต่อารมณ์ดีก็มีอันต้องสะดุดเมื่อเจอปริศนา ซึ่งยืนมองเธออย่างดูหมิ่นเอ่ยลอย ๆ

“ตายแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าเขารับสมัครคนที่มีครอบครัวแล้วด้วย ใจกล้าขนาดให้สามีมาส่งยังไม่พอ ยังพาเข้ามาอวดอีก สงสัยกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าขายออกแล้ว”

“คนนั้นเขาไม่ใช่...”

เพื่อนคนที่รอมนัญชยาหน้าอาคารและเดินเข้ามาพร้อมกันขยับจะแย้งแทน แต่คนที่ถูกเอ่ยกระทบดึงแขนเอาไว้

“ทำไมล่ะเกี๊ยว...ปลาเขาพูดหาเรื่องเธอนะ นี่จะยอมให้เขาพูดกระทบเหมือนนางเอกในละครยุคก่อนหรือไง ฉันว่ายัยปลานี่แปลก ๆ นะ พูดจากระทบคนอื่นบ่อย ๆ แล้วก็ทำหน้าซื่อตาใส ฉันว่าจะไม่ถือสาแล้วนะแต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อย”

“ใจเย็นสิ เขาก็ไม่ได้เจาะจงพูดถึงใครสักหน่อย มีเรื่องก็เข้าทางเขาเสียเปล่า” มนัญชยาเอ่ยตอบเบา ๆ หากเมื่อพูดต่อก็เพิ่มความดังให้ได้ยินไปถึงปริศนาด้วย “ระวังด้วยนะจ๊ะ เดินไปไหนต้องคอยระวังหน่อย เกี๊ยวได้ยินเสียงหมามันเห่าอยู่แถว ๆ นี้ เดี๋ยวมันจะกัดเอา”

ปริศนาขยับจะเดินเข้ามาหาแต่มนัญชยารีบพูดต่อทันที

“อ๊ะ ๆ รอดูนะจ๊ะว่าหมาตัวไหนที่จะออกมารับเอาว่าเป็นตัวที่เห่าอยู่น่ะ”

คำพูดนั้นหยุดปริศนาได้ชะงัด หากก็รั้งไว้ได้เพียงขา ใบหน้าของฝ่ายนั้นจ้องมาทางมนัญชยาเขม็ง สะบัดหน้าพรืด หันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที



เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ยศวันต์ก็เดินออกมาที่บริเวณที่จอดรถจักรยานยนต์ ปฏิเสธน้องสาวที่อาสาจะเดินออกมาส่งเพราะเห็นว่าใกล้เวลานัดหมายของทีมงานแล้ว หยิบหมวกนิรภัยที่แขวนอยู่กับมือจับรถจักรยานยนต์ขึ้นมาสวม ก่อนติดเครื่องมุ่งกลับบ้านหากยังไม่ทันพ้นจากบริเวณที่จอด รถยนต์คันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามากะทันหันทำให้เขาก็เบรกรถอย่างเร็วไม่ทันจะได้หักหนีไปไหน

ผู้ขับขี่รถยนต์คันนั้นก็ดูเหมือนจะพยายามหยุดไม่ให้มีเหตุร้ายแรงเช่นกัน เสียงห้ามล้อของรถจักรยานยนต์และรถยนต์จึงดังประสานกันขึ้นเรียกให้พนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งที่อยู่ในป้อมหน้าบริษัทและที่ประจำอยู่หน้าประตูตึกรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์ทันที



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 10:48:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 10:48:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 2164





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account