ในชุดภารกิจรัก เรื่องราชนาวีที่รัก
Tags: ทหารเรือ นักเขียน
ตอน: 1.แพรวพรรณ
นวนิยาย
ราชนาวีที่รัก..
เฟื่องนคร
1.
“พี่พงศ์..ได้ข่าวพี่ต้นกล้าบ้างเปล่า” แพรวพรรณ เอ่ยถามพี่ชายที่มีอยู่เพียงคนเดียว ขณะรื้อค้นอัลบั้มรูปสมัยเด็ก ๆ ออกมาดู แล้วพบรูปงานกิจกรรมโรงเรียน ซึ่งมีภาพของพงศ์พันธุ์กับเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมบนเวที งานนั้นเป็นการเต้นประกอบเพลงเกี่ยวกับทหาร โดยนักแสดงต้องแต่งชุดเป็นทหารมาดแมนดูน่ายำเกรง..
ที่เรียกรอยยิ้มให้แพรวพรรณ ก็คือ ในตอนนั้นเธอเหมือนเด็กแก่แดด เพราะแอบชอบรุ่นพี่ ป.6 เพื่อนร่วมชั้นของพี่ชาย เขาคนนั้นมีใบหน้าคมคาย ผิวคมเข้ม และสูงยาวผิดเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกัน และที่สำคัญหัวสมองที่เป็นเลิศ จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ครูนักเรียนนั้น ทำให้ ‘พี่ต้นกล้า’ หรือ ‘เด็กชายจิรวัติ’ โดดเด่นท่ามกลางคนนับร้อยนับพัน เมื่อใดที่มีการสอบแข่งขันทางวิชาการ พี่ต้นกล้าจะสามารถออกไปคว้ารางวัลทำชื่อเสียงมาให้โรงเรียน ให้คุณครูพากันปรบมือยิ้มหน้าบานคุยทับเพื่อนครูด้วยกันแต่อยู่คนละโรงเรียน
นอกจากนั้น ผลงานทางด้านกีฬา พี่ต้นกล้าก็เป็นที่หนึ่ง กีฬาในโรงเรียนแทบทุกชนิด จะต้องมีชื่อของพี่ต้นกล้าเป็นผู้ลงชิงชัย ถ้าเป็นกีฬาประเภทเล่นคนเดียวอย่างวิ่งทางตรง กระโดดสูง กระโดดไกล ก็จะต้องได้เห็นพี่ต้นกล้ายิ้มกว้าง เห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบขึ้นรับเหรียญทอง ดวงตานั้นเล่าก็แพรวพราวยิ่งนัก..
และในความทรงจำอันลางเลือนของแพรวพรรณ ตอนที่เธออยู่ชั้น ป. 1 พี่ต้นกล้าอยู่ ป. 4 พี่เขาสามารถวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร เอาชนะรุ่นพี่ ป.6 ที่ตัวใหญ่กว่าได้แล้ว และตอนอยู่ป.5 พี่ต้นกล้าก็เลี้ยงลูกบอลทำโกลให้กับทีมของโรงเรียนจนเป็นแชมป์กีฬากลุ่มโรงเรียน นอกจากนั้นพี่ต้นกล้ายังเตะตระกร้อ เล่นวอล์เล่ย์บอล เป็นประธานนักเรียน หัวหน้าสี เวรทำความสะอาด หัวหน้าลูกเสือ ทำกิจกรรมทุกอย่างได้อย่างดียิ่ง
และพอนึกถึงพี่ชายของเธอ ซึ่งแม้จะกินดีอยู่ดีทางบ้านมีฐานะ แต่ว่าทั้งสติปัญญารวมถึงความสามารถพิเศษเหล่านั้นหาได้มีสักนิด การเรียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ เล่นกีฬาก็ได้เป็นตัวสำรอง หน้าตาก็หาได้มีความโดดเด่น
“ยิ้มอะไร..” พี่ชายหน้าขาวค่อนข้างเจ้าเนื้อนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาเอ่ยถาม..
“เจอรูปแฟนเก่าเหรอ” นพวรรณพี่สะใภ้ที่กำลังป้อนข้าวให้ ‘นพพงศ์’ หลานชายวัยสามขวบซึ่งเป็นหลานคนแรกของบ้าน เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“เปล่า มองรูปแล้วก็นึกถึงตอนเด็ก ๆ พี่วรรณ พี่ชายของแพรว แบบว่า ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง เรียนก็เกือบตก กีฬาก็ไม่เอาไหน เต้นก็อยู่ข้างหลัง..ถ่ายรูปมาเห็นหน้านิดเดียวเอง”
“ก็ยังมีวันนี้มาได้” วันนี้ที่ร่ำรวย ไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่เป็นการสืบทอดกิจการของพ่อกับแม่ที่มีอยู่แล้วให้รุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้น และสองพี่น้องต่างก็ช่วยกิจการงานรับซื้อพืชไร่อย่างแข็งขัน แต่ช่วงปีสองปีหลังมานี้ แพรวพรรณพยายามถอยออกมาจากงานบัญชีซึ่งเธอได้วางระบบให้เป็นมาตรฐานสามารถตรวจสอบได้ตามที่เล่าเรียนมาให้พี่สะใภ้เป็นคนดูแลแทน เพื่อที่เธอจะหันไปลุยงานเขียนนิยายที่เคยคิดว่าจะทำเล่น ๆ ให้มันกลายเป็นอาชีพที่มั่นคงเป็นเกียรติประวัติ และสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้โดยที่พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงอย่างช่วงแรก ๆ
และสี่ห้าปีมานี้ รายได้กับผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ ทำให้พ่อแม่และพี่ชายยอมปล่อยให้เธอเดินตามเส้นทางที่รักที่ชอบ แต่พ่อกับแม่ก็มีข้อแม้ว่า ภายในปีหรือสองปีนี้ หากเธอไม่เจอคนที่คู่ควร และพ่อแม่เห็นสมควร เธอจะต้องลงเอยกับลูกชายของคนที่พ่อกับแม่หมายมั่นปั้นมือจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน
แพรวพรรณรับปากไปอย่างนั้น เพราะมั่นใจว่า พอใกล้ ๆ ครบกำหนด เธอก็จะอธิบายให้พ่อแม่ฟังว่า ทำไมเธอถึงไม่แต่งงาน และดีไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้น คนที่พ่อแม่ต้องการจับคู่ให้กับเธอ เกิดทนเหงาทนรอไม่ไหว กลายเป็นคนมีคู่ไปเสียก่อน พ่อกับแม่ก็จะหาคนที่คู่ควรกับเธอได้ยากขึ้น..
“กินข้าวกันเถอะค่ะพี่พงศ์ แพรวหิวแล้ว” แพรวพรรณทำเป็นหูทวนลมไม่ต่อปากต่อคำกับพี่ชาย หญิงสาวซ้อน ๆ อัลบั้มรูป ยัดเข้าตู้ทึบปิดประตูแล้วลุกขึ้นยืน เผยให้เห็นร่างผอมสูงหุ่นนางแบบและผิวขาวของพ่อกับรูปหน้าแบบไทยแท้ของแม่ จึงทำให้แพรวพรรณจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง และการเสริมแต่งอย่างคนที่รักสวยรักงาม ก็ยิ่งทำให้แพรวพรรณเป็นที่หวงแหนจากพ่อแม่และพี่ชาย
“เมื่อกี้ถามถึงไอ้ต้นกล้าทำไม” พงศ์พันธุ์ที่สนใจข่าวหน้าจอโทรทัศน์ เพิ่งนึกได้ว่าน้องสาวเอ่ยถาม..และที่เขาถามน้องสาว ก็เพราะคนที่น้องสาวถามถึง ทำงานในอาชีพที่กำลังเป็นข่าวอยู่ด้วย..
“ถามตั้งนานแล้ว ..” แพรวพรรณเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีแม่บ้านคนไทยกับหญิงพม่ากำลังช่วยกันจัดเตรียม
“ป้านง ป๊ากับแม่ไม่กลับมาทานด้วยใช่ไหม”
“ไม่กลับหรอกแพรว แม่ว่ากลับบ่าย ๆ จัดการกันได้เลย แล้วก็ไม่ต้องรอพี่หรอกนะพี่กินแล้ว..”
นพวรรณตอบแทนป้านงที่กำลังจะอ้าปากบอก แล้วพอเห็นว่าตัวเองหมดหน้าที่ ป้านงก็ดันหลังสาวใช้ชาวพม่าซึ่งมีผัวเป็นคนงานในโกดังซึ่งเป็นชาวพม่าเช่นกันออกไปจากห้องอาหาร และทั้งคู่จะกลับเข้ามาอีกทีเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมง
สองพี่น้องเข้าประจำที่นั่ง น้องสาวคดข้าวให้พี่ชาย..พงศ์พันธุ์ที่เป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายรีบจ้วงต้มยำไก่บ้านเป็นอันดับแรก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย และกินอย่างต่อเนื่อง จนแพรวพรรณต้องเบะปาก
“คุยบ้างก็ได้”
“คุยเรื่องอะไรล่ะ..เอาเรื่องบอลไหม ทีมแมนยู..”
“ไม่เอา..ไม่ชอบ”
“งั้นเรื่องฝนที่ตกไม่ได้ว่างเว้นจนน้ำท่วมไร่นาข้าวปลา มัน อ้อย เสียหาย”
“ไม่เอา เครียด”
“ชีวิตแกมันมีแต่ความสุข เขียนนิยายเรื่องไหนก็จบแบบแฮปปี้”
“คนอ่านชอบนี่..”
“ให้เขียนพวกรบราฆ่าฟัน บู๊ล้างผลาญ ก็ไม่เขียน”
“อาจจะเขียน กำลังรวบรวมข้อมูล”
“แกพูดอย่างนี้มาห้าปีแล้วนะ”
“ต้มยำป้านงนี่รสชาติไม่เคยเพี้ยน” แพรวพรรณหาเรื่องคุยใหม่ เพราะคุยกับพี่ชายที่มีอยู่เพียงคนเดียวนี้ คุยกันกันได้ ไม่เคยทะเลาะกัน แต่เหมือนว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง และมันก็เป็นแบบนี้มานานแสนนาน จนกระทั่งพี่พงศ์พันธุ์อยู่มาจนอายุ 20 เธอไม่เห็นวี่แววว่าพี่ชายจะมีแฟน และมั่นใจว่าด้วยลักษณะนิสัยแบบนี้คงจะหาแฟนไม่ได้ แต่ว่าพอเธอเรียนจบกลับมาอยู่บ้าน พี่ชายของเธอก็พาผู้หญิงที่เรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน มาแนะนำให้พ่อแม่ให้รู้จัก หน้าตาผิวพรรณของพี่นพวรรณบอกว่าไม่ใช่ลูกชาวไร่ชาวนาไร้ทรัพย์สิน แพรวพรรณก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พี่ชายของเธอมีอะไรดี พี่นพวรรณจึงได้เลือกมาเป็นคู่ชีวิต
จนวันหนึ่งเมื่ออยู่กันตามลำพัง เธอก็เลยถามไปตรง ๆ และก็ได้คำตอบมาว่า
‘พี่มั่นใจว่าพี่เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วเขาก็รักพี่จริง ๆ ไม่สนใจว่าพี่มีเงินเท่าไหร่ เขาเป็นคนตลก ๆ อบอุ่น ไม่เรื่องมาก อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด..’
ฟังคำตอบแล้วแพรวพรรณอยากขยับกราม อ้าปากบริหารผิวหน้าตามหลักการความสวยแก้อาการมึนงง แต่ว่าเธอก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มกระพริบตาถี่ๆ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ดีใจกับพี่ชายที่หาเมียหาแม่ให้หลานของป๊ากับแม่จนได้..
“ไม่รู้ว่า ไอ้กล้ามันไปกับเรือเมื่อกี้ด้วยหรือเปล่า” เคี้ยวข้าวหมดคำ พงศ์พันธุ์ก็เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีเกริ่น ไม่มีคำนำ และไร้อารัมภบท ถ้าคนที่ไม่รู้ใจ ก็จะว่าอีตานี่ น่าจะประสาท แต่ว่าแพรวพรรณชินกับวิธีคิดวิธีพูดของพี่ชายเสียแล้ว
“เรืออะไร”
“โจรสลัด ประเทศไหนไม่รู้ เลียเลีย โซมาเลีย ทหารเรือไทยของเราไปกับเขาด้วย”
“อืม..แล้วไงต่อ”
“ไอ้กล้ามันเป็นทหารเรือ..ไปกับเขาหรือเปล่าไม่รู้นะสิ..ถ้าไปคงเท่ห์น่าดู รบกับโจรสลัด..แจ๊คสแปโรว์ อึ๊ด ๆ”
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเขาไปหรือไม่ไป..”
“โทรถามแม่มันดีกว่า แม่มันคงรู้” แม้ว่าจะไม่สนิทสนมกับพ่อแม่ของพี่ต้นกล้ามากนัก แต่พี่ชายของเธอก็ไปที่บ้านนั้น ปีละหนสองหน เพราะหนึ่งต้องไปซื้อข้าวที่หมู่บ้านนั้น และสองพี่ชายของของเธอชอบขอเบอร์โทรศัพท์ของชาวบ้านชาวช่องในย่านนี้มาเก็บไว้ ถ้าว่าง ๆ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็โทรไปถามสารทุกข์ สุกดิบ ทำตัวเหมือนจะลงรับสมัครเลือกตั้ง ผู้ใหญบ้านหรือสมาชิก อบต. ในสมัยหน้า แต่พอมีคนรับสาย ก็จะคุยเดี๋ยวเดียว เธอเคยถามว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้..และพี่ชายก็ให้คำตอบว่า
‘เขาจะได้ไม่เอาข้าวไปขายคนอื่น..’
“ฮัลโหล น้าจุก ได้ดูข่าวหรือเปล่า ข่าวทหารเรือไทยไปปราบโจรสลัดน่ะ อ๋อดูเหรอ..แล้วมันไปกับเขาหรือเปล่า..ไม่ได้ไป..อ๋อ ๆ ครับ ๆ “
ระหว่างที่พี่ชายคุยโทรศัพท์ น้องสาวก็นั่งอมยิ้มและก็เริ่มขำจนกระทั่งกินข้าวไม่ได้..จนกระทั่งพี่ชายวางโทรศัพท์ลงแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวต่อ..และเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่สรุปเรื่องแน่ ๆ แพราวพรรณจึงต้องกระตุ้น “ได้เรื่องว่าไงบ้างพี่”
“มันไปฝึกอะไรก็ไม่รู้ ที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่เมืองไทย..ไม่ได้ไปกับเรือสองลำนี้หรอก..” เรือสองลำที่ออกไปปฏิบัติภารกิจปราบปรามโจรสลัดในอ่าวเอเดน ชายฝั่งประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2553 ได้แก่เรือรบหลวงปัตตานี กับเรือรบหลวงสิมิลัน
“น้ำพริกป้านงเผ็ดไปไหมเนี่ย ป๊ากินไม่ได้แน่ ๆ”
พอพี่ชายเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหันแบบนี้ แม้อยากจะเซ้าซี้ถามประสา ‘อดีตแฟนคลับ’ ของพี่ต้นกล้า แต่ว่าแพรวพรรณก็รู้สึกว่าไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างนี้ ชาตินี้คงไม่มีทางได้ ‘แอบปลื้ม’ ความสำเร็จของเขา ‘ต้นกล้า’ จิรวัติ สุกปลั่ง อีกแน่ ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างโน๊ตบุ๊คซึ่งกำลังนั่งพิมพ์ตัวอักษรให้มีข้อความปรากฏที่หน้าจอมอนิเตอร์ดังขึ้น แพรวพรรณหันไปมอง แต่ก็ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพิมพ์ข้อความจากสมองและอารมณ์ที่ลื่นไหลจนหมดสิ้น ซึ่งกินเวลาจากที่โทรศัพท์ดังจนเสร็จงาน ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง..
“มีอาลายยยย”
“ถ้ามีอาลาย ป่านี้อาลายก็ ก็อาลัย หรือ หรือละลายไปหมดแล้ว..ปั่นนิยายอยู่เหรอ..”
“อืม..คุยได้แล้ว..” เป็นอันรู้กันว่า ถ้าโทรแล้วไม่รับคือ แพราวพรรณอยู่กับครอบครัว ยุ่งกับงาน แต่ถ้าเป็นเวลาดึกดื่นแบบนี้ ก็กำลังพิมพ์งานนิยาย หรือไม่ก็เล่นโปรแกรมเฟสบุ๊คที่กำลังโด่งดังเพื่อคุยกับแฟนคลับและเพื่อน ๆ นักเขียนที่มีอยู่สามพันกว่าคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะงานเขียนของแพราวพรรณนั้นเบา ๆ สบาย ๆ หวาน ๆ จึงเป็นที่ถูกใจของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต
“เมื่อไหร่แกจะเขียนงานเกย์สักที”
“แพรวเป็นผู้หญิง แพรวจะไปรู้จักอารมณ์เกย์ได้อย่างไง”
“แกก็คบกับฉันมานานแล้วนี่” ‘ฉัน’ คนที่อยู่ปลายสายชื่อเล่นว่า ‘หนึ่ง’ ชื่อจริงว่า
“นาที” และด้วยทำอะไรรวดเร็วปานปรอท ชื่อเล่นกับชื่อจริง จึงถูกเรียกรวมกันว่า
“หนึ่งนาที” และ ‘เขา’ หรือ ‘เจ้าหล่อน’ ก็เป็นเพื่อนสนิทกับแพรวพรรณตั้งแต่สมัยเรียนบัญชีอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพฯ
หนึ่งนาทีมาจากนครศรีธรรมราช หน้าตานั้นคมเข้มตามแบบคนในถิ่นนั้น หน่วยก้านก็มาดแมน ไร้ไขมันส่วนเกิน แต่งตัวดีเยี่ยม ลำพังเดินอยู่คนเดียว สาวน้อยสาวใหญ่ถึงกับเหลียวหลังมามอง ถ้ากล้าหน่อยก็มีส่งสายตาเสนอตัว
แต่ใครเล่าจะรู้บ้างว่า หนึ่งนาทีนั้นไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา แม้เพื่อนหญิงก็น้อยรายนักที่จะรู้ว่า ‘ข้างใน’ ของหนึ่งนาทีเป็นอย่างไร และแพรวพรรณก็เป็นหนึ่งในเล็กน้อยที่หนึ่งนาทีเปิดอกยอมรับและพูดคุยด้วยอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ถึงกระนั้นกฎกติกาของทั้งสองคนก็คือ จะต้องไม่พูดต่อหน้าคนอื่นเพื่อนใหม่หรือคนที่เข้ามาในกลุ่ม ดังนั้นเมื่อเข้ากรุงเทพฯ ถ้าหนึ่งนาทีขับรถมารับไปทำธุระหรือแม้แต่ตอนที่มีกิจกรรมสำนักพิมพ์ หนึ่งนาทีติดสอยห้อยตามไปด้วย คนอื่น ๆ ก็เหมารวม ๆ ว่าหนึ่งนาทีนั้นเป็นแฟนของแพรวพรรณ และก็มีหนุ่มหลายๆ ราย ต้องถอยออกไปเพราะถ้าเทียบกับเพื่อนคนดีของแพรวพรรณคนนี้แล้ว หนึ่งนาทีถือว่าเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบคนหนึ่งซึ่งยากที่ผู้ชายด้วยกันจะมาเป็นคู่แข่งจีบแพรวพรรณ
“กี่ปีแล้ววะหนึ่ง”
“ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีนี้..สิบเจ็ด สิบแปด..ยี่สิบ ยี่สิบหก แปดปีพอดีเลย”
“นานเนอะ..แล้วนี่โทรมามีอะไร แฟนแกไปไหน”
“ลงนรกไปแล้ว” หนึ่งนาทีนั้นเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่จึงซื้อคอนโดซื้อรถไว้ให้ใช้ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ และคอนโดนั้นสมัยหนึ่งก็เป็นที่ซ่องสุมของเพื่อน ๆ จนกระทั่งจบกันไปทำงาน ความเหงาทำให้หนึ่งนาทีต้องหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อน
แต่ปัญหาที่หนึ่งนาทีคือ ได้เจอะเจอแต่คนเจ้าชู้ ชอบโกหก รักเงินมากกว่ารักตัว.. และทุกครั้งที่ความรักเป็นอันต้องล้มลง คนที่พร้อมรับฟังและไม่ซ้ำเติมก็มีแพรวพรรณคนเดียว ดังนั้น มีสุข หรือว่าได้ทุกข์จากความรัก หนึ่งนาทีจะต้องโทรบอกเล่าให้แพรวพรรณได้รับรู้
โดยที่แพรวพรรณก็ขอบอกขอบใจหนึ่งนาทีทุกครั้ง ๆ ที่ นำข้อมูลจริง ที่เล่นจริงเจ็บจริง มาให้เขียนนิยายรัก..ซึ่งตนเองมีประสบการณ์ตรงเล็กน้อยมาก และความที่ไม่เคยมีความรักอย่างจริง ๆ จัง ๆ งานนิยายรักของแพรวพรรณจึงเป็นรักในอุดมคติ รักแล้วสมหวัง รักแล้วได้อยู่ด้วยกัน แต่ในชีวิตจริงของหนึ่งนาทีนั้น รักของเขาเขายอกย้อนซับซ้อนซ่อนเงื่อนและซ่อนอะไรต่อมิอะไร ทำให้มโนคติของแพรวพรรณเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่น้อย และลึก ๆ แพรวพรรณก็กลัวกับผู้ชายที่เป็นผู้ชายไม่สมบูรณ์ในสังคมแห่งนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“คราวนี้ จะเจ็บสักกี่วันดีละ”
“ยังไม่รู้เลย..” ถ้าได้เจอคำถามมีน้ำเสียงเห็นใจแบบนี้ และถ้าเริ่มต้นแบบนี้ หนึ่งนาทีก็พร้อมจะเล่าแล้วว่า ไอ้คนที่จากไปนั้นทำให้เจ็บปวดประมาณไหน จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง..
“อุ้ย ๆ หนึ่ง ๆ แค่นี้ก่อนนะ บอกอ.โทรมา”
บก. ต่าย แห่ง สำนักพิมพ์ดวงใจ ที่ร่วมงานกับแพรวพรรณมาตั้งแต่แพรวพรรณโพสต์นิยายเล่น ๆในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง แล้วนิยายเรื่องนั้นก็มีนักอ่านจำนวนไม่น้อยชอบสำนวนและเนื้อเรื่อง บก.ต่ายเห็นว่างานของแพรวแพรวน่าจะทำเงินให้สำนึกพิมพ์ได้ จึงได้ชักชวนให้นำผลงานชิ้นนั้นไปพิมพ์รวมเล่ม และมันก็ขายดิบขายดีจนถึงกับเซ็นสัญญาเป็นนักเขียนประจำในสำนักพิมพ์ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้เป็นที่มาให้แพรวพรรณต้องพยายามวางระบบงานบัญชี และมอบหมายงานให้พี่สะใภ้ดูแลโดยด่วน เพราะตัวเองอยากทำงานอย่างที่ใจรัก และอยากพัฒนางานให้มีคุณภาพตามวัยของตัวเองไปด้วยนั่นเอง
“มีอะไรหรือคะพี่” ไล่หนึ่งนาทีไปแล้ว แพรวพรรณก็กดรับสายของบอกอ.คนเก่ง ซึ่งถ้าโทรมาดึก ๆ แบบนี้แสดงว่า มีไอเดียบรรเจิดจนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว หรือไม่ก็ มีเรื่องอะไรสักเรื่องที่จะทำให้ดีใจเป็นอย่างมาก อย่างเช่น ค่ายละครติดต่อนิยายไปเสนอสถานีโทรทัศน์ หรือนิยายที่พิมพ์ซ้ำครั้งที่สองขายหมด จนต้องสั่งพิมพ์ซ้ำอีกครั้งที่สาม..
“อยากทำงานกลุ่มไหม”
“กลุ่ม..กลุ่มอะไร เขียนกันหลาย ๆ คนเหรอค่ะพี่ เคยทำไปแล้วนี่” ตอนนั้นเป็นการรวมกลุ่มงานรักสั้น ๆ หวาน ๆ คนละเรื่อง เล่มละห้าคน ออกทั้งหมดสองเล่ม
“เป็นซีรีย์น่ะ ตัวละครเกี่ยวน้องกัน เป็นห้าพี่น้องนะ แต่ละคนก็มีอาชีพที่แตกต่างกันไป..”
“มีใครเขียนบ้างคะ”
บก.ต่าย เอ่ยถึงเพื่อนนักเขียนหญิงร่วมค่าย ซึ่งสองในสี่คนนั้น แต่งงานมีครอบครัวแล้ว อีกคนก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ มีอายุเกือบสี่สิบปี มีความสุขกับการกินและเขียนนิยายกับทำงานประจำเท่านั้น ส่วนคนสุดท้าย พี่หิรัญญา เธอสนิทสนมด้วยที่สุด รายนี้แม้ไม่แก่ ไม่อ้วน แต่ว่าก็หาได้มีตามองผู้ชาย พี่หิรัญญาบอกเสมอว่ารักแท้ ๆ มีแต่ในนิยายเท่านั้น ..
“ก็น่าสนนะพี่..ห้าพี่น้อง เป็นไงบ้าง”
“ก็พ่อแม่เดียวกันหมด แล้วแต่ละคนก็ไปมีวิถีของตนเองน่ะ แบ่งเป็นชายสามคนหญิงสองคน ผู้ชายคนโตเป็นทหารเรือ..”
พอจบคำว่า ‘ทหารเรือ’จากปากพี่ตาย ใบหน้าของพี่ต้นกล้า ก็ลอยเข้ามาหาแพรวพรรณทันที..และถ้าไม่ยั้งใจไว้ฟังบก.ต่าย อธิบายต่อ แพรวพรรณก็อยากจะถามว่าใครรับผิดชอบตัวละครตัวนี้..
“คนรองเป็นผู้ช่าย เป็นนักวาดรูป เรียนศิลปะ คนที่สามก็เป็นผู้ชาย เป็นหมอ คนที่สี่เป็นผู้หญิง เป็นตำรวจนายร้อยสามพรานด้วยนะ ทันสมัยหน่อย คนเล็กทำงานบริษัทเอกชนยัง ไม่ได้สรุป คนเล็กน่าจะเขียนง่ายสุด..”
“คนโตมีคนเลือกไปหรือยัง”
“ยัง..พี่เอาเรื่องนี้มาปรึกษาแพรวก่อนใครเลย ถ้าแพรวตกลง พี่ก็จะชวนคนอื่น ๆ ต่อเลย ตกลงแพรวเอาคนไหน พี่จะได้โยนข้อมูลกลางที่พี่คิดไว้ไปให้เลย แล้วช่วยกันพัฒนาต่อ” พัฒนาต่อแล้วก็โยนข้อมูลกลางกลับมาที่อีเมล์ที่ส่งแบบข้อความเดียวรับได้หลายคน..
“ทหารเรือค่ะ”
“อ้าว..ทำไมให้เลือกก่อน แต่เลือกทำงานยาก”
“ก็..เอ่อ..เอ่อ แพรวอยาก อยากพัฒนางานตัวเองน่ะพี่ ย่ำอยู่กับที่มาหลายเรื่องแล้ว เบื่อตัวเองเหมือนกัน อยากทำงานหนัก ๆ ยาก ๆ ขึ้นมาบ้าง..โตแล้วค่ะ อยากทำงานให้สมกับวัย”
“ทำได้แน่นะ” ที่ถามเพราะบก.ต่ายคิดว่าที่จะให้แพรวพรรณเลือกก่อนนั้น เพราะอยากให้แพรวพรรณได้เลือกน้องคนเล็ก เพราะงานเก่า ๆ ของแพรวพรรณนั้นก็จะเป็นรักใส ๆ ตั้งแต่รักในวัยเรียนจนกระทั่งจบออกมาทำงาน ซึ่งมิตินั้นไม่ล้ำลึกอะไรมากนัก และก็ไม่มีดราม่ากดดันอารมณ์ใด ๆ เลยสักนิด แต่ว่าเป็นที่นิยมของสาวน้อยสาวใหญ่เป็นอย่างมาก และพล็อตทหารเรือนี้ ถึงแม้เรื่องจะใส ๆ แต่ว่า ถ้าให้สมกับความที่ตัวละครเอกเป็นทหารเรือ มันก็น่าจะมีอะไรตื่นเต้นบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นงานยากของแพรวพรรณ
“อยากลองค่ะ”
“อืม..อยากลอง พี่ก็จะให้ลอง แต่ถ้าไม่ไหว อย่าทิ้งงานแล้วมาโทษว่าพี่ไม่มีเมตตาไม่ได้นะ”
“ค่ะ”
“เอ้อ ชื่อซีรีย์ชุดนี้ พี่เอานามสกุลของพ่อพระเอกมาเป็นชื่อชุดนะ ..ชุด รักกสิกร”
“รักกสิกร!! ทำไมชื่อชุดเชยจังเลยละพี่..” เสียงที่ถามออกไปนั้นบอกให้รู้ว่าตกใจกับชื่อชุดนิยายอยู่ไม่น้อย แม้จะเกิดในชนบท แม้จะใกล้ชิดกับชาวไร่ชาวบ้าน ต้นตระกูลทางแม่เป็นชาวนาชาวไร่ แต่เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง กสิกรรม กสิกร และไม่เคยคิดจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับชนชั้นเกษตรกรรมนี่ด้วย
“เอ่อ จริง ๆ พี่บอกในข้อมูลกลางไว้แล้ว แต่พี่บอกใหม่ก็ได้นะ เรื่องนี้ พี่อยากให้เป็นดราม่านิด ๆ นะ ให้เห็นว่า ลูกชาวนาก็สามารถโตมาโดยที่ไม่เป็นชาวนาก็ได้ โดยพ่อแม่นั้นส่งเสียให้ลูกทุกคนเรียนหนังสือ อดอยากปากแห้งบ้าง เน้นว่าบ้างนะ ไม่เอาจนมากรันทด เพื่อให้ลูก ๆ พ้นจากความเป็นชาวนาเหมือนตนนะ แล้วทุกคนก็ตั้งใจเรียนหนังสือในแบบที่ตนชอบ แล้วก็ไปเผชิญโลก จนกระทั่งได้เจอคู่รักของตน ก็อยากให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเราจะเติบโตไปเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่ารากเหง้าของเราก็คือ
ชาวนา หรืออีกที ชาวนาก็สามารถพัฒนาให้ตัวเอง หรือลูกหลานตัวเองไปเป็นอย่างอื่นได้..อ่านในข้อมูลกลางก่อนแล้วกัน
หลังจากนั้นก็พัฒนาพล็อตมาให้พี่ด้วย แล้วถ้าคิดอะไรได้ดีกว่าที่พี่คิดไว้ก็บอกด้วย พี่อยากให้งานนี้ได้รับคำชมด้วย ยากไปไหม”
หลังจากอ่านข้อมูลกลาง หลังจากปรึกษากับเพื่อนนักเขียนในกลุ่มแล้ว ขั้นตอนต่อมาของแพรวพรรณก็คือหาข้อมูลเกี่ยวกับทหารเรือไปพลางกับค่อย ๆ ขยายพล็อต แต่จนแล้วจนรอดเธอก็พัฒนาเรื่องต่อไปไม่ได้ และระหว่างนั้น ใบหน้าพี่ต้นกล้าก็ลอยเข้า ๆ เข้ามาจนทำให้เธอเสียสมาธิ แต่ปัญหาของเธอก็คือว่ามันเป็นใบหน้าตอนที่เขาอยู่ชั้น ป.6 ตอนนั้นเขาเป็นหนุ่มน้อยยิ้มหวาน ๆ แต่ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปี เขาจะเป็นอย่างไร เขาจะเป็นพระเอกให้กับนิยายของเธอได้ไหม..
“หมู่นี้เป็นอะไรหน้าตาเคร่งเครียด” ตานั้นอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ แต่พงศ์พันธุ์ดูออกว่า ใจของน้องสาวนั้นลอยไปไหนต่อไหน
“พี่ มีข่าวอะไรเกี่ยวกับทหารเรืออีกไหม” ใจจริงแพรวพรรณอยากจะถามว่า พี่ได้เจอพี่ต้นกล้าครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ พี่เจอครั้งล่าสุดเขาเป็นอย่างไรบ้าง หน้าตาเขาเปลี่ยนไปมากไหม เขาหล่อกว่าเดิมไหม เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานอยู่ที่ไหน แล้วก็มีแฟนหรือยัง แต่ด้วยความเป็นกุลสตรี แพรวพรรณไม่สามารถจะถามออกไปตรง ๆ แบบนั้น แต่ว่าคำตอบของพงศ์พันธุ์ก็ทำให้ดวงตาของแพรวพรรณต้องเบิกกว้าง
“เมื่อวานพี่โทรไปหาไอ้ต้นกล้ามันมา..”
แพรวพรรณเลิกคิ้ว..ทั้งที่ในใจนั้นลิงโลดเป็นอย่างมากแต่หญิงสาวก็ไม่เอ่ยปากถามว่าคุยกันเรื่องอะไรบ้าง และพอเธอเงียบ พี่ชายของเธอ ซึ่งตกภวังค์ไปพักใหญ่ก็พูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า
“มันว่าถ้าผ่านไปแถว ๆ สัตหีบ แวะหามันมั่งก็ได้”
“แล้วเขาไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่เขาเลยหรือคะ”
“มันมาแล้ว สี่ห้าวันก่อนนี้เอง มันมาเยี่ยมพ่อแม่ปู่ย่าตายายของมัน แต่พี่ไม่รู้ มารู้ตอนมันกลับไปแล้ว..มันว่ามันก็มาประจำ สามสี่เดือนครั้ง”
“โห ปีหนึ่งสามสี่ครั้ง”
“มันว่าภารกิจมันเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา แต่ปีสามสี่ครั้งพี่ว่ามากแล้วนะ ลูกบางบ้าน สามปีสี่ปีหนด้วยซ้ำ”
ราชนาวีที่รัก..
เฟื่องนคร
1.
“พี่พงศ์..ได้ข่าวพี่ต้นกล้าบ้างเปล่า” แพรวพรรณ เอ่ยถามพี่ชายที่มีอยู่เพียงคนเดียว ขณะรื้อค้นอัลบั้มรูปสมัยเด็ก ๆ ออกมาดู แล้วพบรูปงานกิจกรรมโรงเรียน ซึ่งมีภาพของพงศ์พันธุ์กับเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมบนเวที งานนั้นเป็นการเต้นประกอบเพลงเกี่ยวกับทหาร โดยนักแสดงต้องแต่งชุดเป็นทหารมาดแมนดูน่ายำเกรง..
ที่เรียกรอยยิ้มให้แพรวพรรณ ก็คือ ในตอนนั้นเธอเหมือนเด็กแก่แดด เพราะแอบชอบรุ่นพี่ ป.6 เพื่อนร่วมชั้นของพี่ชาย เขาคนนั้นมีใบหน้าคมคาย ผิวคมเข้ม และสูงยาวผิดเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกัน และที่สำคัญหัวสมองที่เป็นเลิศ จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ครูนักเรียนนั้น ทำให้ ‘พี่ต้นกล้า’ หรือ ‘เด็กชายจิรวัติ’ โดดเด่นท่ามกลางคนนับร้อยนับพัน เมื่อใดที่มีการสอบแข่งขันทางวิชาการ พี่ต้นกล้าจะสามารถออกไปคว้ารางวัลทำชื่อเสียงมาให้โรงเรียน ให้คุณครูพากันปรบมือยิ้มหน้าบานคุยทับเพื่อนครูด้วยกันแต่อยู่คนละโรงเรียน
นอกจากนั้น ผลงานทางด้านกีฬา พี่ต้นกล้าก็เป็นที่หนึ่ง กีฬาในโรงเรียนแทบทุกชนิด จะต้องมีชื่อของพี่ต้นกล้าเป็นผู้ลงชิงชัย ถ้าเป็นกีฬาประเภทเล่นคนเดียวอย่างวิ่งทางตรง กระโดดสูง กระโดดไกล ก็จะต้องได้เห็นพี่ต้นกล้ายิ้มกว้าง เห็นฟันเรียงกันเป็นระเบียบขึ้นรับเหรียญทอง ดวงตานั้นเล่าก็แพรวพราวยิ่งนัก..
และในความทรงจำอันลางเลือนของแพรวพรรณ ตอนที่เธออยู่ชั้น ป. 1 พี่ต้นกล้าอยู่ ป. 4 พี่เขาสามารถวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร เอาชนะรุ่นพี่ ป.6 ที่ตัวใหญ่กว่าได้แล้ว และตอนอยู่ป.5 พี่ต้นกล้าก็เลี้ยงลูกบอลทำโกลให้กับทีมของโรงเรียนจนเป็นแชมป์กีฬากลุ่มโรงเรียน นอกจากนั้นพี่ต้นกล้ายังเตะตระกร้อ เล่นวอล์เล่ย์บอล เป็นประธานนักเรียน หัวหน้าสี เวรทำความสะอาด หัวหน้าลูกเสือ ทำกิจกรรมทุกอย่างได้อย่างดียิ่ง
และพอนึกถึงพี่ชายของเธอ ซึ่งแม้จะกินดีอยู่ดีทางบ้านมีฐานะ แต่ว่าทั้งสติปัญญารวมถึงความสามารถพิเศษเหล่านั้นหาได้มีสักนิด การเรียนครึ่ง ๆ กลาง ๆ เล่นกีฬาก็ได้เป็นตัวสำรอง หน้าตาก็หาได้มีความโดดเด่น
“ยิ้มอะไร..” พี่ชายหน้าขาวค่อนข้างเจ้าเนื้อนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาเอ่ยถาม..
“เจอรูปแฟนเก่าเหรอ” นพวรรณพี่สะใภ้ที่กำลังป้อนข้าวให้ ‘นพพงศ์’ หลานชายวัยสามขวบซึ่งเป็นหลานคนแรกของบ้าน เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง
“เปล่า มองรูปแล้วก็นึกถึงตอนเด็ก ๆ พี่วรรณ พี่ชายของแพรว แบบว่า ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง เรียนก็เกือบตก กีฬาก็ไม่เอาไหน เต้นก็อยู่ข้างหลัง..ถ่ายรูปมาเห็นหน้านิดเดียวเอง”
“ก็ยังมีวันนี้มาได้” วันนี้ที่ร่ำรวย ไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่เป็นการสืบทอดกิจการของพ่อกับแม่ที่มีอยู่แล้วให้รุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปเท่านั้น และสองพี่น้องต่างก็ช่วยกิจการงานรับซื้อพืชไร่อย่างแข็งขัน แต่ช่วงปีสองปีหลังมานี้ แพรวพรรณพยายามถอยออกมาจากงานบัญชีซึ่งเธอได้วางระบบให้เป็นมาตรฐานสามารถตรวจสอบได้ตามที่เล่าเรียนมาให้พี่สะใภ้เป็นคนดูแลแทน เพื่อที่เธอจะหันไปลุยงานเขียนนิยายที่เคยคิดว่าจะทำเล่น ๆ ให้มันกลายเป็นอาชีพที่มั่นคงเป็นเกียรติประวัติ และสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้โดยที่พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงอย่างช่วงแรก ๆ
และสี่ห้าปีมานี้ รายได้กับผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ ทำให้พ่อแม่และพี่ชายยอมปล่อยให้เธอเดินตามเส้นทางที่รักที่ชอบ แต่พ่อกับแม่ก็มีข้อแม้ว่า ภายในปีหรือสองปีนี้ หากเธอไม่เจอคนที่คู่ควร และพ่อแม่เห็นสมควร เธอจะต้องลงเอยกับลูกชายของคนที่พ่อกับแม่หมายมั่นปั้นมือจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน
แพรวพรรณรับปากไปอย่างนั้น เพราะมั่นใจว่า พอใกล้ ๆ ครบกำหนด เธอก็จะอธิบายให้พ่อแม่ฟังว่า ทำไมเธอถึงไม่แต่งงาน และดีไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้น คนที่พ่อแม่ต้องการจับคู่ให้กับเธอ เกิดทนเหงาทนรอไม่ไหว กลายเป็นคนมีคู่ไปเสียก่อน พ่อกับแม่ก็จะหาคนที่คู่ควรกับเธอได้ยากขึ้น..
“กินข้าวกันเถอะค่ะพี่พงศ์ แพรวหิวแล้ว” แพรวพรรณทำเป็นหูทวนลมไม่ต่อปากต่อคำกับพี่ชาย หญิงสาวซ้อน ๆ อัลบั้มรูป ยัดเข้าตู้ทึบปิดประตูแล้วลุกขึ้นยืน เผยให้เห็นร่างผอมสูงหุ่นนางแบบและผิวขาวของพ่อกับรูปหน้าแบบไทยแท้ของแม่ จึงทำให้แพรวพรรณจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง และการเสริมแต่งอย่างคนที่รักสวยรักงาม ก็ยิ่งทำให้แพรวพรรณเป็นที่หวงแหนจากพ่อแม่และพี่ชาย
“เมื่อกี้ถามถึงไอ้ต้นกล้าทำไม” พงศ์พันธุ์ที่สนใจข่าวหน้าจอโทรทัศน์ เพิ่งนึกได้ว่าน้องสาวเอ่ยถาม..และที่เขาถามน้องสาว ก็เพราะคนที่น้องสาวถามถึง ทำงานในอาชีพที่กำลังเป็นข่าวอยู่ด้วย..
“ถามตั้งนานแล้ว ..” แพรวพรรณเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีแม่บ้านคนไทยกับหญิงพม่ากำลังช่วยกันจัดเตรียม
“ป้านง ป๊ากับแม่ไม่กลับมาทานด้วยใช่ไหม”
“ไม่กลับหรอกแพรว แม่ว่ากลับบ่าย ๆ จัดการกันได้เลย แล้วก็ไม่ต้องรอพี่หรอกนะพี่กินแล้ว..”
นพวรรณตอบแทนป้านงที่กำลังจะอ้าปากบอก แล้วพอเห็นว่าตัวเองหมดหน้าที่ ป้านงก็ดันหลังสาวใช้ชาวพม่าซึ่งมีผัวเป็นคนงานในโกดังซึ่งเป็นชาวพม่าเช่นกันออกไปจากห้องอาหาร และทั้งคู่จะกลับเข้ามาอีกทีเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมง
สองพี่น้องเข้าประจำที่นั่ง น้องสาวคดข้าวให้พี่ชาย..พงศ์พันธุ์ที่เป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายรีบจ้วงต้มยำไก่บ้านเป็นอันดับแรก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย และกินอย่างต่อเนื่อง จนแพรวพรรณต้องเบะปาก
“คุยบ้างก็ได้”
“คุยเรื่องอะไรล่ะ..เอาเรื่องบอลไหม ทีมแมนยู..”
“ไม่เอา..ไม่ชอบ”
“งั้นเรื่องฝนที่ตกไม่ได้ว่างเว้นจนน้ำท่วมไร่นาข้าวปลา มัน อ้อย เสียหาย”
“ไม่เอา เครียด”
“ชีวิตแกมันมีแต่ความสุข เขียนนิยายเรื่องไหนก็จบแบบแฮปปี้”
“คนอ่านชอบนี่..”
“ให้เขียนพวกรบราฆ่าฟัน บู๊ล้างผลาญ ก็ไม่เขียน”
“อาจจะเขียน กำลังรวบรวมข้อมูล”
“แกพูดอย่างนี้มาห้าปีแล้วนะ”
“ต้มยำป้านงนี่รสชาติไม่เคยเพี้ยน” แพรวพรรณหาเรื่องคุยใหม่ เพราะคุยกับพี่ชายที่มีอยู่เพียงคนเดียวนี้ คุยกันกันได้ ไม่เคยทะเลาะกัน แต่เหมือนว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง และมันก็เป็นแบบนี้มานานแสนนาน จนกระทั่งพี่พงศ์พันธุ์อยู่มาจนอายุ 20 เธอไม่เห็นวี่แววว่าพี่ชายจะมีแฟน และมั่นใจว่าด้วยลักษณะนิสัยแบบนี้คงจะหาแฟนไม่ได้ แต่ว่าพอเธอเรียนจบกลับมาอยู่บ้าน พี่ชายของเธอก็พาผู้หญิงที่เรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน มาแนะนำให้พ่อแม่ให้รู้จัก หน้าตาผิวพรรณของพี่นพวรรณบอกว่าไม่ใช่ลูกชาวไร่ชาวนาไร้ทรัพย์สิน แพรวพรรณก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พี่ชายของเธอมีอะไรดี พี่นพวรรณจึงได้เลือกมาเป็นคู่ชีวิต
จนวันหนึ่งเมื่ออยู่กันตามลำพัง เธอก็เลยถามไปตรง ๆ และก็ได้คำตอบมาว่า
‘พี่มั่นใจว่าพี่เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วเขาก็รักพี่จริง ๆ ไม่สนใจว่าพี่มีเงินเท่าไหร่ เขาเป็นคนตลก ๆ อบอุ่น ไม่เรื่องมาก อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด..’
ฟังคำตอบแล้วแพรวพรรณอยากขยับกราม อ้าปากบริหารผิวหน้าตามหลักการความสวยแก้อาการมึนงง แต่ว่าเธอก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มกระพริบตาถี่ๆ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ดีใจกับพี่ชายที่หาเมียหาแม่ให้หลานของป๊ากับแม่จนได้..
“ไม่รู้ว่า ไอ้กล้ามันไปกับเรือเมื่อกี้ด้วยหรือเปล่า” เคี้ยวข้าวหมดคำ พงศ์พันธุ์ก็เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีเกริ่น ไม่มีคำนำ และไร้อารัมภบท ถ้าคนที่ไม่รู้ใจ ก็จะว่าอีตานี่ น่าจะประสาท แต่ว่าแพรวพรรณชินกับวิธีคิดวิธีพูดของพี่ชายเสียแล้ว
“เรืออะไร”
“โจรสลัด ประเทศไหนไม่รู้ เลียเลีย โซมาเลีย ทหารเรือไทยของเราไปกับเขาด้วย”
“อืม..แล้วไงต่อ”
“ไอ้กล้ามันเป็นทหารเรือ..ไปกับเขาหรือเปล่าไม่รู้นะสิ..ถ้าไปคงเท่ห์น่าดู รบกับโจรสลัด..แจ๊คสแปโรว์ อึ๊ด ๆ”
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเขาไปหรือไม่ไป..”
“โทรถามแม่มันดีกว่า แม่มันคงรู้” แม้ว่าจะไม่สนิทสนมกับพ่อแม่ของพี่ต้นกล้ามากนัก แต่พี่ชายของเธอก็ไปที่บ้านนั้น ปีละหนสองหน เพราะหนึ่งต้องไปซื้อข้าวที่หมู่บ้านนั้น และสองพี่ชายของของเธอชอบขอเบอร์โทรศัพท์ของชาวบ้านชาวช่องในย่านนี้มาเก็บไว้ ถ้าว่าง ๆ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็โทรไปถามสารทุกข์ สุกดิบ ทำตัวเหมือนจะลงรับสมัครเลือกตั้ง ผู้ใหญบ้านหรือสมาชิก อบต. ในสมัยหน้า แต่พอมีคนรับสาย ก็จะคุยเดี๋ยวเดียว เธอเคยถามว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้..และพี่ชายก็ให้คำตอบว่า
‘เขาจะได้ไม่เอาข้าวไปขายคนอื่น..’
“ฮัลโหล น้าจุก ได้ดูข่าวหรือเปล่า ข่าวทหารเรือไทยไปปราบโจรสลัดน่ะ อ๋อดูเหรอ..แล้วมันไปกับเขาหรือเปล่า..ไม่ได้ไป..อ๋อ ๆ ครับ ๆ “
ระหว่างที่พี่ชายคุยโทรศัพท์ น้องสาวก็นั่งอมยิ้มและก็เริ่มขำจนกระทั่งกินข้าวไม่ได้..จนกระทั่งพี่ชายวางโทรศัพท์ลงแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวต่อ..และเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่สรุปเรื่องแน่ ๆ แพราวพรรณจึงต้องกระตุ้น “ได้เรื่องว่าไงบ้างพี่”
“มันไปฝึกอะไรก็ไม่รู้ ที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่เมืองไทย..ไม่ได้ไปกับเรือสองลำนี้หรอก..” เรือสองลำที่ออกไปปฏิบัติภารกิจปราบปรามโจรสลัดในอ่าวเอเดน ชายฝั่งประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2553 ได้แก่เรือรบหลวงปัตตานี กับเรือรบหลวงสิมิลัน
“น้ำพริกป้านงเผ็ดไปไหมเนี่ย ป๊ากินไม่ได้แน่ ๆ”
พอพี่ชายเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหันแบบนี้ แม้อยากจะเซ้าซี้ถามประสา ‘อดีตแฟนคลับ’ ของพี่ต้นกล้า แต่ว่าแพรวพรรณก็รู้สึกว่าไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างนี้ ชาตินี้คงไม่มีทางได้ ‘แอบปลื้ม’ ความสำเร็จของเขา ‘ต้นกล้า’ จิรวัติ สุกปลั่ง อีกแน่ ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างโน๊ตบุ๊คซึ่งกำลังนั่งพิมพ์ตัวอักษรให้มีข้อความปรากฏที่หน้าจอมอนิเตอร์ดังขึ้น แพรวพรรณหันไปมอง แต่ก็ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพิมพ์ข้อความจากสมองและอารมณ์ที่ลื่นไหลจนหมดสิ้น ซึ่งกินเวลาจากที่โทรศัพท์ดังจนเสร็จงาน ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง..
“มีอาลายยยย”
“ถ้ามีอาลาย ป่านี้อาลายก็ ก็อาลัย หรือ หรือละลายไปหมดแล้ว..ปั่นนิยายอยู่เหรอ..”
“อืม..คุยได้แล้ว..” เป็นอันรู้กันว่า ถ้าโทรแล้วไม่รับคือ แพราวพรรณอยู่กับครอบครัว ยุ่งกับงาน แต่ถ้าเป็นเวลาดึกดื่นแบบนี้ ก็กำลังพิมพ์งานนิยาย หรือไม่ก็เล่นโปรแกรมเฟสบุ๊คที่กำลังโด่งดังเพื่อคุยกับแฟนคลับและเพื่อน ๆ นักเขียนที่มีอยู่สามพันกว่าคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะงานเขียนของแพราวพรรณนั้นเบา ๆ สบาย ๆ หวาน ๆ จึงเป็นที่ถูกใจของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต
“เมื่อไหร่แกจะเขียนงานเกย์สักที”
“แพรวเป็นผู้หญิง แพรวจะไปรู้จักอารมณ์เกย์ได้อย่างไง”
“แกก็คบกับฉันมานานแล้วนี่” ‘ฉัน’ คนที่อยู่ปลายสายชื่อเล่นว่า ‘หนึ่ง’ ชื่อจริงว่า
“นาที” และด้วยทำอะไรรวดเร็วปานปรอท ชื่อเล่นกับชื่อจริง จึงถูกเรียกรวมกันว่า
“หนึ่งนาที” และ ‘เขา’ หรือ ‘เจ้าหล่อน’ ก็เป็นเพื่อนสนิทกับแพรวพรรณตั้งแต่สมัยเรียนบัญชีอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพฯ
หนึ่งนาทีมาจากนครศรีธรรมราช หน้าตานั้นคมเข้มตามแบบคนในถิ่นนั้น หน่วยก้านก็มาดแมน ไร้ไขมันส่วนเกิน แต่งตัวดีเยี่ยม ลำพังเดินอยู่คนเดียว สาวน้อยสาวใหญ่ถึงกับเหลียวหลังมามอง ถ้ากล้าหน่อยก็มีส่งสายตาเสนอตัว
แต่ใครเล่าจะรู้บ้างว่า หนึ่งนาทีนั้นไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา แม้เพื่อนหญิงก็น้อยรายนักที่จะรู้ว่า ‘ข้างใน’ ของหนึ่งนาทีเป็นอย่างไร และแพรวพรรณก็เป็นหนึ่งในเล็กน้อยที่หนึ่งนาทีเปิดอกยอมรับและพูดคุยด้วยอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ถึงกระนั้นกฎกติกาของทั้งสองคนก็คือ จะต้องไม่พูดต่อหน้าคนอื่นเพื่อนใหม่หรือคนที่เข้ามาในกลุ่ม ดังนั้นเมื่อเข้ากรุงเทพฯ ถ้าหนึ่งนาทีขับรถมารับไปทำธุระหรือแม้แต่ตอนที่มีกิจกรรมสำนักพิมพ์ หนึ่งนาทีติดสอยห้อยตามไปด้วย คนอื่น ๆ ก็เหมารวม ๆ ว่าหนึ่งนาทีนั้นเป็นแฟนของแพรวพรรณ และก็มีหนุ่มหลายๆ ราย ต้องถอยออกไปเพราะถ้าเทียบกับเพื่อนคนดีของแพรวพรรณคนนี้แล้ว หนึ่งนาทีถือว่าเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบคนหนึ่งซึ่งยากที่ผู้ชายด้วยกันจะมาเป็นคู่แข่งจีบแพรวพรรณ
“กี่ปีแล้ววะหนึ่ง”
“ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีนี้..สิบเจ็ด สิบแปด..ยี่สิบ ยี่สิบหก แปดปีพอดีเลย”
“นานเนอะ..แล้วนี่โทรมามีอะไร แฟนแกไปไหน”
“ลงนรกไปแล้ว” หนึ่งนาทีนั้นเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่จึงซื้อคอนโดซื้อรถไว้ให้ใช้ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ และคอนโดนั้นสมัยหนึ่งก็เป็นที่ซ่องสุมของเพื่อน ๆ จนกระทั่งจบกันไปทำงาน ความเหงาทำให้หนึ่งนาทีต้องหาใครสักคนมานอนเป็นเพื่อน
แต่ปัญหาที่หนึ่งนาทีคือ ได้เจอะเจอแต่คนเจ้าชู้ ชอบโกหก รักเงินมากกว่ารักตัว.. และทุกครั้งที่ความรักเป็นอันต้องล้มลง คนที่พร้อมรับฟังและไม่ซ้ำเติมก็มีแพรวพรรณคนเดียว ดังนั้น มีสุข หรือว่าได้ทุกข์จากความรัก หนึ่งนาทีจะต้องโทรบอกเล่าให้แพรวพรรณได้รับรู้
โดยที่แพรวพรรณก็ขอบอกขอบใจหนึ่งนาทีทุกครั้ง ๆ ที่ นำข้อมูลจริง ที่เล่นจริงเจ็บจริง มาให้เขียนนิยายรัก..ซึ่งตนเองมีประสบการณ์ตรงเล็กน้อยมาก และความที่ไม่เคยมีความรักอย่างจริง ๆ จัง ๆ งานนิยายรักของแพรวพรรณจึงเป็นรักในอุดมคติ รักแล้วสมหวัง รักแล้วได้อยู่ด้วยกัน แต่ในชีวิตจริงของหนึ่งนาทีนั้น รักของเขาเขายอกย้อนซับซ้อนซ่อนเงื่อนและซ่อนอะไรต่อมิอะไร ทำให้มโนคติของแพรวพรรณเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่น้อย และลึก ๆ แพรวพรรณก็กลัวกับผู้ชายที่เป็นผู้ชายไม่สมบูรณ์ในสังคมแห่งนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“คราวนี้ จะเจ็บสักกี่วันดีละ”
“ยังไม่รู้เลย..” ถ้าได้เจอคำถามมีน้ำเสียงเห็นใจแบบนี้ และถ้าเริ่มต้นแบบนี้ หนึ่งนาทีก็พร้อมจะเล่าแล้วว่า ไอ้คนที่จากไปนั้นทำให้เจ็บปวดประมาณไหน จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง..
“อุ้ย ๆ หนึ่ง ๆ แค่นี้ก่อนนะ บอกอ.โทรมา”
บก. ต่าย แห่ง สำนักพิมพ์ดวงใจ ที่ร่วมงานกับแพรวพรรณมาตั้งแต่แพรวพรรณโพสต์นิยายเล่น ๆในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง แล้วนิยายเรื่องนั้นก็มีนักอ่านจำนวนไม่น้อยชอบสำนวนและเนื้อเรื่อง บก.ต่ายเห็นว่างานของแพรวแพรวน่าจะทำเงินให้สำนึกพิมพ์ได้ จึงได้ชักชวนให้นำผลงานชิ้นนั้นไปพิมพ์รวมเล่ม และมันก็ขายดิบขายดีจนถึงกับเซ็นสัญญาเป็นนักเขียนประจำในสำนักพิมพ์ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้เป็นที่มาให้แพรวพรรณต้องพยายามวางระบบงานบัญชี และมอบหมายงานให้พี่สะใภ้ดูแลโดยด่วน เพราะตัวเองอยากทำงานอย่างที่ใจรัก และอยากพัฒนางานให้มีคุณภาพตามวัยของตัวเองไปด้วยนั่นเอง
“มีอะไรหรือคะพี่” ไล่หนึ่งนาทีไปแล้ว แพรวพรรณก็กดรับสายของบอกอ.คนเก่ง ซึ่งถ้าโทรมาดึก ๆ แบบนี้แสดงว่า มีไอเดียบรรเจิดจนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว หรือไม่ก็ มีเรื่องอะไรสักเรื่องที่จะทำให้ดีใจเป็นอย่างมาก อย่างเช่น ค่ายละครติดต่อนิยายไปเสนอสถานีโทรทัศน์ หรือนิยายที่พิมพ์ซ้ำครั้งที่สองขายหมด จนต้องสั่งพิมพ์ซ้ำอีกครั้งที่สาม..
“อยากทำงานกลุ่มไหม”
“กลุ่ม..กลุ่มอะไร เขียนกันหลาย ๆ คนเหรอค่ะพี่ เคยทำไปแล้วนี่” ตอนนั้นเป็นการรวมกลุ่มงานรักสั้น ๆ หวาน ๆ คนละเรื่อง เล่มละห้าคน ออกทั้งหมดสองเล่ม
“เป็นซีรีย์น่ะ ตัวละครเกี่ยวน้องกัน เป็นห้าพี่น้องนะ แต่ละคนก็มีอาชีพที่แตกต่างกันไป..”
“มีใครเขียนบ้างคะ”
บก.ต่าย เอ่ยถึงเพื่อนนักเขียนหญิงร่วมค่าย ซึ่งสองในสี่คนนั้น แต่งงานมีครอบครัวแล้ว อีกคนก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ มีอายุเกือบสี่สิบปี มีความสุขกับการกินและเขียนนิยายกับทำงานประจำเท่านั้น ส่วนคนสุดท้าย พี่หิรัญญา เธอสนิทสนมด้วยที่สุด รายนี้แม้ไม่แก่ ไม่อ้วน แต่ว่าก็หาได้มีตามองผู้ชาย พี่หิรัญญาบอกเสมอว่ารักแท้ ๆ มีแต่ในนิยายเท่านั้น ..
“ก็น่าสนนะพี่..ห้าพี่น้อง เป็นไงบ้าง”
“ก็พ่อแม่เดียวกันหมด แล้วแต่ละคนก็ไปมีวิถีของตนเองน่ะ แบ่งเป็นชายสามคนหญิงสองคน ผู้ชายคนโตเป็นทหารเรือ..”
พอจบคำว่า ‘ทหารเรือ’จากปากพี่ตาย ใบหน้าของพี่ต้นกล้า ก็ลอยเข้ามาหาแพรวพรรณทันที..และถ้าไม่ยั้งใจไว้ฟังบก.ต่าย อธิบายต่อ แพรวพรรณก็อยากจะถามว่าใครรับผิดชอบตัวละครตัวนี้..
“คนรองเป็นผู้ช่าย เป็นนักวาดรูป เรียนศิลปะ คนที่สามก็เป็นผู้ชาย เป็นหมอ คนที่สี่เป็นผู้หญิง เป็นตำรวจนายร้อยสามพรานด้วยนะ ทันสมัยหน่อย คนเล็กทำงานบริษัทเอกชนยัง ไม่ได้สรุป คนเล็กน่าจะเขียนง่ายสุด..”
“คนโตมีคนเลือกไปหรือยัง”
“ยัง..พี่เอาเรื่องนี้มาปรึกษาแพรวก่อนใครเลย ถ้าแพรวตกลง พี่ก็จะชวนคนอื่น ๆ ต่อเลย ตกลงแพรวเอาคนไหน พี่จะได้โยนข้อมูลกลางที่พี่คิดไว้ไปให้เลย แล้วช่วยกันพัฒนาต่อ” พัฒนาต่อแล้วก็โยนข้อมูลกลางกลับมาที่อีเมล์ที่ส่งแบบข้อความเดียวรับได้หลายคน..
“ทหารเรือค่ะ”
“อ้าว..ทำไมให้เลือกก่อน แต่เลือกทำงานยาก”
“ก็..เอ่อ..เอ่อ แพรวอยาก อยากพัฒนางานตัวเองน่ะพี่ ย่ำอยู่กับที่มาหลายเรื่องแล้ว เบื่อตัวเองเหมือนกัน อยากทำงานหนัก ๆ ยาก ๆ ขึ้นมาบ้าง..โตแล้วค่ะ อยากทำงานให้สมกับวัย”
“ทำได้แน่นะ” ที่ถามเพราะบก.ต่ายคิดว่าที่จะให้แพรวพรรณเลือกก่อนนั้น เพราะอยากให้แพรวพรรณได้เลือกน้องคนเล็ก เพราะงานเก่า ๆ ของแพรวพรรณนั้นก็จะเป็นรักใส ๆ ตั้งแต่รักในวัยเรียนจนกระทั่งจบออกมาทำงาน ซึ่งมิตินั้นไม่ล้ำลึกอะไรมากนัก และก็ไม่มีดราม่ากดดันอารมณ์ใด ๆ เลยสักนิด แต่ว่าเป็นที่นิยมของสาวน้อยสาวใหญ่เป็นอย่างมาก และพล็อตทหารเรือนี้ ถึงแม้เรื่องจะใส ๆ แต่ว่า ถ้าให้สมกับความที่ตัวละครเอกเป็นทหารเรือ มันก็น่าจะมีอะไรตื่นเต้นบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นงานยากของแพรวพรรณ
“อยากลองค่ะ”
“อืม..อยากลอง พี่ก็จะให้ลอง แต่ถ้าไม่ไหว อย่าทิ้งงานแล้วมาโทษว่าพี่ไม่มีเมตตาไม่ได้นะ”
“ค่ะ”
“เอ้อ ชื่อซีรีย์ชุดนี้ พี่เอานามสกุลของพ่อพระเอกมาเป็นชื่อชุดนะ ..ชุด รักกสิกร”
“รักกสิกร!! ทำไมชื่อชุดเชยจังเลยละพี่..” เสียงที่ถามออกไปนั้นบอกให้รู้ว่าตกใจกับชื่อชุดนิยายอยู่ไม่น้อย แม้จะเกิดในชนบท แม้จะใกล้ชิดกับชาวไร่ชาวบ้าน ต้นตระกูลทางแม่เป็นชาวนาชาวไร่ แต่เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง กสิกรรม กสิกร และไม่เคยคิดจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับชนชั้นเกษตรกรรมนี่ด้วย
“เอ่อ จริง ๆ พี่บอกในข้อมูลกลางไว้แล้ว แต่พี่บอกใหม่ก็ได้นะ เรื่องนี้ พี่อยากให้เป็นดราม่านิด ๆ นะ ให้เห็นว่า ลูกชาวนาก็สามารถโตมาโดยที่ไม่เป็นชาวนาก็ได้ โดยพ่อแม่นั้นส่งเสียให้ลูกทุกคนเรียนหนังสือ อดอยากปากแห้งบ้าง เน้นว่าบ้างนะ ไม่เอาจนมากรันทด เพื่อให้ลูก ๆ พ้นจากความเป็นชาวนาเหมือนตนนะ แล้วทุกคนก็ตั้งใจเรียนหนังสือในแบบที่ตนชอบ แล้วก็ไปเผชิญโลก จนกระทั่งได้เจอคู่รักของตน ก็อยากให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเราจะเติบโตไปเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่ารากเหง้าของเราก็คือ
ชาวนา หรืออีกที ชาวนาก็สามารถพัฒนาให้ตัวเอง หรือลูกหลานตัวเองไปเป็นอย่างอื่นได้..อ่านในข้อมูลกลางก่อนแล้วกัน
หลังจากนั้นก็พัฒนาพล็อตมาให้พี่ด้วย แล้วถ้าคิดอะไรได้ดีกว่าที่พี่คิดไว้ก็บอกด้วย พี่อยากให้งานนี้ได้รับคำชมด้วย ยากไปไหม”
หลังจากอ่านข้อมูลกลาง หลังจากปรึกษากับเพื่อนนักเขียนในกลุ่มแล้ว ขั้นตอนต่อมาของแพรวพรรณก็คือหาข้อมูลเกี่ยวกับทหารเรือไปพลางกับค่อย ๆ ขยายพล็อต แต่จนแล้วจนรอดเธอก็พัฒนาเรื่องต่อไปไม่ได้ และระหว่างนั้น ใบหน้าพี่ต้นกล้าก็ลอยเข้า ๆ เข้ามาจนทำให้เธอเสียสมาธิ แต่ปัญหาของเธอก็คือว่ามันเป็นใบหน้าตอนที่เขาอยู่ชั้น ป.6 ตอนนั้นเขาเป็นหนุ่มน้อยยิ้มหวาน ๆ แต่ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปี เขาจะเป็นอย่างไร เขาจะเป็นพระเอกให้กับนิยายของเธอได้ไหม..
“หมู่นี้เป็นอะไรหน้าตาเคร่งเครียด” ตานั้นอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ แต่พงศ์พันธุ์ดูออกว่า ใจของน้องสาวนั้นลอยไปไหนต่อไหน
“พี่ มีข่าวอะไรเกี่ยวกับทหารเรืออีกไหม” ใจจริงแพรวพรรณอยากจะถามว่า พี่ได้เจอพี่ต้นกล้าครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ พี่เจอครั้งล่าสุดเขาเป็นอย่างไรบ้าง หน้าตาเขาเปลี่ยนไปมากไหม เขาหล่อกว่าเดิมไหม เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานอยู่ที่ไหน แล้วก็มีแฟนหรือยัง แต่ด้วยความเป็นกุลสตรี แพรวพรรณไม่สามารถจะถามออกไปตรง ๆ แบบนั้น แต่ว่าคำตอบของพงศ์พันธุ์ก็ทำให้ดวงตาของแพรวพรรณต้องเบิกกว้าง
“เมื่อวานพี่โทรไปหาไอ้ต้นกล้ามันมา..”
แพรวพรรณเลิกคิ้ว..ทั้งที่ในใจนั้นลิงโลดเป็นอย่างมากแต่หญิงสาวก็ไม่เอ่ยปากถามว่าคุยกันเรื่องอะไรบ้าง และพอเธอเงียบ พี่ชายของเธอ ซึ่งตกภวังค์ไปพักใหญ่ก็พูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า
“มันว่าถ้าผ่านไปแถว ๆ สัตหีบ แวะหามันมั่งก็ได้”
“แล้วเขาไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่เขาเลยหรือคะ”
“มันมาแล้ว สี่ห้าวันก่อนนี้เอง มันมาเยี่ยมพ่อแม่ปู่ย่าตายายของมัน แต่พี่ไม่รู้ มารู้ตอนมันกลับไปแล้ว..มันว่ามันก็มาประจำ สามสี่เดือนครั้ง”
“โห ปีหนึ่งสามสี่ครั้ง”
“มันว่าภารกิจมันเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา แต่ปีสามสี่ครั้งพี่ว่ามากแล้วนะ ลูกบางบ้าน สามปีสี่ปีหนด้วยซ้ำ”
จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2554, 09:08:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ย. 2554, 09:32:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 5621
2.“ไอ้ต้นกล้า มันมาเกี่ยวอะไรด้วย” >> |
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 ก.ย. 2554, 09:12:24 น.
หายหน้าหายตาไปนาน..แบบว่าทำโปรเจคใหญ่อยู่ครับ นั่นก็คือ สนพ. jfc-books ซึ่งตอนนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว มีหนังสือนิยาย 4 เรื่อง ที่พิมพ์ แบบปริ้น ออน ดีมานด์ ได้แก่ อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง อรุณสวัสดิ์หััวใจ อลวน ถนน หัวใจ และเรื่องเก่าเล่าใหม่ อย่าง องค์การบริหารส่วนหัวใจ..ทั้งสี่เล่มตอนนี้มีวางจำหน่ายที่แผง 14 สวนจตุจักร แล้วในงานหนังสือก็น่าจะมีสักสองสามร้าน จะแจ้งให้ทราบกันอีกที..
หายหน้าหายตาไปนาน..แบบว่าทำโปรเจคใหญ่อยู่ครับ นั่นก็คือ สนพ. jfc-books ซึ่งตอนนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว มีหนังสือนิยาย 4 เรื่อง ที่พิมพ์ แบบปริ้น ออน ดีมานด์ ได้แก่ อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง อรุณสวัสดิ์หััวใจ อลวน ถนน หัวใจ และเรื่องเก่าเล่าใหม่ อย่าง องค์การบริหารส่วนหัวใจ..ทั้งสี่เล่มตอนนี้มีวางจำหน่ายที่แผง 14 สวนจตุจักร แล้วในงานหนังสือก็น่าจะมีสักสองสามร้าน จะแจ้งให้ทราบกันอีกที..
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 ก.ย. 2554, 09:14:09 น.
สำหรับ ราชนาวีที่รัก ที่เพิ่งประเดิมตอนที่ 1 ในนี้..ที่แรก..จะมาให้สัปดาห์ละตอนแล้วกันครับ งานนี้เป็นโปรเจคกลุ่ม ชื่อชุด ภารกิจรัก ของสนพ.ดอกหญ้า2000 มีนักเขียนรับผิดชอบทั้งหมด 4 ท่าน ได้แก่ ทองหลาง อักษรา อัคนี และเฟื่องนคร ตอนนี้กำลังมุ่งมั่นทำงานกันอย่างเต็มที่ครับ หวังว่าจะถูกใจเพื่อนนักอ่านทุกเพศทุกวัย
สำหรับ ราชนาวีที่รัก ที่เพิ่งประเดิมตอนที่ 1 ในนี้..ที่แรก..จะมาให้สัปดาห์ละตอนแล้วกันครับ งานนี้เป็นโปรเจคกลุ่ม ชื่อชุด ภารกิจรัก ของสนพ.ดอกหญ้า2000 มีนักเขียนรับผิดชอบทั้งหมด 4 ท่าน ได้แก่ ทองหลาง อักษรา อัคนี และเฟื่องนคร ตอนนี้กำลังมุ่งมั่นทำงานกันอย่างเต็มที่ครับ หวังว่าจะถูกใจเพื่อนนักอ่านทุกเพศทุกวัย
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 ก.ย. 2554, 09:14:38 น.
และงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้ น่าจะได้พบกับไอ้ม่าและคุณสูรย์ได้แล้วนะครับ หวังว่าจะไม่ลืมกัน..
และงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้ น่าจะได้พบกับไอ้ม่าและคุณสูรย์ได้แล้วนะครับ หวังว่าจะไม่ลืมกัน..
panon 11 ก.ย. 2554, 10:35:55 น.
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆได้อ่านแย้ววววววววววววว
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆได้อ่านแย้ววววววววววววว
เพชรทรียา 11 ก.ย. 2554, 11:30:59 น.
มาแล้วน่ะค่ะ
มาแล้วน่ะค่ะ
คิมหันตุ์ 11 ก.ย. 2554, 12:55:38 น.
โอ๊ะอ่านของคุณทองหลางอยุ่ค่ะ. จะตามไปอ่านที่เหลือ. แล้วที่ออนดีมานนี่สั่งได้เมื่อไรคะ?
โอ๊ะอ่านของคุณทองหลางอยุ่ค่ะ. จะตามไปอ่านที่เหลือ. แล้วที่ออนดีมานนี่สั่งได้เมื่อไรคะ?
จุฬามณีเฟื่องนคร 11 ก.ย. 2554, 13:01:32 น.
ปริ้น ออนดีมาน สั่งได้ทุกเล่มแล้วครับ มีหนังสือพร้อมส่งครับ
องค์การฯ อลวนฯ อรุณสวัสดิ์ เล่มละ 200 บาท พร้อมค่าจัดส่ง
พระอาทิตย์ตกดินฯ 275 บาท ครับ.. พร้อมค่าจัดส่งครับ..
สนใจก็ โอนเงิน เข้า ธ. ไทยพาณิชย์ 506 2590287 ครับ โอนแล้วแจ้ง ชื่อที่อยู่ วันเวลาโอน ทางนี้ หรือทาง f_nakhon@hotmail.com ครับ
ปริ้น ออนดีมาน สั่งได้ทุกเล่มแล้วครับ มีหนังสือพร้อมส่งครับ
องค์การฯ อลวนฯ อรุณสวัสดิ์ เล่มละ 200 บาท พร้อมค่าจัดส่ง
พระอาทิตย์ตกดินฯ 275 บาท ครับ.. พร้อมค่าจัดส่งครับ..
สนใจก็ โอนเงิน เข้า ธ. ไทยพาณิชย์ 506 2590287 ครับ โอนแล้วแจ้ง ชื่อที่อยู่ วันเวลาโอน ทางนี้ หรือทาง f_nakhon@hotmail.com ครับ
Zephyr 11 ก.ย. 2554, 23:13:46 น.
นางเอกเลือกพล็อตนี้นี่ได้เอาเรื่องตัวเองมาเขียนแน่เลย หุหุ
นางเอกเลือกพล็อตนี้นี่ได้เอาเรื่องตัวเองมาเขียนแน่เลย หุหุ
join 12 ก.ย. 2554, 00:34:07 น.
รอติดตามค่าาาา
รอติดตามค่าาาา
innam 14 ก.ย. 2554, 14:50:26 น.
ตามเป็นกำลังใจ
ตามเป็นกำลังใจ
XaWarZd 12 ต.ค. 2554, 01:41:23 น.
กรีีดดดดด ชอบอ่ะ
กรีีดดดดด ชอบอ่ะ