เสียงปริศนา
Tags: ลึกลับ,ฆาตกรรม,
ตอน: ตอนที่ 4
หลังอาหารมื้อเที่ยงผ่านไป นลินชวนหญิงกับส้มไปเดินเล่นในร้านหนังสือ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอพัก ซึ่งส้มกับหญิงก็ตอบรับคำชวนด้วยความเต็มใจ
ทั้งสามคนใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือนานเกือบสามชั่วโมง จึงพากันเดินกลับหอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็น พระอาทิตย์เคลื่อนตัวลงต่ำเล็กน้อย อากาศยามเย็นอบอุ่นสบาย ไม่ร้อนจัดเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
ขณะที่เดินคุยกันมา ส้มกับหญิงชวนนลินให้มานอนกับพวกตนเป็นการชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากผนังห้องน้ำในห้องของนลินพังจนกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากมีคนคิดไม่ดี อาศัยจังหวะนี้ ปีนระเบียงเข้ามาแอบอยู่ในห้อง (ระเบียงไม่ได้ติดเหล็กดัด) นลินซึ่งอยู่ตามลำพังอาจไม่ปลอดภัย
ตอนแรกนลินปฏิเสธเพราะรู้สึกเกรงใจ แต่ส้มกับหญิงไม่ยอม พยายามโน้มน้าวจิตใจให้นลินเห็นด้วย โดยยกเรื่องสุขภาพของนลินมาเป็นข้ออ้างว่า พักนี้นลินสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เผื่อเป็นอะไรขึ้นมา พวกตนจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที
“พี่ลินย้ายไปนอนกับพวกเราเถอะค่ะ ไว้ให้พี่สมภพซ่อมห้องน้ำเสร็จแล้ว พี่ลินค่อยย้ายกลับมา พวกเราเป็นห่วงพี่ลินจริงๆ นะคะ” ส้มบอกน้ำเสียงจริงจัง
“ตะ..แต่”
“พี่ลินอย่าปฏิเสธเลยนะคะ ไปค่ะ ไปเก็บของที่ห้องกันดีกว่า เดี๋ยวพวกเราไปช่วยพี่ลินเอง” หญิงตัดบท
ด้วยเหตุนี้ นลินจึงต้องย้ายห้องนอนชั่วคราว โดยส้มกับหญิงไปช่วยนลินขนเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นมาเก็บไว้ในห้องของพวกตน ขณะที่นลินกำลังหยิบเสื้อผ้ากับกระเป๋าสะพายจากตู้เสื้อผ้าออกมาวางไว้บนเตียง ส้มกับหญิงที่ยืนใกล้กันก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมากระทบจมูก แม้จะบางเบา แต่ก็ทำเอาทั้งคู่ถึงกับผงะ
“มีอะไรหรือจ๊ะ” นลินหันมาถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าของส้มกับหญิง
“ปละ..เปล่าค่ะ พี่ลินเข้าไปเก็บของในห้องน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวตรงนี้พวกเราจัดการเอง” หญิงบอก
“ขอบใจจ้ะ”
เมื่อนลินเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ส้มก็หันมามองหญิงพร้อมกับอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หญิงถลึงตาใส่เป็นทำนองไม่ให้พูด ส้มจึงหุบปากแล้วหยิบผ้าห่มกับเสื้อผ้าของนลินขึ้นมา ส่วนหญิงเดินไปหยิบหมอนกับกระเป๋าสะพายของนลิน พลันได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นใกล้ตัว หญิงจึงหันไปเอ็ดใส่ส้มเสียงดุ
“แกถอนหายใจทำไมฮะ”
“กะ แกได้ยินด้วยเหรอ” ส้มย้อนถามหน้าตาตื่น เพราะได้ยินเหมือนกันแต่เข้าใจว่าหูแว่วไปเอง
“ก็ได้ยินน่ะสิ ไม่งั้นฉันจะถามขึ้นมาทำไม” หญิงต่อว่า แต่เมื่อเห็นใบหน้าของส้มซีดลงเรื่อยๆ หญิงก็เอะใจ จึงจ้องหน้าส้มเขม็งแล้วเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมาเบาๆ
“อย่าบอกนะว่า คนที่ถอนหายใจเมื่อกี้ ไม่ใช่แก”
หากเป็นในยามปกติ คนขี้เล่นอย่างส้มคงจะตอบว่า ถูกต้องนะคร้าบ แต่..ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ตั้งแต่ได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ส้มแสดงออกให้หญิงเห็นก็คือ กลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับพยักหน้าให้
คำตอบของส้มช่างเรียบง่ายแต่ชัดเจนเหลือเกิน ทำเอาสาวห้าวอย่างหญิงหน้าเหวอ ก็ในเมื่อที่ยืนอยู่ตรงนี้มีกันแค่สองคน ถ้าส้มไม่ได้เป็นคนถอนหายใจ แล้ว...คิดมาถึงตรงนี้ หน้าของหญิงก็ค่อยๆ ซีดลงจนแทบไม่มีสีเลือด ไม่ต่างอะไรกับส้มที่หน้าซีดแล้วซีดอีกเหมือนคนจะเป็นลม
“พี่เก็บของเสร็จแล้วจ้ะ”
ส้มกับหญิงใจหายวาบ หันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน นลินยิ้มกว้าง ในมือถือตะกร้าใส่ของใช้ส่วนตัว จำพวก สบู่ แชมพู ยาสีฟันเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“พะ พี่ลิน”
“เอ๊ะ ทำไมหน้าของเราสองคนถึงได้ซีดแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่า”
“มะ ไม่มีค่ะ เอ่อ..ของของพี่ลินมีแค่นี้ใช่ไหมคะ” ส้มปฏิเสธก่อนถามรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน เมื่อเห็นนลินพยักหน้าให้ ส้มซึ่งถือเสื้อผ้ากับผ้าห่มของนลินเต็มสองมือก็จ้ำอ้าวไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวมืดซะก่อน” หญิงซึ่งถือของน้อยกว่า ใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่ฉุดมือนลินให้ตามมา ส้มเปิดประตูห้องได้ก็วิ่งออกไปทันที โดยมีหญิงจูงมือนลินวิ่งตามหลังไปติดๆ
ส้มกับหญิงพานลินวิ่งลงบันไดมาที่ห้องพักของตนซึ่งอยู่ชั้นสาม โดยไม่พูดอะไรสักคำ ในใจภาวนาอย่าให้เจ้าของเสียงถอนหายใจที่ได้ยินเมื่อกี้ไล่ตามมา ไม่อย่างนั้น มีหวังคงได้วิ่งตกบันไดคอหักตายกันบ้าง
เมื่อเข้ามาในห้องของตนได้แล้ว ส้มกับหญิงก็วางของทั้งหมดลงบนเตียง พลางทรุดตัวนั่งบนพื้นห้องเอาหลังพิงขอบเตียง แล้วหายใจหอบฮั่กๆ โอ๊ย..นึกว่าหัวใจจะวายตายซะแล้ว
นลินมองอาการของทั้งคู่อย่างสงสัย ไม่ทันจะเอ่ยปากถาม หญิงก็หันมายิ้มให้แล้วชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“พอดีพวกเราร้อนและก็หิวข้าวน่ะค่ะ ก็เลยรีบเก็บของแล้ววิ่งออกมา ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ลินตกใจ”
“เหรอจ๊ะ แต่ท่าทางของเราสองคนไม่เหมือนกับคนหิวข้าวเลยนะ พี่ว่าเหมือนกับกำลังวิ่งหนีอะไรมาสักอย่าง” นลินตั้งข้อสังเกต ส้มกับหญิงสะดุ้ง รีบหัวเราะกลบเกลื่อนเสียงดัง แต่ฟังยังไงก็ดูแห้งแล้งชอบกล
“ฮ่ะๆๆ ก็อากาศในห้องพี่ลินร้อนอบอ้าวจะตาย ขืนนั่งอยู่นานๆ หญิงกลัวว่า พวกเราอาจจะเป็นลมตายไปซะก่อน ก็เลยต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่ห้องของพวกเราค่ะ”
ขณะที่หญิงบอกนลินไปอย่างนั้น ส้มก็ลุกขึ้นไปเปิดพัดลมตั้งโต๊ะขนาดกลางที่อยู่ตรงมุมห้อง กดล็อคให้มันส่ายไปมาเพื่อระบายอากาศ แล้วเดินมานั่งข้างนลิน
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะร้อนตายอยู่ในห้องพี่ลินซะแล้ว” ส้มยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามลำคออย่างลวกๆ นลินหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อถือ คิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่ยังไม่อยากซักถามในตอนนี้ จึงหันไปสำรวจห้องพักของสองสาวแทน
ห้องพักของส้มกับหญิงมีขนาดใหญ่กว่าห้องของนลินเล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย พื้นห้องที่เป็นกระเบื้องก็สะอาดสะอ้าน แสดงว่าเจ้าของห้องคงทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูอยู่เป็นประจำ ไม่อย่างนั้นพื้นกระเบื้องคงไม่ลื่นเป็นมันอย่างนี้หรอก
“ห้องสะอาดดีจัง แสดงว่าทำความสะอาดห้องทุกวันล่ะสิ” นลินถาม หลังจากกวาดตามองจนทั่วห้อง
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่กวาดเช็ดถูทุกวัน ฝุ่นในห้องมันจะเยอะ เวลานอนแล้วไม่สบายตัว” ส้มซึ่งหายตกใจแล้วบอกน้ำเสียงร่าเริง ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าของนลินที่วางกองอยู่บนเตียง นำไปแขวนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
“มิน่าล่ะ พื้นห้องลื่นเป็นมันเชียว แล้วแบ่งเวรทำความสะอาดกันยังไงจ๊ะ” นลินถาม พลางเดินเข้าไปช่วยส้มจัดเก็บเสื้อผ้า หญิงหยิบผ้าห่มกับหมอนของนลิน นำไปจัดวางบนเตียงให้เรียบร้อย แล้วหันมาตอบ
“อ๋อ เรื่องนั้นเราตกลงกันไว้ว่า ให้หญิงทำความสะอาดห้อง ส้มเก็บที่นอนและล้างจาน ผ้าก็ซักของใครของมัน ส่วนกระจกก็เช็ดอาทิตย์ละครั้ง ช่วยๆ กันทำ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จค่ะ”
“เหรอจ๊ะ แล้วถ้าวันไหนกินข้าวข้างนอก ส้มก็ไม่ต้องล้างจานน่ะสิ”
“ใช่ค่ะ แต่จะช่วยรีดเสื้อให้หญิงแทนค่ะ”
“เรียกว่า อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช่ไหม น่ารักจริงๆ” นลินชมอย่างจริงใจ
“ค่ะ พี่ลิน พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้นและบังเอิญสอบได้ที่เดียวกัน ก็เลยชวนมาเช่าหออยู่ด้วยกัน แต่ตกลงไว้ว่า ถ้าจะอยู่ร่วมกันก็ต้องแบ่งหน้าที่ทำงานให้ชัดเจน เพราะหญิงเคยเห็นคนที่เป็นเพื่อนกันมานานและรักใคร่กันดี แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับทะเลาะกันซะงั้น บางคนทะเลาะกันจนไม่มองหน้ากันก็มี หญิงเห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ไม่อยากให้พวกเราเป็นแบบนั้น”
“ใช่ค่ะ ส้มก็คิดเหมือนกัน เลยคุยกับหญิงว่า ฉันเป็นคนเจ้าระเบียบนะ หญิงบอกว่าฉันก็เหมือนกัน พอคุยกันไปเรื่อยๆ เราจึงได้รู้นิสัยที่ไม่ดีของอีกฝ่ายว่ามีอะไรบ้าง จะได้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่ารับได้ไหม ถ้ารับได้ก็อยู่ร่วมกันได้ ถ้ารับไม่ได้ก็อย่าอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันภายหลัง แล้วเอาไปพูดนินทาให้เสียหาย เพราะมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น” ส้มบอกน้ำเสียงจริงจัง นลินอมยิ้มมองส้มกับหญิงอย่างชื่นชม เด็กสองคนนี้เพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น แต่ความคิดความอ่านดีกว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก
“แล้วนี่พี่สมภพจะเข้ามาซ่อมห้องน้ำให้พี่ลินกี่โมงคะ” หญิงถาม
“เห็นบอกว่าจะมาหกโมง แต่ถ้าเสร็จงานทางโน้นเร็ว ก็อาจจะเข้ามาก่อนจ้ะ”
“พี่สมภพต้องเข้ามาก่อนเวลาอยู่แล้ว รายนี้ไม่เคยมาช้ากับเขาสักครั้ง” ส้มบอกให้รู้
“ท่าทางหญิงกับส้มจะคุ้นเคยกับคุณสมภพดีจังเลยนะจ๊ะ”
“โอ๊ย สาวๆ ในหอนี้คุ้นเคยกับพี่สมภพทั้งนั้นล่ะค่ะ เพราะแกเข้ามาซ่อมโน่นซ่อมนี่ให้บ่อย พี่สมภพนิสัยดีค่ะ มีน้ำใจ และชอบช่วยเหลือคนอื่น ที่สำคัญก็คือโสดสนิท ไม่ใช่โสดชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนหนุ่มๆ สมัยนี้”
“รู้ได้ไงจ๊ะว่าคุณสมภพยังเป็นโสด”
“ป้าสมรบอกค่ะ หลานชายแกเป็นเพื่อนกับพี่สมภพ ป้าสมรจึงรู้เรื่องพี่สมภพดี แกบอกว่าผู้ชายเอาการเอางานแบบพี่สมภพหายาก เสียดายที่แกไม่มีหลานสาว ไม่อย่างนั้นจะยุให้จีบพี่สมภพ พวกเราเลยบอกไปว่า ป้าไม่ต้องห่วงไปหรอก พี่สมภพไม่ขึ้นคานแน่ เพราะสาวๆ ในหอนี้มองพี่สมภพตาเป็นมันกันทั้งนั้น พอพูดไปแบบนั้น ป้าสมรค้อนใส่ให้วงเบ้อเริ่มเลยค่ะ แกว่านิสัยแก่นกะโหลกอย่างพวกเธอน่ะ ไม่เหมาะกับคนดีๆ อย่างสมภพหรอก อย่าหวังซะให้ยาก แหม เพิ่งรู้นะนี่ว่าป้าสมรมองพวกเราเป็นม้าดีดกะโหลก” หญิงหัวเราะชอบใจเสียงดัง
“ฟังจากที่หญิงเล่ามา แสดงว่าคุณสมภพคงเนื้อหอมน่าดูสำหรับสาวๆ ในหอนี้”
“ใช่ค่ะ แต่พี่สมภพไม่เคยพูดจาแทะโลมหรือทำชีกอใส่ผู้หญิงที่อยู่ในหอเลยนะคะ มีแต่สาวๆ นี่แหละค่ะ ชอบพูดจาแทะโลมและลวนลามพี่สมภพด้วยสายตาอยู่บ่อยๆ จนพี่สมภพอายหน้าแดงมาแล้ว เวลามาซ่อมของที่นี่ทีไร พี่สมภพก็ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน พอซ่อมของเสร็จ ก็รีบเก็บของลงกล่องเครื่องมือ แล้วขึ้นรถกลับไปทันที สงสัยคงกลัวสาวๆ ในหอเรา จะดักฉุดพาแกไปทำมิดีมิร้ายแหงๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้ขี้อายชะมัด”
นลินอมยิ้ม สงสัยจริงๆ ว่า การ “ลวนลามด้วยสายตา” ที่หญิงพูดถึงนี่ มันเป็นยังไง
“พี่ลินมีแฟนหรือยังคะ”
คำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของส้ม ทำเอานลินอึ้งไปชั่วขณะ เพราะคุยเรื่องสมภพกันอยู่เมื่อกี้แท้ๆ แต่ไหงเผลออีกที กลับวกมาเข้าเรื่องของตนได้ก็ไม่รู้
เมื่อเห็นนลินไม่ตอบ ส้มก็ถามซ้ำอีกครั้ง นลินจึงส่ายหัวพร้อมกับบอกให้รู้ว่าตนยังเป็นโสด หญิงจึงยิงคำถามที่สองตามมาทันที
“แล้วพี่ลินชอบผู้ชายแบบไหนคะ”
“ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมถึงมาถามพี่แบบนี้ล่ะ”
“พวกเราก็แค่อยากรู้ สเปกผู้ชายในฝันของพี่ลินก็เท่านั้นเองค่ะ”
“อืมม” นลินใช้นิ้วชี้คลึงขมับเบาๆ ที่จริงคำถามก็ใช่ว่าจะยากซะจนตอบไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือ นลินไม่เคยตั้งสเปกผู้ชายในฝันมาก่อน จึงไม่รู้จะตอบอย่างไร หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ นลินก็ยอมตอบ
“พี่ไม่มีสเปกผู้ชายในฝันหรอกจ้ะ เพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”
“เหรอคะ แล้วพี่ลินไม่เคยรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายคนไหนบ้างเหรอคะ อย่างเช่น รู้สึกเขินเวลาอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็รู้สึกใจสั่นเวลาเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะ อะไรทำนองนี้ล่ะค่ะ”
หากเปรียบคำถามก่อนหน้านี้ เป็นหมัดแย็บที่ปล่อยออกมาเพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้ให้มึนงงแล้วล่ะก็ คำถามเมื่อกี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับหมัดฮุคตัดกลางลำตัว ที่ชกกระแทกใส่เป้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ผู้ถูกชกอย่างนลินออกอาการสะดุ้ง ดวงตาคู่งามไหววูบเล็กน้อยก่อนจางหายไป หลังตั้งสติได้ นลินก็ตอบน้ำเสียงราบเรียบ
“อืม..ไม่รู้สิ พี่จำไม่ได้เหมือนกัน”
“จำไม่ได้หรือคะ ว๊า น่าเสียดายจัง” ส้มทำหน้าเสียดาย หญิงอ้าปากจะถามต่อ แต่นลินรีบลุกขึ้นยืน
”เอ่อ..พี่จะลงไปข้างล่าง ป่านนี้คุณสมภพน่าจะมาถึงแล้ว ส่วนเราสองคนน่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่ตามไปทีหลัง” พูดจบ นลินก็เปิดประตูเดินออกไปทันที
หญิงกับส้มทำหน้าผิดหวัง เพราะมีคำถามที่จะถามนลินอีกหนึ่งข้อ แต่เจ้าตัวกลับเดินหนีออกไปซะแล้ว อย่างกับรู้แน่ะว่า พวกตนจะถามอะไรต่อ แต่ไม่เป็นไร เก็บไว้ถามคืนนี้ก็ยังไม่สาย สองสาวคิดอย่างหมายมาด
หลังออกมาจากห้องของส้มกับหญิงได้ นลินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจู่ๆ ส้มกับหญิงถึงได้อยากรู้เรื่องชายในฝันของนลินขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ไม่เคยสนใจจะถามเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ที่จริงนลินไม่ได้รำคาญหรือไม่พอใจกับคำถามที่สองสาวถามหรอก แต่นลินเกรงว่า หากปล่อยให้ถูกซักถามต่อไปเรื่อยๆ ตนเองอาจจะถูกคำถามเด็ด ซึ่งเปรียบเสมือนหมัดน็อก อัดเข้าปลายคางจนสลบเหมือดกลางอากาศได้ ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย นลินจึงต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากถูกน็อก
นลินเดินลงบันไดมาอย่างไม่เร่งรีบ ในหัวก็คิดถึงเรื่องต่างๆ นานาไปเรื่อยเปื่อย หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องตัวอักษรเลือดที่อยู่บนโต๊ะหนังสือในห้องพักของตน คำว่า “ปลดปล่อย” ที่เห็นนั้น หมายความว่าอย่างไร เกี่ยวข้องกับศพที่พบด้วยหรือเปล่า ถ้าเกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วมันเกี่ยวในด้านไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
นลินเดินใจลอยคิดถึงเรื่องตัวหนังสือเลือด จึงไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองไม่ได้เดินลงมาข้างล่าง แต่กลับเดินขึ้นบันไดมาชั้นสี่ เดินผ่านห้อง 401, 402 และ 403 จนมาหยุดหน้าห้อง 404 ซึ่งเป็นห้องพักของตน
“กริ๊ก” ประตูลูกบิดหมุนเองอย่างช้าๆ ก่อนแง้มออกเล็กน้อย เสียงแอ๊ดดังแผ่วเบา ปลุกนลินให้รู้สึกตัว
“เอ๊ะ” นลินมองประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่อย่างงุนงง จึงเงยหน้าขึ้นมองข้างบน เมื่อเห็นหมายเลข 404 ที่อยู่เหนือบานประตู นลินก็หน้าถอดสี เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเดินมาที่นี่ได้ยังไง
ประตูห้องที่แง้มออกค่อยๆ เปิดออกกว้าง คล้ายจะเชื้อเชิญคนที่ยืนอยู่ด้านนอกให้เข้ามา นลินกัดปากแน่นจนห้อเลือด ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในจิตใจ ราวกับมีใครเอาเข็มเล่มเล็กๆ นับพันเล่มมาทิ่มแทงไปทั่วร่างจนรู้สึกชาไปทั้งแถบ นลินพยายามข่มใจสะกดความกลัวที่ถาโถมเข้าใส่ ก่อนมองเข้าไปในห้อง
ภายในห้องว่างเปล่าไร้ผู้คน ผ้าม่านผืนบางโบกสะบัดไปมาเบาๆ แสงแดดยามสนธยาส่องลอดหน้าต่างเข้ามา กระทบกับพื้นห้องตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จนกลายเป็นสีส้มจัดดูน่าพิศวง ถึงจะมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ แต่นลินก็รู้สึกเหมือนกับมีสายตาของ “ใคร” บางคนกำลังจ้องมองตนเองอยู่
ท่ามกลางความเงียบเชียบ ฝ้าเพดานตำแหน่งเดียวกันกับโต๊ะมีน้ำซึมออกมา มันค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นหยด นลินมองอย่างตกใจ เมื่อสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นหยดน้ำ กลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ โดยมีเส้นผมสีดำยึดติดฝ้าเพดานเอาไว้ เปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิท
“สะ ส้มโอ” นลินครางเสียงแห้ง หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ใบหน้าของส้มโอซีดคล้ำบวมเป่งจนกลัวว่ามันจะปริออกมา ทันใดนั้น ใบหน้าของส้มโอก็เริ่มขยับ โดยแกว่งไปทางซ้ายแล้วโยกมาทางขวา ด้วยระดับความเร็วที่เท่ากัน ทุกๆ จังหวะของการเคลื่อนไหว จะมีเลือดซึมขึ้นมาจากขมับทั้งสองข้าง ไหลย้อยลงมาตามคางก่อนหยดร่วงลงบนโต๊ะดังเปาะ..เปาะ..เปาะ..จนพื้นโต๊ะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ
นลินยืนตัวแข็งทื่อ ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ จู่ๆ ใบหน้าของส้มโอก็หยุดแกว่ง ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เมื่อครู่ค่อยๆ ลืมขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองนลินเขม็ง ส้มโอเผยอปากเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนขยับจากจุดที่ยึดเกาะอยู่ พุ่งเข้ามาหานลินที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“ฮึก!” นลินผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัวสุดขีด จิตใจที่เคยเข้มแข็งมาตลอด ถูกทำลายจนพังทลายไม่มีชิ้นดี สติแตกกระเจิงจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตนเองวิ่งออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร
นลินวิ่งสุดฝีเท้า เพื่อหนีไปให้ไกลจากภาพที่เห็น หูแว่วเสียงสะอื้นไล่ตามหลังมา ทำเอาหัวใจแทบเด้งกระดอนออกมาข้างนอก นลินวิ่ง..วิ่ง..และก็วิ่งจนเข่าแทบทรุด แต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไป ระเบียงทางเดินที่เคยผ่านอยู่เป็นประจำกลับทอดยาวกว่าทุกวันเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ไฟสีเหลืองอ่อนจากหลอดไฟนีออนที่ติดไว้บนฝ้าเพดาน เพื่อให้แสงสว่างแก่ระเบียงทางเดินในยามค่ำคืน ดูขมุกขมัวคล้ายม่านหมอกขนาดใหญ่
เสียงสะอื้นยังคงไล่หลังมา แทรกด้วยคำพูดบางอย่างที่นลินฟังไม่ถนัด เพราะวิ่งจนหูอื้อ ตาพร่าพรายจนมองไม่เห็นทิศทาง ลมหายใจหอบกระชั้นจนจุกเสียดไปทั้งชายโครง แต่นลินก็ยังไม่หยุดวิ่ง
เสียงฝีเท้าที่วิ่งตึงๆ มาทางนี้ ทำให้สมภพที่กำลังเดินมาตามระเบียงทางเดินชะงักเท้าอยู่กับที่ ใครกันนะมาวิ่งเล่นแถวนี้ สมภพคิดอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นนลินวิ่งมาทางนี้ สมภพก็ทักเสียงดัง
“คุณลินครับ”
“คุณสมภพ!” นลินเรียกเสียงสั่น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างดีใจ นลินไม่รู้ว่า ขาทั้งคู่ขยับเข้าไปหาสมภพตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่เพียงว่าเวลานี้ ต้องการใครสักคนที่สามารถเป็นหลักให้ตนพึ่งพาได้
สมภพเกือบร้องเฮ้ยออกมา เมื่อจู่ๆ นลินก็โผเข้ามากอดซะแน่น แต่เขาก็คุมสติได้ดี ไม่อย่างนั้นกล่องเครื่องมือที่ถืออยู่คงเหวี่ยงใส่นลินไปแล้ว เมื่อตั้งสติได้ สมภพก็มองนลินที่ซุกหน้ากับอกของเขาอย่างแปลกใจ
ตอนแรกสมภพตั้งใจจะแกะมือของนลินที่รวบเอวเขาออก เพราะเกรงว่าหากมีคนมาเห็นภาพนี้เข้า นลินอาจจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดี แต่ร่างสั่นเทาเหมือนเด็กเสียขวัญอย่างหนักของนลิน ทำให้เขาเปลี่ยนใจ
สมภพวางกล่องเครื่องมือลงบนพื้น แล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวนลินไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบหัวนลินเบาๆ
“คุณลินวิ่งหนีอะไรมาหรือครับ พอจะบอกผมได้ไหม” สมภพมองร่างบางที่ยังคงซุกหน้ากับอกของเขาแน่นอย่างเป็นห่วง
ไม่รู้เป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนของคนตรงหน้า หรือเป็นเพราะมือหนาที่ลูบหัวปลอบโยนกันแน่ ที่ทำให้นลินน้ำตารื้นขึ้นมา ไหล่บางลู่ตกลงก่อนสะอื้นออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้น
“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ผมไม่ให้ใครทำร้ายคุณลินได้หรอกครับ” สมภพใช้คำพูดปลอบเหมือนกับกำลังปลอบเด็กตัวน้อย นลินพยายามกลั้นสะอื้น แต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลไม่ยอมหยุด จนเสื้อของสมภพเปียกชุ่ม
“ถ้าหยุดร้องไม่ได้ ก็ร้องออกมาให้พอนะครับ เผื่อจะทำให้คุณลินรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
นลินซุกหน้าร้องไห้กับอกของสมภพอยู่พักใหญ่ ก่อนผละออกมายืนหันหลังให้สมภพ พร้อมกับยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ความรู้สึกบางอย่างกำลังเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวที่มีมาก่อนหน้านี้ ใบหน้าซีดขาวของนลินเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัด ไม่กล้าหันไปมองสมภพที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” สมภพถาม แต่นลินไม่ยอมตอบ สมภพจึงเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือแตะบ่านลินเบาๆ นลินสะดุ้งโหยงราวกับถูกไฟช็อต รีบหันกลับมาตอบตะกุกตะกัก
“เอ่อ..ดะ ดีขึ้น ละ แล้วค่ะ ขะ ขอบคุณ คุณสมภพมาก”
“อย่างนั้นหรือครับ ได้ยินแบบนี้ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย” สมภพพยักหน้า มองนลินที่ยืนก้มหน้ามองพื้นก่อนอมยิ้ม เพราะใบหน้าซีดขาวของนลินที่เห็นอยู่เมื่อกี้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
นลินไม่ตอบ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพื้นที่อยู่ชั่วขณะ ระหว่างนั้น นลินก็สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามครั้ง เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา เมื่อตั้งสติได้แล้ว นลินก็เงยหน้ามองสมภพ จึงเห็นว่าอีกฝ่ายก็มองตนเองอยู่เช่นกัน ใบหน้าที่เพิ่งกลับสู่สภาวะปกติได้ไม่นาน เปลี่ยนเป็นสีเข้มอีกรอบ อาการหายใจสะดุดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายของวันนี้วกกลับมาเล่นงานอีกครั้ง จนนลินต้องหันไปมองทางอื่นแทน แล้วพูดขึ้น
“เอ่อ..คุณสมภพมาถึงนานแล้วหรือคะ”
“มาถึงสักพักแล้วครับ แต่ผมมัวแต่คุยอยู่กับป้าสมรเพลินไปหน่อย จึงขึ้นมาช้า แล้วคุณลินล่ะครับ พอจะบอกผมได้ไหมว่าคุณลินวิ่งหนีอะไรมา”
“เรื่องนั้น” นลินชะงักคำพูดค้างไว้ ไม่รู้จะเล่าอย่างไรดี เกรงว่าหากเล่าออกไปแล้ว กลัวสมภพจะไม่เชื่อ
“ถ้าคุณลินลำบากใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ ถือซะว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกันครับ” สมภพบอกน้ำเสียงนุ่มนวล มองนลินอย่างเข้าใจ นลินมองสมภพอย่างขอบคุณ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณค่ะ ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ สงสัยลินคงเหนื่อยและก็เครียดเกินไปหน่อย ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณสมภพตกใจ” นลินบอกเสียงแห้ง ยกมือลูบหน้าเบาๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นลินไม่เคยได้หลับเต็มตาเลยสักครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคืนที่เจอส้มโอเป็นครั้งแรก ไหนจะเรื่องตัวอักษรเลือดที่เห็นเมื่อตอนสายของวันนี้ และล่าสุดก็เมื่อกี้ เหตุการณ์ทั้งสามอย่าง สำหรับนลินถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดเท่าที่เคยเจอมา หากเจอแบบนี้อีกสักครั้ง นลินคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมคิดว่า คุณลินน่าจะหาเวลาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างนะครับ บางทีการทำงานหนักเกินไป ก็ส่งผลต่อสุขภาพได้เหมือนกัน ขนาดเครื่องจักรยังต้องตรวจเช็คสภาพอยู่บ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับร่างกายของคนเรา ยิ่งคุณลินตัวเล็กๆ แบบนี้ด้วยแล้ว หากไม่หาเวลาหยุดพักบ้าง ร่างกายจะแย่เอาได้นะครับ”
น้ำเสียงของสมภพราบเรียบก็จริง แต่ฟังยังไงก็เหมือนผู้ใหญ่กำลังสอนเด็กไม่มีผิด นลินอดยิ้มไม่ได้ รู้สึกดีกับคำพูดเป็นห่วงของคนตรงหน้าไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสาวๆ ในหอนี้ถึงได้ปลื้มสมภพกันนัก นอกจากจะรูปร่างหน้าตาดีแล้ว สมภพก็ยังใจดีและอบอุ่นอีกด้วย
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนครับ ถ้าคุณชลิตรู้ว่าผมมัวแต่เถลไถลยืนคุยกับสาวๆ จนไม่ยอมไปทำงาน มีหวังผมคงถูกบ่นจนหูชา” สมภพพูดปนหัวเราะ เดินไปหยิบกล่องเครื่องมือที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา นลินมองอย่างตกใจ ถามเสียงดังด้วยความลืมตัว
“คุณสมภพจะไปไหนคะ”
“ก็ไปซ่อมผนังห้องน้ำให้คุณลินยังไงล่ะครับ” พูดจบ สมภพก็หันหลังเดินจากไป นลินใจกระตุกวูบ คุณสมภพจะเข้าไปที่ห้อง 404 ทั้งที่เมื่อกี้เราเองก็เพิ่งจะวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น
นลินห่อไหล่เข้าหากัน ไม่รู้ว่าส้มโอจะโผล่มาให้คุณสมภพเห็นหรือเปล่า แค่คิดนลินก็เย็นวาบไปทั่วร่าง ความหวาดกลัวกลับมาคุกคามจิตใจอีกครั้ง แต่ว่า..นลินมองร่างสมภพที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ นลินยอมรับว่าตัวเองกลัว..กลัวที่จะเห็นใบหน้าของส้มโอแกว่งไปแกว่งมาอยู่ในอากาศ แต่ความรู้สึก “เป็นห่วง” มีมากกว่า จนไม่อาจทิ้งให้สมภพเข้าไปอยู่ในห้องนั้นตามลำพังได้
“คุณสมภพคะ” นลินเรียกพลางวิ่งตามมาจนทัน มือเล็กเรียวบางคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“มีอะไรครับ” สมภพหันมาถาม ดวงตาคู่คมก้มมองแขนที่ถูกนลินจับไว้ นลินยิ้มแห้งๆ รู้ว่าทำแบบนี้มันดูไม่ดี แต่ถ้าไม่จับแขนของสมภพเอาไว้ ก็เกรงว่าชายหนุ่มจะเดินหายเข้าไปในห้องซะก่อน
“คะ คือ..เอ่อ..ลินจะเข้าไปช่วยคุณสมภพซ่อมห้องน้ำด้วยค่ะ”
“คุณลินจบช่างมาหรือครับ” สมภพถามยิ้มๆ มองนลินที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนึกขำ
“เปล่าค่ะ แต่ถึงลินจะไม่ได้จบช่าง ลินก็ช่วยงานคุณสมภพได้ อย่างน้อยก็ช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ส่งให้ยังไงล่ะคะ ช่วยๆ กันทำคนละไม้คนละมือ งานจะได้เสร็จไวๆ อีกอย่าง คุณสมภพนั่งทำงานอยู่ในห้องเพียงคนเดียวแบบนั้น เกิดมีใครแอบย่องเข้ามาเงียบๆ อาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้นะคะ”
สมภพเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา กับเรื่องที่นลินยกมาอ้าง เพราะคงไม่มีคนย่องเข้ามาทำมิดีมิร้ายกับเขาหรอก หรือถึงจะมีจริงๆ เขาก็รับมือได้ แต่ไอ้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ การที่นลินอาสาเอาตัวเองเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเขาต่างหาก นี่เจ้าตัวไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่า การปล่อยให้ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหับมิดชิดนั้น มันอันตรายและเสี่ยงมากที่จะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น
“ให้ลินเข้าไปช่วยคุณสมภพทำงานด้วยเถอะค่ะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่นั่งทำงานคนเดียวเงียบๆ แบบนั้น น่ากลัวออก” นลินยืนยันคำพูดเดิม มองสมภพอย่างขอร้อง
สมภพเริ่มขำไม่ออก มองคนตัวเล็กที่จับแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อยอย่างหนักใจ ไม่คิดว่านลินจะดื้อตาใสแบบนี้ นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งล่ะก็ จะจับตีก้นซะให้เข็ด แต่เผอิญว่ามันไม่ใช่ แล้วทีนี้จะทำยังไง จากท่าทางที่เห็น หากเขาปฏิเสธออกไป นลินคงไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปทำงานแน่
“เอาแบบนี้แล้วกัน คุณลินตามผมเข้าไปในห้องได้ แต่ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่นั่งเฉยๆ ก็พอ ผมขอแค่นี้ ทำได้ไหมครับ” สมภพบอกหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นลินยิ้มกว้างรีบพยักหน้าทันที
“ถ้างั้นก็ปล่อยมือได้แล้วครับ คุณลินจับแขนผมซะแน่นแบบนี้ เกิดใครมาเห็นเข้า จะเข้าใจผิดเอาได้ว่า คุณลินกำลังคิดทำมิดีมิร้ายผม” สมภพพูดหน้าตาย นลินสะดุ้งกับข้อกล่าวหานั้น ปล่อยมือจากแขนสมภพแทบไม่ทัน สมภพหัวเราะออกมาเบาๆ ที่จริงไม่ได้คิดจะว่านลินหรอก แค่อยากแกล้งคนดื้อที่เอาแต่ใจก็เท่านั้นเอง
ห้อง 404 อยู่ในสภาพประตูปิดสนิท สมภพหยิบกุญแจสำรองที่ได้มาจากป้าสมร ขึ้นมาไขลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป นลินเดินตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขนาดทำใจไว้แล้วล่วงหน้าก็ยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ ถ้าส้มโอโผล่มาห้อยหัวแกว่งไปแกว่งมากลางอากาศอีกครั้ง นลินไม่รู้เหมือนกันว่า คราวนี้ตัวเองจะวิ่งหนีทันหรือเปล่า
นลินมองร่างสูงโปร่งของสมภพที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ก่อนกลืนน้ำลายลงคอ เอาน่า เราไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวสักหน่อย แต่ยังมีคุณสมภพอยู่ด้วยอีกคน ถ้าเกิดมันจะหัวใจวายตายขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยเราก็มีคุณสมภพหัวใจวายตายเป็นเพื่อนแหละนะ นลินคิดปลอบใจตัวเอง
สมภพเปิดสวิทซ์ไฟที่อยู่ข้างประตูเพื่อให้แสงสว่าง จากนั้นเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ วางกล่องเครื่องมือไว้นอกระเบียง แล้วหันมาตะโกนบอกนลิน
“คุณลินช่วยเปิดประตูห้องให้กว้างๆ ด้วยครับ เผื่อใครเดินผ่านมาเห็นเข้า จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด คิดว่าเราสองคนแอบมาทำงุบงิบอะไรกันอยู่ในห้อง”
นลินตวัดสายตาค้อนใส่สมภพอย่างลืมตัว ก็ไอ้คำว่า “งุบงิบ” ที่พูดมาเมื่อกี้ ไม่มีทางแปลความหมายไปเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากเรื่องพรรค์นั้น แค่คิดถึงเรื่องนี้ หน้าของนลินก็แดงซ่านไปถึงใบหู ทำปากขมุบขมิบต่อว่าสมภพเบาๆ ว่าคนบ้า ก่อนไปเปิดประตูห้องให้กว้างออก แล้วนำเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือมาพิงประตูห้อง จากนั้นเดินไปหยิบหนังสือที่อยู่บนหัวเตียง นำมานั่งอ่านบนเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าประตู
“คนบ้า” เหลือบตามองนลินก่อนอมยิ้ม ปกติเขาไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ เพราะรำคาญนิสัยจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่นและชอบโวยวายของคุณเธอทั้งหลาย แต่สำหรับนลิน ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น
เมื่อเห็นนลินหยิบหนังสือมาอ่านตรงหน้าประตู สมภพก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดแจงรื้อเครื่องมือที่ต้องใช้ออกมาจากกล่องเครื่องมือ จากนั้นยืนกอดอกมองผนังกำแพงห้องน้ำ คิดคำนวณเวลาในการทำงานอย่างรวดเร็ว ก่อนมองนาฬิกาบนข้อมือ เพิ่งจะห้าโมงครึ่ง อืม..วันนี้คงก่ออิฐผนังได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันต่อ คิดแล้วสมภพก็ลงมือทำงานทันที
นลินนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พลางชะเง้อมองสมภพที่อยู่ในห้องน้ำเป็นระยะ เหมือนอย่างที่ส้มกับหญิงบอกไว้ไม่มีผิดว่า เวลาลงมือทำงานแล้ว สมภพจะก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยังดีที่มีเสียงเครื่องมือดังก๊อกๆ แก๊กๆ ดังออกมาให้ได้ยินบ้าง ไม่อย่างนั้น นลินคงคิดว่าสมภพแอบหลับอยู่ในห้องน้ำไปแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง นลินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ เห็นสมภพกำลังใช้เกรียงเหล็ก (เครื่องมือก่อสร้างชนิดหนึ่งของช่างปูนและช่างหินขัด) ตักปูนสำเร็จรูปที่อยู่ในถังปูนขึ้นมาป้ายลงบนอิฐแดง แล้วนำมาวางเรียงซ้อนกันบนผนังกำแพง ซึ่งก่อไปได้หลายแถวแล้ว ใบหน้าของสมภพชื้นไปด้วยเหงื่อที่ซึมขึ้นมา ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอก็ชื้นเหงื่อเช่นกัน
“คุณลิน มีอะไรครับ” สมภพเงยหน้าจากงานที่ทำ มองนลินที่มายืนด้อมๆ มองๆ ข้างประตูอย่างสงสัย
“คุณสมภพหิวข้าวหรือยังคะ”
“นิดหน่อยครับ แต่รอให้เสร็จงานก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานครับ” สมภพตอบพลางหันมาหยิบอิฐที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของนลิน
“ลินก็หิวเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวลินขอตัวลงไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอยขึ้นมาทานบนนี้นะคะ แล้วจะซื้อข้าวมาเผื่อคุณสมภพด้วย อ๊ะ ห้ามปฏิเสธค่ะ” นลินรีบดักคอ เมื่อเห็นสมภพอ้าปากจะพูด
สมภพโคลงศีรษะ เพิ่งรู้ว่านอกจากจะดื้อแล้ว นลินยังชอบบังคับอีกด้วย แต่เอาเถอะ ยอมให้วันนี้หนึ่งวันก็แล้วกัน สมภพคิดพลางพยักหน้าให้ นลินจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง
สมภพนั่งทำงานเงียบๆ ไปสักพัก จนเริ่มรู้สึกเมื่อย จึงลุกขึ้นยืนบิดกายไล่ความเมื่อยขบ สายตาเหลือบไปเห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตูห้องน้ำ จึงตะโกนถามออกไป
“ใครอยู่ข้างนอกครับ”
สิ้นเสียงของสมภพ ร่างบางคุ้นตาของนลินก็โผล่หน้าเข้ามายิ้มให้ สมภพถอนหายใจก่อนย้อนถาม
“คุณลินซื้อข้าวเสร็จแล้วหรือครับ”
“ยังค่ะ พอดีลินนึกขึ้นได้ว่า จะให้คุณสมภพดูอะไรให้หน่อย เลยวิ่งกลับขึ้นมาค่ะ”
“หือ..ดูอะไรครับ” สมภพถามอย่างแปลกใจ นลินไม่ตอบ แต่เข้ามาฉุดมือสมภพให้เดินตามมาด้านนอก สมภพสะดุ้งเล็กน้อย เพราะมือของนลินเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง กำลังจะถาม นลินก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นค่ะ ลินเป็นคนเลือดน้อยไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็นสักเท่าไหร่ พอเจออากาศเย็นๆ เข้าไป มือไม้มักจะเย็นแบบนี้ล่ะค่ะ”
“เหรอครับ” สมภพตอบสั้นๆ รู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อย แต่เลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา
นลินพาสมภพมาที่โต๊ะหนังสือ ชี้มือไปที่ฝ้าเพดานซึ่งอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับโต๊ะ แล้วพูดขึ้น
“พอดีหลายวันมานี้ ลินสังเกตเห็นว่ามีน้ำซึมออกมาจากฝ้าเพดานแผ่นนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าฝ้ามันเก่าหรือว่าหลังคามันรั่วกันแน่ ลินอยากให้คุณสมภพขึ้นไปดูให้หน่อยค่ะ”
สมภพเงยหน้ามองฝ้าเพดาน จากสภาพที่เห็น ฝ้าเพดานยังใหม่อยู่ แต่ถ้ามีน้ำซึมออกมาจริงๆ อย่างที่นลินบอก ก็อาจเป็นไปได้ว่าหลังคาคงจะรั่ว
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูให้ครับ แต่ขอลงไปเอาบันไดเหล็กที่อยู่ข้างล่างก่อน ระหว่างที่รอผมเอาบันไดขึ้นมา คุณลินจะลงไปทานข้าวก่อนก็ได้นะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ขอบคุณคุณสมภพมาก แต่คุณสมภพลงไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวลินลงตามไปทีหลัง”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณลินลงไปแล้วก็อย่าลืมล็อคห้องด้วยนะครับ” สมภพบอกก่อนเดินออกไปจากห้อง นลินผุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เหลือบตามองฝ้าเพดานที่อยู่ด้านบนอย่างหมายมาดก่อนหัวเราะออกมาแผ่วเบา
*****************************************************
ทั้งสามคนใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือนานเกือบสามชั่วโมง จึงพากันเดินกลับหอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็น พระอาทิตย์เคลื่อนตัวลงต่ำเล็กน้อย อากาศยามเย็นอบอุ่นสบาย ไม่ร้อนจัดเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
ขณะที่เดินคุยกันมา ส้มกับหญิงชวนนลินให้มานอนกับพวกตนเป็นการชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากผนังห้องน้ำในห้องของนลินพังจนกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากมีคนคิดไม่ดี อาศัยจังหวะนี้ ปีนระเบียงเข้ามาแอบอยู่ในห้อง (ระเบียงไม่ได้ติดเหล็กดัด) นลินซึ่งอยู่ตามลำพังอาจไม่ปลอดภัย
ตอนแรกนลินปฏิเสธเพราะรู้สึกเกรงใจ แต่ส้มกับหญิงไม่ยอม พยายามโน้มน้าวจิตใจให้นลินเห็นด้วย โดยยกเรื่องสุขภาพของนลินมาเป็นข้ออ้างว่า พักนี้นลินสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ จึงจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เผื่อเป็นอะไรขึ้นมา พวกตนจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที
“พี่ลินย้ายไปนอนกับพวกเราเถอะค่ะ ไว้ให้พี่สมภพซ่อมห้องน้ำเสร็จแล้ว พี่ลินค่อยย้ายกลับมา พวกเราเป็นห่วงพี่ลินจริงๆ นะคะ” ส้มบอกน้ำเสียงจริงจัง
“ตะ..แต่”
“พี่ลินอย่าปฏิเสธเลยนะคะ ไปค่ะ ไปเก็บของที่ห้องกันดีกว่า เดี๋ยวพวกเราไปช่วยพี่ลินเอง” หญิงตัดบท
ด้วยเหตุนี้ นลินจึงต้องย้ายห้องนอนชั่วคราว โดยส้มกับหญิงไปช่วยนลินขนเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นมาเก็บไว้ในห้องของพวกตน ขณะที่นลินกำลังหยิบเสื้อผ้ากับกระเป๋าสะพายจากตู้เสื้อผ้าออกมาวางไว้บนเตียง ส้มกับหญิงที่ยืนใกล้กันก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมากระทบจมูก แม้จะบางเบา แต่ก็ทำเอาทั้งคู่ถึงกับผงะ
“มีอะไรหรือจ๊ะ” นลินหันมาถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าของส้มกับหญิง
“ปละ..เปล่าค่ะ พี่ลินเข้าไปเก็บของในห้องน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวตรงนี้พวกเราจัดการเอง” หญิงบอก
“ขอบใจจ้ะ”
เมื่อนลินเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ส้มก็หันมามองหญิงพร้อมกับอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หญิงถลึงตาใส่เป็นทำนองไม่ให้พูด ส้มจึงหุบปากแล้วหยิบผ้าห่มกับเสื้อผ้าของนลินขึ้นมา ส่วนหญิงเดินไปหยิบหมอนกับกระเป๋าสะพายของนลิน พลันได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นใกล้ตัว หญิงจึงหันไปเอ็ดใส่ส้มเสียงดุ
“แกถอนหายใจทำไมฮะ”
“กะ แกได้ยินด้วยเหรอ” ส้มย้อนถามหน้าตาตื่น เพราะได้ยินเหมือนกันแต่เข้าใจว่าหูแว่วไปเอง
“ก็ได้ยินน่ะสิ ไม่งั้นฉันจะถามขึ้นมาทำไม” หญิงต่อว่า แต่เมื่อเห็นใบหน้าของส้มซีดลงเรื่อยๆ หญิงก็เอะใจ จึงจ้องหน้าส้มเขม็งแล้วเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมาเบาๆ
“อย่าบอกนะว่า คนที่ถอนหายใจเมื่อกี้ ไม่ใช่แก”
หากเป็นในยามปกติ คนขี้เล่นอย่างส้มคงจะตอบว่า ถูกต้องนะคร้าบ แต่..ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ตั้งแต่ได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ส้มแสดงออกให้หญิงเห็นก็คือ กลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับพยักหน้าให้
คำตอบของส้มช่างเรียบง่ายแต่ชัดเจนเหลือเกิน ทำเอาสาวห้าวอย่างหญิงหน้าเหวอ ก็ในเมื่อที่ยืนอยู่ตรงนี้มีกันแค่สองคน ถ้าส้มไม่ได้เป็นคนถอนหายใจ แล้ว...คิดมาถึงตรงนี้ หน้าของหญิงก็ค่อยๆ ซีดลงจนแทบไม่มีสีเลือด ไม่ต่างอะไรกับส้มที่หน้าซีดแล้วซีดอีกเหมือนคนจะเป็นลม
“พี่เก็บของเสร็จแล้วจ้ะ”
ส้มกับหญิงใจหายวาบ หันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน นลินยิ้มกว้าง ในมือถือตะกร้าใส่ของใช้ส่วนตัว จำพวก สบู่ แชมพู ยาสีฟันเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“พะ พี่ลิน”
“เอ๊ะ ทำไมหน้าของเราสองคนถึงได้ซีดแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่า”
“มะ ไม่มีค่ะ เอ่อ..ของของพี่ลินมีแค่นี้ใช่ไหมคะ” ส้มปฏิเสธก่อนถามรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน เมื่อเห็นนลินพยักหน้าให้ ส้มซึ่งถือเสื้อผ้ากับผ้าห่มของนลินเต็มสองมือก็จ้ำอ้าวไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวมืดซะก่อน” หญิงซึ่งถือของน้อยกว่า ใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่ฉุดมือนลินให้ตามมา ส้มเปิดประตูห้องได้ก็วิ่งออกไปทันที โดยมีหญิงจูงมือนลินวิ่งตามหลังไปติดๆ
ส้มกับหญิงพานลินวิ่งลงบันไดมาที่ห้องพักของตนซึ่งอยู่ชั้นสาม โดยไม่พูดอะไรสักคำ ในใจภาวนาอย่าให้เจ้าของเสียงถอนหายใจที่ได้ยินเมื่อกี้ไล่ตามมา ไม่อย่างนั้น มีหวังคงได้วิ่งตกบันไดคอหักตายกันบ้าง
เมื่อเข้ามาในห้องของตนได้แล้ว ส้มกับหญิงก็วางของทั้งหมดลงบนเตียง พลางทรุดตัวนั่งบนพื้นห้องเอาหลังพิงขอบเตียง แล้วหายใจหอบฮั่กๆ โอ๊ย..นึกว่าหัวใจจะวายตายซะแล้ว
นลินมองอาการของทั้งคู่อย่างสงสัย ไม่ทันจะเอ่ยปากถาม หญิงก็หันมายิ้มให้แล้วชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“พอดีพวกเราร้อนและก็หิวข้าวน่ะค่ะ ก็เลยรีบเก็บของแล้ววิ่งออกมา ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ลินตกใจ”
“เหรอจ๊ะ แต่ท่าทางของเราสองคนไม่เหมือนกับคนหิวข้าวเลยนะ พี่ว่าเหมือนกับกำลังวิ่งหนีอะไรมาสักอย่าง” นลินตั้งข้อสังเกต ส้มกับหญิงสะดุ้ง รีบหัวเราะกลบเกลื่อนเสียงดัง แต่ฟังยังไงก็ดูแห้งแล้งชอบกล
“ฮ่ะๆๆ ก็อากาศในห้องพี่ลินร้อนอบอ้าวจะตาย ขืนนั่งอยู่นานๆ หญิงกลัวว่า พวกเราอาจจะเป็นลมตายไปซะก่อน ก็เลยต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่ห้องของพวกเราค่ะ”
ขณะที่หญิงบอกนลินไปอย่างนั้น ส้มก็ลุกขึ้นไปเปิดพัดลมตั้งโต๊ะขนาดกลางที่อยู่ตรงมุมห้อง กดล็อคให้มันส่ายไปมาเพื่อระบายอากาศ แล้วเดินมานั่งข้างนลิน
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะร้อนตายอยู่ในห้องพี่ลินซะแล้ว” ส้มยกมือปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามลำคออย่างลวกๆ นลินหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อถือ คิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่ยังไม่อยากซักถามในตอนนี้ จึงหันไปสำรวจห้องพักของสองสาวแทน
ห้องพักของส้มกับหญิงมีขนาดใหญ่กว่าห้องของนลินเล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จัดเก็บไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย พื้นห้องที่เป็นกระเบื้องก็สะอาดสะอ้าน แสดงว่าเจ้าของห้องคงทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูอยู่เป็นประจำ ไม่อย่างนั้นพื้นกระเบื้องคงไม่ลื่นเป็นมันอย่างนี้หรอก
“ห้องสะอาดดีจัง แสดงว่าทำความสะอาดห้องทุกวันล่ะสิ” นลินถาม หลังจากกวาดตามองจนทั่วห้อง
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่กวาดเช็ดถูทุกวัน ฝุ่นในห้องมันจะเยอะ เวลานอนแล้วไม่สบายตัว” ส้มซึ่งหายตกใจแล้วบอกน้ำเสียงร่าเริง ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าของนลินที่วางกองอยู่บนเตียง นำไปแขวนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า
“มิน่าล่ะ พื้นห้องลื่นเป็นมันเชียว แล้วแบ่งเวรทำความสะอาดกันยังไงจ๊ะ” นลินถาม พลางเดินเข้าไปช่วยส้มจัดเก็บเสื้อผ้า หญิงหยิบผ้าห่มกับหมอนของนลิน นำไปจัดวางบนเตียงให้เรียบร้อย แล้วหันมาตอบ
“อ๋อ เรื่องนั้นเราตกลงกันไว้ว่า ให้หญิงทำความสะอาดห้อง ส้มเก็บที่นอนและล้างจาน ผ้าก็ซักของใครของมัน ส่วนกระจกก็เช็ดอาทิตย์ละครั้ง ช่วยๆ กันทำ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จค่ะ”
“เหรอจ๊ะ แล้วถ้าวันไหนกินข้าวข้างนอก ส้มก็ไม่ต้องล้างจานน่ะสิ”
“ใช่ค่ะ แต่จะช่วยรีดเสื้อให้หญิงแทนค่ะ”
“เรียกว่า อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช่ไหม น่ารักจริงๆ” นลินชมอย่างจริงใจ
“ค่ะ พี่ลิน พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้นและบังเอิญสอบได้ที่เดียวกัน ก็เลยชวนมาเช่าหออยู่ด้วยกัน แต่ตกลงไว้ว่า ถ้าจะอยู่ร่วมกันก็ต้องแบ่งหน้าที่ทำงานให้ชัดเจน เพราะหญิงเคยเห็นคนที่เป็นเพื่อนกันมานานและรักใคร่กันดี แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับทะเลาะกันซะงั้น บางคนทะเลาะกันจนไม่มองหน้ากันก็มี หญิงเห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ไม่อยากให้พวกเราเป็นแบบนั้น”
“ใช่ค่ะ ส้มก็คิดเหมือนกัน เลยคุยกับหญิงว่า ฉันเป็นคนเจ้าระเบียบนะ หญิงบอกว่าฉันก็เหมือนกัน พอคุยกันไปเรื่อยๆ เราจึงได้รู้นิสัยที่ไม่ดีของอีกฝ่ายว่ามีอะไรบ้าง จะได้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่ารับได้ไหม ถ้ารับได้ก็อยู่ร่วมกันได้ ถ้ารับไม่ได้ก็อย่าอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันภายหลัง แล้วเอาไปพูดนินทาให้เสียหาย เพราะมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น” ส้มบอกน้ำเสียงจริงจัง นลินอมยิ้มมองส้มกับหญิงอย่างชื่นชม เด็กสองคนนี้เพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น แต่ความคิดความอ่านดีกว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก
“แล้วนี่พี่สมภพจะเข้ามาซ่อมห้องน้ำให้พี่ลินกี่โมงคะ” หญิงถาม
“เห็นบอกว่าจะมาหกโมง แต่ถ้าเสร็จงานทางโน้นเร็ว ก็อาจจะเข้ามาก่อนจ้ะ”
“พี่สมภพต้องเข้ามาก่อนเวลาอยู่แล้ว รายนี้ไม่เคยมาช้ากับเขาสักครั้ง” ส้มบอกให้รู้
“ท่าทางหญิงกับส้มจะคุ้นเคยกับคุณสมภพดีจังเลยนะจ๊ะ”
“โอ๊ย สาวๆ ในหอนี้คุ้นเคยกับพี่สมภพทั้งนั้นล่ะค่ะ เพราะแกเข้ามาซ่อมโน่นซ่อมนี่ให้บ่อย พี่สมภพนิสัยดีค่ะ มีน้ำใจ และชอบช่วยเหลือคนอื่น ที่สำคัญก็คือโสดสนิท ไม่ใช่โสดชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนหนุ่มๆ สมัยนี้”
“รู้ได้ไงจ๊ะว่าคุณสมภพยังเป็นโสด”
“ป้าสมรบอกค่ะ หลานชายแกเป็นเพื่อนกับพี่สมภพ ป้าสมรจึงรู้เรื่องพี่สมภพดี แกบอกว่าผู้ชายเอาการเอางานแบบพี่สมภพหายาก เสียดายที่แกไม่มีหลานสาว ไม่อย่างนั้นจะยุให้จีบพี่สมภพ พวกเราเลยบอกไปว่า ป้าไม่ต้องห่วงไปหรอก พี่สมภพไม่ขึ้นคานแน่ เพราะสาวๆ ในหอนี้มองพี่สมภพตาเป็นมันกันทั้งนั้น พอพูดไปแบบนั้น ป้าสมรค้อนใส่ให้วงเบ้อเริ่มเลยค่ะ แกว่านิสัยแก่นกะโหลกอย่างพวกเธอน่ะ ไม่เหมาะกับคนดีๆ อย่างสมภพหรอก อย่าหวังซะให้ยาก แหม เพิ่งรู้นะนี่ว่าป้าสมรมองพวกเราเป็นม้าดีดกะโหลก” หญิงหัวเราะชอบใจเสียงดัง
“ฟังจากที่หญิงเล่ามา แสดงว่าคุณสมภพคงเนื้อหอมน่าดูสำหรับสาวๆ ในหอนี้”
“ใช่ค่ะ แต่พี่สมภพไม่เคยพูดจาแทะโลมหรือทำชีกอใส่ผู้หญิงที่อยู่ในหอเลยนะคะ มีแต่สาวๆ นี่แหละค่ะ ชอบพูดจาแทะโลมและลวนลามพี่สมภพด้วยสายตาอยู่บ่อยๆ จนพี่สมภพอายหน้าแดงมาแล้ว เวลามาซ่อมของที่นี่ทีไร พี่สมภพก็ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน พอซ่อมของเสร็จ ก็รีบเก็บของลงกล่องเครื่องมือ แล้วขึ้นรถกลับไปทันที สงสัยคงกลัวสาวๆ ในหอเรา จะดักฉุดพาแกไปทำมิดีมิร้ายแหงๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้ขี้อายชะมัด”
นลินอมยิ้ม สงสัยจริงๆ ว่า การ “ลวนลามด้วยสายตา” ที่หญิงพูดถึงนี่ มันเป็นยังไง
“พี่ลินมีแฟนหรือยังคะ”
คำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของส้ม ทำเอานลินอึ้งไปชั่วขณะ เพราะคุยเรื่องสมภพกันอยู่เมื่อกี้แท้ๆ แต่ไหงเผลออีกที กลับวกมาเข้าเรื่องของตนได้ก็ไม่รู้
เมื่อเห็นนลินไม่ตอบ ส้มก็ถามซ้ำอีกครั้ง นลินจึงส่ายหัวพร้อมกับบอกให้รู้ว่าตนยังเป็นโสด หญิงจึงยิงคำถามที่สองตามมาทันที
“แล้วพี่ลินชอบผู้ชายแบบไหนคะ”
“ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมถึงมาถามพี่แบบนี้ล่ะ”
“พวกเราก็แค่อยากรู้ สเปกผู้ชายในฝันของพี่ลินก็เท่านั้นเองค่ะ”
“อืมม” นลินใช้นิ้วชี้คลึงขมับเบาๆ ที่จริงคำถามก็ใช่ว่าจะยากซะจนตอบไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือ นลินไม่เคยตั้งสเปกผู้ชายในฝันมาก่อน จึงไม่รู้จะตอบอย่างไร หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ นลินก็ยอมตอบ
“พี่ไม่มีสเปกผู้ชายในฝันหรอกจ้ะ เพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน”
“เหรอคะ แล้วพี่ลินไม่เคยรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายคนไหนบ้างเหรอคะ อย่างเช่น รู้สึกเขินเวลาอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็รู้สึกใจสั่นเวลาเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะ อะไรทำนองนี้ล่ะค่ะ”
หากเปรียบคำถามก่อนหน้านี้ เป็นหมัดแย็บที่ปล่อยออกมาเพื่อหลอกล่อคู่ต่อสู้ให้มึนงงแล้วล่ะก็ คำถามเมื่อกี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับหมัดฮุคตัดกลางลำตัว ที่ชกกระแทกใส่เป้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ผู้ถูกชกอย่างนลินออกอาการสะดุ้ง ดวงตาคู่งามไหววูบเล็กน้อยก่อนจางหายไป หลังตั้งสติได้ นลินก็ตอบน้ำเสียงราบเรียบ
“อืม..ไม่รู้สิ พี่จำไม่ได้เหมือนกัน”
“จำไม่ได้หรือคะ ว๊า น่าเสียดายจัง” ส้มทำหน้าเสียดาย หญิงอ้าปากจะถามต่อ แต่นลินรีบลุกขึ้นยืน
”เอ่อ..พี่จะลงไปข้างล่าง ป่านนี้คุณสมภพน่าจะมาถึงแล้ว ส่วนเราสองคนน่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่ตามไปทีหลัง” พูดจบ นลินก็เปิดประตูเดินออกไปทันที
หญิงกับส้มทำหน้าผิดหวัง เพราะมีคำถามที่จะถามนลินอีกหนึ่งข้อ แต่เจ้าตัวกลับเดินหนีออกไปซะแล้ว อย่างกับรู้แน่ะว่า พวกตนจะถามอะไรต่อ แต่ไม่เป็นไร เก็บไว้ถามคืนนี้ก็ยังไม่สาย สองสาวคิดอย่างหมายมาด
หลังออกมาจากห้องของส้มกับหญิงได้ นลินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจู่ๆ ส้มกับหญิงถึงได้อยากรู้เรื่องชายในฝันของนลินขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ไม่เคยสนใจจะถามเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ที่จริงนลินไม่ได้รำคาญหรือไม่พอใจกับคำถามที่สองสาวถามหรอก แต่นลินเกรงว่า หากปล่อยให้ถูกซักถามต่อไปเรื่อยๆ ตนเองอาจจะถูกคำถามเด็ด ซึ่งเปรียบเสมือนหมัดน็อก อัดเข้าปลายคางจนสลบเหมือดกลางอากาศได้ ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย นลินจึงต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากถูกน็อก
นลินเดินลงบันไดมาอย่างไม่เร่งรีบ ในหัวก็คิดถึงเรื่องต่างๆ นานาไปเรื่อยเปื่อย หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องตัวอักษรเลือดที่อยู่บนโต๊ะหนังสือในห้องพักของตน คำว่า “ปลดปล่อย” ที่เห็นนั้น หมายความว่าอย่างไร เกี่ยวข้องกับศพที่พบด้วยหรือเปล่า ถ้าเกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วมันเกี่ยวในด้านไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
นลินเดินใจลอยคิดถึงเรื่องตัวหนังสือเลือด จึงไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองไม่ได้เดินลงมาข้างล่าง แต่กลับเดินขึ้นบันไดมาชั้นสี่ เดินผ่านห้อง 401, 402 และ 403 จนมาหยุดหน้าห้อง 404 ซึ่งเป็นห้องพักของตน
“กริ๊ก” ประตูลูกบิดหมุนเองอย่างช้าๆ ก่อนแง้มออกเล็กน้อย เสียงแอ๊ดดังแผ่วเบา ปลุกนลินให้รู้สึกตัว
“เอ๊ะ” นลินมองประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่อย่างงุนงง จึงเงยหน้าขึ้นมองข้างบน เมื่อเห็นหมายเลข 404 ที่อยู่เหนือบานประตู นลินก็หน้าถอดสี เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองเดินมาที่นี่ได้ยังไง
ประตูห้องที่แง้มออกค่อยๆ เปิดออกกว้าง คล้ายจะเชื้อเชิญคนที่ยืนอยู่ด้านนอกให้เข้ามา นลินกัดปากแน่นจนห้อเลือด ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในจิตใจ ราวกับมีใครเอาเข็มเล่มเล็กๆ นับพันเล่มมาทิ่มแทงไปทั่วร่างจนรู้สึกชาไปทั้งแถบ นลินพยายามข่มใจสะกดความกลัวที่ถาโถมเข้าใส่ ก่อนมองเข้าไปในห้อง
ภายในห้องว่างเปล่าไร้ผู้คน ผ้าม่านผืนบางโบกสะบัดไปมาเบาๆ แสงแดดยามสนธยาส่องลอดหน้าต่างเข้ามา กระทบกับพื้นห้องตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ จนกลายเป็นสีส้มจัดดูน่าพิศวง ถึงจะมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ แต่นลินก็รู้สึกเหมือนกับมีสายตาของ “ใคร” บางคนกำลังจ้องมองตนเองอยู่
ท่ามกลางความเงียบเชียบ ฝ้าเพดานตำแหน่งเดียวกันกับโต๊ะมีน้ำซึมออกมา มันค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นหยด นลินมองอย่างตกใจ เมื่อสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นหยดน้ำ กลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ โดยมีเส้นผมสีดำยึดติดฝ้าเพดานเอาไว้ เปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิท
“สะ ส้มโอ” นลินครางเสียงแห้ง หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ใบหน้าของส้มโอซีดคล้ำบวมเป่งจนกลัวว่ามันจะปริออกมา ทันใดนั้น ใบหน้าของส้มโอก็เริ่มขยับ โดยแกว่งไปทางซ้ายแล้วโยกมาทางขวา ด้วยระดับความเร็วที่เท่ากัน ทุกๆ จังหวะของการเคลื่อนไหว จะมีเลือดซึมขึ้นมาจากขมับทั้งสองข้าง ไหลย้อยลงมาตามคางก่อนหยดร่วงลงบนโต๊ะดังเปาะ..เปาะ..เปาะ..จนพื้นโต๊ะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ
นลินยืนตัวแข็งทื่อ ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ จู่ๆ ใบหน้าของส้มโอก็หยุดแกว่ง ดวงตาที่ปิดสนิทมาตั้งแต่เมื่อครู่ค่อยๆ ลืมขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองนลินเขม็ง ส้มโอเผยอปากเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนขยับจากจุดที่ยึดเกาะอยู่ พุ่งเข้ามาหานลินที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“ฮึก!” นลินผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัวสุดขีด จิตใจที่เคยเข้มแข็งมาตลอด ถูกทำลายจนพังทลายไม่มีชิ้นดี สติแตกกระเจิงจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตนเองวิ่งออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร
นลินวิ่งสุดฝีเท้า เพื่อหนีไปให้ไกลจากภาพที่เห็น หูแว่วเสียงสะอื้นไล่ตามหลังมา ทำเอาหัวใจแทบเด้งกระดอนออกมาข้างนอก นลินวิ่ง..วิ่ง..และก็วิ่งจนเข่าแทบทรุด แต่ก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไป ระเบียงทางเดินที่เคยผ่านอยู่เป็นประจำกลับทอดยาวกว่าทุกวันเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ไฟสีเหลืองอ่อนจากหลอดไฟนีออนที่ติดไว้บนฝ้าเพดาน เพื่อให้แสงสว่างแก่ระเบียงทางเดินในยามค่ำคืน ดูขมุกขมัวคล้ายม่านหมอกขนาดใหญ่
เสียงสะอื้นยังคงไล่หลังมา แทรกด้วยคำพูดบางอย่างที่นลินฟังไม่ถนัด เพราะวิ่งจนหูอื้อ ตาพร่าพรายจนมองไม่เห็นทิศทาง ลมหายใจหอบกระชั้นจนจุกเสียดไปทั้งชายโครง แต่นลินก็ยังไม่หยุดวิ่ง
เสียงฝีเท้าที่วิ่งตึงๆ มาทางนี้ ทำให้สมภพที่กำลังเดินมาตามระเบียงทางเดินชะงักเท้าอยู่กับที่ ใครกันนะมาวิ่งเล่นแถวนี้ สมภพคิดอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นนลินวิ่งมาทางนี้ สมภพก็ทักเสียงดัง
“คุณลินครับ”
“คุณสมภพ!” นลินเรียกเสียงสั่น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างดีใจ นลินไม่รู้ว่า ขาทั้งคู่ขยับเข้าไปหาสมภพตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่เพียงว่าเวลานี้ ต้องการใครสักคนที่สามารถเป็นหลักให้ตนพึ่งพาได้
สมภพเกือบร้องเฮ้ยออกมา เมื่อจู่ๆ นลินก็โผเข้ามากอดซะแน่น แต่เขาก็คุมสติได้ดี ไม่อย่างนั้นกล่องเครื่องมือที่ถืออยู่คงเหวี่ยงใส่นลินไปแล้ว เมื่อตั้งสติได้ สมภพก็มองนลินที่ซุกหน้ากับอกของเขาอย่างแปลกใจ
ตอนแรกสมภพตั้งใจจะแกะมือของนลินที่รวบเอวเขาออก เพราะเกรงว่าหากมีคนมาเห็นภาพนี้เข้า นลินอาจจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดี แต่ร่างสั่นเทาเหมือนเด็กเสียขวัญอย่างหนักของนลิน ทำให้เขาเปลี่ยนใจ
สมภพวางกล่องเครื่องมือลงบนพื้น แล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวนลินไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบหัวนลินเบาๆ
“คุณลินวิ่งหนีอะไรมาหรือครับ พอจะบอกผมได้ไหม” สมภพมองร่างบางที่ยังคงซุกหน้ากับอกของเขาแน่นอย่างเป็นห่วง
ไม่รู้เป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนของคนตรงหน้า หรือเป็นเพราะมือหนาที่ลูบหัวปลอบโยนกันแน่ ที่ทำให้นลินน้ำตารื้นขึ้นมา ไหล่บางลู่ตกลงก่อนสะอื้นออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้น
“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง ผมไม่ให้ใครทำร้ายคุณลินได้หรอกครับ” สมภพใช้คำพูดปลอบเหมือนกับกำลังปลอบเด็กตัวน้อย นลินพยายามกลั้นสะอื้น แต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลไม่ยอมหยุด จนเสื้อของสมภพเปียกชุ่ม
“ถ้าหยุดร้องไม่ได้ ก็ร้องออกมาให้พอนะครับ เผื่อจะทำให้คุณลินรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
นลินซุกหน้าร้องไห้กับอกของสมภพอยู่พักใหญ่ ก่อนผละออกมายืนหันหลังให้สมภพ พร้อมกับยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ความรู้สึกบางอย่างกำลังเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวที่มีมาก่อนหน้านี้ ใบหน้าซีดขาวของนลินเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัด ไม่กล้าหันไปมองสมภพที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” สมภพถาม แต่นลินไม่ยอมตอบ สมภพจึงเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือแตะบ่านลินเบาๆ นลินสะดุ้งโหยงราวกับถูกไฟช็อต รีบหันกลับมาตอบตะกุกตะกัก
“เอ่อ..ดะ ดีขึ้น ละ แล้วค่ะ ขะ ขอบคุณ คุณสมภพมาก”
“อย่างนั้นหรือครับ ได้ยินแบบนี้ผมค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย” สมภพพยักหน้า มองนลินที่ยืนก้มหน้ามองพื้นก่อนอมยิ้ม เพราะใบหน้าซีดขาวของนลินที่เห็นอยู่เมื่อกี้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
นลินไม่ตอบ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพื้นที่อยู่ชั่วขณะ ระหว่างนั้น นลินก็สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามครั้ง เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา เมื่อตั้งสติได้แล้ว นลินก็เงยหน้ามองสมภพ จึงเห็นว่าอีกฝ่ายก็มองตนเองอยู่เช่นกัน ใบหน้าที่เพิ่งกลับสู่สภาวะปกติได้ไม่นาน เปลี่ยนเป็นสีเข้มอีกรอบ อาการหายใจสะดุดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายของวันนี้วกกลับมาเล่นงานอีกครั้ง จนนลินต้องหันไปมองทางอื่นแทน แล้วพูดขึ้น
“เอ่อ..คุณสมภพมาถึงนานแล้วหรือคะ”
“มาถึงสักพักแล้วครับ แต่ผมมัวแต่คุยอยู่กับป้าสมรเพลินไปหน่อย จึงขึ้นมาช้า แล้วคุณลินล่ะครับ พอจะบอกผมได้ไหมว่าคุณลินวิ่งหนีอะไรมา”
“เรื่องนั้น” นลินชะงักคำพูดค้างไว้ ไม่รู้จะเล่าอย่างไรดี เกรงว่าหากเล่าออกไปแล้ว กลัวสมภพจะไม่เชื่อ
“ถ้าคุณลินลำบากใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ ถือซะว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกันครับ” สมภพบอกน้ำเสียงนุ่มนวล มองนลินอย่างเข้าใจ นลินมองสมภพอย่างขอบคุณ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณค่ะ ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ สงสัยลินคงเหนื่อยและก็เครียดเกินไปหน่อย ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณสมภพตกใจ” นลินบอกเสียงแห้ง ยกมือลูบหน้าเบาๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นลินไม่เคยได้หลับเต็มตาเลยสักครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคืนที่เจอส้มโอเป็นครั้งแรก ไหนจะเรื่องตัวอักษรเลือดที่เห็นเมื่อตอนสายของวันนี้ และล่าสุดก็เมื่อกี้ เหตุการณ์ทั้งสามอย่าง สำหรับนลินถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดเท่าที่เคยเจอมา หากเจอแบบนี้อีกสักครั้ง นลินคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมคิดว่า คุณลินน่าจะหาเวลาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างนะครับ บางทีการทำงานหนักเกินไป ก็ส่งผลต่อสุขภาพได้เหมือนกัน ขนาดเครื่องจักรยังต้องตรวจเช็คสภาพอยู่บ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับร่างกายของคนเรา ยิ่งคุณลินตัวเล็กๆ แบบนี้ด้วยแล้ว หากไม่หาเวลาหยุดพักบ้าง ร่างกายจะแย่เอาได้นะครับ”
น้ำเสียงของสมภพราบเรียบก็จริง แต่ฟังยังไงก็เหมือนผู้ใหญ่กำลังสอนเด็กไม่มีผิด นลินอดยิ้มไม่ได้ รู้สึกดีกับคำพูดเป็นห่วงของคนตรงหน้าไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสาวๆ ในหอนี้ถึงได้ปลื้มสมภพกันนัก นอกจากจะรูปร่างหน้าตาดีแล้ว สมภพก็ยังใจดีและอบอุ่นอีกด้วย
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนครับ ถ้าคุณชลิตรู้ว่าผมมัวแต่เถลไถลยืนคุยกับสาวๆ จนไม่ยอมไปทำงาน มีหวังผมคงถูกบ่นจนหูชา” สมภพพูดปนหัวเราะ เดินไปหยิบกล่องเครื่องมือที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา นลินมองอย่างตกใจ ถามเสียงดังด้วยความลืมตัว
“คุณสมภพจะไปไหนคะ”
“ก็ไปซ่อมผนังห้องน้ำให้คุณลินยังไงล่ะครับ” พูดจบ สมภพก็หันหลังเดินจากไป นลินใจกระตุกวูบ คุณสมภพจะเข้าไปที่ห้อง 404 ทั้งที่เมื่อกี้เราเองก็เพิ่งจะวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น
นลินห่อไหล่เข้าหากัน ไม่รู้ว่าส้มโอจะโผล่มาให้คุณสมภพเห็นหรือเปล่า แค่คิดนลินก็เย็นวาบไปทั่วร่าง ความหวาดกลัวกลับมาคุกคามจิตใจอีกครั้ง แต่ว่า..นลินมองร่างสมภพที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ นลินยอมรับว่าตัวเองกลัว..กลัวที่จะเห็นใบหน้าของส้มโอแกว่งไปแกว่งมาอยู่ในอากาศ แต่ความรู้สึก “เป็นห่วง” มีมากกว่า จนไม่อาจทิ้งให้สมภพเข้าไปอยู่ในห้องนั้นตามลำพังได้
“คุณสมภพคะ” นลินเรียกพลางวิ่งตามมาจนทัน มือเล็กเรียวบางคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“มีอะไรครับ” สมภพหันมาถาม ดวงตาคู่คมก้มมองแขนที่ถูกนลินจับไว้ นลินยิ้มแห้งๆ รู้ว่าทำแบบนี้มันดูไม่ดี แต่ถ้าไม่จับแขนของสมภพเอาไว้ ก็เกรงว่าชายหนุ่มจะเดินหายเข้าไปในห้องซะก่อน
“คะ คือ..เอ่อ..ลินจะเข้าไปช่วยคุณสมภพซ่อมห้องน้ำด้วยค่ะ”
“คุณลินจบช่างมาหรือครับ” สมภพถามยิ้มๆ มองนลินที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างนึกขำ
“เปล่าค่ะ แต่ถึงลินจะไม่ได้จบช่าง ลินก็ช่วยงานคุณสมภพได้ อย่างน้อยก็ช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ส่งให้ยังไงล่ะคะ ช่วยๆ กันทำคนละไม้คนละมือ งานจะได้เสร็จไวๆ อีกอย่าง คุณสมภพนั่งทำงานอยู่ในห้องเพียงคนเดียวแบบนั้น เกิดมีใครแอบย่องเข้ามาเงียบๆ อาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้นะคะ”
สมภพเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา กับเรื่องที่นลินยกมาอ้าง เพราะคงไม่มีคนย่องเข้ามาทำมิดีมิร้ายกับเขาหรอก หรือถึงจะมีจริงๆ เขาก็รับมือได้ แต่ไอ้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ การที่นลินอาสาเอาตัวเองเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเขาต่างหาก นี่เจ้าตัวไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่า การปล่อยให้ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องหับมิดชิดนั้น มันอันตรายและเสี่ยงมากที่จะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น
“ให้ลินเข้าไปช่วยคุณสมภพทำงานด้วยเถอะค่ะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่นั่งทำงานคนเดียวเงียบๆ แบบนั้น น่ากลัวออก” นลินยืนยันคำพูดเดิม มองสมภพอย่างขอร้อง
สมภพเริ่มขำไม่ออก มองคนตัวเล็กที่จับแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อยอย่างหนักใจ ไม่คิดว่านลินจะดื้อตาใสแบบนี้ นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งล่ะก็ จะจับตีก้นซะให้เข็ด แต่เผอิญว่ามันไม่ใช่ แล้วทีนี้จะทำยังไง จากท่าทางที่เห็น หากเขาปฏิเสธออกไป นลินคงไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปทำงานแน่
“เอาแบบนี้แล้วกัน คุณลินตามผมเข้าไปในห้องได้ แต่ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่นั่งเฉยๆ ก็พอ ผมขอแค่นี้ ทำได้ไหมครับ” สมภพบอกหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นลินยิ้มกว้างรีบพยักหน้าทันที
“ถ้างั้นก็ปล่อยมือได้แล้วครับ คุณลินจับแขนผมซะแน่นแบบนี้ เกิดใครมาเห็นเข้า จะเข้าใจผิดเอาได้ว่า คุณลินกำลังคิดทำมิดีมิร้ายผม” สมภพพูดหน้าตาย นลินสะดุ้งกับข้อกล่าวหานั้น ปล่อยมือจากแขนสมภพแทบไม่ทัน สมภพหัวเราะออกมาเบาๆ ที่จริงไม่ได้คิดจะว่านลินหรอก แค่อยากแกล้งคนดื้อที่เอาแต่ใจก็เท่านั้นเอง
ห้อง 404 อยู่ในสภาพประตูปิดสนิท สมภพหยิบกุญแจสำรองที่ได้มาจากป้าสมร ขึ้นมาไขลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป นลินเดินตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขนาดทำใจไว้แล้วล่วงหน้าก็ยังอดเสียวสันหลังไม่ได้ ถ้าส้มโอโผล่มาห้อยหัวแกว่งไปแกว่งมากลางอากาศอีกครั้ง นลินไม่รู้เหมือนกันว่า คราวนี้ตัวเองจะวิ่งหนีทันหรือเปล่า
นลินมองร่างสูงโปร่งของสมภพที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ก่อนกลืนน้ำลายลงคอ เอาน่า เราไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวสักหน่อย แต่ยังมีคุณสมภพอยู่ด้วยอีกคน ถ้าเกิดมันจะหัวใจวายตายขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยเราก็มีคุณสมภพหัวใจวายตายเป็นเพื่อนแหละนะ นลินคิดปลอบใจตัวเอง
สมภพเปิดสวิทซ์ไฟที่อยู่ข้างประตูเพื่อให้แสงสว่าง จากนั้นเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ วางกล่องเครื่องมือไว้นอกระเบียง แล้วหันมาตะโกนบอกนลิน
“คุณลินช่วยเปิดประตูห้องให้กว้างๆ ด้วยครับ เผื่อใครเดินผ่านมาเห็นเข้า จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด คิดว่าเราสองคนแอบมาทำงุบงิบอะไรกันอยู่ในห้อง”
นลินตวัดสายตาค้อนใส่สมภพอย่างลืมตัว ก็ไอ้คำว่า “งุบงิบ” ที่พูดมาเมื่อกี้ ไม่มีทางแปลความหมายไปเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากเรื่องพรรค์นั้น แค่คิดถึงเรื่องนี้ หน้าของนลินก็แดงซ่านไปถึงใบหู ทำปากขมุบขมิบต่อว่าสมภพเบาๆ ว่าคนบ้า ก่อนไปเปิดประตูห้องให้กว้างออก แล้วนำเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือมาพิงประตูห้อง จากนั้นเดินไปหยิบหนังสือที่อยู่บนหัวเตียง นำมานั่งอ่านบนเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าประตู
“คนบ้า” เหลือบตามองนลินก่อนอมยิ้ม ปกติเขาไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ เพราะรำคาญนิสัยจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่นและชอบโวยวายของคุณเธอทั้งหลาย แต่สำหรับนลิน ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น
เมื่อเห็นนลินหยิบหนังสือมาอ่านตรงหน้าประตู สมภพก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดแจงรื้อเครื่องมือที่ต้องใช้ออกมาจากกล่องเครื่องมือ จากนั้นยืนกอดอกมองผนังกำแพงห้องน้ำ คิดคำนวณเวลาในการทำงานอย่างรวดเร็ว ก่อนมองนาฬิกาบนข้อมือ เพิ่งจะห้าโมงครึ่ง อืม..วันนี้คงก่ออิฐผนังได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันต่อ คิดแล้วสมภพก็ลงมือทำงานทันที
นลินนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พลางชะเง้อมองสมภพที่อยู่ในห้องน้ำเป็นระยะ เหมือนอย่างที่ส้มกับหญิงบอกไว้ไม่มีผิดว่า เวลาลงมือทำงานแล้ว สมภพจะก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยังดีที่มีเสียงเครื่องมือดังก๊อกๆ แก๊กๆ ดังออกมาให้ได้ยินบ้าง ไม่อย่างนั้น นลินคงคิดว่าสมภพแอบหลับอยู่ในห้องน้ำไปแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง นลินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปที่ห้องน้ำ เห็นสมภพกำลังใช้เกรียงเหล็ก (เครื่องมือก่อสร้างชนิดหนึ่งของช่างปูนและช่างหินขัด) ตักปูนสำเร็จรูปที่อยู่ในถังปูนขึ้นมาป้ายลงบนอิฐแดง แล้วนำมาวางเรียงซ้อนกันบนผนังกำแพง ซึ่งก่อไปได้หลายแถวแล้ว ใบหน้าของสมภพชื้นไปด้วยเหงื่อที่ซึมขึ้นมา ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอก็ชื้นเหงื่อเช่นกัน
“คุณลิน มีอะไรครับ” สมภพเงยหน้าจากงานที่ทำ มองนลินที่มายืนด้อมๆ มองๆ ข้างประตูอย่างสงสัย
“คุณสมภพหิวข้าวหรือยังคะ”
“นิดหน่อยครับ แต่รอให้เสร็จงานก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานครับ” สมภพตอบพลางหันมาหยิบอิฐที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของนลิน
“ลินก็หิวเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวลินขอตัวลงไปซื้อข้าวที่หน้าปากซอยขึ้นมาทานบนนี้นะคะ แล้วจะซื้อข้าวมาเผื่อคุณสมภพด้วย อ๊ะ ห้ามปฏิเสธค่ะ” นลินรีบดักคอ เมื่อเห็นสมภพอ้าปากจะพูด
สมภพโคลงศีรษะ เพิ่งรู้ว่านอกจากจะดื้อแล้ว นลินยังชอบบังคับอีกด้วย แต่เอาเถอะ ยอมให้วันนี้หนึ่งวันก็แล้วกัน สมภพคิดพลางพยักหน้าให้ นลินจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง
สมภพนั่งทำงานเงียบๆ ไปสักพัก จนเริ่มรู้สึกเมื่อย จึงลุกขึ้นยืนบิดกายไล่ความเมื่อยขบ สายตาเหลือบไปเห็นเงาคนเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตูห้องน้ำ จึงตะโกนถามออกไป
“ใครอยู่ข้างนอกครับ”
สิ้นเสียงของสมภพ ร่างบางคุ้นตาของนลินก็โผล่หน้าเข้ามายิ้มให้ สมภพถอนหายใจก่อนย้อนถาม
“คุณลินซื้อข้าวเสร็จแล้วหรือครับ”
“ยังค่ะ พอดีลินนึกขึ้นได้ว่า จะให้คุณสมภพดูอะไรให้หน่อย เลยวิ่งกลับขึ้นมาค่ะ”
“หือ..ดูอะไรครับ” สมภพถามอย่างแปลกใจ นลินไม่ตอบ แต่เข้ามาฉุดมือสมภพให้เดินตามมาด้านนอก สมภพสะดุ้งเล็กน้อย เพราะมือของนลินเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง กำลังจะถาม นลินก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นค่ะ ลินเป็นคนเลือดน้อยไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็นสักเท่าไหร่ พอเจออากาศเย็นๆ เข้าไป มือไม้มักจะเย็นแบบนี้ล่ะค่ะ”
“เหรอครับ” สมภพตอบสั้นๆ รู้สึกคลางแคลงใจไม่น้อย แต่เลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา
นลินพาสมภพมาที่โต๊ะหนังสือ ชี้มือไปที่ฝ้าเพดานซึ่งอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับโต๊ะ แล้วพูดขึ้น
“พอดีหลายวันมานี้ ลินสังเกตเห็นว่ามีน้ำซึมออกมาจากฝ้าเพดานแผ่นนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าฝ้ามันเก่าหรือว่าหลังคามันรั่วกันแน่ ลินอยากให้คุณสมภพขึ้นไปดูให้หน่อยค่ะ”
สมภพเงยหน้ามองฝ้าเพดาน จากสภาพที่เห็น ฝ้าเพดานยังใหม่อยู่ แต่ถ้ามีน้ำซึมออกมาจริงๆ อย่างที่นลินบอก ก็อาจเป็นไปได้ว่าหลังคาคงจะรั่ว
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูให้ครับ แต่ขอลงไปเอาบันไดเหล็กที่อยู่ข้างล่างก่อน ระหว่างที่รอผมเอาบันไดขึ้นมา คุณลินจะลงไปทานข้าวก่อนก็ได้นะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ขอบคุณคุณสมภพมาก แต่คุณสมภพลงไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวลินลงตามไปทีหลัง”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณลินลงไปแล้วก็อย่าลืมล็อคห้องด้วยนะครับ” สมภพบอกก่อนเดินออกไปจากห้อง นลินผุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เหลือบตามองฝ้าเพดานที่อยู่ด้านบนอย่างหมายมาดก่อนหัวเราะออกมาแผ่วเบา
*****************************************************
thongyod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 เม.ย. 2554, 16:28:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 เม.ย. 2554, 18:41:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 2023
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |